คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : Chapter 11 :: Teach me how to protect someone.
? cactus
Chapter 11
Teach me how to protect someone
“ผมจะกลับแล้วนะครับ” ชายหนุ่มรูดซิปกางเกงก่อนจะนั่งกับขอบเตียงแล้วก้มลงไปจูบหน้าผากเจ้าของร่างเปลือยเปล่าที่นอนอยู่ใต้ผ้าห่ม
“ไม่ให้กลับ...” ทั้งที่หลับตาอยู่ แต่แบคฮีก็งอแงดึงรั้งเขาไว้ไม่ให้ไปไหน ชานยอลอมยิ้มมองคนตัวเล็กที่ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น เว้าวอนทางสายตาเพื่อบอกให้เขาอยู่ต่อ “แดดยังไม่ออกเลย”
“ถ้าปีนระเบียงตอนนั้นคนแถวนี้คงโทรเรียกเก้าหนึ่งหนึ่งมาจับผมแน่” ชายหนุ่มโน้มลงไปจูบหน้าผากอีกครั้งก่อนจะเปลี่ยนเป็นที่ปลายจมูกและริมฝีปาก แบคฮีตวัดแขนกอดร่างกำยำของอาจารย์หนุ่มเพื่อให้จูบของเราแนบแน่นยิ่งขึ้นซึ่งชานยอลก็ไม่ปฏิเสธ
เขามองเธออย่างเอ็นดู สบตากันในความเงียบยามเช้าตรู่เพื่อให้เวลาทำใจปล่อยมือจากอีกฝ่าย พอได้อยู่ด้วยกันทั้งคืนก็ไม่อยากแยกไปไหน ปาร์คชานยอลชักจะเสพติดบยอนแบคฮีเกินไปแล้ว เขาหลงใหลเด็กคนนี้ ตรงที่บางครั้งที่ดูเหนือความคาดหมาย ยอมบ้าง อ้อนบ้าง ทำให้รู้สึกอยากไล่ตามบ้าง นี่แหละคือเสน่ห์ของเธอ
“ความจริงผมตั้งใจจะเอาของบางอย่างมาให้คุณ แต่พอรู้ตัวอีกทีก็ลืมไว้ในรถซะอย่างนั้น”
“เมาแล้วหื่นจนลืมทุกอย่าง เป็นอาจารย์ที่แย่มากรู้ตัวไหมคะ?” เขาหัวเราะกับคำพูดคำจาน่ารักของเด็กสาว จึงจับมือเธอมาจูบเบา ๆ ทั้งที่ยังสบตากันอยู่
“จริง ๆ แค่อยากมาหอมแก้มเฉย ๆ เองครับ”
“จริงเหรอคะ เขินจังเลย” ดูเด็กตัวแสบเล่นละครเกินจริงสิ ทำตาเป็นประกายกำสองมือขึ้นใต้คางอย่างกับเกิร์ลกรุ๊ป เขาควรจะปล้ำเธอสักรอบส่งท้ายก่อนกลับดีไหม?
“มันเป็นรางวัลของเด็กดีที่เอาชนะความกลัวได้ มันไม่ใช่ของมีค่าทางกายอะไร แต่ก็มีค่าเท่าจิตใจครูพี่ชานยอลของหนูเลยนะครับ”
“อี๋ เลี่ยนจัง” แบคฮีดึงแก้มคนตัวโตที่พอสร่างเมาแล้วก็ปากหวานเสียจนเธอกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่ได้ “หนูจะไปทวงที่โรงเรียน อย่าลืมอีกล่ะ”
“ตกลงครับ วันสุดท้ายของการสอบเทอมนี้เจอกัน”
“ไหงงั้น วันนี้เลยไม่ได้เหรอ?” เด็กสาวโอบใบหน้าคมไว้ แต่อาจารย์หนุ่มกลับอมยิ้มพลางส่ายหน้าปฏิเสธ
“ผมชอบเวลาเห็นคุณกระวนกระวายไปกับการรอน่ะ นิสัยไม่ดีเลยใช่ไหม?”
“เหอะ รู้ไว้ด้วยว่าหนูไม่เคยรอใคร”
“อ่า... ถ้าอย่างงั้นรางวัลของผมก็เป็นหมันแล้วน่ะสิ?” ชายหนุ่มโน้มหน้าลงไปจนปลายจมูกชนกัน ก่อนจะหลุดยิ้มออกมาเพราะถูกคนใต้ร่างงับจมูกเบา ๆ ทั้งที่ยังสบตากันอยู่
“เลิกปั่นหัวหนูสักทีน่า...”
“รู้ไว้ด้วยนะครับว่าผมไม่ได้ชอบปั่นหัวทุกคน” เด็กสาวเบ้ปาก มองคนขี้แกล้งที่เลียนแบบคำพูดเธอด้วยสีหน้าแบบนั้น มันเขี้ยวอาจารย์จัง ทำไมบยอนแบคฮีถึงชอบคนแบบนี้ไปได้นะ “แล้วเจอกันที่โรงเรียนนะครับ”
“ขอให้โดนจับตอนปีนลงไป”
“ประกันผมออกมาด้วยล่ะ”
“ไม่ หนูจะปล่อยอาจารย์นอนอยู่ในคุก” แบคฮีมองตามแผ่นหลังชายหนุ่มที่หยุดอยู่ตรงระเบียงก่อนจะหันมายิ้มให้ เด็กสาวร่างเปลือยเปล่านอนคว่ำพลางเท้าศอกกับเตียง แบคฮีกำลังทำให้เขาไม่อยากปีนลงไปเพราะการยั่วยวนของเธอ
*
เซฮุนไม่กล้างอแงกับแบคฮีแล้ว อันที่จริงต้องเรียกว่างอแงน้อยลงเพราะกลัวถูกทิ้งเสียมากกว่า ไม่กล้าถึงไม้ถึงมือเพราะกลัวถูกรำคาญ แต่มันก็ดีเมื่อแบคฮีไม่ได้ผลักไสไล่ส่งอย่างที่เคย เซฮุนยอมถอยหลังหนึ่งก้าว เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนกลับไปเริ่มต้นใหม่อีกครั้งและมันไม่เคยมองเห็นจุดหมาย
ยัยบ้านั่นเอาแต่อมยิ้มตอนก้มลงมองโทรศัพท์ ซึ่งถ้าคิดในแง่หลอกตัวเองเจ้าของข้อความนั้นคงเป็นเพื่อนที่อยู่นิวซีแลนด์ แต่ถ้าพูดถึงเรื่องเซนส์ เขาคิดว่ามันคงเป็นของไอ้หอกหักจากไหนสักคนที่ทำให้ความสัมพันธ์ของโอเซฮุนและบยอนแบคฮีเป็นอย่างนี้
หลายคนบอกว่าเขาช่างโง่เขลาเหลือเกินและมันไม่ผิดอย่างที่พูดเลยสักนิด แต่ถ้าการเป็นคนฉลาดจะทำให้หัวใจมันเจ็บโอเซฮุนก็อยากอยู่เป็นคนโง่ต่อไปอีกสักหน่อย ไม่มีใครบังคับให้ทำเป็นอย่างนี้ ไม่มีใครร้องขอ แต่เขาเลือกที่จะอยู่เพื่อเจ็บแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าใจมันไม่ไหว
ซึ่งมันไม่ใช่ตอนนี้... ไม่แน่นอน
“มินซอก!”
“อ้าว อรุณสวัสดิ์เซฮุน”
เขารีบวิ่งตามมาหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ เมื่อเธอหยุดเดิน เด็กหนุ่มขมวดคิ้วพลางก้มลงมองหัวจรดเท้าจนอีกฝ่ายสูญเสียความมั่นใจ มินซอกจับแก้มตัวเองก่อนจะเงยหน้ามองคนตัวโตกว่า สงสัยเหลือเกินว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเธอเซฮุนถึงได้มองอย่างนั้น เสื้อเลอะเหรอ หรือว่ามีอะไรติดหน้า
“ไปทำอะไรมาทำไมหน้าใสขึ้น?”
“หา?”
“จริง ๆ นะ ก่อนหน้านี้ยังมีสิวอยู่เลย ตรงนี้ ตรงนี้” พอเห็นว่าเซฮุนชี้นิ้วมาใกล้ เธอจึงเบี่ยงหน้าหลบทันที
“แล้วมันไม่ดีเหรอ?” มินซอกจับแก้มตัวเองอีกครั้ง แม้เซฮุนจะพูดแปลก ๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเธอรู้สึกดีกับความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นซึ่งมีแบคฮีอยู่เบื้องหลัง
“ต้องดีสิ ผอมลงด้วยปะเนี่ย ฮั่นแน่... มีแฟนสินะ?” เซฮุนหรี่ตามองพลางชี้นิ้วล้อ ยิ่งมินซอกทำตาโตรีบปัดมือปฏิเสธทันควันก็ยิ่งอยากแกล้ง
“เปล่าสักหน่อย อ้วน ๆ อย่างฉันจะมีใครมาชอบ”
“ก็พูดไป อย่างเธอน่ะเรียกมีเนื้อมีหนัง ลดอีกหน่อยก็สวยเพรียวแล้ว” เด็กหนุ่มยักคิ้ว มองผู้หญิงขาดความมั่นใจที่เอาแต่ก้มหน้าเดิน
“เพราะแบคฮีน่ะ... ไม่งั้นสิวก็ไม่หายหรอก ตอนนี้ก็เริ่มออกกำลังกายหลังเลิกเรียน แล้วก็ลดแป้งกับของหวาน...”
“หืม ยัยนั่นน่ะเหรอ?” พอรู้ว่าความเปลี่ยนแปลงเกี่ยวข้องกับยัยแม่มดก็หลุดยิ้มออกมาเสียอย่างนั้น
“อือ แบคฮีใจดีมากจนฉันไม่รู้เลยว่าจะตอบแทนยังไง”
“ยัยนั่นไม่ได้ต้องการสิ่งตอบแทนหรอก หรือถ้ามีสิ่งที่อยากได้ แบคฮีก็คงอยากให้เธอเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ” เซฮุนล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ทอดสายตาไปยังอาคารเรียนเบื้องหน้าขณะเดินไปกับเด็กสาวร่างท้วม
“มันจะพอเหรอ ฉันรู้สึกเหมือนไม่ได้ทำอะไรให้แบคฮีเลย”
“เธอไม่รู้หรอกว่า ‘ไม่ได้ทำอะไรให้’ มันมากมายสำหรับแบคฮีแค่ไหน” เด็กหนุ่มยิ้มบาง ๆ “ถ้าเทียบกับสามคนนั้นที่มีนิสัยแปลก ๆ น่ะนะ”
“พวกอันยูจิน?”
“ใช่”
“จะว่าไปแล้วคนพวกนั้นคงหงุดหงิดที่เห็นฉันอยู่ใกล้แบคฮีบ่อย ๆ นายคิดว่างั้นไหม?” มินซอกหันไปถามความเห็นคนข้าง ๆ ซึ่งเด็กหนุ่มที่ไม่ค่อยเข้าใจสังคมเด็กผู้หญิงก็ได้แต่ขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ในใจ
“ไม่แน่ใจเหมือนกันแฮะ แต่แทมินมันเคยพูดอยู่เหมือนกันว่าพวกผู้หญิงน่ะมีโรคประจำตัวเยอะมาก ทั้งโรคขี้อิจฉา โรคขี้หวง โรคหวงเพื่อน มันอาจจะเป็นไปได้ที่สามคนนั้นจะเป็นโรคที่สาม”
“ถ้าฉันทำให้ใครโมโหอีกคงโดนแกล้งยาวจนเรียนจบแน่เลย”
“กลัวหรือไง?” เซฮุนอยากให้มินซอกปฏิเสธอย่างหนักแน่น แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าเด็กผู้หญิงคนนี้อ่อนแอเกินกว่าจะกล้าทำแบบนั้น
“กลัวสิ” เด็กสาวก้มหน้าพูดเสียงแผ่ว เงียบไปราว ๆ สามวินาทีก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับคนตัวโตกว่า “แต่ฉันก็ไม่อยากเลิกคุยกับแบคฮีเพราะกลัวโดนแกล้งหรอก”
“หมายความว่าจะยอมรับชะตากรรมว่างั้น?” อดไม่ได้ที่จะยิ้ม ยิ่งเห็นความขึงขังของเด็กสาวร่างท้วมตอนพยักหน้าก็ยิ่งอยากหัวเราะออกมา “โดนแจ็คพ็อตแน่คิมมินซอก”
“อย่าพูดให้ใจเสียสิ คนยิ่งหวั่น ๆ อยู่...”
“ก็ดูเธอสิ ฉันไม่สงสัยแล้วว่าทำไมแบคฮีชอบแกล้งเธอนัก” เซฮุนยีหัวมินซอกอย่างเอ็นดูแม้ว่าเธอจะเบี่ยงศีรษะหลบ “อย่ากลัวไปเลยน่า เธอยังมีฉันกับยัยนั่น เราไม่ปล่อยให้เธอโดนแกล้งอีกหรอก”
มินซอกเงยหน้ามองคนข้าง ๆ ที่สร้างโล่ใหญ่ให้เธอด้วยคำพูด ผู้ชายคนนี้ที่ใคร ๆ ต่างก็รุมรักเพราะความอัธยาศัยดีและใบหน้าที่หล่อเหลา เธอไม่คิดมาก่อนเลยว่าเซฮุนจะหยิบยื่นมิตรภาพให้ มันอดสงสัยไม่ได้จริง ๆ ว่าเพราะอะไร? เขาใจดีกับทุกคนอยู่แล้วหรือว่าแค่สงสารผู้หญิงอ้วน ๆ ที่ถูกรุมแกล้ง?
“ทำไมถึงทำดีกับฉันนักล่ะ”
เซฮุนไม่ได้ตอบคำถามทันทีเมื่อได้ยินเพื่อนในสนามบาสตะโกนเรียกให้ไปเล่นด้วยกัน เด็กหนุ่มจึงพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าจะตามไป ก่อนจะหันมาสบตากับเด็กสาวที่กำลังรอคำตอบจากปากเขา
“จะมีเหตุผลอะไรอีก ก็เราเป็นเพื่อนกันนี่หว่า”
เด็กหนุ่มยักคิ้วแล้วหันหลังวิ่งไปทางสนามบาส เขาโยนกระเป๋าเป้ลงพื้นพร้อมดึงชายเสื้อเชิ้ตขาวออกจากกางเกง ร่างผอมสูงกระฉับกระเฉงไม่รอช้ากระโดดรับลูกบาสได้ในทันทีที่เพื่อนส่งให้ เรียกความสนใจจากเด็กสาวที่อยู่ละแวกนั้นได้เป็นอย่างดี
มินซอกไม่เคยรู้มาก่อนว่าการได้ยินคำว่า ‘เพื่อน’ จากใครสักคนมันทำให้อุ่นใจได้ขนาดนี้ แม้แต่ตอนก่อนถูกแกล้ง ตอนที่ยังมีเพื่อนในกลุ่มหลายคนอยู่ด้วยกัน เด็กสาวไม่เคยสัมผัสคำนั้นได้เลยด้วยซ้ำกระทั่งรู้จักบยอนแบคฮีกับโอเซฮุน
เราเป็นเพื่อนกัน คำ ๆ นี้มันช่างมีค่าเหลือเกิน
*
สอบปลายภาควันแรกผ่านไปได้ด้วยดีแต่วันที่สองยังน่ากังวลอยู่ มินซอกรวบรวมความกล้าชวนแบคฮีกับเซฮุนมาติวด้วยกันที่ร้านฟาสฟู้ดตามห้างสรรพสินค้า เราผลัดกันสอนในวิชาที่ทำไม่ค่อยได้ ยกเว้นเซฮุนที่ต้องสอนซ้ำหลาย ๆ รอบเพราะเข้าใจยาก
บทสนทนาผ่อนคลายมากขึ้น ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าว่าแบคฮียิ้มและหัวเราะบ่อยกว่าที่เคย มินซอกรู้สึกเหมือนกับว่าอีกฝ่ายกำลังเปิดใจ เราทั้งสามคนกำลังปรับตัวเข้าหากันซึ่งมันดียิ่งกว่าอะไรในตอนนี้
คุณได้รับข้อความจาก...
‘1234’
[ วันนี้สอบวันสุดท้าย ถ้าไม่มาตามนัดหนูก็อดรางวัลไปนะครับ ]
“ยืมปากกาหน่อยดิ”
“อะไร?” แบคฮีละสายตาจากข้อความของใครอีกคนพลางเงยหน้ามองค้อนโอเซฮุนที่ยืนเบะปากเรียกร้องคะแนนสงสารอยู่หน้าห้องสอบ
“ยืมปากกาไง ทำหายอีกแล้วอะ”
“นายกินมันเข้าไปหรือไง หายได้หายดี” เซฮุนเบ้หน้ากุมศีรษะตัวเองหลังจากถูกคนที่ชอบตบหัวอีกแล้ว เด็กหนุ่มขมวดคิ้วมองอย่างตัดพ้อ นอกจากจะเอาแต่สนใจมือถือจากไอ้เวรไหนก็ไม่รู้ ยังจะลงไม้ลงมือกับเขาอีก
เซฮุนก้าวขาไปด้านข้าง เขาแบมือออกมาตรงหน้ามินซอก “ยืมหน่อย”
“ที่ยืมไปเมื่อวานก่อนก็ทำหาย จนสอบวันสุดท้ายก็ยังเหมือนเดิม” แบคฮีขยับปากบ่น
“บ่นอยู่ได้ ปากกาเธอหรือเปล่าก็ไม่ ที่หายไปก็ของมินซอกทั้งนั้น” เซฮุนเลิกคิ้วกวนคนตัวเล็กที่ทำท่าจะตบหัวเขาอีกครั้ง เด็กหนุ่มยังคงเรียกร้องความสนใจด้วยวิธีเดิม ๆ ซึ่งมันได้ผลดียิ่งกว่าการกอดรั้งพร้อมอ้อนวอนด้วยคำพูดน่าสงสาร
“ไม่เป็นไรหรอกแบคฮี แค่ปากกาเอง”
“เพราะเธอเป็นแบบนี้ไงหมอนี่ถึงได้เหลิง”
“ฉันจะเปลี่ยนใจจากเธอไปจีบมินซอกแล้ว ฉันจะแต่งงานกับผู้หญิงที่ไม่งกปากกา” เด็กหนุ่มแลบลิ้นใส่ ก่อนจะเบิกตากว้างอ้าปากค้างเพราะเธอเอานิ้วป้ายลิ้นเขา “บยอนแบคฮี!!!”
“ผู้หญิงฉลาดคงไม่เอาผู้ชายซื่อบื้อทำแฟนหรอก”
“จริงเปล่ามินซอก?” เซฮุนหันไปทำตาปริบ ๆ ใส่เจ้าของชื่อที่กำลังอมยิ้มเพราะการโต้ตอบคำพูดเจ็บ ๆ แสบ ๆ ของเขาและแบคฮี
“ไม่รู้หรอก”
“แสดงว่าไม่ใช่ เพราะถ้าใช่ก็คงตอบไปแล้ว” เด็กหนุ่มยิ้มพลางเสยผมขึ้น
“มินซอกก็แค่รักษาน้ำใจนาย”
“ก็ยังดีกว่าเธอสิบเท่าแล้วกัน”
“ไอ้โง่”
“ยัยตัวดี”
“พอเถอะน่า ปะ ไปสอบวิชาสุดท้ายกัน” มินซอกเอามือดันหลังคู่กัดไปข้างหน้าหลังจากอาจารย์เรียกเข้าห้องสอบ แม้จะรู้สึกแปลก ๆ เพราะก่อนหน้านี้แบคฮีกับเซฮุนยังเหมือนคู่รักกันอยู่เลย แต่อยู่ ๆ ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้นะ หรือว่าเป็นเธอเองที่เข้าใจผิดตั้งแต่แรกว่าคบกัน
*
“หลบไป”
“...”
หลังจากสอบวิชาสุดท้ายเสร็จ แบคฮีก็ไม่คิดว่าจะได้เจอกลุ่มของจูอึนยืนดักรออยู่ตรงหัวมุมทางโค้งลงบันไดโดยมีคิมดาซมยืนอกอดอกอยู่ด้านหลัง เด็กสาวไม่ได้ทำตามในทันที และตอนนี้มินซอกกำลังบีบมือเธอแน่นจนรู้สึกได้ถึงความกลัว
“อะไร?”
“ฉันบอกให้หลบถ้าไม่อยากโดนลูกหลงไปด้วย”
“จะให้ไปไหนในเมื่อฉันมาด้วยกัน” แบคฮีขยับมือเล็กน้อยเพื่อบอกให้มินซอกเข้ามาหลบอยู่ข้างหลังเธอ ท่ามกลางสายตานักเรียนอีกหลายคนที่ยังไม่กลับบ้าน “มีอะไรอีกล่ะ อยากเลี้ยงส่งท้ายก่อนปิดเทอมหรือไง?”
“มันไม่ใช่ธุระของเธอ”
“แล้วมันใช่ธุระของเธอด้วยหรือเปล่า?”
“แน่นอนว่าใช่ และมันไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องอธิบายให้คนอย่างเธอฟังด้วย” วันนี้จูอึนดูมีความกล้ามากกว่าทุกวัน อาจเป็นเพราะไม่มีโอเซฮุนอยู่ตรงนี้ และมีคิมดาซมคอยให้ท้ายอยู่
“ไม่อยากอธิบายหรือไม่มีเหตุผลจะอธิบายกันแน่?” แบคฮีมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเรียบเฉย “จนจบเทอมแล้วก็ยังไม่เปลี่ยนเลยนะ...”
“...”
“กร่างไปทั่ว รังแกคนอื่นเพื่อให้ตัวเองรู้สึกว่าอยู่เหนือกว่า”
“แต่อย่างน้อยฉันก็ไม่เคยเทเพื่อนในกลุ่มอย่างหน้าด้าน ๆ แล้วกัน”
“เลิกคบเพื่อนเพราะเข้ากันไม่ได้มันแปลกตรงไหน ฉันไม่ใช่พวกเธอที่จะได้เฟคเข้าหากันทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเพื่อนแต่ละคนนิสัยเป็นยังไง”
“เธอกำลังพูดถึงใครมิทราบ?” ดาซมเดินแทรกออกมาเผชิญหน้ากับเด็กสาวที่มีส่วนสูงพอ ๆ กัน เธอกัดฟันพร้อมกำมือแน่น สบตากับคนอวดดีที่ไม่ดูสถานการณ์ว่าตอนนี้ใครพวกเยอะกว่า
“ทีเรื่องอื่นก็เห็นฉลาดตลอด แล้วทำไมเรื่องนี้ถึงถามฉันล่ะดาซม?”
“แบคฮี... พอเถอะ” มินซอกเขย่าแขนคนตรงหน้า ก้ม ๆ เงย ๆ มองดวงตาทุกคู่ที่จดจ้องมาที่เราอย่างเอาเรื่อง ทำยังไงดี... เซฮุนรีบกลับเพราะต้องไปรับแม่ที่สนามบิน ถ้าผู้ชายคนนั้นอยู่ดาซมคงไม่กล้าทำแบบนี้แน่
“ฉันล่ะอยากให้สามคนนั้นมาได้ยินเองกับหูจริง ๆ ต่อหน้าจะกล้าพูดแบบนี้หรือเปล่าเถอะ” จูอึนเหยียดยิ้ม
“บางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องพูดหรอก ให้การกระทำมันบอกเองคงดีกว่า”
“จะบอกว่าถ้าจะทิ้งเพื่อนก็ทำเลยไม่ต้องพูดสินะ?” ดาซมแค่นหัวเราะ
“ก็... ประมาณนั้น” แบคฮีไหวไหล่
“นังหน้าด้าน” จูอึนกดเสียงต่ำมองคนตรงหน้าอย่างเอาเรื่อง ตอนได้ยินพวกยูจินเล่าให้ฟังก็โมโหแทนแล้ว พอได้ยินกับหูก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่ใช่แค่คิมมินซอกที่ควรโดนตบ
“ก็ยังดีกว่าคนปากบอกว่าเพื่อนแต่ก็รอแทงหลังอยู่ตลอด ยิ่งมีหัวขโมยอยู่ในกลุ่มด้วยแล้วยิ่งน่ากังวลใหญ่เลย ใครมันจะไปทนอยู่กับโจรได้ล่ะว่าไหม?” แบคฮียิ้มพอนึกไปถึงเรื่องราวที่สามคนนั้นเคยทำเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องถูกตำรวจจับในผับหรือของที่ถูกขโมยไป ซึ่งเธอจับได้ว่าเป็นพาดาเพราะปากกากลิตเตอร์สีม่วงที่เป็นสีเดียวกับข้อความขอโทษตอนได้ของคืน เธอเคยขอยืมใช้ในคาบภาษาอังกฤษเมื่ออาทิตย์ก่อน ในวินาทีนั้นแบคฮีกับพาดาสบตากันในช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนผู้หญิงคนนั้นจะหลบสายตาไป
คนพวกนั้นน่ะ... งูพิษชัด ๆ
เด็กสาวกลุ่มใหญ่หันไปซุบซิบกันก่อนจะถอยหลังคนละก้าวเพื่อให้เห็นว่าตอนนี้ยูจิน แชรอน และพาดายืนอยู่ตรงนั้น แม้จะรู้สึกหมดใจกับเพื่อนทั้งสามคนมานานแล้ว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตกใจอยู่ไม่น้อยที่เห็นสายตาเหล่านั้น เด็กสาวนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
“ได้ยินชัดแล้วใช่ไหมยูจิน?”
“ยิ่งกว่าชัดอีก”
“นี่คือสิ่งที่เธอคิดกับพวกเรามาตลอดเหรอ?” คำถามเต็มไปด้วยคำตัดพ้อให้ดูดี แต่สายตาของแชรอนกลับพร้อมที่จะเข้ามาจิกหัวเธอตบได้ทุกเมื่อ
แบคฮีไม่ได้โง่ที่จะดูไม่ออกว่าสถานการณ์ในตอนนี้เป็นอย่างไร อันที่จริงอันยูจิน ปาร์คแชรอน และคิมพาดาคงรอจังหวะนี้มานานแล้ว รอให้กลุ่มดาซมทนไม่ไหวจนหาเรื่องเธอ สามคนนั้นจะได้เข้ามาสมทบพร้อมสร้างเรื่องโง่ ๆ ขึ้นมาว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกทำร้าย เพื่อที่จะได้จัดการกับเธอโดยไม่มีใครกล้าว่าอะไร
“แบคฮีบอกว่าพวกเธอขโมยของน่ะ คิดว่าไงล่ะ?” ดาซมกอดอก ยิ้มพอใจกับการตบหน้าบยอนแบคฮีด้วยการเอาสามคนนี้ออกมา
“ใครไปขโมยของหล่อน อย่ามาใส่ร้ายกันนะ” ยูจินขึ้นเสียง แน่นอนว่ามันไม่ผิดถ้าหากอีกฝ่ายจะรู้สึกอย่างนั้น เพราะถ้าถูกใส่ร้ายโดยไม่ได้ทำก็คงหัวเสียอยู่ไม่น้อย
“ถามพาดาสิ”
“...”
ทุกสายตาหันไปทางเด็กสาวที่ยืนนิ่งด้วยสีหน้ามีพิรุธ พาดาสบตากับแบคฮีที่เป็นคนสร้างฝันร้ายให้เธอท่ามกลางฝูงเพื่อน ซึ่งถ้าเกิดอ้าปากยอมรับต่อไปนี้เธอคงยืนในสังคมไม่ได้อีกต่อไปแน่
“จริงเหรอ?” ยูจินขมวดคิ้ว เธอยังคงคาดหวังว่าพาดาจะปฏิเสธ เพราะคนที่อยากให้ถูกรุมในวันนี้คือบยอนแบคฮี แทนที่จะเป็นหนึ่งในนี้ที่ทำให้เสียหน้า
“บ... บ้าน่า ใครจะไปทำอย่างนั้นกันล่ะ มีหลักฐานอะไรถึงมาใส่ร้ายกันซึ่ง ๆ หน้าอย่างนี้” เด็กสาวกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ พยายามปฏิเสธความจริงแม้ว่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจ คิมพาดาจะไม่ยอมตกเป็นเหยื่อของการถูกแกล้งในสังคมเด็กมัธยมเด็ดขาด เธอไม่อยากมีชีวิตอยู่อย่างคิมมินซอก
“ทุเรศจริง ๆ หักหลังเพื่อนแล้วยังใส่ร้ายได้อย่างหน้าด้าน ๆ อีก ยังมีความเป็นคนอยู่หรือเปล่าบยอนแบคฮี?” จูอึนมองเหยียดอีกคน ยิ่งเห็นอย่างนี้ก็ยิ่งเกลียด ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้มีความรู้สึกผิดเลยสักนิด และนั่นเป็นเหตุผลที่เธอยืนอยู่ตรงนี้เพื่อสั่งสอนให้รู้ว่าความถูกต้องเป็นอย่างไร
“ก็อยากน้อยใจอยู่เหมือนกันนะที่เธอ เธอ และเธอเป็นแบบนี้” แบคฮีมองอดีตเพื่อนเรียงคน ในทีแรกก็แค้นอยู่ลึก ๆ ที่เห็นโผล่ออกมาเข้าข้างกลุ่มจูอึน แต่พอนึกขึ้นได้ว่าเนื้อแท้นิสัยของแต่ละคนเป็นอย่างไร เธอจึงคิดได้ว่ามันดีแล้วที่ผลออกมาเป็นแบบนี้ “แต่ก็ขอบใจที่ทำให้มันง่ายขึ้น”
“อยากพูดอะไรกันแน่?” สายตาของยูจินไม่หลงเหลือการแสดงละครบทเพื่อนอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงความเกลียดชัง หมั่นไส้และอยากทำลายเธอจนเต็มแก่
“ฉันอยากพูดว่า...” กลุ่มเด็กผู้หญิงมองริมฝีปากกระจับได้รูปที่ไม่มีความเกรงกลัวอยู่เลยสักนิด จนถึงวินาทีนี้ในดวงตาของบยอนแบคฮีก็ยังคงเต็มไปด้วยความอวดดี และไม่มีทีท่าว่าจะยอมใคร “ฉันดีใจแทนคนอื่นจริง ๆ ที่ไม่ได้เป็นเพื่อนพวกเธอ ดีใจแทนคนบนโลกที่ไม่ต้องเจอความเลวร้ายในชีวิตแบบนี้ คนนิสัยเหมือนกันอย่างพวกเธอนี่สิถึงจะอยู่ด้วยกันได้ ประจบสอพลอไปวัน ๆ เกลียดขี้หน้ากันแค่ไหนก็ต้องเฟคว่ารักนักหนา เกิร์ลกรุ๊ปโรคประสาท”
“บยอนแบคฮี!!!”
จูอึนกำหมัดแน่น รอยยิ้มและคำพูดของผู้หญิงตรงหน้ายังคงกึกก้องอยู่ในหูเพื่อถามตัวเองว่าจะเอาอย่างไรดี ระหว่างจัดการคิมมินซอกคนเดียวอย่างที่ตั้งใจไว้ หรือรวบบยอนแบคฮีเข้าไปด้วยเพราะรนหาที่เอง
เธอทนกับความหมั่นไส้มานานแค่ไหนแล้ว ทั้งคิมมินซอกที่แกล้งทำเป็นใสซื่อเพื่อที่จะได้อยู่ใกล้อาจารย์ ทำเป็นเอาของไปให้ นั่งคุยกันนานสองนานไม่พอยังไปอ่อยโอเซฮุนคนที่ดาซมชอบอีก ร่านเงียบ คงไม่ต้องพูดถึงบยอนแบคฮี ความเลวของผู้หญิงคนนี้มีมากมายจนพูดวันเดียวก็คงไม่จบ
“จะทำอะไร?!” แบคฮีรีบคว้าแขนไว้เมื่อจูอึนกระชากมินซอกออกไปต่อหน้าต่อตาเธอ “รีบปล่อยมือสกปรกออกตอนที่ฉันยังพูดดี ๆ อยู่...”
เด็กสาวกดเสียงลงต่ำ มองอีกคนเพื่อให้รู้ทางสายตาว่าบยอนแบคฮีเอาจริงแน่ถ้าหากว่ายังปัญญาอ่อนกันไม่จบไม่สิ้น แต่คิมจูอึนไม่ฟัง เธอหันไปพยักหน้าเพื่อบอกให้เพื่อนสองคนเข้ามาล็อกแขนแบคฮีไว้แต่ก็ถูกสะบัดออกจนคนหนึ่งเซถอยหลัง ส่วนอีกคนถูกตบจนล้ม
“เก่งนักใช่ไหม?” ดาซมผลักแบคฮีในจังหวะทีเผลอ ยูจินกับแชรอนจึงเข้าไปล็อกแขนคนตัวเล็กไว้อีกครั้ง แบคฮีและมินซอกถูกกระชากลากดึงเข้าไปในห้องน้ำหญิง ก่อนมันจะถูกล็อกโดยมีคนเฝ้าอยู่ข้างนอกซึ่งยืนตัวสั่นเพราะทำอะไรไม่ถูก
และคน ๆ นั้นคือคิมพาดา
*
ซ่า!!!
น้ำในถังถูกสาดใส่เด็กสาวทั้งสองคนที่ทรุดตัวลงนั่งกับผนังเย็นเฉียบหน้าซิงค์ล้างมือ แบคฮีเงยหน้าขึ้นมองคนเหล่านั้นด้วยแววตาแข็งกร้าว กัดฟันกรอดพร้อมหันไปมองกระเป๋าของเธอและมินซอกที่ถูกรูดซิปออกก่อนทุกอย่างในนั้นจะโดนเทลงพื้นอย่างไม่ใยดี
“คิดว่าทำแบบนี้แล้วฉันจะกลัวหรือไง?” แบคฮีลุกขึ้นยืนด้วยสภาพเปียกโชก สบตากับคิมจูอึนที่เป็นแม่งานคราวนี้ และมันยังคงเป็นส่วนหนึ่งในการเอาอกเอาใจคิมดาซม
“ถ้าครั้งแรกไม่กลัว ก็ยังมีครั้งที่สอง สาม สี่ ไม่ใช่เหรอ?” จูอึนยิ้ม
“วิถีหมาหมู่ บอกตามตรงนะว่าฉันไม่ได้รู้สึกว่าพวกเธออยู่เหนือกว่าเลยสักนิด” แบคฮีจับชายเสื้อนักเรียนสีขาวขึ้นมาบิดน้ำก่อนจะเสยผมขึ้น
“งั้นเหรอ?” ดาซมแค่นยิ้ม สบตากับคนอวดดีที่ยังไม่รู้สถานะตัวเองจนถึงตอนนี้
“แล้วถ้าเป็นแบบนี้ล่ะ ยังจะปากดีได้อยู่ไหม?” ยูจินเดินมาพร้อมกรรไกร ผู้หญิงคนนั้นมองมาอย่างท้าทาย ไม่หลงเหลือคำว่าเพื่อนให้อยากจำอีกต่อไป
“จะตัดผมหรือเสื้อผ้าฉันล่ะ?” ทั้งคู่สบตากันในระยะใกล้ แบคฮีรู้ว่าตอนนี้คนพวกนั้นคงโมโหและอยากเข้ามารุมตบเธอจนตัวสั่นแล้ว “ไม่อยากพูดแบบนี้เลยนะ แต่พ่อฉันคงไม่อยู่เฉย ๆ แน่ถ้าผมลูกสาวคนเดียวแหว่งไป ไอ้ชุดนักเรียนราคาไม่กี่หมื่นวอนนี่ก็เหมือนกัน”
ไม่ชอบเอาพ่อมาอ้าง อันที่จริงแบคฮีไม่ชอบพูดถึงท่านเลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าหากมันจะช่วยให้ผ่านพ้นเรื่องบ้า ๆ ไปได้โดยไม่มีใครต้องเจ็บเธอก็ต้องจำใจพูดมัน ไม่มีใครอยากตกอยู่ในสภาพนี้ ที่ตัวเปียกและหนาวสั่นเพราะถูกสาดด้วยน้ำผสมน้ำแข็ง โดนล้อมโดยเพื่อนร่วมห้องที่ไม่ชอบขี้หน้า ถูกมองด้วยสายตารังเกียจราวกับเป็นตัวประหลาดที่ไม่มีใครต้องการ
แบคฮีอยากปกป้องใครสักคนให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต โดยเฉพาะเพื่อนผู้หญิงคนแรกในโรงเรียนอย่างคิมมินซอก คน ๆ หนึ่งจะเจอเรื่องราวร้าย ๆ ได้มากแค่ไหนกัน บยอนแบคฮีเพิกเฉยมานานจนไม่สามารถปล่อยผ่านไปโดยไม่ทำอะไรได้อีก
ท่ามกลางความเงียบในห้องน้ำ มีเพียงเสียงความคิดของตนเองเท่านั้นที่ตะโกนออกมานับครั้งไม่ถ้วน เด็กสาวทั้งหลายยังคงรอคำสั่งจากหัวหน้ากลุ่มอย่างดาซมหรือคนที่มีอิทธิพลอย่างจูอึน หากเพียงสั่งคำเดียว พวกเธอก็จะยอมทำตามอย่างไม่มีข้อแม้
“แล้วใครบอกว่ายูจินจะทำเธอล่ะ?”
“...”
“จะทำอะไร?”
“ฮะ... กลัวขึ้นมาแล้วเหรอ?”
“ยูจิน!!! เธอจะทำอะไร?!!! อย่านะอันยูจิน!!!”
“ไม่นะ!!! อื้อออออ!!!”
ความสุขของเด็กสาวชอบแกล้งคือสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกลัวของบยอนแบคฮี เธอมองไปยังร่างผอมบางซึ่งถูกล็อกแขนไว้ ก่อนคนที่เหลือจะเข้าไปกดแขนขาและปิดปากมินซอกเพื่อให้ยูจินเอากรรไกรตัดเสื้อตัวโคร่งจนขาดเป็นริ้ว ๆ
“...!!!!”
“อื้ออออออออออ!!!!” เด็กสาวร่างท้วมพยายามกรีดร้องอย่างสุดเสียงแต่มันก็ไม่สามารถลอดจากฝ่ามือที่ปิดปากได้เลย เธอมองไปยังเพื่อนใหม่ที่ถูกล็อกแขนไว้ แบคฮีพยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการแต่ก็ไม่เป็นผล
“พอสักที!!!”
แบคฮีแผดเสียงลั่น แต่ในเวลาหลังสอบเสร็จทุกวิชาแล้วคงไม่มีใครได้ยินเสียงเธอ ทั้งคู่สบตากันในช่วงเวลาสั้น ๆ เนื้อผ้าที่กำลังถูกตัดเป็นเหมือนเสียงของแหลมคมที่ค่อย ๆ กรีดหัวใจเด็กสาวร่างท้วม เสื้อนักเรียนตัวใหม่ที่ยายเพิ่งเจียดเงินซื้อให้เพราะเห็นว่าคิมมินซอกใส่ตัวเก่ามาสองปีแล้ว แต่ตอนนี้มันกำลังถูกตัดขาดออกจากกันจนแทบไม่เหลือชิ้นดี
ร่างของมินซอกถูกผลักจนชนกับผนังเย็นเฉียบ เด็กสาวงอตัวลงกอดร่างตัวเองที่เหลือเพียงยกทรงตัวเก่าที่เหลือปกปิดท่อนบนเอาไว้ มินซอกสะอื้นเหมือนจะขาดใจ การแกล้งครั้งนี้มันหนักหนาไปกว่าทุกครั้งจนยากที่จะทำใจได้
แบคฮีถูกผลักกลับไปหาเจ้าของเสื้อขาดวิ่นบนพื้น เธอมองเพื่อนเพียงคนเดียวที่นั่งร้องไห้จนตัวสั่นท่ามกลางเสียงหัวเราะของพวกใจหยาบที่มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น เด็กสาวกัดฟันแน่น หันไปมองคนเหล่านั้นด้วยดวงตาแดงก่ำ มันแข็งกร้าวไปด้วยโทสะก่อนกลุ่มเด็กสาวจะหยุดหัวเราะเมื่อเห็นว่าบยอนแบคฮีกำลังถอดเสื้อนักเรียนขนาดเท่าตัวออกมาคลุมร่างอวบท้วมให้เพื่อนของเธอ แบคฮีโอบร่างอีกคนเข้าในอ้อมกอด พร้อมลูบศีรษะที่เปียกไปด้วยน้ำอย่างไม่ขลาดอายที่ต้องเปลือยท่อนบนต่อหน้าคนเหล่านั้น
“วันนี้พวกอาจจะเธอสนุก สะใจที่ทำให้เราสองคนเป็นแบบนี้ได้”
“...”
“แต่วันหนึ่งในอนาคต วันที่ทุกคนโตขึ้น วันนั้นพวกเธอจะรู้สึกเกลียดตัวเองที่ทำแบบนี้กับเรา”
*
จนถึงตอนนี้บยอนแบคฮีก็ยังไม่ยอมตอบข้อความเขา อะไรกัน... เด็กผู้หญิงคนนั้นชักจะเกินไปแล้ว คิดจะเอาคืนหรือไงถึงได้ปล่อยให้เขาเป็นฝ่ายรอทั้งวัน ไหนบอกจะตามมาทวงรางวัล ไอ้เขาก็นั่งจ้องมือถืออยู่ตลอด กระทั่งเด็กสอบเสร็จทยอยกลับบ้านไปจนเกือบหมดแล้วก็ยังไม่เห็นว่าเด็กคนนั้นจะติดต่อมา
“ยังไม่กลับเหรออาจารย์ชานยอล?”
“อ๋อ ผมว่าจะอยู่เคลียร์โต๊ะทำงานต่ออีกสักหน่อยน่ะครับ อาจารย์อีจะกลับแล้วล่ะสิ เจอกันเทอมหน้านะครับ” ชานยอลลุกขึ้นยืน เขาโค้งศีรษะให้อาจารย์อาวุโสซึ่งชายวัยสี่สิบปลาย ๆ ก็ยิ้มจนตาหยีและโค้งศีรษะเล็กน้อยเพื่อบอกลาเขาเช่นกัน
“รีบหาแฟนสิอาจารย์ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาทิ้งไปกับโต๊ะทำงานที่โรงเรียน”
“นั่นสิครับ ผมว่ามันเป็นวิธีที่เข้าท่าเลยทีเดียว” ทั้งคู่ยิ้มขำ
“ผมไปล่ะ”
หลังจากอาจารย์ท่านสุดท้ายกลับไปแล้ว ชานยอลจึงหันกลับมาให้ความสนใจสมาร์ทโฟนอีกครั้ง หน้าจอยังคงเงียบราวกับมันอยากให้ชายหนุ่มลองคิดดูว่าตอนนี้บยอนแบคฮีทำอะไรอยู่
เรากำลังหยั่งเชิงกันอีกแล้วหรือเปล่า ถ้าเด็กคนนั้นจงใจแกล้งให้เขากระวนกระวายล่ะก็... บยอนแบคฮีทำสำเร็จแล้ว ชานยอลไม่ได้โทรหาหรือปีนรั้วเข้าไปบุกห้องเด็กสาวตลอดเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่เด็กทุกคนต้องตั้งใจอ่านหนังสือสอบ เขาให้เวลาเธอและอยู่กับความคิดถึงเงียบ ๆ มาจนถึงวันนี้ แต่บยอนแบคฮีกลับปล่อยให้ปาร์คชานยอลรอเก้อ
โอเค ถ้าเด็กคนนั้นอยากให้เขาเสียฟอร์มนักล่ะก็...
ในหัวคิดหาคำแก้ตัวที่เต็มไปด้วยความจริงถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ถ้าหากว่าโดนไล่ต้อนให้จนมุม อันที่จริงเขาและแบคฮีมีความเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือการชอบแกล้งให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้ และเพราะเราเหมือนกัน ทันกัน เขาถึงได้ชอบเธอมากขึ้นเรื่อย ๆ
ชานยอลคว้าเสื้อวอร์มกับสมาร์ทโฟนแล้วเดินออกมาจากห้องพักครู พร้อมกดโทรหาเด็กสาวตัวแสบที่ปล่อยให้ความคิดถึงเล่นงานเขาระหว่างเดินไปตามระเบียง ชายหนุ่มรอสายอยู่นานพอสมควร ในหัวกำลังคิดว่าถ้าบยอนแบคฮีไม่แกล้งเขาก็คงไม่ว่างรับสายจริง ๆ
แต่พอจะถอดใจกดวางเธอก็กดรับ ขายาวหยุดยืนอยู่กับที่เมื่อได้ยินเสียงของเด็กคนนั้นที่แปลกไปกว่าทุกครั้ง
( อาจารย์ยังอยู่โรงเรียนหรือเปล่า หนูถูกขังอยู่ในห้องน้ำชั้นสาม... มาหาหนูหน่อยได้ไหมคะ? )
*
ชายหนุ่มที่เคยผ่านชีวิตวัยมัธยมมาแล้วจึงค่อย ๆ เรียบเรียงเรื่องราว จากเหตุการณ์ทะเลาะกันในห้องน้ำเรื่องขโมยของที่ทำให้รู้ว่าแบคฮีไม่ค่อยกินเส้นกับเพื่อนร่วมห้อง อีกทั้งมินซอกมักจะมาเล่าเรื่องรอบตัวให้ฟังอยู่บ่อย ๆ เขาจึงพอจะเข้าใจมันได้โดยไม่ต้องตั้งคำถาม ชานยอลจึงโทรตามช่างกุญแจเพื่อให้มาเปิดประตูบานนั้นแทนที่จะเอาขวานทำลายทรัพย์สินของโรงเรียน
“แบคฮี”
ทันทีที่เปิดประตูได้ ชายหนุ่มก็พบกับร่างเปียกปอนของเด็กสาวสองคนที่เหลือเพียงยกทรงกับกระโปรง ทั้งคู่นั่งกอดกันอยู่ด้านในสุดของห้องน้ำ มินซอกสะอื้นอยู่ในอ้อมกอดเด็กสาวตัวเล็ก หากแต่ใบหน้าของแบคฮีนั้นเรียบเฉยกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่
ชานยอลรีบถอดเสื้อวอร์มออกตามด้วยเสื้อยืดสีดำตัวใน ร่างกำยำยื่นมันให้กับเด็กสาวทั้งสองพร้อมยืนหันหลังเพื่อไม่ให้มินซอกต้องอายมากไปกว่านี้ แบคฮีช่วยเพื่อนใส่เสื้อและรูดซิปให้ เขาได้ยินเสียงปลอบใจเบา ๆ ว่า ‘ไม่เป็นไร อาจารย์มาช่วยเราแล้ว’ เคล้าเสียงร้องไห้ของเด็กสาวอีกคน
“เป็นยังไงบ้าง’จารย์?”
“อยู่ตรงนั้นก่อนคุณชอง เดี๋ยวผมตามออกไป” ชานยอลห้ามภารโรงกำลังจะเข้ามาในห้องน้ำหลังจากได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงร้องไห้
ชายหนุ่มลดสายตาลงมองเสื้อนักเรียนสีขาวบนพื้น มันถูกตัดขาดจนใส่ไม่ได้อีกแล้ว และชานยอลรู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมสำหรับการตั้งคำถามให้สาวทั้งเด็กสองคน
“เสร็จแล้วค่ะ” แบคฮีประคองเพื่อนให้ลุกขึ้นยืนหลังจากสวมเสื้อยืดเรียบร้อย มินซอกยังคงกอดเสื้อของแบคฮีไว้แนบอก กอดโล่กำบังเล็ก ๆ ที่ทำให้รู้สึกได้เป็นครั้งแรกว่าเธอไม่ได้อยู่คนเดียวอีกต่อไป
“เป็นอะไรหรือเปล่า?” ชานยอลหันไปสบตากับคนตัวเล็ก ซึ่งเธอก็ส่ายหน้าปฏิเสธ เพียงเสี้ยววินาทีสั้น ๆ ที่เขารู้สึกได้ว่าภายในแววตาเรียบเฉยคู่นั้นกำลังบอกให้รู้อะไรบางอย่าง... บางอย่างที่เธอเลือกแสดงมันออกมาแทนที่จะให้ปาร์คชานยอลเดาใจเอง
เขาก้มลงมองมือเย็นเฉียบที่จับนิ้วก้อยของเขาไว้หลวม ๆ ต่อหน้าเพื่อนที่ยังคงสะอื้นไม่หยุด ชานยอลยิ้มบาง ๆ ขณะสบตากับคนตัวเล็กก่อนจะวางมือลงบนศีรษะเธอ
“กลับบ้านกันเถอะ ผมจะไปส่ง”
*
ชานยอลสวมเสื้อยืดสีขาวที่แขวนอยู่ตรงเบาะหลังและจุดหมายแรกคือบ้านมินซอก เด็กคนนั้นบอกว่าโชคดีที่ยายเข็นรถออกไปขายไก่แล้ว แกถึงไม่ได้อยู่เห็นหลานสาวตกอยู่ในสภาพแบบนี้ เด็กสาวร่างท้วมโค้งขอบคุณอาจารย์ค้างไว้จนคนอายุมากกว่าต้องวางมือลงบนศีรษะเธอเพื่อบอกให้รู้ว่าไม่เป็นไร
ในทีแรกแบคฮีตั้งใจว่าจะอยู่เป็นเพื่อนจนกว่ามินซอกจะรู้สึกดีขึ้น แต่เธอถูกปฏิเสธเพราะเด็กสาวร่างท้วมอ้างว่าจะรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าไปช่วยยายขายไก่ราดซอส มินซอกยืนยันว่าไม่เป็นไร พร้อมยิ้มให้แบคฮีสบายใจว่าที่เข้มแข็งได้ขนาดนี้ก็เพราะมีเพื่อนอย่างเธอ
ไม่มีใครพูดอะไรอีกตลอดการเดินทางไปที่บ้านของแบคฮี ไม่มีการทวงรางวัลตามสัญญา หรือบอกให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความคิดถึงที่สะสมมาตลอดหนึ่งอาทิตย์ สายตาของแบคฮีเหม่อลอยไปยังเบื้องหน้า ปล่อยให้เวลาล่วงเลยผ่านไปกระทั่งรถยนต์ขับเทียบจอดปากทางเข้าบ้านเธอ
“ขอบคุณนะคะ” เสียงของเด็กสาวไม่ได้เบาหวิวหรือสั่นเครืออย่างที่กลัวว่าจะเป็น จนถึงตอนนี้บยอนแบคฮีก็ยังคงเข้มแข็ง แต่เขากลับไม่รู้สึกดีที่เห็นเธอเป็นอย่างนี้ “ขอบคุณที่ช่วยหนูกับมินซอก”
“มานี่มา” ชานยอลยิ้มบาง ๆ พลางยื่นมือไปหาเด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างตัว ทั้งคู่สบตากัน ก่อนแบคฮีจะค่อยขยับตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดอุ่น ๆ ของอาจารย์หนุ่ม
“หนูไม่เล่าได้ไหม?”
“ได้ครับ ถ้ารู้สึกแย่ก็ไม่ต้องพูดถึงมันหรอก”
แบคฮีกำเสื้ออีกคนพลางหลับตาลงรับสัมผัสอุ่น ๆ จากมือที่กำลังลูบศีรษะเธออย่างแผ่วเบา ปล่อยให้ความอ่อนโยนของอาจารย์ช่วยทุเลาความรู้สึกแย่ ๆ ในวันนี้ให้มันไปจากใจเธอเสียที
“ผมไม่อยากให้คุณลังเลที่จะโทรหาผม เพราะฉะนั้นรู้แล้วใช่ไหมครับว่าถ้าเกิดเรื่องแบบนี้อีกต้องทำยังไง?”
“หนูจะโทรหาอาจารย์ทันที”
“ดีครับคนเก่ง” ชานยอลจูบศีรษะคนตัวเล็ก ยิ่งเธอกระชับกอดแน่นยิ่งขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกว่าเด็กผู้หญิงที่พยายามเข้มแข็งคนนี้น่าปกป้องขึ้นมากเท่านั้น “กินยาด้วยนะ”
“อือ”
“เข้าบ้านได้แล้วครับ อาบน้ำเสร็จแล้วมาเปิดกล้องคุยกัน ตกลงไหม?” แบคฮีผละออกจากอ้อมกอด ช้อนตามองความใจดีที่เยียวยาความรู้สึกแย่ ๆ ที่มีอยู่ไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ เด็กสาวพยักหน้าช้า ๆ พร้อมจับมือแกร่งที่โอบแก้มเธอเอาไว้ หลับตาลงซึมซับทุกอย่างที่เป็นผู้ชายคนนี้ และทันทีที่ลืมตาขึ้นก็พบว่ามีตลับไม้กล่องเล็ก ๆ อยู่ในมืออาจารย์
“คะ?”
“รางวัลของเด็กดีที่ผมตั้งใจจะให้ในวันนั้น”
“...”
“ใช้มันให้คุ้มค่านะครับ” ชานยอลปัดผมหน้าม้าของคนตัวเล็กที่กำลังให้ความสนใจตลับกล่องไม้ ก่อนจะขยับเข้าไปจูบหน้าผากเธอเบา ๆ
เด็กสาวเงยหน้าขึ้นสบตากับคนขี้แกล้งที่วันนี้อ่อนโยนกับเธอมากกว่าทุกครั้ง อาจเป็นเพราะวันนี้แบคฮีเจอเรื่องแย่ ๆ มา อาจารย์ถึงได้อยากใจดีเพราะอยากปลอบเด็กโง่คนหนึ่งให้รู้สึกดีขึ้น
“หนูดีใจที่อาจารย์อยู่ตรงนี้”
“...”
เราจูบกันมานับครั้งไม่ถ้วน แต่จูบครั้งนี้ชานยอลรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามันเป็นจูบของคำขอบคุณ ชายหนุ่มมองดวงหน้าหวานที่ยิ้มบาง ๆ เป็นครั้งสุดท้ายก่อนเธอจะลงจากรถและเดินขึ้นไปบนฟุตปาธ
แบคฮีหยุดฝีเท้าเพื่อแกะตลับกล่องไม้ออก ข้างในมีกระดาษสี่เหลี่ยมอัดอยู่หลายแผ่นซึ่งมีข้อความเขียนใต้ฝาตลับไม้ว่า ‘คูปองเอาแต่ใจ ที่บยอนแบคฮีจะสามารถใช้มันได้กับปาร์คชานยอลคนเดียว’
เด็กสาวยิ้มบาง ๆ เธอหันไปสบตากับชายหนุ่มที่ยังไม่ขับออกไปจากตรงนั้น อาจารย์ชานยอลยังคงไม่ไปไหนแม้ว่าเธอจะหันหลังให้มาหลายก้าวแล้ว
“ขอบ – คุณ – ค่ะ” คนตัวเล็กขยับปากพูดทีละคำ ก่อนจะหลุดขำออกมาเมื่อเห็นอาจารย์ตอบกลับอย่างช้า ๆ ว่า ‘รีบ – อาบ – น้ำ – สระ – ผม’ พร้อมชี้ศีรษะเป็นท่าประกอบ
ในตอนที่ร่างกายหนาวเหน็บไปด้วยน้ำ แต่หัวใจของบยอนแบคฮีกลับอบอุ่นพองโตเพราะอาจารย์ปาร์คชานยอล
*
( หลงเด็กหนักแล้วล่ะสิมึง )
เสียงลมหายใจผ่อนออกเป็นจังหวะตอนสองขาวิ่งอยู่บนลู่วิ่ง สายตาของชายหนุ่มไม่ได้มองสมาร์ทโฟนที่วางอยู่บนโต๊ะเลยสักนิด เกือบสิบห้านาทีแล้วที่ปาร์คชานยอลปล่อยให้อู๋อี้ฝานพล่ามเรื่องส่วนตัวจนลามมาถึงเรื่องของเขาในที่สุด
( ระวังจะโดนเด็กหลอก แล้วจะหาว่าหล่อไม่เตือน )
“มึงห่วงตัวเองเถอะ คนที่กลัวโดนหลอกกับคนที่โดนฝรั่งหลอกมาสด ๆ ร้อน ๆ อย่างมึงนี่ใครน่าสงสารกว่ากัน?”
( ของกูมันเกิดขึ้นแล้วไง แก้ไขไม่ได้ แต่มึงนี่สิ )
“...”
( รู้ทั้งรู้ว่าตอนนี้เป็นแค่ตัวเลือกแต่ยังจะถลำลึก )
“กูรู้ลิมิตตัวเองว่าควรหยุดตอนไหน อี้ฝาน กูไม่ใช่เด็กประถมที่จะไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร”
( ใจกูก็อยากปล่อยให้มึงทำตามใจนะเพื่อน แต่กูทนดูไม่ได้ไง ถ้าเด็กผู้หญิงคนนั้นไม่คั่วกับผู้ชายอีกคนอยู่กูจะไม่พูดอะไรเลย )
“มาทีหลังก็งี้” ชายหนุ่มยิ้มขำพร้อมปรับระดับลู่วิ่งให้เร็วยิ่งขึ้น
( ทำเป็นเล่นไป หล่อ ๆ อย่างมึงหาใหม่ได้ดีกว่าเด็กนักเรียนมอปลายอีก บอกไว้เผื่อไม่รู้ )
เสียงออดหน้าบ้านเรียกความสนใจจากชายหนุ่มให้หันหลังไปมอง ชานยอลกดลดระดับความเร็วของลู่วิ่งลงแล้วเอาผ้าขนหนูผืนเล็กขึ้นมาซับเหงื่อก่อนจะคว้ามือถือขึ้นมา
“แค่นี้ก่อนนะ มีคนมาหา”
( ใครอีก มึงนัดเด็กนั่นมาซั่มที่บ้านเหรอ )
“นัดไรล่ะ กูเพิ่งเล่าให้ฟังไปหยก ๆ ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น”
( หยอกแค่นี้ทำของขึ้น แซวไม่ได้โลยยย )
ชานยอลกดตัดสายพลางส่ายศีรษะกับความกวนประสาทของเพื่อนสนิทที่ส่งตรงมาจากเมืองนอก เขาเดินซับเหงื่อไปจนถึงประตู หมุนลูกบิดดึงเข้าหาตัวก็พบว่าเด็กสาวตัวเล็กในชุดลำลองยืนอยู่ตรงหน้า
“หนูซักเสื้อมาคืน”
“เร็วจังเลยนะครับ” ชานยอลยิ้มขำ เขาได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ตอนรับเสื้อมาจากมือเธอ ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้เข้ามาด้านใน
“หิวจัง มีอะไรให้หนูกินไหม?”
“อยากกินอะไรครับ ในตู้เย็นมีไก่กับไข่”
“อะไรก็ได้ หนูอยากกินพร้อมอาจารย์” เด็กสาวทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา ยิ้มบาง ๆ ขณะมองไปยังร่างผอมสูงในชุดเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงวอร์มขายาว “หนูมากวนเวลาออกกำลังกายของอาจารย์เหรอ ต่อได้เลยนะ หนูไม่รีบหรอก”
แบคฮีเอนตัวลงนอนพร้อมคว้าหมอนอิงมากอด “อารมณ์ไหนครับ?”
“อารมณ์อยากเป็นเด็กดี”
“น่าสนใจ” ชานยอลไหวไหล่ก่อนจะก้มลงวิดพื้นซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการออกกำลังกายในทุกวัน
“วันนี้รอหนูนานไหม?”
“เกือบหนีกลับบ้านไปก่อนแล้วครับ”
แบคฮีอมยิ้ม เธอลงไปนั่งบนพื้นข้าง ๆ ชายหนุ่มหุ่นกำยำที่กำลังวิดพื้นด้วยท่าทีขะมักเขม้น “หนูมัวแต่ตกใจ ทำอะไรไม่ถูก ก็เลยไม่ได้โทรหาอาจารย์”
“ตอนนั้นกลัวหรือเปล่า?”
“ถ้าบอกว่าไม่ อาจารย์จะเชื่อหนูไหม?”
“ผมจะเชื่อในสิ่งที่คุณอยากให้เชื่อ” ทั้งที่เป็นคำพูดที่แสนจะธรรมดา แต่คนฟังกลับรู้สึกดีไปทั้งหัวใจ วันนี้อาจารย์ทำให้แบคฮียิ้มได้กี่ครั้งแล้ว เธอแทบนับมันไม่ได้เลย
“หนูไม่ได้กลัวว่าตัวเองจะเป็นอะไร” เด็กสาวนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอนตัวลงนอนราบกับพื้นพร้อมหยุดสายตาอยู่กับเพดาน “แต่หนูกลัวคนพวกนั้นทำร้ายมินซอก”
มีเพียงเสียงลมหายใจหนัก ๆ ของอาจารย์หนุ่มที่ทำลายความเงียบในเวลานี้ ก่อนออกมาข้างนอกแบคฮีโทรหามินซอกเพื่ออยากแน่ใจว่าอีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้นแล้วหรือยัง ซึ่งยัยนั่นก็ทำให้เธอสบายใจขึ้นบ้าง แม้ว่าความรู้สึกของเราจะเพิ่งถูกคนเหล่านั้นเหยียบย่ำมา
“เมื่อก่อนหนูทำได้แค่มองมินซอกถูกแกล้ง พอวันนี้หนูมีความกล้ามากพอที่จะหาเรื่องใส่ตัวเพื่อที่จะยืนอยู่ข้าง ๆ เธอ แต่หนูกลับทำอะไรไม่ได้เลย”
“ถ้ามีใครสักคนยื่นมือมาช่วยผมไว้ในช่วงเวลายากลำบาก ให้รู้ไว้เลยนะครับว่าผมจะจำเขาไว้ไปจนวันตาย” ชานยอลหยุดวิดพื้น เขาหันไปสบตากับเด็กสาวที่ยังคงนอนอยู่กับพื้น “มินซอกคงรู้สึกกับคุณแบบนั้นเหมือนกัน”
“อาจารย์สนิทกับเธอมากแค่ไหนเหรอ?” ดวงตาคู่สวยในตอนนี้เต็มไปด้วยความสงสัย ใคร่รู้ ไม่มีท่าทีหยาบกระด้างแก่แดดอย่างที่เคยเป็น
“น้อยกว่าคุณนิดนึงครับ” ชานยอลจีบมือเป็นท่าประกอบ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนข้าง ๆ เธอ “ตอนแรกมินซอกมีปัญหาเรื่องการเงินที่บ้าน พ่อแม่เป็นชาวสวน มีหนี้ต้องใช้แล้วก็ส่งเงินมาให้เธอเรียนหนังสือด้วย ไก่ของคุณยายก็ขายไม่ค่อยดี ผมก็เลยขอให้มินซอกเอามาให้ลองชิมสักกล่อง แล้วก็พบว่ามันอร่อยครับ”
“หนูก็ว่าอร่อย”
ผมแนะนำเพื่อนที่เป็นเน็ตไอดอลให้ไปอุดหนุนคุณยาย อันที่จริงผมไม่ได้บังคับ แต่แค่บอกเขาว่าถ้ากินแล้วชอบก็อยากให้ช่วยผู้หญิงแก่ ๆ คนหนึ่งสักหน่อย หมอนั่นก็เลยถ่ายรูปลงโซเชียล โปรโมทให้คุณยายเต็มที่เลยล่ะครับ” ชานยอลหัวเราะ
“หลังจากนั้นร้านคุณยายของมินซอกก็เลยมีลูกค้าเยอะขึ้นใช่ไหม?”
ชายหนุ่มพยักหน้า “เธอก็เลยเอาไก่ทอดราดซอสชุดใหญ่มาตอบแทนจนผมต้องแบ่งอาจารย์ท่านอื่นด้วยเพราะกินไม่หมด”
“ยัยนั่นเป็นแบบนี้ตลอดเลย ขี้เกรงใจด้วย”
“เธอน่ารักใช่ไหม?”
“...”
“ยอมรับเถอะครับว่าคุณสองคนมีเคมีที่เข้ากันได้ดี” ชานยอลอมยิ้ม มองดวงหน้าหวานที่ไม่อ้าปากยอมรับว่าเธอรักคิมมินซอกมากขึ้นเรื่อย ๆ
“อาจารย์คิดแบบนั้นเหรอ”
“มินซอกเคยเล่าเรื่องคุณให้ผมฟังอยู่หลายครั้ง ผมจำได้ว่าเธอมีสีไหนแบบไหน ตั้งแต่ไม่เข้าใจ จนพักหลังมันเต็มไปด้วยรอยยิ้ม คุณอยากรู้ไหมครับว่าเธอพูดอะไรบ้าง?” ชานยอลหันไปสบตากับคนตัวเล็กที่ตอนนี้แววตาของเธอเต็มไปด้วยความอยากรู้หลังจากได้ยินเขาเกริ่นไปอย่างนั้น
“เล่ามาสิ ทำไมต้องให้หนูลุ้นด้วย”
“เอาไงดีนะ...” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ลุกขึ้นคร่อมอีกคนไว้แล้ววิดพื้นลงไปจนริมฝีปากเกือบแตะกัน ตอนแบคฮีงอหน้าอย่างเอาแต่ใจน่ะน่าแกล้งน้อยเสียที่ไหน
“หนูเอานี่มาด้วย” คนตัวเล็กชูคูปองเอาแต่ใจขึ้นมาระดับริมฝีปากตัวเองขณะมองคาดโทษคนอายุมากกว่า “ตามใจหนูเดี๋ยวนี้”
“เริ่มใช้เลยเหรอครับ หนูแบคฮีขี้เห่อจังเลยนะ”
“ก็ใครบอกให้ขัดใจหนูล่ะ เล่าค้าง ๆ คา ๆ ให้ลุ้นอยู่ได้ คนนิสัยไม่ดี”
“ก็หนูทำหน้าแบบนี้ พี่ชานยอลก็อดไม่ได้ที่จะแกล้งน่ะสิครับ”
“ไม่ต้องมาปากหวานเลย ตามใจหนูเดี๋ยวนี้” แบคฮีเอากระดาษแตะริมฝีปากคนตัวโตที่ยังคงวิดพื้นคร่อมร่างเธอ สายตาเจ้าเล่ห์ของอาจารย์ในตอนนี้ช่างต่างกับตอนในห้องน้ำหญิงอย่างสิ้นเชิง
CUT
( WELCOME TO MALINWORLD )
จิง ๆ ก็ว่าจะไม่คัทแหละ อยากเปงคนดีไง มีคนกล่าวถึงชั้นลอย ๆ ว่าใจคอเทอจะคัทตลอดเลยเหรอ จิตใจทัมด้วยอะไร ชั้นก็เลยคิดว่าเอ๊ะ ถ้าไม่คัทสักตอนก็น่าจะดีนะ แต่พอเลื่อนไปดูแถบคัทของฟิคเรื่องนี้ประมาณแปดแสนล้านตอน ชั้นก็ได้แต่คิดว่า เออ ชั้นมันนังคนเฬว
TBC
ความคิดเห็น