คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #49 : Chapter 46 :: Can't Wait
Chapter 46
Can’t Wait
“ย๊า!!! ทำไมฉันต้องมานั่งทำอะไรโง่ ๆ แบบนี้ด้วย!!”
อึนจีเขวี้ยงม้วนไหมพรมลงบนพื้นอย่างเหลืออด เด็กหนุ่มตัวสูงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เหลือบมองเธอด้วยหางตาก่อนจะหันกลับมามองไหมพรมในมือตัวเองที่กำลังถักอยู่เช่นกัน ใช่ครับท่านผู้ชม...คุณอ่านไม่ผิดหรอก...
หวงจื่อเทากำลังนั่งถักนิตติ้งอยู่ครับ
“ก็เธอมันคือยัยโง่ ก็ต้องเหมาะกับเรื่องโง่ ๆ อยู่แล้ว”
“เหรอ? งั้นนายก็นั่งทำต่อไปเลยนะ เพราะนายมันคือหวงจื่อเทาไอ้โง่หมายเลขหนึ่ง”
“นั่นปากหรือทางเข้าดิสนี่ย์แลนด์”
“นี่สีผิวหรือขมิ้นโดนเผา”
“เธอนี่มันปากกรรไกรจริง ๆ ให้ตาย วันหลังฉันจะบอกไอ้จงอินให้พาเธอออกไปหาเสบียงข้างนอกบ้าง”
“เหรออออ”
“แล้วเธอก็ไม่ต้องพกอาวุธติดตัวไปเลยสักอย่างเลยนะ”
“ทำไมอ่า” เทาหายใจเข้าลึก ๆ ขณะมองคนที่กำลังปั้นหน้าปั้นตากวนประสาทอยู่ ไอ้สีหน้าแบบนี้ก็พอจะหันหนีไม่มองได้อยู่หรอก แต่น้ำเสียงกวนส้นตีนที่กำลังกรอกเข้าหูเขายิ๊ก ๆ นี่สิ
“ก็เธอคงใช้ปากจัดการกับพวกกัดคนแทนอาวุธไง คมขนาดนี้ถ้าสู้กับมันคงชนะขาดลอย” เทาแค่นหัวเราะ
“ย่าห์...หวงจื่อเทา” เด็กสาวหรี่ตาลงแล้วเท้าศอกลงกับพนักโซฟาพลางเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม “นอกจากฉันจะใช้ฟันหน้าเฉาะพวกกัดคนได้แล้วฉันยังใช้ขาหน้านวดคอนายได้ด้วยนะรู้ไหม...” น้ำเสียงทุ้มแหบที่ทำให้รู้สึกได้ถึงออร่าสีดำที่โรยตัวอยู่โดยรอบ เทากลืนน้ำลายเหนียวลงคอแล้วหลุบสายตาลงมองต้นขาแกร่งของเด็กสาวที่กำลังกระดิกอยู่
ทำไมหวงจื่อเทาจะไม่รู้ว่าตอนที่อยู่โรงเรียนยัยหมีนี่โหดสัดแค่ไหน...
“แล้วไง? คิดว่าเป็นเพศหญิงแล้วจะพูดข่มขู่เพศชายยังไงก็ได้งั้นเหรอ ห๊ะ จองอึนจี?” เทาขมวดคิ้วมุ่น ถึงจะแอบหวั่นใจอยู่บ้างแต่เขาจะยอมหงอไม่ได้เด็ดขาด อึนจีแค่นหัวเราะกับประโยคผิด ๆ ถูก ๆ ของไอ้เจ๊กชิงเต่าแล้วก็ผลักหัวไปทีนึง
“ฉันจะพูดยังไงก็ได้ เพราะฉันเป็นคนซักกางเกงในให้นายใส่”
“อะไรนะ! ไม่ใช่มินซอกหรอกเหรอ?!”
“คราวที่แล้วน่ะมินซอกแต่ครั้งล่าสุดนี่ฉันเอง” เด็กสาวหรี่ตาลง ริมฝีปากสีเชอรี่ค่อย ๆ ยิ้มออกอย่างมีเลศนัย “ทำไม...นายอายฉันเหรอ...”
“อายบ้าอะไรล่ะ! เป็นผู้หญิงประสาอะไรมาซักกางเกงในให้ผู้ชาย เธอยังมีความเป็นคนอยู่ไหมจองอึนจี ยัยผีบ้า! ผู้หญิงที่ซักกางเกงในให้ฉันได้มีคนเดียวคืออาม่าเท่านั้น!” เทาเถียงหูดับตับไหม้เรียกเสียงหัวเราะจากเด็กสาวตัวเล็กได้เป็นอย่างดี
“นี่เจ๊กชิงเต่า”
“เรียกบ้านเกิดฉันดี ๆ นะยัยหมีถึก” เทาพูดลอดไรฟันแต่คนถูกมองคาดโทษกลับยิ้มร่า
“เจ๊กชิงเต่า”
“เหม็นปาก”
“เจ๊ก”
“กลิ่นหึ่ง วู้ว ๆ ๆ ๆ ” เทาเอานิ้วอุดหูแล้วกลอกตาไม่สนใจ อันที่จริงก็อยากจะใช้กำลังหรอกนะครับถ้าไม่ติดว่ากลางหน้าผากยัยหมีนี่มีคำว่าเพศหญิงติดอยู่
“นายไม่คิดว่ามันน่าเบื่อบ้างเหรอ ผู้ชายที่ไหนเขามานั่งถักนิตติ้งกัน มีแต่ตุ๊ดเท่านั้นแหละ” คำพูดของจองอึนจีทำให้ร่างสูงหยุดกึก ในหัวกำลังประมวลผลว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่มันถูกต้องแล้วหรือ
แต่ที่ต้องมานั่งง่อยเกี่ยวไหมพรมให้เป็นผืนแบบนี้ก็เพราะครูกาฮีสั่งเอาไว้ข้อหาไม่รู้จักช่วยงานช่วยการคนอื่น ๆ จะไม่ช่วยได้ไงวะก่อนหน้านี้ที่ออกไปหาเสบียงหวงจื่อเทาก็เป็นหนึ่งในนั้นป่ะ พอหิมะตกเลยต้องกบดานอยู่ในบ้านเพราะออกไปข้างนอกไม่ได้ เขาควรได้รับการพักผ่อนหลังจากออกไปเสี่ยงตีนไม่รู้กี่รอบมันก็ถูกต้องแล้วไม่ใช่เหรอ
ถ้าเป็นยัยอ้วนนี่ก็ว่าไปอย่าง งานการไม่เคยทำตั้งแต่ออกจากโรงเรียนมายังหาคำว่าประโยชน์ไม่เจอทั้งที่เมื่อก่อนเป็นแกนนำแก๊งค์ซักผ้าแท้ ๆ เอาแต่อ้างว่า ‘ตื่นมาก็เห็นครูกับมินซอกทำเสร็จละ แล้วจะให้ฉันทำอะไรอีก?’
แอ๊ดดด...
ทั้งคู่หันไปมองประตูบ้านที่เปิดออกโดยใครอีกคน เด็กสาวตาเป็นประกายพร้อมกับริมฝีปากที่ฉีกยิ้มกว้างจนเด็กหนุ่มนึกหมั่นไส้อยู่ในใจไม่น้อย
“อี้ชิงโอป้า!”
“สวัสดี” ยิ้มแก้มบุ๋มของหนุ่มชาวจีนส่งมายังเด็กทั้งสองคนแต่ดูเหมือนว่าจะมีแค่จองอึนจีเท่านั้นที่มีความสุขมากที่สุด
“พูดเกาหลีเก่งขึ้นนะคะ” เสียงที่ดัดให้เล็กลงอาจจะเพิ่มความน่ารักให้กับยัยนี่ได้ในสายตาคนอื่นแต่มันไม่ใช่สำหรับหวงจื่อเทา อึนจีกอดแขนอี้ชิงเข้ามาทางด้านในแล้วกดไหล่ให้นั่งลงบนโซฟา ร่างผอมหันไปมองข้างหลังอย่างงง ๆ แล้วก็วางสมุดลง
“คุณกาฮี...อยู่ไหนครับ?” ภาษาเกาหลีที่ไม่แข็งแรงกับใบหน้าซื่อ ๆ ของจางอี้ชิงที่ส่งมาเป็นเชิงขอความช่วยเหลือ เทานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วก็นึกในใจว่าทำไมไอ้นี่มันต้องพยายามพูดเกาหลีกับเขาด้วยทั้งที่เป็นจีนเตี๊ยะ(ห้ามผวน)เหมือนกัน
“ข้างใน” พ่อกูคนจีน แม่กูคนจีน กูจะตอบเป็นภาษาจีน อย่ากระแดะ
“ขอบคุณ” อี้ชิงยิ้มบาง ๆ แล้วลุกขึ้นยืนแต่ก็ถูกอึนจีกดหัวไหล่ให้นั่งลงที่เดิม เด็กสาวนั่งลงบนที่วางแขนโซฟาแล้วจ้องโอป้าซารางเฮด้วยแววตาหวานหยดย้อยจนหวงจื่อเทาอดไม่ได้ที่จะยกตีนขึ้นมาเกา
“โอป้าจะรีบไปไหนคะ? Don’t hurry go and stay with me.”
“ยัยนั่นพูดจีนได้ ลองดู” เทาบอกอีกคน อี้ชิงพยักหน้ารับแล้วหันหน้าเข้าหาเด็กสาว
“ผมจะไปหาครูกาฮีน่ะ”
“ห๊ะ?” เด็กสาวงงเป็นไก่ตาแตกเมื่ออีกฝ่ายพูดภาษาจีนกับเธอ
“อี้ชิงบอกว่าวันนี้เธอแต่งตัวน่ารักจัง”
“จริงเหรอ?!” อึนจียิ้มกว้างพร้อมกับทาบมือไว้กับแก้มทั้งสองข้าง
“ยัยนี่บอกว่า ‘แย่จังฉันแอบตด’ ” อี้ชิงชะงักไปครู่หนึ่งแล้วค่อย ๆ เหล่มองคนข้าง ๆ ที่กำลังยิ้มเขินตัวบิดอยู่ “พูดอะไรกับเขาหน่อยสิอย่าให้เกิดช่องว่าง เร็วเข้า!” เทาบอกเด็กสาวที่กำลังยิ้มปากแทบฉีกถึงใบหู
“โอป้า...ฉันน่ารักจริง ๆ เหรอคะ?” ยัง...ยังคงเขินอยู่
“อ่า...”
“ยัยนี่บอกว่า ‘ฉันท้องผูกมาหลายวันแล้ว พี่ชายสุดหล่อพอจะแนะนำทางสว่างให้ฉันได้ไหมคะ’ ”
“...” อีกครั้งที่อี้ชิงอึ้งกับคำตอบที่เทาแปลให้ฟัง ร่างผอมกระแอมไอเบา ๆ แล้วค่อย ๆ หันไปหาอึนจี “ลอง...คลึงตรงท้องน้อยดูนะครับ ผมเคยได้ยินว่ามันอาจจะช่วยได้”
“เขาว่าไง?” ดวงตากลมกลอกมองคนเป็นเพื่อนตัวสูงแล้วก็เห็นว่ามันกำลังนั่งกลั้นขำจนตัวสั่นอยู่ อะไรกัน...มีอะไรน่าตลก
“เขาบอกว่า ‘ถ้าในบ้านหลังนี้มีใครน่ารักกว่าเธอล่ะก็ให้บอกมาเลย’ ”
“โอป้าอ่า...ถึงหนูจะดีใจที่ได้ยินแบบนี้แต่ยังมีครูอีกคนนึงนะคะที่สวยไม่แพ้กัน...” อึนจียกมือขึ้นทาบอกพร้อมกับเม้มปากหลับตาลง ใบหน้าปริ่มเปรมเอมอิ่มไปด้วยความสุขจนหนุ่มชาวจีนอย่างอี้ชิงไม่เข้าใจ เทาหันหน้าหลบไปข้างหลังแล้วปิดปากหัวเราะแบบไม่มีเสียง
“พวกคุณทำอะไรกันอยู่?”
“หะ...อะไรนะ” ร่างสูงหันหน้ากลับมาทั้งที่ยังหัวเราะอยู่อย่างนั้น สาบานตรงนี้เลยว่าถ้าจองอึนจีลืมตาขึ้นเขาจะหุบปากให้สนิท “อ้อ...นี่ไง ถักผ้าพันคออ่ะ”
“แปลด้วยสิ ทำไมต้องพูดภาษาจีนกันฉันฟังไม่รู้เรื่อง” อึนจีมองคาดโทษเพื่อนตัวสูง เทาเอนตัวนอนลงบนโซฟาแล้วไขว้แขนไว้ที่ท้ายทอย
“ผมมารบกวนเวลาพวกคุณหรือเปล่า?”
“ไม่หรอก นั่งนี่แหละ” เทาป้องปากหาว
“โอเค งั้นผมจะรอคุณกาฮีตรงนี้” อี้ชิงคว้าสมุดขึ้นมาเปิดอ่านทบทวนบทเรียนที่ปาร์คกาฮีสอนให้ อึนจีย่นจมูกแล้วมองหน้าเพื่อนตัวสูงที่ทำหน้าเป็นเชิงว่า ‘ก็ไม่รู้สินะ’
“เสร็จแล้ว” ทั้งสามหันไปตามเสียงที่มาพร้อมกับร่างครูสาวและอีกคนที่เดินตามหลังมาติด ๆ ในมือของทั้งคู่มีถาดอาหาร กับข้าวที่ทำมาเผื่อสำหรับหลายคนถูกวางไว้บนโต๊ะหน้าโซฟา
“วันนี้เป็นข้าวผัดผักดองกระป๋อง หวังว่าจะเจริญอาหารนะจ้ะ” ครูสาวยิ้มพร้อมกับถอดถุงมือผ้าออก “อ้อมินซอก เดี๋ยวไปเรียกคนบ้านนั้นมาทานมื้อเที่ยงด้วยนะ”
“ครับครู” คนตัวเล็กพยักหน้าแล้วดึงฮู๊ดขึ้นมาใส่ก่อนจะเดินออกจากบ้านไป
“How are you doing? Can you remember anything?” (เป็นยังไงบ้าง พอจะจำได้หรือยังคะ?) อี้ชิงปิดหนังสือลงแล้วเงยหน้ายิ้มให้กับครูสาว
“I kind of remembered the words you taught me. I can kind of understand the stuff you guys were saying a bit.” ศัพท์ที่คุณสอนผมพอจะจำได้บ้างแล้ว ส่วนเมื่อกี้ที่พวกคุณคุยกันผมก็พอจะเข้าใจนิดหน่อย
“You're fast. You'll be able to understand others in no time.” (คุณเป็นคนหัวไว อีกไม่นานคงคุยกับคนอื่น ๆ ได้แล้วล่ะค่ะ) กาฮียิ้มแล้วตักข้าวใส่จานระหว่างรอคนอื่น ๆ
“อี้ชิงโอป้า Teach English for me ด้วยสิ”
“อึนจี...” เด็กสาวงอหน้าเล็กน้อยแล้วค่อย ๆ แซะตัวเองออกมาจากตรงนั้นเพราะถูกดุทางสายตา ไม่นานนักคนอื่น ๆ ก็ตามเข้ามาในบ้าน เซฮุนยืนนิ่ง ๆ ขณะที่จงอินช่วยปัดเศษหิมะออกให้โดยที่ไม่รู้เลยว่ามีใครจับจ้องอยู่ยกตัวอย่างเช่นลู่หานที่อยากจะมีโมเม้นแบบนี้บ้างแต่มินซอกไม่เป็นใจ
“เชิญค่ะ”
“ขอบคุณครับ~” ลู่หานพนมมือแล้วเขย่ารัว ๆ ขณะมองไปยังข้าวผัดในจาน จุดนี้คงไม่มีอะไรดีไปกว่าอาหารตรงหน้าแล้ว ข้างนอกหิมะตกเลยทำให้ออกไปหาเสบียงไม่ได้ ถ้าจะให้เข้าป่าไปล่ากระต่ายกระรอกมาผัดก็ใช่เรื่อง “มา พี่ช่วย” มินซอกมองคนข้าง ๆ ที่จู่ ๆ ก็แย่งแว่นที่เขากำลังเช็ดไปเสียดื้อ ๆ ลู่หานพ่นไอร้อนลงบนเลนส์แล้วหันมายิ้มให้ก่อนจะดึงชายเสื้อขึ้นเช็ด
“ถ้าพรุ่งนี้อากาศปลอดโปร่งผมว่าจะออกไปหาเสบียง” จงอินเงยหน้ามองครูสาวแล้วตักข้าวคำแรกเข้าปาก
“ฉันเข้าใจที่คุณอยากตุนเสบียงเอาไว้ให้ได้มากที่สุดนะคะ แต่คุณจะออกไปกันยังไง?” นึกถึงรถที่จอดอาบหิมะอยู่ข้างนอกแล้วก็เป็นกังวลอยู่ แต่ถ้าจะให้ใช้เท้าเดินไปก็คงไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่
“รถกระบะโฟวิลมันขับฝ่ากองหิมะได้ ตราบใดที่หิมะไม่ขึ้นสูงถึงเข่ายังไงก็ไหว” จงอินอธิบาย
“กูบอกแล้วว่าให้ไปโรงงานรถโกยหิมะ เดี๋ยวกูขับนำเอง”
“เพ้อเจ้อ” มินซอกส่ายหน้าหน่าย ๆ แต่คนถูกว่ากลับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ถ้าคุณว่าอย่างนั้นฉันก็ไม่ว่าอะไรค่ะ” ครูสาวยิ้มบาง ๆ ส่วนคนอื่น ๆ กำลังง่วนอยู่กับมื้อเที่ยง
“ผมว่าเราน่าจะสำรวจบ้านข้างทางระหว่างขากลับนะครับ” เซฮุนเสนอ
“ดีนะ เก็บได้ชิ้นสองชิ้นก็ยังดีกว่าปล่อยทิ้งไปเฉย ๆ ห้างสรรพสินค้าแถวนี้ก็ไม่มี มินิมาร์ตซุปเปอร์มาเก็ตก็แวะกันหมดแล้ว นอกจากว่าจะเข้าไปในเมือง”
“และถ้าจะเข้าไปในเมืองก็ต้องใช้รถ” ลู่หานเสริม
“หน้าหนาวนี่แม่งวิกฤติจริง ๆ ” เทาถอนหายใจ
“ผมไปด้วยได้ใช่ไหม?” แบคฮยอนหันไปถามคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ จงอินเอื้อมมือไปลูบหัวเด็กน้อยด้วยความเอ็นดูพร้อมกับยิ้มให้
“ได้สิ นายเก่งแล้วนี่” แบคฮยอนยิ้มเมื่อได้ยินคำชม จงอินเป็นครูฝึกให้เขามาตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่ใช่แค่แบคฮยอนเท่านั้น แม้กระทั่งอี้ชิง มินซอก อึนจีต่างก็พัฒนาฝีมือขึ้นมากกว่าที่เป็นอยู่
“เพราะว่าเป็นหน้าหนาวเราทุกคนถึงต้องช่วยกัน ข้าวก็เหลือน้อยลงไปทุกทีเราจะกินกันจนอิ่มท้องไม่ได้แล้ว ตั้งแต่พรุ่งนี้เราต้องเริ่มต้นกินให้พออยู่ท้องจนกว่าจะแน่ใจแล้วว่ามีเสบียงมากพอสำหรับฤดูหนาว” เพราะจำนวนคนที่มีอยู่เลยทำให้จงอินต้องคิดคำนวณทุกอย่างให้ดี
“จะเป็นยังไงถ้าเกิดว่าเรากินข้าวกันวันละสองมื้อ?” ได้ยินที่ลู่หานถาม แม้ว่าจะสนใจกับข้าวผัดในจานแต่สมองกำลังไตร่ตรองกับประโยคนี้อยู่
“กูเห็นด้วย”
“ผมด้วย” แต่ละเสียงไล่ตามหลังเมื่อมีคนตัดสินใจได้ก่อน ลู่หานพยักหน้าแล้วก้มลงกินข้าวในจานของตัวเองบ้าง
“เพราะถ้าหิมะตกหนักจนเราออกไปข้างนอกไม่ได้มันจะเหี้ยมากเลยนะ ตอนนั้นจะเอาอะไรกิน เราต้องเซฟให้มากที่สุดโดยเฉพาะน้ำดื่ม” จงอินพูดต่อ
“ฉันเคยได้ยินมาว่าสามารถเอาหิมะมาต้มเป็นน้ำดื่มได้นะคะ”
“อี๋ ได้เหรอคะครู?” อึนจีเบ้หน้า
“จะลองดูไหมล่ะ?” ลู่หานกลอกตามองครูสาวกับเพื่อนซี้
“เอาดิ ลองดู ถ้ารสชาติไม่เหี้ยจนกระดกลงคอลำบากก็พอไหว”
“แต่ต้องเป็นหิมะที่สะอาด”
“ตามนั้น”
“งั้นหนูขอเสนออะไรอย่างได้ไหมคะ” อึนจียัดข้าวไว้กับกระพุ้งแก้มแล้วยกมือขึ้น “หนูขอพอนสแตนด์กับผ้าอนามัยสำหรับทั้งฤดูหนาวด้วยค่ะ โอ๊ย! อะไรเล่า!” เด็กสาวหันไปมองคาดโทษเพื่อนตัวสูงข้าง ๆ ที่ฟาดแขนเธอเข้าเต็มแรง
“ใครให้พูดเวลานี้ เห็นไหมว่าชาวบ้านเขากินข้าวกันอยู่!”
“ก็ฉันกลัวลืมนี่...หนูขอโทษค่ะ” เด็กสาวงอหน้าแล้วโค้งหัวให้กับทุกคนที่นั่งล้อมวงกันอยู่
“ไม่เป็นไร แถวนี้ไม่มีใครใสเท่าแม่งละ” เทาหันควับเมื่อถูกจงอินแขวะ
“ใสไรมึงครับ” เทามองอีกคนอย่างหาเรื่อง
“ไสยศาสตร์”
“สัด”
“นายไม่ใช่ผู้หญิงนี่ ลองมีรอบเดือนเหมือนพวกฉันแล้วจะรู้สึก” อึนจีขยับปากบ่นอุบอิบ
“อะแฮ่ม” ครูสาวกระแอมไอแต่ก็ไม่ทำให้เทากับอึนจีหยุดปากได้
“แล้วไง ฉันไม่ได้อยากเป็นเหมือนเธอสักหน่อย”
“เทา...” เซฮุนส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามแต่เทาก็ยังไม่หยุดเช่นกัน
“ไม่ได้ทรมานเหมือนผู้หญิงก็พูดได้ดิ”
“ถ้าไม่อยากทรมานก็ท้องสิครับหมี เก้าเดือนชิล ๆ ไม่ต้องพึ่งผ้าอนามัยสักแผ่น”
“หวงจื่อเทา”
“เทา...”
“ไอ้ห่าเทา”
“ไอ้เหี้ยเทา”
“ไอ้เจ๊กชิงเต่า!”
มาหมดทั้งสวนสัตว์ แต่ละเสียงประสานกันก่อนที่เด็กตัวสูงจะงอตัวเป็นกิ้งกือโดนน้ำร้อนเมื่อถูกอึนจีพุ่งเข้ามารัวฟาดไม่หยุด ทุกคนต่างส่ายหน้าเอือมระอากับความเป็นเด็กของสองคนนี้แล้วก็หันไปกินข้าวต่อ
ร่างสูงยืนพิงผนังพลางกำมือป้องปากท่ามกลางเสียงเพลงดังกระหึ่มจากรถคันเดิมที่จอดอยู่ข้างล่างประสานกับเสียงร้องของเด็กสาวที่อยู่หลังกำแพงที่เขาพิงอยู่ในตอนนี้ เสียงที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวดครั้งแล้วครั้งเล่ามันทำให้เขาแทบสติแตกที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย
บนชั้นลอยสถานบริการทางเพศกึ่งผับที่สามารถมองเห็นทุกการเคลื่อนไหวของพวกสารเลวได้ทั้งหมด ทุกคนที่อยู่ข้างล่างยังคงเพลิดเพลินกับการดื่มของมึนเมาโดยที่ไม่แคร์ว่าโลกภายนอกเป็นยังไง วันนี้พวกมันส่งคนออกไปข้างนอกเพื่อหาเสบียงกับเหล้ามาเพิ่ม ถ้าไม่มีคิวทำเรื่องบัดสีก็คงเป็นอู๋อี้ฟานที่ต้องออกไปข้างนอกทั้งที่หิมะตกแบบนี้
มันคงจะดีกว่าถ้าได้ออกไปหาเสบียงข้างนอกแทนที่จะต้องมายืนรอเวลา แต่ในเมื่อไอ้สารเลวบอกว่าเขาควรได้รับการปลดปล่อยบ้างแทนที่จะใช้อุ้งมือช่วยตัวเองอู๋อี้ฟานเลยต้องคล้อยตามอย่างจำใจ คำพูดหยาบโลนไม่ได้ทำให้สีหน้าเขาเปลี่ยนไปนัก หากขัดใจมันเมื่อไหร่คงเป็นเรื่องยากที่จะเดินเหินอยู่ในนี้อย่างสงบสุข
คนแล้วคนเล่าที่เดินออกมาพร้อมกับสีหน้าแห่งความสุขสมจนกระทั่งถึงคิวของเขา ร่างสูงหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะหมุนลูกบิดเข้าไปข้างใน แสงสว่างจากตะเกียงบนหัวเตียงคือสิ่งเดียวที่ทำให้มองเห็นเด็กสาวที่นั่งสั่นขดตัวอยู่ตรงมุมห้องพร้อมกับผ้าห่มผืนบางที่ปิดคลุมร่างเอาไว้
ขาทั้งสองข้างหยุดยืนกับที่ เด็กสาวคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองแค่ครู่เดียวก่อนจะซุกหน้าลงกับหัวเข่าด้วยความหวาดกลัว เสียงล็อกกลอนประตูเรียกเสียงสะอื้นให้ดังขึ้นยิ่งกว่าเดิม ร่างสูงค่อย ๆ ก้าวเข้าไปหาอีกฝ่ายก่อนจะนั่งลงยอง ๆ ลงตรงหน้าเธอ
“คุณ”
“ฮือ...อย่า...อย่าทำหนู...หนูกลัวแล้ว...”
“ไม่ต้องกลัว ผมจะไม่ทำอะไรคุณ” น้ำเสียงทุ้มนุ่มค่อย ๆ ชะล้างความหวาดกลัวออกไปจากหัวใจเด็กสาวที่เพิ่งผ่านพ้นเรื่องเลวร้ายมา ใบหน้าเรียวเงยหน้ามองอีกฝ่ายทั้งที่น้ำตาอาบแก้มแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่กล้าเชื่ออย่างสนิทใจเสียทีเดียว
“คุณ”
“ครับ”
“...ไม่ได้โกหกหนูใช่ไหมคะ?”
“มันเป็นเรื่องยากที่จะทำให้คุณเชื่อแต่ผมไม่ได้โกหกคุณหรอกนะครับ”
“...”
“ผมว่าคุณลุกขึ้นมาใส่เสื้อผ้าก่อนดีกว่าไหม?” ร่างสูงระบายยิ้มบาง ๆ พร้อมกับยื่นมือมาข้างหน้า เขาไม่ได้แตะต้องตัวเธอก่อนเหมือนอย่างที่พวกสารเลวนั่นทำ เด็กสาวมองมือแกร่งที่เอื้อมมาก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากันอีกครั้ง
มือเล็กวางลงบนมืออีกคนก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนโดยได้รับความช่วยเหลือจากร่างสูง ก่อนประคองร่างเธออี้ฟานก็กล่าวขอโทษเป็นเชิงขออนุญาตจนอดประหลาดใจไม่ได้ว่าในที่แบบนี้ยังมีคนดีหลงเหลืออยู่อีกหรือ?
เด็กสาวนั่งลงบนเตียงพร้อมกับมองตามชายหนุ่มร่างสูงที่กำลังเดินไปเก็บเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นขึ้นมาให้ อี้ฟานยิ้มก่อนจะเดินถอยออกจากตรงนั้นแล้วหันหลังเพื่อให้เธอใส่เสื้อผ้า
“เสร็จแล้วบอกนะครับ”
“ค่ะ...” แม้ว่าน้ำตาจะยังไหลออกมาไม่หยุดแต่มันก็ยังดีกว่าตอนที่ถูกข่มเหงเป็นไหน ๆ เด็กสาวใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วปาดน้ำตาลวก ๆ “เสร็จแล้วค่ะ...” อี้ฟานเอี้ยวตัวกลับแล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ หยัดตัวนั่งลงข้าง ๆ แต่ทิ้งระยะห่างไว้ให้อีกคนสบายใจแล้วล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ทตัวนอกก่อนจะยื่นโกโก้กระป๋องให้
“อากาศหนาวแบบนี้มันน่าจะช่วยคุณได้บ้าง”
“...”
“ผมเอาไปแช่น้ำร้อนมาตอนนี้ยังอุ่น ๆ อยู่...คุณจะดื่มเลยไหมครับ?” น้ำเสียงอ่อนโยนทำให้เด็กสาวอยากร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ริมฝีปากบางสั่นเครือพร้อมกับน้ำตาที่หยดลงบนหลังมือทำให้ร่างสูงยกมือขึ้นวางลงบนไหล่บางแล้วคลึงเบา ๆ “ไม่เป็นไรนะ”
“...”
“คุณอายุเท่าไหร่ครับ?” อดไม่ได้ที่จะถาม ดูจากภายนอกเธอน่าจะไม่เกินสิบแปด
“ส...สิบห้าค่ะ...”
“...”
เกินกว่าที่คาดเดาเอาไว้ คิดว่าเด็กคนนี้น่าจะอายุสักสิบเจ็ดสิบแปดเสียอีกแต่พอได้ยินแบบนี้แล้วมือแกร่งก็กำเข้าหากันแน่นเพราะอารมณ์โทสะ พวกมันทำแบบนี้กับเด็กได้ยังไง...
“พี่...ทำไมใจดีกับหนูล่ะคะ?” สรรพนามเปลี่ยนไปเมื่อรู้สึกวางใจแล้วว่าคน ๆ นี้ไม่ใช่คนเลวร้ายเหมือนกับพวกนั้น เด็กสาวปาดน้ำตาลวก ๆ ระหว่างรอคำตอบ
“ผมคงอธิบายทุกอย่างให้คุณฟังตอนนี้ไม่ได้”
“...ไม่เป็นไรค่ะ” เด็กสาวลดสีหน้าลง “ตอนนี้แม่อยู่ไหนเหรอคะ...” เด็กสาวรับกระป๋องโกโก้ร้อนมาไว้ในมือก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อคนตัวสูงถอดเสื้อโค้ทตัวใหญ่ออกมาคลุมไหล่ให้
“แม่ของคุณ...”
“...”
“...”
ไม่ต้องรอคำตอบจากปากก็พอจะเดาออกว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง นึกถึงตอนที่พวกสารเลวต้อนกลุ่มของเธอแล้วฆ่าทุกคนที่คิดต่อสู้แม้กระทั่งพ่อของเธอที่คิดจะปกป้องครอบครัวแต่ก็ถูกยิงตายไปต่อหน้าต่อตา...
“หนูต้องเจอเรื่องแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่...”
“...”
“พี่คะ...หนูทนอยู่ต่อไปไม่ไหวแล้ว...” ได้แต่ถามตัวเองว่าตอนนี้หายใจอยู่เพื่ออะไรในเมื่อเธอไม่หลงเหลืออะไรอีก ชีวิตที่ดิ้นรนหนีเอาตัวรอดมาตั้งแต่เกิดเรื่องจนมาถึงตอนนี้ หลายครั้งที่ความท้อแท้เข้ามาตัดกำลังใจแต่พอหันไปข้าง ๆ ก็เห็นพ่อแม่และคนในกลุ่มที่หนีมาด้วยกันถึงได้มีแรงฮึดสู้...
แล้วตอนนี้...เธออยู่เพื่ออะไร?
“อดทนอีกหน่อยได้ไหมครับ?”
“...”
“ผมจะพาคุณหนีออกไปจากที่นี่ให้ได้”
“...”
“เชื่อใจผมนะ”
เด็กสาวสะอื้นจนตัวโยนพร้อมกับพยักหน้าตอบตกลงพี่ชายใจดีที่นั่งอยู่ข้าง ๆ มือแกร่งที่วางอยู่บนหัวเธอคือกำลังใจเดียวที่เหลืออยู่ในตอนนี้ ถึงจะหวาดกลัวกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นแต่มันก็ยังดีกว่าการนอนอยู่ในห้องนี้เพื่อรอให้พวกมันเข้ามาทำเรื่องเลว ๆ เมื่อไหร่ก็ได้
“หนูจะรอค่ะ...”
“มีอะไร? นี่คุณ?” คยองซูพยายามจะแกะมือแกร่งที่กำลังลากเขาให้ไปด้วยกัน ประตูห้องเชลยถูกเปิดออกก่อนจะปิดลงเมื่อทั้งคู่เข้ามาทางด้านในแล้ว อี้ฟานปล่อยมือแล้วนั่งลงยอง ๆ พร้อมกับตบแก้มเด็กหนุ่มที่หลับไม่ได้สติหลังจากโดนพวกระยำฟาดด้วยเข็มขัดไปชุดใหญ่เพราะนึกสนุกจากความมึนเมา
“คุณ”
“...”
“คุณ”
“...”
ยุนฮาปรือตามองอีกคนแล้วค่อย ๆ หยัดตัวลุกขึ้นนั่งโดยมีอี้ฟานคอยช่วยประคอง คยองซูยืนมองทั้งคู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนที่ร่างสูงจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา
“เข้าเรื่องเลยแล้วกัน ฉันต้องหาทางหนีไปจากที่นี่แล้ว”
“บอกผมทำไม”
“ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเด็กผู้หญิงคนนั้นต้องตายแน่”
“แล้ว?”
“โดคยองซู นายต้องช่วยฉัน” พูดจบคนตัวเล็กก็ขำพรืดออกมา คยองซูเดินถอยหลังไปนั่งห้อยขาบนลังขวดโซดาขณะที่ยังจ้องหน้าเขาไม่ห่าง
“เรื่องอะไรที่ผมต้องเอาชีวิตไปเสี่ยง ขอเหตุผลที่น่าฟังสักสองสามข้อหน่อยสิ?” เด็กหนุ่มล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบหมากฝรั่งขึ้นมาเคี้ยว “การหนีออกไปจากที่นี่มันก็ไม่ใช่เรื่องยาก ทำไมคุณไม่คิดหนีตั้งแต่แรกล่ะ”
“...”
“เพราะคิดว่าคงไม่ได้เจอกลุ่มเดิมอีกแล้วสินะ?” อู๋อี้ฟานได้แต่ยืนนิ่งและปล่อยให้คนตรงหน้าอ่านความคิดเขาจนหมดเปลือก ริมฝีปากที่ยกยิ้มขึ้นราวกับไม่ยินดียินร้ายกับเรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองคิดผิด
“นายไม่อยากหนีไปจากที่นี่หรือไง?”
“หนีไปแล้วผมจะเอาอะไรกิน”
“...”
“อยู่ที่นี่อย่างมากก็แค่เป็นขี้ข้าแต่ก็มีข้าวให้กินทุกวัน มีที่นอน มีผ้าห่มอุ่น ๆ สำหรับหน้าหนาวและที่สำคัญ...” เด็กหนุ่มเขวี้ยงซองกระดาษห่อหมากฝรั่งทิ้งไป “ผมไม่ต้องออกไปเสี่ยงตายข้างนอก”
“...”
“ใช้สมองหน่อยสิอู๋อี้ฟาน...ผมเคยเล่าให้คุณฟังไปแล้ว” นิ้วชี้เรียวเคาะข้างขมับเบา ๆ “ว่าคนที่คิดหนีแต่ดันไปไม่รอดมันเป็นยังไง”
“...”
“อยากไปก็ไปเลยสิ ให้ไอ้เด็กนั่นขี่หลังแล้วก็อุ้มผู้หญิงคนนั้นออกไปในท่าเจ้าหญิง” เด็กน้อยพูดพร้อมกับทำท่าประกอบราวกับจะสื่อว่าความคิดของเขามันงี่เง่าสิ้นดีที่จะพาคนเจ็บทั้งสองหนีออกไปจากที่นี่ด้วยตัวคนเดียว
“เพราะงั้นฉันถึงได้ขอความช่วยเหลือจากนาย”
“ที่ผ่านมาผมก็ช่วยคุณมากพอแล้วนะ ยังต้องการอะไรอีก?” เด็กหนุ่มพูดเสียงเรียบ แววตาน่ากลัวของเด็กคนนั้นยังคงส่งมายังเขาไม่มีเปลี่ยน
“กลุ่มของฉันไม่เลวร้ายแบบนี้ พวกเขาเป็นคนดี”
“หึ”
“ทุกคนดูแลกันเหมือนครอบครัว ที่นั่นมีที่ว่างสำหรับนาย” สีหน้าคยองซูดูไม่ดีใจกับข้อเสนอนัก “ไม่มีการฆ่าคนเพื่อแย่งเสบียงหรือจับผู้หญิงมาขืนใจ”
“เชิดชูบูชากันจริง ๆ นะ”
“...”
“กับคนที่ปล่อยให้คุณนอนรอความตายอยู่ในค่าย...” สายตานั้นว่างเปล่า แววตาที่แสดงออกให้เห็นว่าโดคยองซูไม่เคยมีความเชื่อเรื่องความรัก ความผูกพัน หรือความเสียสละใด ๆ
“ฉันเป็นคนเลือกเอง”
“ผมรู้ ก็บอกแล้วไงว่าวันนั้นผมเห็นทุกอย่าง” คยองซูแค่นหัวเราะ “คุณมันก็ไม่ต่างอะไรจากพวกชอบทำตัวเป็นฮีโร่ที่ตายไปแล้วสักนิด”
“...”
“เสียสละ...เสี่ยงตายเพื่อคนอื่นที่ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง ถ้าคุณไม่ใช่ฮีโร่ก็คงเป็นแค่ไอ้โง่ที่คิดว่าสิ่งที่ทำไปมันดีที่สุดแล้ว คุณช่วยชีวิตคนอื่นไว้ได้ก็พอหลังจากนั้นคุณจะถูกพวกเขาระลึกถึงตอนตั้งวงกินข้าว ทุกคนจะร่วมสวดมนต์ไว้อาลัยให้กับการตายจากของคุณ แต่แล้วยังไง? สักวันพวกเขาก็คงลืม”
“นายแค่ไม่เข้าใจคำว่ามิตรภาพ โดคยองซู”
“มิตรภาพมันทำให้ผมเกือบตายมาแล้วครั้งนึง เรื่องอะไรที่ผมจะต้องเชื่อกับสิ่งที่จับต้องไม่ได้แบบนั้นอีก” แววตาแข็งกร้าวที่มองมานั้นเขาสัมผัสได้
“นายกำลังกลัว”
“...”
“กลัวที่จะไว้ใจใครอีกใช่ไหม?”
“...”
“นายไม่อยากไปด้วยฉันก็ไม่ว่าอะไร” อี้ฟานเดินกลับไปหายุนฮาพร้อมกับถลกชายเสื้อขึ้นเพื่อดูบาดแผลสดบนแผ่นหลังให้ “เพราะฉันจะหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้”
“...”
“ฉันจะกลับไปหาพวกเขา...ครอบครัวของฉัน”
“ได้มาเยอะไหม?”
“มีไอ้เนี่ย แยมสับปะรด แยมสตอเบอร์รี่ซึ่งไม่มีขนมปังให้ทาแดก” ลู่หานพูดขณะที่พวกเขาทั้งห้าคนออกมารวมกันหน้ามินิมาร์ทที่มีรอยกระสุนเจาะกระจกร้านหลายนัดที่บ่งบอกได้ชัดเจนว่าก่อนหน้านี้คงมีการต่อสู้เกิดขึ้น
การหาเสบียงเป็นเรื่องยากในเวลานี้ นี่ก็ร้านที่สี่แล้วที่พวกเขาแวะเข้าไปค้นหา แบคฮยอนกวาดสายตามองไปรอบ ๆ เผื่อว่าจะพบอะไรดี ๆ เข้าแต่ก็เห็นแค่รถยนต์ที่จอดทิ้งไว้ข้างทางเท่านั้น
“อีกไม่นานหิมะคงตก” จงอินเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
“ลองไปดูแยกนั้นไหมครับ ถ้าไม่มีเราก็กลับ” ทุกคนเห็นด้วยกับความคิดของเซฮุน ชายหนุ่มทั้งห้าเดินฝ่ากองหิมะเข้าไปตามทางอย่างไม่เร่งรีบนัก บูทเท่านั้นที่สามารถกันไม่ให้น้ำเข้าไปในรองเท้าได้ ลู่หานแยกตัวออกไปทางด้านข้างพร้อมกับดึงมีดออกมาเพื่อจัดการตัวกินคนที่กำลังตรงเข้าหาเขาเช่นกัน
“กรรรรรรรรรรรรรรซ์”
“นึกว่าศพหลุดออกมาจากห้องดับจิต” พึมพำเบา ๆ แล้วเดินกลับเข้าไปในกลุ่มหลังจากจัดการมันเรียบร้อย ลู่หานสะบัดคราบเลือดออกแล้วเก็บมีดเข้าไปที่เดิมก่อนจะถอดสายสะพายไรเฟิลเก็บเสียงของมินซอกออกมาถือไว้เผื่อสถานการณ์ฉุกเฉิน
“สมมตินะ ถ้าเกิดเสบียงหมดกลางฤดูหนาวจะทำไงวะ?” เทาถามประโยคปลายเปิด ทุกคนเงียบพลางใช้ความคิดแล้วก็เป็นแบคฮยอนที่ตอบก่อน
“ก็คงต้องดื่มน้ำหิมะประทังชีวิตล่ะมั้ง”
“อี๋ววว์” เทาเบ้หน้า
“เพราะงั้นเราถึงต้องหาเสบียงกลับไปให้ได้มากที่สุดไง” เซฮุนพูด
“ปัญหาระดับโลกว่ะ ตั้งแต่เกิดเรื่องช่วงนั้นก็ปลายฤดูร้อน กลางวันว่าแย่แล้วกลางคืนนี่แย่กว่าเพราะร้อนจนนอนไม่หลับ” แค่นึกถึงตอนช่วงแรกที่ต้องปรับตัวอยู่ในหอพักชายแล้วก็ต้องถอนหายใจเบา ๆ เด็กซื่อบื้ออย่างหวงจื่อเทาก็ผ่านอะไรมามากพอสมควรสินะ
“ฤดูฝนน่าจะดีที่สุด?” เซฮุนหันไปยิ้มให้กับเพื่อนตัวสูงที่เดินเทียบอยู่ข้าง ๆ
“ใช่ ฉันเคยออกมาอาบน้ำฝนกลางสนามหญ้าด้วยนะ”
“ไหงงั้นล่ะ”
“ก็ประหยัดน้ำไง แต่พอเห็นสาว ๆ กรี๊ดเลยฟิน”
“โถ...ตอนแรกกูก็นึกว่าจะประหยัดที่ไหนได้อยากโชว์กล้ามดากนี่เอง” จงอินส่ายหน้าเอือม
“ตอนแรกกูก็ไม่ได้อยากโชว์หรอก แต่พอได้ยินเสียงกรี๊ดกูก็เลยเอาวะ! ถอดเสื้อถูสบู่โชว์” เทาหัวเราะร่า
“ส๊าธุ ฟ้าไม่ผ่าแม่งให้กูสักที”
“หุ่นอย่างมึงมีอะไรให้โชว์วะกูขอถาม” คราวนี้เป็นลู่หานที่แขวะขึ้นมาเพราะนึกหมั่นไส้ ไอ้ห่านี่ก็มีดีแค่สูงเท่านั้นล่ะวะ
“กูมีทุกอย่างที่มึงไม่มีอ่ะ”
“แต่กูมีนี่เหมือนมึงนะ แต่บางทีอาจจะซ่อนรูป” ลู่หานว่าพลางกำเป้ากางเกงโชว์ เทาเห็นแบบนั้นเลยชูนิ้วกลางให้
“เดี๋ยว ๆ ” ทุกคนหยุดฝีเท้าเมื่อจงอินยกมือขึ้นห้าม ได้ยินเสียงเพลงแว่วมาจากที่ไหนสักแห่งแต่ก็ไม่รู้ว่าต้นเสียงมาจากไหน
พอเดินมาถึงตรงนี้พวกเขาถึงได้รู้ว่ามีพวกกินคนกระจายกันอยู่ตามจุดต่าง ๆ ที่มองภาพรวมแล้วก็มากพอสมควร ร่างหนาแตะนิ้วชี้กับริมฝีปากแล้วค่อย ๆ ก้าวไปข้างหน้า ทุกสายตามองไปยังอีกคนที่หยุดยืนอยู่ตรงหัวมุม จงอินชะเง้อหน้าออกไปเพียงเล็กน้อยแล้วก็หันกลับมา ทุกคนได้แต่ขมวดคิ้วมองเมื่อเห็นร่างหนายืนนิ่งราวกับใช้ความคิด
“อะไรวะ?” ลู่หานถามเมื่อทุกคนเดินตามมาสมทบหลังจากที่จงอินกระดิกนิ้วเรียก
“กูว่ากูเจอทีเด็ดว่ะ”
“ห๊ะ?”
“หมอบลงต่ำ ๆ ” จงอินกดหัวเทาลงขณะที่เด็กตัวสูงชะเง้อหน้าออกไปโดยที่มีลู่หานยืนซ้อนอยู่ข้างหลัง
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับจงอิน?”
“ไอ้เหี้ย...ผีหลอกตอนกลางวัน” เทาพูดเบา ๆ ก่อนที่จงอินจะได้ตอบคำถาม ร่างหนาถอนหายใจหนัก ๆ แล้วจับหัวไหล่เซฮุนให้ออกไปดูในสิ่งที่เขาเห็น
“มานี่แบคฮยอน” ลู่หานกวักมือเรียกคนตัวเล็กให้มาหยุดอยู่ข้าง ๆ เด็กน้อยก้มตัวต่ำแล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นใครคนหนึ่งยืนอยู่หน้ากองขยะแล้วก้มลงทำอะไรบางอย่าง...บางอย่างที่ต้องให้ไรเฟิลที่ลู่หานถือเอาไว้ช่วยพิสูจน์
ร่างโปร่งส่องลำกล้องไปยังเป้าหมายเพื่อดูให้แน่ใจว่าสิ่งที่เห็นอยู่มันไม่ใช่การอุปทานหมู่ ทุกคนมองลู่หานอย่างลุ้น ๆ จนกระทั่งเจ้าตัวลดปืนลงแล้วยื่นให้กับจงอิน
“ดูให้เต็มตาว่ามึงเจอใครเข้า”
“ไอ้เหี้ย...” จงอินสบถออกมาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองเมื่อภาพในลำกล้องคืออู๋อี้ฟานที่กำลังตั้งอกตั้งใจใส่กระสุนเข้าไปในแม็กกาซีนแล้วหันกลับไปมองข้างหลังเป็นระยะ “อี้ฟาน...”
“จริงเหรอ?” แบคฮยอนรับไรเฟิลมาจากจงอิน ถึงจะไม่ถนัดการถือปืนนักแต่เขาก็พยายามตั้งท่าแล้วส่องดูลำกล้อง
“...พระเจ้า”
“ต้นเสียงมาจากตรงนั้น” ลู่หานชี้ไปที่สถานบริการทางเพศที่อยู่ไม่ห่างจากจุดที่เห็นอี้ฟาน ทุกคนเงียบเพราะทำอะไรไม่ถูก ไม่คิดว่าจะบังเอิญเจอที่นี่และที่ไม่อยากเชื่อก็คืออี้ฟานยังมีชีวิตอยู่จริง ๆ
“กูบอกแล้ว ทีนี้พวกมึงเชื่อหรือยัง?”
ไม่มีใครเถียงลู่หานเหมือนอย่างเคย ทุกสายตาจับจ้องร่างสูงที่หยัดตัวลุกขึ้นเดินไปฆ่าพวกตัวกินคนที่อยู่ละแวกนั้นก่อนใครคนหนึ่งเปิดประตูออกมาเพียงแค่ไม่กี่วินาที
“มึงทำอะไรอยู่วะ? อ้าว...เออ ๆ งั้นทำต่อไป” พอเห็นว่าร่างสูงกำลังยุ่งอยู่กับการเคลียร์พวกผีดิบชายหนุ่มที่ตั้งใจออกมาด่าก็ต้องเดินกลับเข้าไปข้างใน เพราะเสียงเพลงที่ดังออกมาข้างนอกทำให้ต้องส่งคนออกมาเคลียร์พวกผีดิบที่แห่กันมาตามเสียง อี้ฟานดึงมีดพกออกหัวตัวกินคนแล้วหยุดยืนนิ่งราวกับใช้ความคิด
“อี้!” จงอินรีบตะปบปากลู่หานเอาไว้เมื่อประตูเปิดออกอีกครั้ง อี้ฟานขมวดคิ้วพลางกวาดสายตาไปรอบ ๆ ด้วยความประหลาดใจกับเสียงปริศนาเมื่อครู่ก่อนจะเดินถอยหลังกลับเมื่อถูกคนพวกนั้นเรียกใช้งาน
“เกือบไปแล้วมึง”
“ทำไมไม่เข้าไปล่อแม่งเลยวะ ออกมาแค่คนเดียวกูส่องไรเฟิลทีเดียวจบละ” ลู่หานหันกลับไปเถียงเพื่อนซี้ที่เสือกห้ามเขาเอาไว้
“มึงช่วยอี้ฟานได้แล้วยุนฮาล่ะ?”
“...”
“ใช่ แล้วเพื่อนกูล่ะ ไอ้สัด จ๊าดง่าว” เทาเสริม ลู่หานหายใจฮึดฮัดแล้วลุกขึ้นยืน ทุกคนเดินหลบมุมออกมาจากตรงนั้นแล้วมองหน้ากันเพื่อขอความคิดเห็น
“ชัดแล้วว่าที่นั่นคือแหล่งกบดานของพวกมัน”
“อี้ฟานอยู่กับพวกมันมาตลอดเลยเหรอ?” แบคฮยอนถาม
“ก็คงเป็นอย่างนั้น แต่จากที่เห็นดูเหมือนว่าอี้ฟานคงกำลังวางแผนทำอะไรสักอย่างอยู่” จงอินหันไปมองเพื่อนซี้ที่วิ่งข้ามถนนไปอีกฝั่งเพื่อค้นถุงขยะที่อี้ฟานเอามาทิ้งเมื่อครู่ ทุกสายตามองร่างโปร่งที่กำลังวิ่งกลับมาอย่างลุ้น ๆ แล้วก็ต้องเบิกตาโพลงเมื่อพบว่าของในถุงดำที่ลู่หานทิ้งลงบนพื้นมีปืนกับกระสุนอยู่ข้างใน
“กูไม่รู้ว่าอี้ฟานมันคิดอะไรอยู่ แต่กูจะเอาปืนกระบอกนี้แหละช่วยมันออกมาเอง”
ติ๊ง...
เสียงน้ำจากก๊อกหยดลงบนซิงค์ล้างหน้าครั้งแล้วครั้งเล่าคือสิ่งเดียวที่ได้ยิน มือแกร่งเอื้อมไปลูบไอน้ำออกจากกระจกบานใสแล้วจ้องมองใบหน้าซูบผอมของตัวเองในกระจกด้วยแววตาว่างเปล่า
ก้มลงมองอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับโกนหนวดบนซิงค์แล้วก็ตัดสินใจหยิบมันขึ้นมา ครีมโกนหนวดถูกป้ายไปทั่วโครงหน้าแล้วค่อย ๆ ใช้ที่โกนหนวดโกนออกอย่างเบามือ แสงสว่างที่ส่องเข้ามาทางช่องระบายอากาศทำให้เขาพอจะมองเห็นอะไรได้บ้างแต่ถึงจะมองไม่เห็นปาร์คชานยอลก็ไม่คิดที่จะทำให้มันสว่างขึ้นมากไปกว่านี้อีกแล้ว
ความขี้เกียจ ความเฉื่อย ความท้อแท้กำลังกลายเป็นเจ้าชีวิตของเขาตั้งแต่หิมะแรกตก การใช้ชีวิตอยู่ตอนนี้ก็เหมือนกับการหายใจไปวัน ๆ เพื่อรอความตาย ถ้าถามถึงเรื่องดีในชีวิตก็คงเป็นโซฟาตัวหนึ่งในห้องพักพนักงานกับห้องน้ำส่วนตัวหลังมินิมาร์ทแห่งนี้และเสบียงจำนวนมากที่เขาขนเข้ามาเก็บไว้ข้างในล่ะมั้ง
ถึงโซฟาจะแคบมากจนทำให้ขาของเขายื่นออกมาแต่พอผ่านไปหลายวันปาร์คชานยอลก็ปรับตัวอยู่กับมันได้ไม่ยาก มือแกร่งเคาะที่โกนหนวดที่เลอะครีมลงบนอ่างเบา ๆ หลังจากจัดการกับหนวดเคราที่ผุดขึ้นมาตามกาลเวลาเสร็จเรียบร้อยแล้ว สองมือแกร่งรองรับน้ำเย็นยะเยือกเอาไว้ก่อนจะกวักขึ้นล้าง รู้สึกหน้าชาไปหมดแต่ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในอารมณ์อยากต้มน้ำเพื่อเอามาล้างหน้า
“...”
สองมือหยุดกึกเมื่อได้ยินเสียงประตูข้างนอกเปิดออก เสียงพูดคุยที่ดังเข้ามาทางด้านในทำให้ร่างสูงรีบเช็ดหน้าตัวเองแล้วค่อย ๆ เดินไปหยิบสนับมือขึ้นมาสวมใส่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนเข้ามาในมินิมาร์ทแห่งนี้ เมื่อวันก่อนก็มีอีกกลุ่มหนึ่งแต่คนพวกนั้นก็ต้องกลับไปพร้อมกับความผิดหวังเพราะที่นี่ไม่หลงเหลืออะไรให้เก็บกลับไป
โชคดีที่ประตูห้องพักพนักงานอยู่ทางด้านในสุดและเป็นมุมอับถึงไม่มีคนสังเกตเห็น และถึงมีจริง ๆ ปาร์คชานยอลก็ไม่แน่ใจว่าเขาพร้อมที่จะเจรจากับผู้บุกรุกด้วยปากหรือเปล่า สนับมือถูกกำไว้แน่นขณะเปิดประตูออกอย่างช้า ๆ ขายาวก้าวออกมาอย่างไม่เร่งรีบแล้วก็หยุดยืนอยู่ตรงนั้นก่อนจะชะเง้อหน้าออกไป เห็นเงาหัวที่โผล่พ้นชั้นวางของอยู่ไหว ๆ จากที่เห็นมันทำให้คาดเดาไม่ถูกว่ามีผู้บุกรุกทั้งหมดกี่คน
“ซอสมะเขือเทศ ๆ ๆ กูชอบเอาไปกินกับข้าว”
“แดกแต่ละอย่างนี่สาระเหลือเกิน วันหลังไม่เอาคลุกแดกกับข้าวให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยล่ะครับ”
“ตอนกูอยู่จีนกูก็แดกแบบนี้อ่ะ ผิดหัวใครไหม”
“ผิดหัวไอ้เหี้ยนี่”
“อ้าวสัด เกี่ยวอะไรกับกู”
บทสนทนาเมื่อครู่ทำให้รู้ว่าผู้มาใหม่อาจมีมากกว่าสามคน ชานยอลหายใจเข้าลึก ๆ แล้วยืนฟังต่อ ลำพังแค่ซอสมะเขือเทศพวกนั้นจะเอาไปกี่สิบขวดก็ไม่ว่าแต่ถ้ารุกล้ำเข้ามาในอนาเขตเมื่อไหร่...
“ปัญหาก็เหมือนกับยกทรงครับ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่มึงต้องมีความพยายามที่จะแก้มันออกให้ได้เพื่อจุดหมายปลายทางที่รออยู่”
“เยดเข้...เกือบจะหล่อ”
“ในหัวลู่หานมีแต่เรื่องแบบนี้สินะครับ”
ลู่หาน...?
“อะไรเด็กกรงหมา ที่แซะเพราะไม่เคยได้ถอดยกทรงใครหรือว่าอยากลองใส่ยกทรงเองครับ โอ๊ย!!”
“โทษ ๆ เมื่อกี้มือลั่น เหี้ยเอ๊ยใครปลดเซฟตี้มือกูเนี่ย”
“ว่านิดว่าหน่อยไม่ได้แม่งปกป้องกันตลอด อย่าให้มินซอกลุกขึ้นมาปกป้องกูมั่งนะมึง วันนั้นมีเจ็บอ่ะกูบอกเลย”
“ใครเจ็บ”
“กูไงสัด ยังจะถาม”
“55555555555555555555555555555”
“แบคฮยอนอย่าเดินเข้าไปลึกมาก”
“ผมรู้แล้ว”
แบคฮยอน?
ร่างสูงมองออกไปข้างนอกแล้วก็เบิกตากว้างเมื่อเห็นแบคฮยอนกำลังก้มลงไปนอนราบกับพื้นแล้วล้วงมือเข้าไปในช่องแคบเพื่อหยิบอะไรสักอย่าง เพียงแค่อึดใจเดียวร่างเล็กก็ลุกขึ้นยืนเมื่อสิ่งที่เก็บติดมือมาได้คือผลไม้กระป๋อง
“...” แต่รอยยิ้มก็อยู่บนใบหน้าคนตัวเล็กได้ไม่นาน แบคฮยอนลดสีหน้าลงขณะมองผลไม้กระป๋องในมือ มันคือสิ่งเดียวที่กินได้ในร้านนี้นอกนั้นก็มีเพียงแค่ของใช้ที่ไม่จำเป็น
“แล้วเรื่องอี้ฟานจะเอาไงวะ”
“กูว่ารีบไปช่วยเร็วได้เท่าไหร่ยิ่งดีก่อนที่พายุหิมะจะมา”
“งานนี้ไม่ใช่เล่น ๆ เพราะงั้นคงต้องเตรียมตัวกันให้ดีหน่อย”
“ต้องมีปืนสำหรับทุกคนนะ กูไม่ยอมถือค้อนโง่ ๆ ไปสู้กับพวกมันแน่”
“ถ้าคิดจะบวกเราก็ต้องวางแผนกันให้รอบคอบ”
“พูดถึงอาวุธผมก็นึกถึงระเบิดขวดที่ชานยอลเคยทำ ผมจำไม่ได้ว่าสูตรมันมีอะไรบ้างทั้งที่เขาเคยสอนไว้แท้ ๆ ”
“จำได้ก็เทพละ เรื่องกรดห่าเหวอะไรนั่นทำให้กูลืมหมดว่าต้องใส่อะไรเข้าไปในขวดบ้าง แต่ที่แน่ ๆ มีจาระบี”
“ช่วยได้เยอะ งั้นมึงปาจาระบีใส่พวกแม่งนะ ปิ๊ว ๆ ”
“ปิ๊วที่หน้า”
“555555555555555555555555”
“ถ้าตอนนี้ชานยอลอยู่ด้วยก็คงดีนะครับ”
“...”
ราวกับมีเข็มนับพันเล่มทิ่มเข้ากลางอกหลังจากได้ยินเสียงของเซฮุน ร่างสูงเม้มริมฝีปากแล้วยืนฟังต่อ จากบทสนทนาเมื่อครู่นี้ทำให้ได้รู้ว่าพวกจงอินเจอตัวอี้ฟานแล้วสินะ แล้วที่เขาเห็นในวันนั้นมันก็กลายเป็นเรื่องแหกตาอย่างปฏิเสธไม่ได้อย่างที่ลู่หานเคยตราหน้าเอาไว้ อีกครั้งที่ความคิดในหัวมันตีกันและปล่อยให้ความคิดอยากตัดช่องน้อยแต่พอตัวเอาชนะจนได้
ถึงจะอยากช่วยแล้วยังไงในเมื่อเขาเดินออกมาไกลขนาดนี้ จะให้กลับไปก็คงเป็นเรื่องยาก ทุกอย่างมันไม่เหมือนเดิม มันอาจง่ายในสายตาคนอื่นแต่คนที่ต้องทนอยู่กับความรู้สึกกดดันอย่างเขาถ้าเจอไม่เจอกับตัวเองคงไม่รู้สึก
เพราะฉะนั้นเขาขออยู่ตามลำพังอย่างคนเห็นแก่ตัวแบบนี้ดีกว่า
ความเงียบเข้าครอบคลุมจนคนที่ยืนฟังอยู่ต้องชะเง้อหน้าออกไป ระดับความสูงทำให้เห็นหน้าแต่ละคนได้ชัดขึ้น ไม่มีประโยคกวนประสาทตามมาเหมือนก่อนหน้านี้หลังจากพูดถึงคนที่หนีไป ลู่หานเสยผมแล้วแยกตัวออกไปค้นหาของใช้ตรงมุมอื่นเพื่อเลี่ยงบทสนทนานี้ ส่วนแบคฮยอนคงไม่ต้องพูดถึง...เขาไม่ได้ยินเสียงคนตัวเล็กอีกเลยตั้งแต่เริ่มเอ่ยถึงชื่อเขา
“ชานยอลมันเป็นคนรอบคอบ จะทำอะไรแต่ละอย่างต้องมีขั้นตอน”
“งี้แหละคนมีการศึกษา ไม่เหมือนมึง”
“ไอ้เชี่ยนี่ก็กัดจั๊ง พ่อมึงเป็นหมาเหรอ”
“โทษ ๆ ”
“ตอนนี้เขาจะอยู่ยังไง ตัวคนเดียวแบบนั้น”
“เรื่องคนอื่นเอาไว้ก่อนเหอะ ตอนนี้มาวางแผนกันก่อนดีกว่าไหมว่าจะช่วยอี้ฟานกับยุนฮาออกมาด้วยวิธีไหน”
“พูดแล้วหิวว่ะ”
“พูดถึงเรื่องอี้ฟานแล้วหิว มึงไหวไหมหวงจื่อเทา”
“ก็กูหิวอ่ะ ข้าวเช้าก็ไม่ได้แดกแต่ต้องออกมาใช้พลังงานทั้งวันแบบนี้ นี่ก็เลยเที่ยงแล้วด้วย”
“ทุกคนก็หิวเหมือนกันเพราะงั้นนายเงียบเถอะ การพูดบ่อย ๆ มันจะทำให้นายหิวมากขึ้น”
“ก็หิวอ่ะ”
“สัดรำคาญ”
“หิว ๆ ๆ ๆ ๆ ”
“ไอ้ห่า จับแม่งโยนให้พวกกินคนแดกดิ๊”
“เฮ้ย!! อย่าทำกู!! กูขอโทษ!!” เสียงเหน่อ ๆ ของเพื่อนชาวจีนทำให้แบคฮยอนหลุดยิ้มออกมาได้ ถึงจะไม่ใช่รอยยิ้มแห่งความสุขก็เถอะแต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เขายิ้มในรอบหลายวัน คนตัวเล็กมองสองเพื่อนซี้ที่กำลังกระชากลากดึงเทาออกไปข้างนอกแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าเอือม
“ไม่เหลืออะไรให้เก็บเลย”
“นั่นสิ” แบคฮยอนตอบขณะที่เซฮุนกำลังเดินสำรวจล็อกทางด้านนอก คนตัวเล็กเดินเข้ามาทางด้านในแล้วก็หยุดชะงักเมื่อเห็นกระเป๋าเป้ใบหนึ่งที่วางพิงผนังอยู่
สองขาเดินไปหาเป้ใบนั้นแล้วนั่งลงยอง ๆ แบคฮยอนชะเง้อหน้ามองไปรอบ ๆ พลางขมวดคิ้วเล็กน้อยสงสัยว่ามันมาวางอยู่ตรงนี้ได้ไง สองมือรูดเชือกออกเพื่อดูว่ามีอะไรอยู่ในกระเป๋าบ้าง แบคฮยอนเบิกตากว้างเมื่อเห็นอาหารกระป๋องจำนวนหนึ่งอยู่ในนั้น
“มีอะไรเหรอแบคฮยอน” ร่างบางนั่งยอง ๆ แล้ววางมือลงบนไหล่เพื่อนตัวเล็ก สิ่งที่แบคฮยอนเอาให้ดูทำให้คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันในวินาทีถัดมา “ฉันเห็นกระเป๋าวางอยู่ตรงนี้”
“...”
“มันไม่ใช่กระเป๋าของพวกเราใช่ไหม?” เซฮุนพยักหน้าเพราะเขาจำได้ว่ากระเป๋าของแต่ละคนเป็นยังไง “เมื่อกี้นายได้เดินมาดูทางนี้บ้างหรือยัง”
“ยังนะ แต่เมื่อกี้ก็เห็นลู่หานเดินมาทางนี้แล้วนี่”
“อาจจะเป็นของคนที่เคยมาก่อนเราหรือเปล่า?” แบคฮยอนมองของในกระเป๋าแล้วรูดเชือกกลับก่อนจะลุกขึ้นพร้อมสะพายเป้ไว้กับไหล่ข้างขวา “เขาอาจจะลืมเอาไปด้วย ก็ดูสิ...เล่นขนของไปจนเกลี้ยงแบบนี้จะลืมกระเป๋าไว้สักใบก็คงไม่แปลก” คนตัวเล็กหัวเราะ เซฮุนมองอีกคนที่สีหน้าไม่สู้ดีนัก ไม่เคยชินเลยสักครั้งกับแบคฮยอนในมุมที่จมอยู่กับความเศร้าแบบนี้
ชานยอลยังคงยืนอยู่ที่เดิมหลังจากตัดสินใจเข้าไปในห้องแล้วเก็บเสบียงยัดใส่กระเป๋าโดยไม่คิดที่จะกั๊กเอาไว้เพื่อตัวเองบ้าง อาศัยจังหวะที่ทุกคนกำลังเถียงกันแล้วแอบเอากระเป๋าไปวางไว้ให้ ถึงปาร์คชานยอลจะเห็นแก่ตัวที่หนีออกมาแต่เขาก็ทนเห็นทุกคนลำบากต่อหน้าต่อตาไม่ได้จริง ๆ
ได้ยินเสียงของบยอนแบคฮยอนชัดเจนทุกประโยค นัยน์ตาคมหลุบลงมองพื้นกระเบื้องที่เหยียบอยู่แล้วความรู้สึกผิดที่เคยกัดกินตั้งแต่วันแรกที่หนีออกมาจนถึงตอนนี้มันกลับมาเล่นงานเขาอีกครั้ง เพียงแค่ได้ยินประโยคที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังของเด็กคนนั้นปาร์คชานยอลก็แทบทนไม่ไหวแล้วหรือ?
“ถือว่าเป็นโชคของพวกเรานะ” แบคฮยอนยิ้มบาง ๆ “ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร บางทีคุณอาจจะแค่ลืมหยิบเป้ใบนี้ไปด้วยหรือว่าพระเจ้าอาจจะเห็นใจเรา”
“...”
“แต่ก็...ขอบคุณมากนะครับ”
TBC
#ตบเข่าดังฉาด
แหม่...เกือบได้เจอกันทั้งพี่อี้ฟาน ทั้งพี่ชาร์ลแล้วไหมล่ะ ชอบคยองซูมากเลยไม่รู้ทำไม ชอบที่นางเย็นยะเยือก โหดสรรถแบบน่ากลัว
ตอนต่อไปจะเป็นยังไง พวกจงอินจะหาวิธีไปถล่มผับนั้นยังไง
อย่าลืมติดตามนะคะ <3
#อิเทาแย่งซีนทุกฉาก เชื่อเลา
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ปล. ใครที่โอนเงินค่าเสื้อมาแล้วมลินมีนัดรับเสื้อด้วยนะคะ วันที่ 16 มีนาคม ที่เซนจูรี่ (อนุเสาวรีย์) ตั้งแต่บ่ายโมง - บ่ายสี่โมงค่ะ
ใครอยากได้เสื้อไปเดินใส่เล่นงานฟิคอีเมลล์มาแจ้งมลินก่อนน้า malin.world01@gmail.com ค่ะ จะได้แบกเสื้อไปตามจำนวน แจ้งมาในหัวข้อว่า นัดรับเสื้อ แจ้งชื่อกับนามสกุลมาค่ะ แต่ฟิคคงได้ประมาณเกือบปลายเดือนเลยเพราะหนังสือมาถึงวันที่ 22 มีนาแน่ะ (รอกันนิดนึงนะคะ)
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ความคิดเห็น