คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #48 : Chapter 45 :: Flashback
Chapter 45
Flashback
CUT (งงไปหมด)
กึ่ก!
“อะไร” ร่างสูงก้มลงมองผ้าห่มสีเข้มที่มาพร้อมกับกลิ่นเหม็นอับที่อีกคนโยนลงบนพื้นก่อนจะเงยหน้าขึ้น ยุนฮามองคนสองคนสลับไปมาแล้วก็ยัดนกย่างที่อี้ฟานแอบเอามาให้เข้าปากเป็นคำสุดท้ายแล้วเช็ดมือลงกับเสื้อ
“ถ้าไม่อยากหนาวตายก็ทนกลิ่นหน่อยแล้วกัน” โดคยองซูว่าพลางมองไปยังจำเลยที่กำลังยกน้ำเปล่าขึ้นดื่ม “กลัวผีเปล่าล่ะ?”
“ผมเหรอ?” ยุนฮาชี้หน้าตัวเอง คยองซูแค่นยิ้มแล้วโยนเสื้อแขนยาวให้และเด็กหนุ่มก็รับไว้ได้พอดี
“ถ้าไม่กลัวผีกลับมาทวงของก็ดีไป เพราะเจ้าของมันเพิ่งโดนพวกผีเดินได้กินไปเมื่อเช้านี้”
“...”
“ขอบคุณครับ” ยุนฮาโค้งหัวให้คนตัวเล็กที่อุตส่าห์มีน้ำใจหาผ้าห่มมาให้ ทุกคืนที่ผ่านมาเขาต้องนอนขดตัวทนหนาวบนพื้นเย็นและมีเพียงแค่เสื้อกันหนาวตัวเดียวของอี้ฟานเท่านั้นที่ช่วยบรรเทาความหนาวเหน็บ คยองซูไม่ได้ตอบรับคำขอบคุณนั้นด้วยท่าทางหรือคำพูด ร่างเล็กเปิดประตูห้องออกไปแล้วก็หยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงเรียกรั้งท้าย
“เดี๋ยว”
“...?” เอี้ยวหน้าหันกลับไปมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเรียบเฉย ผู้ชายคนนี้ที่เอาแต่จับตามองตลอดราวกับมีคำถามอยู่ในใจแต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา
“ขอบใจ”
“เรื่องผ้าห่มน่ะนะ?”
“ใช่”
“แสนดีไม่มีใครเทียบ” คยองซูหัวเราะอีกคนที่อุตส่าห์ถ่อหน้าออกมาเพื่อขอบคุณเขาแทนคนอื่น “มันก็แค่ของคนที่ตายแล้ว ผมไม่ได้มีน้ำใจอย่างที่คุณคิดหรอก”
“แต่นายเลือกที่จะไม่สนใจก็ได้ไม่ใช่เหรอ?”
“ที่ผมเป็นอยู่มันไม่ได้เรียกว่าสนใจนี่?” คนตัวเล็กกระตุกยิ้ม “ผมก็แค่ขี้เกียจลากศพออกไปทิ้งถ้าเกิดว่าเด็กนั่นหนาวตายก็เท่านั้น”
“...”
“ผมไม่ชอบแตะตัวคนตาย นั่นแหละคือเหตุผล”
ร่างสูงมองใบหน้าเรียบเฉยของอีกฝ่ายแล้วพยายามอ่านความคิดของเด็กคนนี้ที่ดูเหมือนว่าจะอายุน้อยที่สุดในกลุ่มโจร จากที่ได้ฟังผ่าน ๆ หูก็พอจะจับใจความได้ว่าหมอนี่เป็นเด็กที่ติดสอยห้อยตามมาตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ในฐานะลูกหมาตัวหนึ่งที่ต้องคอยทำตามคำสั่งเจ้านาย
ในวงเหล้าที่มีเรื่องของโดคยองซูเป็นประเด็นขึ้นมาถึงจะแค่ไม่กี่นาทีก็ถูกกลบทับด้วยเรื่องเซ็กส์ก็เถอะ แต่มันก็พอทำให้เขาได้ข้อมูลของเด็กคนนี้มากขึ้นพอสมควร จากพฤติกรรมที่เขาสังเกตมันทำให้คิดไปได้สองแง่ว่าโดคยองซูเป็นเด็กที่สามารถทำได้ทุกอย่างถ้ามันทำให้เขามีชีวิตรอดต่อไปโดยที่ไม่ถูกรังแก ส่วนแง่ที่สอง...เด็กคนนี้อาจจะเป็นโรคจิตที่สนุกกับการเห็นเรื่องคอขาดบาดตายของคนอื่นเป็นเรื่องตลก
แต่ตอนนี้เขาชักจะไม่แน่ใจแล้วสิ...ว่าเด็กคนนี้เป็นคนยังไงกันแน่?
แต่ทั้งคู่หันไปมองประตูบานใหญ่ที่เปิดออกพร้อมกับร่างผู้หญิงสองคนที่ถูกผลักเข้ามาทางด้านในจนล้มลงไปกับพื้น ทั้งสองคืบคลานเข้าไปกอดกันเอาไว้แล้วกวาดสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวไปรอบ ๆ ตัว
“อย่าทำอะไรเราสองคนเลยขอร้องล่ะ!”
“ฮือ...”
“เอาอีแก่นี่ออกไปห่าง ๆ น้องคนสวยทีซิ”
“อย่าทำแม่ฉันนะ ปล่อย!”
“...”
“เอาเว้ย! มีผู้หญิงมาด้วย! ฮ่า ๆ ๆ ” เสียงหัวเราะประสานดังก้องไปทั่วผับมืดที่ได้แสงสว่างจากเทียนไขเล่มใหญ่ที่อยู่ตามจุดเท่านั้น อี้ฟานยืนนิ่งขมวดคิ้วเข้าหากันโดยไม่รู้ตัวขณะพวกสารเลวที่กำลังลากแม่ลูกออกจากกันโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย
“อา...เหยื่อรายใหม่สินะ” ร่างสูงหันไปมองเด็กคนข้าง ๆ ที่มองไปยังหญิงสาวอย่างเหม่อลอย
“หมายความว่ายังไงที่บอกว่า ‘เหยื่อรายใหม่?’ ” คยองซูหันมามองอีกฝ่ายก่อนจะหันกลับไปมองที่เดิม
“นี่มันไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกมันลากผู้หญิงมา” คนตัวเล็กก้มลงนับนิ้วตัวเองแล้วก็เงยหน้าขึ้น “นี่ก็รายที่สิบห้าแล้วตั้งแต่เริ่มตั้งค่าย”
“...”
“วันที่กลุ่มคุณโดนจับ เด็กผู้หญิงที่ถูกลากมาด้วยก็ตายเพราะถูกกัดตอนเหตุการณ์ชุลมุน” คยองซูจ้องมองอีกฝ่ายราวกับจะโทษว่ามันคือความผิดของเขา “เพราะเธอถูกขังไว้ในห้อง”
“...”
“พวกที่ถูกยิงกลายเป็นผีเดินได้ มันพังประตูเข้าไปเพราะได้ยินเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือของเธอ”
“...”
“พนันได้เลยว่าอีกไม่ถึงห้านาทีผู้หญิงที่อายุมากกว่าจะถูกลากไปฆ่าทิ้ง”
“...”
“จับเวลาสิ...แบบที่คุณชอบทำไง” ไม่เคยเห็นเด็กที่มีแววตาน่ากลัวขนาดนี้มาก่อนเพียงแค่ได้สบตากัน ร่างสูงนิ่งไปครู่เดียว...ไม่ถึงสิบวินาทีเท่านั้นเขาก็ทำตามคำพูดของอีกคน
นิ้วเรียวยาวกดปุ่มข้างนาฬิกาข้อมือเพื่อจับเวลา...คยองซูหันกลับไปที่เดิมแล้วมองพวกนักโทษสารเลวหื่นกามทั้งหลายที่กำลังให้ความสนใจกับผู้หญิงคนนั้น เธอไม่ได้มีความสวยโดดเด่นอะไร กลับกันแล้วหุ่นก็แอบมีเนื้อมีหนังจนเรียกได้ว่าอวบแต่วินาทีนี้จะมีอะไรดีไปกว่าการมีเซ็กส์กับผู้หญิงสักคนเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ทางเพศแทนที่จะใช้อุ้งมือสำเร็จความใคร่กันล่ะ?
“แม่งเอ๊ย อีเวรนี่กัดแขนกู!”
ผลั่วะ!
“อ๊ะ!” ใบหน้าเรียวสวยถูกตบอย่างแรงจนล้มลงไปกับพื้นอีกครั้ง
“ฉันก็ให้ของไปหมดแล้ว...ได้โปรดปล่อยพวกเราไปเถอะ”
“มึงตลกเปล่าอีแก่ กูลงทุนเปลืองกระสุนเจาะกะโหลกกลุ่มของมึงไปตั้งกี่นัดแล้วลากมึงสองแม่ลูกมาถึงนี่เพื่อที่จะปล่อยไปง่าย ๆ น่ะเหรอ?”
“จะปล่อยก็ได้...แต่ต้องเป็นหลังจากที่พวกกูวนรอบลูกสาวมึงครบแล้วน่ะนะ ฮ่า ๆ ๆ ”
“อย่านะ! อย่าเข้ามา!”
คยองซูคว้าแขนแกร่งเอาไว้เมื่ออีกคนก้าวขาไปข้างหน้าเพราะทนดูต่อไปไม่ไหว เด็กหนุ่มส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามเพราะเขารู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าร่างสูงออกตัวเป็นฮีโร่ในสถานการณ์แบบนี้
“คนล่าสุดที่ทำตัวเป็นพระเอก เขาถูกจับมัดแล้วเอาไปโยนทิ้งกลางเมืองที่มีแต่พวกผีเดินได้ ร่างของเขาถูกกินไม่เหลือซากภายในเวลาไม่ถึงสามนาทีแถมผู้หญิงคนนั้นก็ถูกลงแขกข้ามวันข้ามคืน เธอทนอยู่ต่อไปไม่ไหวเลยฆ่าตัวตาย...นี่คือจุดจบของการเป็นฮีโร่และนางเอกในชีวิตจริง”
“...”
“ถ้าไม่อยากเดือดร้อนก็ทำเป็นมองไม่เห็นจะดีกว่า”
“นั่นคือสิ่งที่นายทำมาตลอดสินะ”
“ใครจะไปทำเท่ได้อย่างคุณกันล่ะ? ช่วยให้คนอื่นหนีไปแล้วตัวเองจะเป็นจะตายยังไงก็ได้ ตลกเป็นบ้า” อี้ฟานหันไปมองคนข้าง ๆ พร้อมกับเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ คยองซูยิ้มอย่างมีความหมายเมื่อนึกถึงเรื่องราวในวันนั้นตอนที่เขาแอบหลบอยู่ในความมืดแล้วเห็นร่างสูงนอนราบอยู่กับพื้นหลังจากถูกยิงก่อนที่จะมีผู้ชายอีกสองคนตามไปช่วย “ผมเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างในวันนั้น...”
“...”
“อู๋อี้ฟาน”
เวลาผ่านไปแล้วสามวันกับการที่สองสามีภรรยาได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของปาร์คชานยอลโดยไม่ตั้งใจ ในทีแรกก็คิดจะช่วยหารถให้สักคนแล้วต่างคนต่างแยกกันไปคนละทางอย่างที่ควรจะเป็นเพราะใจเขาก็ไม่ได้มีความคิดที่จะปักหลักอยู่กับคนกลุ่มใหม่แต่อย่างใด แต่เหมือนว่าพระเจ้าจะไม่เป็นใจสักเท่าไหร่ พอขับเข้าไปในเมืองถ้าไม่เจอพวกฝูงตัวกินคนก็เจอแต่รถที่ไม่มีกุญแจและนั่นมันก็เกินความสามารถของเขาที่จะต่อสายตรง
วูบหนึ่งมันทำให้เขานึกถึงคู่หูเพื่อนซี้ที่มีความสามารถทางด้านนี้...
แน่นอนว่าชีวิตคนเราไม่ได้อยู่ด้วยการสังเคราะห์แสงเหมือนต้นไม้ ไม่ต้องถึงมือพวกตัวกินคนเขาก็ตายได้ถ้าไม่มีอาหารตกถึงท้องนานเกินกระเพาะจะทนไหว โซจีซบมองชายหนุ่มร่างสูงที่นั่งอยู่กับขอบหน้าต่างพร้อมกับยกขาขึ้นข้างหนึ่งพลางทอดสายตาออกไปข้างนอกอย่างไร้จุดหมาย ควันบุหรี่ถูกอัดเข้าปอดครั้งแล้วครั้งเล่า ปาร์คชานยอลรู้ดีว่าตอนนี้เขาสูบบุหรี่จัดมากกว่าตอนที่ภรรยาของเขาเคยร้องขอให้เลิกเสียอีก
แต่จะให้ทำยังไงได้? ในเมื่อทุกที่ ๆ เขาไปสิ่งที่หลงเหลืออยู่มันไม่ใช่อาหารกระป๋องหรือข้าวสาร บุหรี่เป็นสิ่งที่ใครหลายคนมองข้ามที่จะเก็บเพราะเป้าหมายคือของจำเป็นที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน แต่ใครจะรู้...ว่ามันสามารถช่วยประทังชีวิตผู้ชายอย่างเขาไปได้ตั้งช่วงเวลาหนึ่ง
“ชานยอล”
“...” ร่างสูงหลุดจากความคิดก่อนจะหันไปมองชายหนุ่มที่หยุดยืนอยู่ไม่ห่างจากตรงนี้ คิ้วหนาเลิกขึ้นสูงก่อนจะกะเทาะขี้บุหรี่ออกเบา ๆ “ครับ?”
“ผมรู้ว่าเราควรประหยัดแต่คุณน่าจะทานอะไรบ้าง” ชายหนุ่มฝืนยิ้มออกมาเพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลาย ตั้งแต่ได้ชานยอลมาเป็นเพื่อนร่วมทางบทสนทนาที่เกิดขึ้นก็แทบจะนับประโยคได้ “ใช่ว่าผมอยากก้าวก่ายชีวิตของคุณนะครับแต่ว่าบุหรี่น่ะ...”
“กลิ่นมันลอยไปทางภรรยาคุณเหรอ?” ชานยอลมองทะลุไปข้างหลังชายหนุ่มแล้วก็เห็นผ้าม่านสีดำที่ปิดคลุมช่องว่างแทนประตูในตึกร้างที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จ
มันคือตึกร้างที่ปลอดภัยที่สุดในละแวกนี้สำหรับพวกเขาทั้ง...สี่คนแล้ว
“เปล่าครับ ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก” จีซบเดินเข้ามาอีกเพียงแค่สามก้าวแล้วเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าเขา “ผมเลิกสูบบุหรี่ตั้งแต่รู้ว่าฮโยจินท้อง ผมไม่อยากให้ลูกรับสิ่งไม่ดีเข้าไปน่ะ”
“เหรอครับ” ร่างสูงตอบเสียงเรียบแล้วสูบบุหรี่อีกครั้ง
“ผมเป็นห่วงสุขภาพของคุณด้วย อย่างที่เราคุยกันไว้ว่าถ้าหาเสบียงรอบนี้ได้แล้วคุณจะแยกตัวออกไป”
“ครับ”
“อยู่ตัวคนเดียวคุณต้องดูแลสุขภาพให้ดีนะถ้าล้มป่วยขึ้นมาแล้วจะลำบาก” ถึงจะเพิ่งเจอกันได้แค่ไม่กี่วันแต่ถ้าเอาความดีกับความเย็นชาของปาร์คชานยอลมาหักลบกันแล้วยังไงซะโซจีซบกับภรรยาก็เป็นหนี้บุญคุณผู้ชายคนนี้อยู่ดี มันเลยอดไม่ได้ที่เขาจะเป็นห่วงเป็นใยคนที่ช่วยชีวิตเขากับลูกเมียให้พ้นจากความตาย
“ผมคงไม่ตายเพราะมะเร็งหรอก คุณสบายใจได้”
“...”
“แต่ก็ขอบคุณที่เป็นห่วงผมนะครับ” ร่างสูงยิ้มบาง ๆ พร้อมกับทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้นแล้วใช้รองเท้าขยี้มันให้ดับก่อนจะปล่อยควันที่อัดเข้าปอดระลอกสุดท้ายออกมา
“จีซบคะ”
ทั้งสองคนหันกลับไปที่ผ้าม่านสีดำแล้วก็เป็นคุณสามีที่รีบวิ่งเข้าไปทันทีที่ได้ยินเสียงภรรยา ชานยอลถุยน้ำลายขมลงพื้นแล้วล้วงกระเป๋ากางเกง ขายาวตรงเข้าไปหยุดอยู่หน้าประตูห้องที่ไม่มีแม้แต่ประตูหรือหน้าต่าง มีเพียงแค่ผ้าม่านที่ใช้ปิดบังเท่านั้น
“ผมเข้าไปได้หรือเปล่า?”
“เชิญค่ะชานยอล”
มือแกร่งแหวกผ้าม่านสีดำออกแล้วก็เห็นว่าที่คนเป็นพ่อกำลังเอาหูแนบกับท้องภรรยาของเขา คงไม่ต้องบรรยายถึงสีหน้าแห่งความสุขล้น ริมฝีปากโซจีซบยิ้มกว้างจนแทบฉีกถึงใบหูถ้าปาร์คชานยอลไม่จินตนาการด้วยความอิจฉาจนเกินไป มือแกร่งที่กำลังลูบผ่านท้องนูนป่องอย่างทะนุถนอมจนทำให้เขาอดถามคำถามนี้ออกไปไม่ได้
“พวกคุณจะเอายังไงกันต่อไป?”
“อ่า...”
“ผมไม่ได้หมายถึงเส้นทางที่คุณจะไป แต่ผมหมายถึงเด็กในท้อง” ชานยอลลากเก้าอี้เก่าไปที่มุมห้องแล้วนั่งลง รอยยิ้มบนใบหน้าของสามีภรรยาเลือนหายไปเมื่อต้องกลับมานึกถึงเรื่องราวที่ทำให้เครียดมาตลอดหลายเดือน
“คุณท้องกี่เดือนแล้วฮโยจิน”
“แปดเดือนค่ะ”
“วางแผนไว้ว่ายังไงครับ?” ในทีแรกก็ถามด้วยความอยากรู้แต่ตอนนี้ปาร์คชานยอลก็อดที่จะให้คำแนะนำไม่ได้ นี่อาจจะเป็นความเคยชินของเขาอย่างหนึ่งที่แก้ไม่ได้สักที “รู้ใช่ไหมว่าตอนนี้ที่โรงพยาบาลคงไม่มีหมอรอทำคลอดให้คุณ” ทั้งคู่พยักหน้าช้า ๆ ชายหนุ่มโอบไหล่ภรรยาให้เอนตัวมาซบแผงอกเขาพร้อมกับลูบหัวเบา ๆ
“คุณสองคนควรหากลุ่มใหม่อยู่ เพราะมันคงไม่ดีแน่ถ้าคุณต้องทำคลอดด้วยวิธีตามธรรมชาติให้ฮโยจินตามลำพัง”
“แต่กลุ่มที่ว่ามันก็ใช่จะหากันง่าย ๆ นะครับ”
“ผมเข้าใจ แต่การทำคลอดแบบธรรมชาติมันเสี่ยงเกินไป คุณอาจจะต้องเสียทั้งภรรยาและลูก...คุณเข้าใจที่ผมพูดหรือเปล่าจีซบ?”
“ผมกังวลเรื่องนี้มาตลอด...กลัวมากจริง ๆ ” ร่างสูงกระชับกอดคนรักไว้แล้วจูบลงบนเรือนผมเบา ๆ เขาต้องเป็นบ้าตายแน่ ๆ ถ้าเกิดว่าวันหนึ่งจะต้องเสียภรรยาและลูกไป
“คนสมัยก่อนก็ทำคลอดด้วยวิธีนี้นี่คะ...”
“แล้วกี่คนที่รอด” หญิงสาวพูดไม่ออกได้แต่มองหน้าชายหนุ่มร่างสูงที่มองเธอด้วยแววตาเรียบเฉย “คนสมัยก่อนคลอดลูกด้วยวิธีธรรมชาติก็จริง แต่คนที่ทำคลอดก็ต้องมีความรู้เรื่องนี้อยู่พอสมควร ไม่ใช่สามีคุณ”
“ชานยอลครับผมว่า...”
“คำพูดของผมมันอาจจะฟังดูแย่ แต่ถ้าคุณสองคนไม่เริ่มวางแผนกันตั้งแต่ตอนนี้แล้วจะไปวางแผนเมื่อไหร่ครับ ตอนฮโยจินคลอดเหรอ”
“แทนที่จะให้เราไปหากลุ่มใหม่...ทำไมคุณไม่อยู่ด้วยกันกับพวกเราล่ะคะชานยอล?”
“...”
“ถ้าสิ่งที่คุณพูดคือความหวังดี...ฉันก็อยากจะขอร้องคุณ”
“ที่รัก...”
“เราไม่มีทางเลือกแล้วจีซบ เราคุยเรื่องนี้กันมากี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว...มันจริงอย่างที่ชานยอลพูดทุกอย่าง ฉันไม่อยากเสี่ยง ถ้ามีเขาอยู่ตรงนี้อย่างน้อยลูกก็มีโอกาสรอด” ฮโยจินพูดเคล้าน้ำตาราวกับยอมรับชะตากรรมว่าเธออาจจะไม่รอดหากเวลานั้นมาถึง
“ไม่...คุณกับลูกต้องรอดสิ” จีซบลูบหัวภรรยาเบา ๆ ก่อนจะโน้มหน้าเข้าไปจูบหน้าผากมนเพื่อปลอบใจ
“นะคะชานยอล...” น้ำเสียงอ้อนวอนมาพร้อมกับแววตาคู่นั้น ร่างสูงไม่ได้ตอบตกลงในทันที จีซบเบิกตาโพลงก่อนจะประคองภรรยาของเขาเอาไว้เมื่อเธอพยายามจะลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง
“...” ชานยอลดูตระหนกเล็กน้อยเมื่อผู้หญิงท้องแก่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาโดยได้รับการช่วยเหลือจากคนเป็นสามี
“จับดูสิคะ” ฮโยจินคว้ามือแกร่งขึ้นมาทาบลงกับท้องของเธอพร้อมกับยิ้มบาง ๆ ผิดกับอีกฝ่ายที่ดูตกใจจนแทบจะชักมือออกเดี๋ยวนั้น
“...” นัยน์ตายังคงเบิกโพลงเมื่อรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่เต้นตุบ ๆ อยู่ในท้อง สามีภรรยาหันไปยิ้มให้กันแล้วหันกลับมามองชานยอลอีกครั้ง
“เขายินดีที่ได้พบคุณค่ะ”
“...” ประโยคนี้ทำให้เขาตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย ร่างสูงเลียริมฝีปากที่แห้งผากกับสิ่งแปลกใหม่ที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน ชานยอลชักมือกลับแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ใบหน้าคมเบือนหลบไปอีกทางพร้อมกับป้องปากเพื่อใช้ความคิด
“การอยู่ตัวคนเดียวมันอาจเป็นสิ่งที่คุณต้องการ แต่ในเมื่อคุณช่วยชีวิตเขาแล้วครั้งหนึ่ง...คุณจะช่วยให้เขาเกิดมาลืมตาดูโลกอีกสักครั้งจะได้ไหมคะ?”
“ได้โปรด” โซจีซบเอ่ยปากร้องขอ ความหนักใจเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณจนแทบอยากจะออกไปสูบบุหรี่ข้างนอกเสียเดี๋ยวนี้
“ผมทำได้แค่แนะนำ เพราะผมก็ไม่มีความรู้เรื่องการทำคลอดเหมือนกัน”
“แต่อย่างน้อยเราก็ช่วยกันได้นี่ครับ”
“...”
“คุณคือความหวังเดียวของเด็กคนนี้...ขอร้องล่ะชานยอล”
“อ่า...หนาวชะมัดยาด” จีซบถูมือลงกับแขนตัวเองพลางเดินห่อไหล่ไปข้างหน้าหลังจากที่เขาทั้งคู่ขับรถมาถึงที่หมาย การออกมาหาเสบียงคือสิ่งที่พวกเขาต้องทำเมื่ออาหารที่เคยมีมันหมดไป จีซบก่อกองไฟเล็ก ๆ ไว้ข้างที่นอนผืนเก่าเพื่อให้ความอบอุ่นกับภรรยาของเขาท่ามกลางความหนาวเหน็บในตึกร้าง
ข้างหน้าคือซุปเปอร์มาเก็ตที่มีพวกผีดิบอยู่รอบข้างราว ๆ สี่ห้าตัว ถ้าระวังหน่อยก็คงเข้าไปในนั้นได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องต่อสู้กับพวกมัน อีกครั้งที่เขาควักสนับมือขึ้นมาสวมใส่ ชานยอลตรงดิ่งเข้าไปหาเป้าหมายก่อนจะซัดหมัดจนหมุดแหลมฝังลงไปบนใบหน้าเหวอะของตัวกินคนที่ยืนขวางประตูทางเข้า จีซบตามมาสมทบโดยการฟาดท่อนเหล็กอย่างแรงจนร่างของมันล้มลงไปบนพื้น
“คุณต้องจัดการมันที่หัว”
“ที่หัว?”
“ใช่”
“หมายความว่ามันสามารถตายได้เหรอครับ?”
“มานี่” ชานยอลแบมือออกเพื่อขอท่อนเหล็กจากมืออีกคน มือแกร่งกระชับท่อเหล็กสนิมเอาไว้แน่นแล้วแทงเข้ากลางหูตัวกินคนจนทะลุลงพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลออกจนกลายเป็นวงใหญ่นั่นสร้างความประหลาดใจให้กับโซจีซบเป็นอย่างมาก
“ไม่ยักรู้มาก่อนว่ามีวิธีจัดการกับมันด้วย”
“คุณรอดมาได้จนถึงตอนนี้ได้ยังไง?” เห็นแบบนี้แล้วก็อดถามไม่ได้ว่าสามีที่พ่วงภรรยาท้องแก่ไปไหนมาไหนด้วยรอดมาได้ยังไง
“ก่อนหน้านี้เรามีกลุ่มใหญ่อาศัยอยู่ในป่าลึกที่พวกมันเข้ามาไม่ถึง เรามีกันราว ๆ ยี่สิบกว่าคน กางเต็นท์นอนติดกัน ผู้หญิงกับเด็กทำหน้าที่ซักผ้าทำอาหาร ส่วนผู้ชายออกไปหาเสบียง ส่วนเมียผมได้รับสิทธิ์พิเศษเพราะเธอท้อง”
“เธอท้องก่อนที่จะเกิดเรื่องใช่ไหม?” ร่างสูงถามพร้อมกับดันประตูมินิมาร์ทเข้าไปช้า ๆ
“ใช่”
“ทุกครั้งที่ออกไปหาเสบียงพวกเราทำได้แค่ทำให้มันล้มเพราะคิดว่าพวกกินเนื้อคนมันไม่มีวันตาย”
“...”
“จนกระทั่งวันหนึ่งกลุ่มของเราถูกบุกรุกจากตัวกินเนื้อที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน ตั้งแต่ลูกเด็กเล็กแดงไปจนถึงคนแก่ ถูกกัดกินและแพร่เชื้ออย่างรวดเร็ว ต่างคนต่างหนีกันไปคนละทาง ผมกับฮโยจินเกือบไม่รอดออกมา” ทั้งคู่คุยกันขณะที่เดินสำรวจร้านทางด้านใน ร่างสูงกระชับผ้าพันคอพร้อมกับกวาดสายตามองเข้าไปในมินิมาร์ทกว้างสามบล็อก
“แล้วคุณล่ะชานยอล”
“...”
“ก่อนหน้านี้คุณอยู่กับใคร”
‘ไหวก็ต้องพัก ฉันไม่ชอบอยู่เฉย ๆ แล้วให้คนอื่นมาขับรถให้นั่งไม่ชินว่ะ เกะกะลูกตา’
‘ฉันกับเซฮุนอายุสิบแปด อี้ชิงยี่สิบเจ็ด ชานยอลยี่สิบเก้า ส่วนจงอินยี่สิบหก’
‘คำถามแรกคือ ผมจะอยู่ต่อไปทำไม? ไม่มีอะไรหลงเหลือให้ผมอีกแล้วนี่? ผมหยิบปืนขึ้นมาจ่อที่ขมับ หลับตาลง รวบรวมความกล้าทั้งที่มือยังสั่นอยู่จนกระทั่งรู้สึกได้ว่ามีแขกไม่ได้รับเชิญเข้ามาในบ้าน...ซึ่งนั่นก็คือพวกคุณ’
‘เหตุผลอะไรที่ทำให้คุณอยากมีชีวิตอยู่เหรอครับ?’
‘นายเห็นเขาถูกยิงจริง ๆ หรือเปล่าชานยอล’
‘ผมขอโทษแทนลู่หานด้วยนะ’
‘ชานยอลครับ...’
‘ผม...อยากให้คุณอยู่ด้วย...’
แบคฮยอน...
“ชานยอล?”
“ผมไม่อยากพูดถึงมันน่ะ” ร่างสูงก้มหน้าลงก่อนจะเอื้อมไปหยิบอาหารกระป๋องใส่กระเป๋าเป้ จีซบมองอีกคนที่กำลังดูอึดอัดกับคำถามของเขาแล้วก็ค่อย ๆ ก้าวไปข้างในพลางใช้ความคิด
“ขอโทษนะ ผมแค่คิดว่าเราอาจจะสนิทกันมากขึ้น”
“ได้ด้วยวิธีอื่นที่ไม่ใช่การพูดถึงเรื่องราวในอดีตครับ” จีซบนิ่งไป ไม่ว่าจะด้วยเรื่องไหนก็ดูยากไปซะหมดเพราะกำแพงสูงที่ปาร์คชานยอลสร้างเอาไว้
“โอเค ผมจะไม่พูดถึงเรื่องนั้นอีก”
“ขอบคุณครับ” ชานยอลตอบแบบขอไปทีก่อนที่ชายหนุ่มจะหายเข้าไปข้างใน แต่เพียงแค่ครู่เดียวก็ได้ยินเสียงข้าวของล้มระเนระนาด
โครม!!
“จีซบ?” ชานยอลรีบวิ่งเข้าไปดูทางด้านในแล้วก็เห็นชายหนุ่มกำลังต่อสู้กับตัวกินคนที่กำลังขึ้นคร่อมทับร่างเอาไว้ แขนแกร่งกระชากคอเสื้อขึ้นก่อนจะเหวี่ยงมันออกไปแล้วก้มลงคว้าท่อนเหล็กที่โซจีซบทำตกเอาไว้แทงเข้ากลางเบ้าตาจนทะลุลงไปถึงพื้นกระเบื้องด้านล่าง
ใบหน้าคมหันกลับไปมองเพื่อนร่วมทางที่อยู่ในสภาพตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด เขายื่นมือลงไปเพื่อให้อีกฝ่ายดึงตัวเองให้ลุกขึ้นมา จีซบหอบหายใจหนัก เขายังคงตกใจกับการถูกโจมตีเมื่อครู่
“คราวหลังระวังตัวให้มากกว่านี้”
“ครับ...”
“คุณโอเคนะ?” จีซบพยักหน้าพลางกลืนน้ำลายลงคอ ขายาวเดินกลับไปที่โซนอาหารเสริม นมผงกระป๋องสำหรับคนท้องคือสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขานึกถึงภรรยาของโซจีซบ คว้ามันขึ้นมาอ่านสรรพคุณแล้วก็พยักหน้ากับตัวเองเบา ๆ “ชงให้ภรรยาคุณดื่มวันละแก้วน่าจะดี”
“ครับ...ดี”
“รีบเก็บของแล้วรีบกลับกันเถอะ”
รถเทียบจอดลงหน้าตึกร้างแล้วทั้งคู่ก็เดินขึ้นบันไดไปบนตึกชั้นสาม ความหนาวเย็นของอากาศทำให้ร่างกายต้องการความอบอุ่นจากกองไฟ ร่างสูงคลายสายสะพายเป้ลงพลางมองไปยังชายหนุ่มที่กำลังแหวกผ้าม่านออกเพื่อเข้าไปหาภรรยา
“ฮโยจินผมกลับมาแล้ว...ฮโยจิน?!” ร่างสูงเบิกตาโพลงแล้วรีบเข้าไปดูในห้องแล้วก็พบว่าใครอีกคนกำลังนอนจิกเล็บอยู่บนเตียงพร้อมกับกัดผ้าขนหนูเอาไว้ ที่นอนเก่าเต็มไปด้วยคราบน้ำเป็นวงใหญ่ นัยน์ตาคู่สวยรื้นไปด้วยน้ำตา คนเป็นสามีรีบเข้าดูอาการภรรยาก่อนจะหันมาขอความช่วยเหลือจากเขา
“เธอกำลังจะคลอดแล้ว!”
“ฉ...ฉันเจ็บ...จีซบ...ช่วยด้วย...”
“...” ร่างสูงทำตัวไม่ถูก เขามองหญิงท้องสลับกับชายหนุ่มไปมาแล้วปล่อยให้สมองประมวลผลอยู่ครู่หนึ่ง การทำคลอด...การทำคลอดต้องใช้อะไร?
“ต้องใช้อะไร...น้ำร้อนเหรอ...” ร่างสูงพูดกับตัวเองก่อนจะวิ่งออกไปข้างนอกเพื่อเทน้ำใส่หม้อก่อนจะกลับมาในห้องแล้วใส่ฟืนเข้าไปในกองไฟที่ริบหรี่ลงไปจนเกือบดับ เสียงกรีดร้องของความเจ็บปวดหลุดออกมาจากมือที่ปิดปากเอาไว้ น้ำตาของเธอไหลออกมาไม่ได้ขาดจนคนเป็นสามีร้องไห้ตามเพราะสงสาร
“แข็งใจไว้นะฮโยจิน...”
“ฮึก...ฮือ...”
“ไม่ได้แล้ว คุณต้องทำคลอดให้เธอเดี๋ยวนี้!” ชานยอลตะโกนบอกคนเป็นสามีที่ทำได้แค่กอดภรรยาเอาไว้ “จับเธอนอนลงกับที่นอนแล้วออกไปเอาผ้าสะอาดมา จีซบ! ได้ยินที่ผมพูดหรือเปล่า?!”
“...” คนเป็นสามีลนลานทำตัวไม่ถูก ชายหนุ่มประคองร่างคนรักลงนอนก่อนจะรีบวิ่งไปหาของตามที่ชานยอลสั่ง
ร่างสูงเข้าไปดูอาการหญิงสาวทันทีที่จัดการตั้งหม้อน้ำร้อนไว้กับเตาไฟเรียบร้อยแล้วจับเขาเรียวทั้งสองข้างขึ้นตั้งชัน นาทีนี้เขาคงต้องเสียมารยาทกับคนตรงหน้าอย่างปฏิเสธไม่ได้
“ฮโยจิน คุณฟังผมนะ”
“...!!!” ใบหน้าสวยฉ่ำไปด้วยเหงื่อกาฬ ความเจ็บปวดแล่นปราดไปทั่วอณูร่างกายจนแทบจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ ปาร์คชานยอลไม่เคยทำคลอดให้ใครมาก่อน นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาต้องช่วยชีวิตคนสองคนพร้อม ๆ กัน
“หายใจเข้าลึก ๆ พอนับถึงสามคุณออกแรงเบ่งตามที่ผมบอกนะโอเคไหม?”
“อึ่ก...!!!”
“หายใจเข้าลึก ๆ อย่างนั้น...หนึ่ง...สอง...สาม!!”
“อื้อ!!!!”
“คุณทำดีแล้วฮโยจิน ทำแบบเมื่อกี้อีกครั้งนะ...หนึ่ง...สอง...สาม!!!”
“!!!!” หญิงสาวนิ่วหน้าเจ็บขณะออกแรงเบ่ง ริมฝีปากล่างถูกฟันขาวขบจนเลือดห้อ ชานยอลหันกลับไปมองที่ผ้าม่านสีดำแล้วก็ได้แต่ลุ้นว่าเมื่อไหร่โซจีซบจะกลับมา ใบหน้าคมก้มลงมองช่องคลอดที่เริ่มเปิดออกตามแรงเบ่ง ริมฝีปากหยักยิ้มกว้างเมื่อตอนนี้เขามองเห็นหัวเด็กที่กำลังโผล่พ้นออกมา
“อีกนิดเดียวฮโยจิน!”
“ฉันไม่ไหวแล้ว...โอ๊ย...”
“หายใจเข้าลึก ๆ ...จีซบ!!!!” ร่างสูงตะโกนเรียกคนที่อยู่ทางด้านนอกก่อนจะจับเรียวขาเอาไว้แล้วเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าฮโยจิน
“อึ่ก...!!!”
“อีกครั้งนะ ผมเห็นลูกคุณแล้ว” พอได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาบ้าง หญิงสาวจิกเล็บลงบนที่นอนแล้วออกแรงแบ่งอีกครั้ง ชานยอลก้มลงมองเด็กที่กำลังออกมาทีละนิดพร้อมกับเลือดสีสดที่ไหลออกมาไม่ขาดช่วง
“กร๊าซซซซซซซซซซซซซซซซซซ!!!”
ในขณะที่กำลังลุ้นอยู่กับสมาชิกใหม่ในครอบครัวโซ...ชานยอลก็เซล้มลงไปทางด้านข้างเมื่อถูกโจมตีอย่างคาดไม่ถึง แขนแกร่งดันช่วงอกของใครอีกคนเอาไว้เพื่อกันไม่ให้ปากที่อ้ากว้างกัดเขาได้ ร่างสูงออกแรงยื้อดึงอยู่อย่างนั้นแล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อพบว่าคนที่กำลังจะกัดเขานั่นไม่ใช่ใครนอกจากโซจีซบผู้เป็นสามีของหญิงสาวที่เขากำลังทำคลอดให้
“โอ๊ย!!!!!!!!!!!” ฮโยจินมองทั้งสองคนที่กำลังยื้อดึงกันอยู่อย่างนั้นด้วยความตกใจเมื่อพบว่าสามีของเธอเปลี่ยนไปเป็นใครอีกคนที่เธอไม่รู้จัก ชานยอลหันไปมองหญิงสาวเพียงแค่เสี้ยววินาที เด็กในท้องกำลังคลอดออกมาอย่างช้า ๆ ในขณะที่คนเป็นแม่แทบจะขาดใจตาย
“จีซบ!!!” ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีสติสัมปชัญญะอีกแล้วก็ตาม ใบหน้าคมเอี้ยวหลบน้ำลายเหนียวที่ไหลลงโดนเสื้อเขาก่อนจะรวบรวมแรงฮึดสุดท้ายเหวี่ยงชายหนุ่มออกไปทางด้านข้าง
“กรรรรรรรรรรรรรรรรซ์”
ผลั่ก!!!
“จีซบ!!!!” เป็นเสียงของความเจ็บปวดของภรรยาที่เกิดขึ้นทั้งร่างกายและจิตใจ น้ำตาใสไหลอาบแก้มขณะมองปาร์คชานยอลที่กำลังจัดการกับสามีของเธอด้วยเก้าอี้ไม้จนหักกระเด็นไปทางด้านข้าง
ปั่ก ปั่ก ปั่ก!!!
ออกแรงทุบลงที่กลางหัวครั้งแล้วครั้งเล่าสลับกับใช้เท้ากระทืบไม่นานนักโซจีซบก็นอนแน่นิ่งไปพร้อมกับใบหน้าที่อาบเลือดก่อนที่เก้าอี้ไม้ถูกโยนทิ้งอย่างไม่ใยดี ชานยอลกำลังช็อกในสิ่งที่ทำลงไปจนต้องคอยปลอบตัวเองว่าเขาไม่ได้ฆ่าคนตาย...แต่ที่ทำแบบนี้ก็เพราะว่าโซจีซบกลายเป็นพวกกินคนไปแล้ว
มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
แล้วคำตอบก็มาพร้อมกับรอยแผลที่อยู่ตรงข้อมือของคนที่นอนจมกองเลือดอยู่บนพื้น ร่างสูงเสยผมอย่างหัวเสียก่อนจะค่อย ๆ หันไปทางด้านข้างแล้วก็พบว่ากงฮโยจินนอนแน่นิ่งไปแล้ว...
เธอมองมาที่เขาด้วยแววตาที่ยากจะคาดเดา...เปลือกตาที่อ้าค้างไม่กระพริบพร้อมกับน้ำตาหยดสุดท้ายที่ไหลออกมาจากหางตา ไม่มีเสียงกรีดร้อง ไม่มีการขยับตัวใด ๆ ทั้งสิ้น ร่างสูงเซถอยหลังไปชิดกับผนังเย็นยะเยือกพร้อมกับความรู้สึกผิดที่ถาโถมเข้ามาราวกับพายุหนาว
“...”
ไม่กล้าแม้แต่จะเรียกชื่อ ถึงจะเห็นคนตายมานับไม่ถ้วนแต่ภาพสามีภรรยาที่นอนตายอยู่ไม่ห่างกันทำให้เขาก้าวขาไม่ออก ยังไม่ทันจมอยู่กับความเศร้าได้นานร่างของหญิงสาวก็ลุกขึ้นนั่ง ริมฝีปากซีดเผือดค่อย ๆ อ้ากว้างทีละนิดขณะจ้องมองมาที่เขา
“ฮือ...”
“...”
วันนี้ปาร์คชานยอลรู้แล้วว่าความตายมันไม่ใช่ความเจ็บปวดครั้งสุดท้าย ริมฝีปากหยักสั่นเล็กน้อยขณะมองไปยังหญิงสาวที่กำลังพยายามลุกขึ้นยืน มือแกร่งล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง สนับมือคือสิ่งเดียวที่เขามีติดตัวอยู่ในตอนนี้ สองขายาวก้าวไปข้างหน้าแทนที่จะให้เธอเป็นฝ่ายเข้าหาเขาแทน
“อึ่ก!!!” สนับมือซัดเข้าที่ใบหน้าสวยอย่างแรงจนเสียหลักล้มลงไปนอนที่เดิม เขาก้มลงมองร่างนั้นที่กำลังพยายามจะลุกขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะง้างมือขึ้น
“ขอโทษนะ...ฮโยจิน”
ผ้าม่านสีดำปลิวไหวไปตามกระแสลมหนาว ชานยอลนั่งชันเข่าพิงกับผนังเหม่อมองไปอย่างไร้จุดหมายทั้งที่มีแต่กำแพงซีเมนต์เท่านั้นที่อยู่เบื้องหน้า ร่างของสามีภรรยานอนแน่นิ่งด้วยฝีมือของเขา ความหวังคืออะไร? มันไม่มีมาตั้งแต่แรกแล้วเขาก็รู้ แต่การที่จะยอมรับและทำใจอยู่กับความสิ้นหวังให้ได้นี่สิที่มันยากเหลือเกิน
“แง้!!”
“...”
นัยน์ตาเบิกโพลงเมื่อจู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเด็กร้องดังมาจากศพหญิงสาวที่นอนนิ่งอยู่บนที่นอนเก่า ชานยอลค่อย ๆ หยัดตัวลุกขึ้นยืนขณะมองไปยังกระโปรงยาวที่มีบางอย่างดิ้นอยู่ข้างในนั้น
“แง้!!”
“...”
ชานยอลรีบเข้าไปแหวกเรียวขาออกแล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อพบว่าเด็กที่คาอยู่ตรงช่องคลอดกำลังดิ้นทุรนทุราย ริมฝีปากหยักยิ้มออกมาด้วยความดีใจ มือแกร่งประคองร่างเด็กเอาไว้แล้วค่อย ๆ ดึงออกมาได้ในที่สุด
สายสะดือยาวที่เชื่อมต่อระหว่างแม่กับลูก ร่างสูงมองเด็กในมือที่เต็มไปด้วยคราบเลือดแล้วก็ทำตัวไม่ถูก เขาต้องตัดสายสะดือแล้วหาผ้ามาพันรอบตัวเด็กเอาไว้ก่อน...ใช่...นั่นคือสิ่งที่เขาควรทำตอนนี้และหลังจากนั้นจะเอายังไงกับชีวิตก็ค่อยว่ากันอีกที
แต่ยังไม่ทันได้เริ่มตัดสายสะดือรอยยิ้มบนใบหน้าก็เลือนหายไปเมื่อเด็กหยุดดิ้น...สายตาจับจ้องอยู่กับทารกแรกเกิดที่ทำให้เขามีความหวังขึ้นมาหลังจากที่มันจางหายไปหมดแล้ว
“แง้!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
ตุ่บ!!!
ร่างเด็กทารกร่วงลงไปกับพื้นเพราะความตกใจเพียงแค่เห็นดวงตาทั้งสองข้างที่ไร้ตาดำ...ขายาวเดินถอยไปข้างหลังราวกับคนหมดแรงและที่ทำให้เขาแทบสติแตกก็คือเด็กทารกคนนั้นกำลังคืบคลานเข้ามาหาเขาพร้อมกับริมฝีปากที่อ้ากว้าง...
สายสะดือยาวไม่ได้เป็นพันธนาการรั้งเด็กทารกเอาไว้ แน่นอนว่าเด็กแรกเกิดคงไม่สามารถทำอะไรแบบนี้ได้ ชานยอลยังคงช็อกกับภาพที่เห็นจนขยับตัวไปไหนไม่ได้...เสียงร้องของเด็กแรกเกิดยังคงดังเข้าหูไม่ได้ขาด ร่างสูงเดินไปหยิบผ้าขาวที่ตกอยู่บนพื้นหน้าทางเข้าประตูขึ้นมาถือเอาไว้ เด็กคนนั้นยังคงคลานมาที่เขา ชานยอลพลิกตัวเด็กที่กำลังดิ้นทุรนทุรายให้นอนหงายก่อนจะวางผ้าขาวทับลงไป...
ไม่สามารถลงมือได้ทั้งที่ยังเห็นภาพตรงหน้า มือหนาที่กำสนับมือไว้แน่นง้างขึ้นสูงพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว เสียงหวีดร้องของเด็กที่ถูกกดให้นอนอยู่กับพื้นทำให้หัวใจของเขาเต้นแผ่วลงไปทุกที ๆ
‘ชานยอลคะ...’
‘ครับผม’
‘ฉันท้อง...ได้สองเดือนแล้ว...’
“แง้!!!!”
น้ำตาไหลอาบแก้มจนยากที่จะหยุดยั้งได้เมื่อนึกถึงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวของอีโฮจอง...มือของเธอที่จิกเข้าหากันราวกับกลัวว่าเขาจะรับไม่ได้กับสิ่งที่เธอพูด ชานยอลยิ้มกว้างพร้อมกับรั้งตัวคนรักเข้ามากอดแน่น ดวงตาคู่สวยเบิกโพลงอย่างไม่เชื่อตัวเอง
‘แต่งงานกันเถอะ...ผมจะดูแลคุณกับลูกเองโฮจอง’
ปั่ก!!!
“...”
ผ้าขนหนูสีขาวเต็มไปด้วยเลือดสีสดที่ซึมขึ้นมาจากร่างที่อยู่ข้างใต้ สนับมือถูกคลายลงบนพื้นก่อนที่ร่างของเขาจะทิ้งตัวลงอย่างหมดแรง ภาพโศกนาฏกรรมตรงหน้าของพ่อแม่ลูกสลับกับรอยยิ้มของอีโฮจอง...
ภาพตอนที่เขาทั้งคู่ไปสารภาพกับพ่อแม่เรื่องเด็กในท้อง...
ภาพตอนที่เขาพาโฮจองไปฝากท้องที่โรงพยาบาล...
ภาพตอนที่เขาตกแต่งห้องเพื่อเจ้าตัวเล็กที่กำลังจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของเขาในอนาคต...
และภาพ...ตอนที่เขาลงมือเหนี่ยวไกเข้าที่หัวของเธอในวันนั้น...
สองขาก้าวออกมาจากตึกร้างอย่างไร้เรี่ยวแรง กระแสลมที่พัดมาพร้อมกับหิมะแรกในช่วงฤดูหนาวทำให้เขาหยุดฝีเท้าแล้วมองไปยังเบื้องหน้า ทุกอย่างกำลังขาวโพลนเพราะถูกหิมะกลบจนร่างกายหนาวเย็นจนแทบชา รอบข้างไม่มีผู้คน...มีเพียงแค่ความเงียบและความว่างเปล่าที่โรยตัวอยู่โดยรอบ หลายครั้งที่เขามักจะถามตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่...และครั้งนี้ก็เช่นกัน
จะเอายังไงกับชีวิตที่ไร้จุดหมายดีล่ะปาร์คชานยอล?
ร่างสูงก้มลงมองคราบเลือดที่เลอะกรังในมือ...หยดน้ำตาอุ่นที่ไหลอาบแก้มคือสิ่งเดียวที่ตอกย้ำความเจ็บปวดให้กับปาร์คชานยอล ไม่ว่าจะไปที่ไหน...จะอยู่คนเดียวหรือมีคนอยู่ข้าง ๆ ยังไงสิ่งที่หลีกเลี่ยงไปไม่ได้เลยก็คือความเจ็บปวด การมีชีวิตอยู่กับความรู้สึกแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากตายทั้งเป็น บางทีถ้าตายไปมันอาจจะเป็นการจบเรื่องทุกอย่างได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด
ไม่เหลืออะไรแล้ว...ไม่เหลืออะไรเลยสักอย่างเดียว...
TBC
ฉาก CUT ให้เข้าไปดู BIO ของมลินในทวิตเตอร์นะคะ @_malinworld ค่ะ
#คือถ้าอ่านมาถึงตอนนี้แล้วจะยังมีอารมณ์กลับไปอ่านฉาก CUT อีกหม้าย
แกร่งไม่แกร่งเปิดฉากมาเจอ CUT อ่ะคิดดู หน้าสั่นกันกี่ริกเตอร์ หืมๆๆๆๆ 5555555555555555555555555555555555555555555555555555
มีทั้งพรีเมียมและหน่วงลงตับกับพี่ชาร์ล ไม่รู้ว่าจะบรรยายเข้าถึงความดราม่าของพี่ชาร์ลไหม TT_TT
เป็นฉากที่ตัดอารมณ์มาก หลายคนอาจจะแยกแยะอารมณ์ไม่ทัน แต่ก็ช่วยไม่ได้นะคะ (สะบัดบ๊อบ)
#ficzombie
ความคิดเห็น