คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : Chapter 16 :: Wonderment
Chapter 16
Wonderment
“เฮือก!!!”
นัยน์ตาเบิกโพลงพร้อมกับแผ่นหลังที่แอ่นขึ้นมาจากเตียงนอนจนชายสองคนต้องรีบเข้ามาประคองเอาไว้แล้วค่อย ๆ วางลงอย่างเบามือ
“...อึ่ก”
“ไม่ต้องกลัวนะ พี่แค่ฝันร้าย” เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พูดเบา ๆ พร้อมกับปัดไรผมออกจากหน้าผากร่างโปร่งอย่างเบามือ
“แม่งเอ๊ย! ทำไมมันเจ็บอย่างนี้วะ!”
ลู่หานนิ่วหน้า รู้สึกร้าวไปหมดทั้งตัว เหงื่อกาฬซึมออกจากขมับและซอกคอก่อนที่สมองจะประมวลผลถึงสภาวะปัจจุบัน พอเรียกสติกลับมาได้ก็กลอกตามองผู้ชายแปลกหน้าทั้งสองคนที่ยืนอยู่ข้างเตียงด้วยความสงสัย เขายังคงหอบหายใจหนักหลังตื่นจากฝันร้าย
“...พวกคุณเป็นใคร?”
“จะว่ายังไงดีล่ะ คงต้องเรียกว่าคนที่รอดตายเหมือนกันกับคุณล่ะมั้ง” ชายหนุ่มร่างสูงพูดก่อนที่เขาจะเดินไปรินน้ำเปล่าใส่แก้วแล้วยื่นให้กับเขา
ลู่หานรับน้ำมาดื่มทันทีแม้จะยังสับสนอยู่ว่าชายสองคนนี้เป็นใคร น้ำเปล่าไหลลงคอรวดเดียวจนหมดก่อนที่ร่างโปร่งจะหลุบสายตาลงมองเท้าตัวเองที่รองด้วยไม้แผ่นอีกทั้งยังมีผ้ามัดเอาไว้
“...”
“พี่เป็นยังไงบ้าง?” เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างเตียงถาม ลู่หานเหล่มองเขาแค่ครู่เดียวภาพเก่า ๆ ก็ฉายขึ้นมา
“นายคือไอ้เด็กที่ถือปืนคนนั้น?”
“ใช่เลย นั่นแหละผมล่ะ!” เด็กหนุ่มหัวเราะจนตาปิดจนกระทั่งผู้ชายตัวสูงอีกคนเดินมาหยุดอยู่ข้างหลังพร้อมกับขยี้หัวเด็กหนุ่มเบา ๆ
“ปืนเด็กเล่นซะด้วย”
“โธ่...ก็พ่อไม่ยอมให้ผมถือปืนจริงนี่ครับ” เด็กหนุ่มหันไปงอหน้าใส่คนเป็นพ่อ ลู่หานมองทั้งคู่สลับกันแล้วก็หันไปสังเกตรอบข้าง โครงสร้างของห้องแบบนี้น่าจะเป็นโรงแรมหรือไม่ก็อพาร์ตเมนท์...
“ลืมแนะนำตัวไปเลย ผมชเวซีวอน ส่วนนี่ลูกชายของผม...ซูโฮ”
“ขอโทษที่ขู่แบบนั้นนะ ไม่คิดว่าพี่จะกลัวจนเป็นลม” ซูโฮยื่นมือมาตรงหน้าหวังจะสานสัมพันธ์หากแต่ลู่หานกลับมองด้วยสายตาแปลก ๆ แล้วจับมือตอบแบบขอไปที
“ไม่ได้กลัว แต่หมดแรงต่างหาก แต่ก็ขอบคุณที่นั่นเป็นแค่ปืนของเล่นเด็ก ว่าแต่นี่ที่ไหน? อ่ะ...” ลู่หานนิ่วหน้าเมื่อขยับตัวอีกครั้ง เขาต้องทิ้งตัวลงกลับไปนอนเหมือนในทีแรกเพราะขยับตัวแทบไม่ได้
“เส้นเอ็นข้อเท้าคุณฉีก คุณต้องนอนแบบนั้นไปสักพักจนกว่าจะดีขึ้น” ซีวอนรินน้ำชาลงบนแก้วชาเซรามิกซ์ลายสวย ขายาวขึ้นไขว่ห้างพร้อมกับเอนหลังพิงพนักโซฟาแล้วจิบชาร้อนที่ควันลอยฉุยขึ้นบนอากาศอย่างใจเย็นราวกับไม่ตื่นกลัวกับอะไรใด ๆ ทั้งสิ้น
“ชาแอปริคอตหน่อยไหม?”
“ไม่ล่ะ ขอบใจ”
ถึงจะถูกปฏิเสธแต่ร่างสูงก็ยังคงยิ้มอยู่อย่างนั้น ลู่หานสังเกตสองพ่อลูกนี่ตั้งแต่หัวจรดเท้าไปยันพฤติกรรม...เสื้อผ้าที่สวมอยู่ก็ดูมีชาติตระกูลจนเขาลืมไปชั่วขณะว่าโลกใบนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว ความสงสัยก่อตัวขึ้นจนเป็นคำถาม ลู่หานหันไปมองเด็กข้าง ๆ ที่หน้าตาสะอาดสะอ้านพลางมองข้อเท้าตัวเองอีกครั้ง
เส้นเอ็นข้อเท้าฉีกงั้นเหรอ...ผลพวงจากตอนที่ตกท่อสินะ
“พวกคุณดูเหมือนหลุดออกมาจากอีกโลกนึง” ลู่หานเริ่มประโยคปลายเปิด ซีวอนเลิกคิ้วมองอีกฝ่ายก่อนจะวางแก้วชาลงบนโต๊ะ
“การแต่งตัวของคุณน่ะ ทั้งที่เหตุการณ์ผ่านมาเป็นเดือนแล้วแต่ทำไมพวกคุณยังดูสะอาดสะอ้านกันอยู่ล่ะ?”
“ก็ต้องสะอาดอยู่แล้ว เราไม่เคยซักผ้าตั้งแต่เกิดเรื่อง อยากใส่ชุดไหนก็แวะร้านขายเสื้อ สบายจะตาย ไม่หนักด้วย” ซูโฮเป็นคนตอบคำถามแทนร่างสูง
อ๋อ...แม่งชิลกันอย่างนี้นี่เอง...
“แล้วไอ้ชาแอปไปโขกอะไรนั่นล่ะ?”
“อยู่ในห้องน่ะ ดูเหมือนเจ้าของคนเก่าเขาจะชอบดื่มมาก ซื้อมาตุนไว้ซะเยอะ กลิ่นใช้ได้เลยนะ เอาสักหน่อยไหม?” ซีวอนยื่นแก้วมาตรงหน้าแต่ลู่หานยกมือบอกเป็นเชิงปฏิเสธ
“ตาพี่แล้ว”
“อะไรคือตาพี่แล้ว?”
“แนะนำตัวไง ชื่อพี่น่ะชื่อพี่” ซูโฮยังคงยิ้มแม้ว่าอีกฝ่ายยังคงมีท่าทีหวาดระแวงอยู่
“ลู่หาน”
“เป็นคนจีนหรอกเหรอ?” เป็นซีวอนที่ถามขึ้นมา ลู่หานพยักหน้าเป็นคำตอบแล้วหลับตาลงเมื่อรู้สึกเจ็บที่ข้อเท้า
“ไม่อยากจะเชื่อ คุณพูดภาษาเกาหลีได้ดีมากเลยนะ” ร่างสูงยิ้ม
“เกือบชัดกว่าภาษาบ้านเกิดละ”
“แล้วคุณมาจากไหนล่ะลู่หาน?” ซีวอนถามต่อ ร่างโปร่งลืมตาขึ้นแล้วนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้...
โรงเรียน...
ห้างสรรพสินค้า...
บันได...
ทางตัน...
“ผมไม่รู้ว่าตรงนั้นเรียกว่าที่ไหน ผมหนีมาจากโซลเพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้ไม่กี่วัน” ลู่หานเลือกที่จะไม่พูดความจริงเพราะเขาไม่มั่นใจว่าสองคนนี้จะไว้ใจได้มากแค่ไหนหากว่าเขาพูดถึงโรงเรียน
“งั้นเหรอ...แล้วคุณไปโผล่ในท่อน้ำได้ยังไงหืม?” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามจนเขาชักจะไม่แน่ใจว่าผู้ชายคนนั้นเป็นคนยังไงกันแน่ จริงอยู่ที่สองพ่อลูกนี่ช่วยทำแผลให้เขาแต่ว่าโลกนี้มันเริ่มเชื่อใจคนแค่ภายนอกไม่ได้ก็ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ครั้งนั้นนั่นแหละ
“ผมถูกพวกมันไล่ต้อนไปเจอทางตัน”
“ก็เลยเอาตัวรอดโดยการหนีลงท่อระบายน้ำสินะ...ถือว่าเป็นทางออกที่ฉลาดมาก” ซีวอนยิ้มขณะมองคนเจ็บบนเตียง
“อ้อ! ผมลืมคืนนี่ให้พี่เลย” ซูโฮควักบางอย่างออกมาจากกระเป๋า ลู่หานขมวดคิ้วมุ่นจนกระทั่งเด็กหนุ่มวางมันลงบนมือเขา
“...”
มันคือรูปของเขากับแบคฮยอนที่ถ่ายกันเมื่อเช้านี้...
“ตัวพี่เหม็นน้ำเน่ามากผมกับพ่อก็เลยช่วยกันอาบน้ำให้ พอค้นเสื้อผ้าก็เห็นไอ้รูปนี้อยู่ในกระเป๋ากางเกง ว่าแต่นั่นน่ะ...แฟนเหรอ?” ประโยคหลังเบาเสียงลงพร้อมกับใบหน้าที่ยื่นเข้ามาใกล้ราวกับเด็กอยากรู้อยากเห็น ลู่หานเบือนหน้าหลบไปอีกทางราวกับไม่อยากพูดถึงแต่ซูโฮกลับยิ้มพอใจ
“โอเค ๆ ไม่ถามก็ได้”
“ที่นี่ที่ไหน?” ลู่หานหันไปถามร่างสูง ซีวอนยิ้มบาง ๆ ขณะมองมาทางนี้ ผู้ชายคนนั้นอ่านใจยากจนเขาไม่กล้าที่จะไว้ใจ แม้ว่าไอ้เด็กซูโฮที่อยู่ข้าง ๆ ในตอนนี้จะดูไม่มีพิษมีภัยก็เถอะ
“อพาร์ตเมนท์หรูใจกลางเมือง ถัดจากที่ ๆ ผมเจอคุณมาแค่นิดเดียว”
“...”
“ที่นี่มีพวกมันเยอะพอสมควร แต่ชั้นนี้ผมยึดไว้หมดแล้วล่ะเพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาเคาะประตูห้องเพื่อเรียกบริการ room service” ร่างสูงวางแก้วเซรามิกซ์ลงแล้วเดินไปหยุดอยู่หน้าทางออกระเบียงห้องที่ประตูทำด้วยกระจกเลื่อน มือแกร่งรูดผ้าม่านสีน้ำตาลออกปล่อยให้แสงแดดยามเย็นสาดส่องเข้ามา
“พวกคุณเป็นคนประเภทไหนทำไมถึงไม่สะทกสะท้านอะไรเลย ทั้งที่...”
“มีพวกคนตายลุกเดินอยู่เต็มไปหมด” ซูโฮพูดต่อ
“...”
“เราอยู่ชั้นสอง...คงเป็นเพราะมีพื้นที่จำกัดตึกนี้ถึงได้สร้างแค่สี่ชั้น ทั้งที่ตกแต่งห้องสวยระดับโรงแรมห้าดาวแท้ ๆ เชียว คาดว่าราคาแต่ละห้องคงแพงหูฉีกเพราะตั้งอยู่ในตัวเมือง อีกทั้งเฟอร์นิเจอร์มียี่ห้อพวกนั้นน่ะ” ลู่หานมองหน้าร่างสูงที่กำลังยิ้มผ่านกระจกประตูระเบียง หมอนั่นเลือกที่จะบ่ายเบี่ยงคำถามของเขาแล้วเอาแต่พร่ามอะไรไม่รู้หน้าตาเฉย
“คุณเหลือกันอยู่แค่สองคนหรือไง”
“ตอนแรกมีสี่ เป็นเพื่อนของพ่อสองคน แต่ถูกฟันหัวแบะไปแล้ว” ซูโฮเล่าราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติ ลู่หานชักจะรู้สึกแปลก ๆ กับพ่อลูกประหลาดคู่นี้
“อย่าเรียกว่าเพื่อนเลย สองคนนั้นก็แค่คู่แข่งทางธุรกิจ ตาย ๆ ไปได้ก็ดีเหมือนกัน เรื่องมาก” ซีวอนล้วงซองบุหรี่ออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วใช้ริมฝีปากคาบมันออกมาจุดไฟแช็ค เขาหันกลับไปมองเด็กหนุ่มสองคนที่อยู่ในห้องแล้วชะงักเล็กน้อย “โทษที ผมสูบบุหรี่ได้ใช่ไหม?”
“พ่อครับ...ผมบอกแล้วไงว่าอย่าสูบตอนมีแขกอยู่ด้วย” ซูโฮดุคนเป็นพ่อก่อนที่ร่างสูงจะหัวเราะแล้วพ่นควันบุหรี่ให้ลอยขึ้นไปอย่างไม่ยี่หระ
“ไม่เป็นไร ขอผมตัวนึงดิ” ซูโฮหันควับเมื่อได้ยินคนที่นอนเดี้ยงอยู่บนเตียงพูดแบบนั้น ซีวอนเลิกคิ้วมองแล้วก็หัวเราะ เขายื่นบุหรี่ให้ลู่หานและไม่ลืมที่จะจุดไฟแช็คให้
เปลือกตาปิดลงเพื่อลิ้มรสควันบุหรี่ก่อนจะพ่นออกมาทางจมูกและริมฝีปากเบา ๆ ซีวอนมองท่าทีผ่อนคลายของอีกคนแล้วก็วางที่เขี่ยบุหรี่ลงบนที่นอนก่อนจะนั่งข้างขอบเตียง
“ลูกชายผมบอกว่าในเวลาแบบนี้พ่อควรจะเลิกบุหรี่ซะ เพราะสักวันถ้ามันหมดโลกผมคงลงแดงตายเพราะไม่ควันพิษอัดเข้าปอด”
“ลองอัดควันรถเข้าไปดิ เผื่อทดแทนกันได้” ลู่หานพูดเสียงเรียบเฉยทั้งที่ไม่มองหน้าอีกฝ่าย ร่างสูงเลิกคิ้วขึ้นสูงแล้วหันไปมองหน้าลูกชายตัวเอง
“เออว่ะ ฟังดูเข้าท่า ไว้จะลองดูนะ คงซี๊ดไม่แพ้ไอ้ตัวที่คุณอัดอยู่” ซีวอนยิ้มขำ เขาเริ่มถูกชะตากับไอ้เด็กปากดีคนนี้ซะแล้วสิ
“ถามจริงเหอะ คุณสองคนไม่รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจอะไรบ้างเลยหรือไง พวกมันมีกันเต็มบ้านเต็มเมือง แล้วดูพวกคุณดิ พรุ่งนี้จะเอาอะไรกิน เคยคิดบ้างเปล่า?” ลู่หานถามคำถามเดิมอีกครั้ง หรือว่าไอ้พ่อลูกสองคนนี้มันเครียดจัดจนสติฟั่นเฟือนไปแล้ว
“คิดมากไปทำไม เสียสุขภาพจิตเปล่า ๆ เรื่องกินน่ะมันเป็นเรื่องของอนาคต หิวก็ค่อยหา เอามาตุนทำไม พอตอนที่ต้องหนียังไงก็ทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลังอยู่ดี” ซีวอนตอบหน้าตาเฉย เขายังคงมีท่าทีสบาย ๆ เหมือนในทีแรก
“พ่อบอกว่าในเมื่อโลกเปลี่ยนไปแล้ว เราก็ต้องปรับตัวให้ทันกับโลกน่ะ” ซูโฮยิ้มกว้าง
“...”
“ในเมื่อพระเจ้ากำหนดให้เราต้องสู้กับพวกมัน สิ่งที่ต้องทำก็คือสู้...สู้เพื่อเอาชีวิตรอดและทำทุกวิถีทางปกป้องคนที่เรารัก”
บุหรี่ที่จ่ออยู่ตรงริมฝีปากค้างไว้อย่างนั้นเมื่อได้ยินประโยคนี้ ลู่หานลดมือลงเขี่ยบุหรี่ก่อนจะยกขึ้นมาสูบอีกครั้งเมื่อเรียกสติตัวเองกลับมาได้
“นั่นสินะ ทำทุกวิถีทาง...เพื่อปกป้องคนที่เรารัก”
ตอนนี้แบคฮยอนคงกำลังร้องไห้และโทษตัวเองอยู่แน่ ๆ คิดสภาพไม่ออกเลยว่าคนอื่นจะเป็นยังไงบ้าง พวกมันคงคิดว่าเขาตายห่าไปแล้วแน่ ๆ ป่านนี้คนอื่น ๆ จะเป็นไงนะเขาล่ะกลัวไอ้จงอินด่าแบคฮยอนจริง ๆ
“อีกกี่วันขาผมถึงจะหาย”
“น่าจะราว ๆ สิบห้าถึงยี่สิบวันมั้ง ใช่ไหมพ่อ?” ซูโฮหันไปถามคนเป็นพ่อ ร่างสูงเดินมาดูข้อเท้าอีกคนเพื่อเช็คอาการทั้งที่ปากยังคาบบุหรี่ไว้ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย
“อย่างเก่งก็สิบวัน แต่ถ้าเอาชัวร์หน่อยก็น่าจะยี่สิบ”
“นานเกินไป ไม่มีวิธีทำให้ผมหายภายในสามสี่วันนี้เหรอ?” ลู่หานพูดอย่างเอาแต่ใจจนซีวอนแค่นหัวเราะออกมา
“นี่ลูกชาย...เอ็นข้อเท้าฉีกนะไม่ใช่ข้อเท้าพลิก” ซีวอนส่ายหัวเบา ๆ ก่อนจะกลับไปนั่งโซฟาตัวเดิม
“พี่จะรีบไปไหน?” ซูโฮถาม ลู่หานหันไปมองอีกฝ่ายแล้วหลุบสายตาลง
“ฉันต้องไปหาเพื่อน ๆ ป่านนี้พวกมันคงคิดว่าฉันตายแล้ว”
“ขาของคุณกว่าจะเริ่มเดินเหินได้ก็คงอาทิตย์หน้า แต่ถ้าจะให้ดีคุณควรนอนนิ่ง ๆ อยู่บนเตียง อย่าพยายามขยับตัวไปไหนจะดีที่สุด”
“แล้วถ้าปวดขี้ปวดเยี่ยวจะทำไง?”
“อั้นไว้แล้วกัน พรุ่งนี้เช้าผมจะเข้ามาดูอาการอีก ป่ะลูก...ได้เวลาออกกำลังกายแล้ว” ร่างสูงอ้าแขนซ้ายออกเพื่อให้ซูโฮเดินเข้าไปหา แขนแกร่งโอบไหล่ลูกชายสุดที่รักเอาไว้และไม่ลืมที่จะส่งยิ้มให้คนเจ็บเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาทั้งคู่จะเดินออกไป
“นี่มันไม่คิดที่จะชวนกูแดกข้าวเย็นเลยใช่ไหมเนี่ย?”
ลู่หานพึมพำกับตัวเองพลางส่ายหัวหน่าย ๆ เห็นทีว่าวันนี้เขาคงอดข้าวเย็น แต่ช่างเถอะ...ที่เขาปลอดภัยจากความตายในตอนนี้มันก็ดีอยู่แล้ว...
ร่างสูงส่ายหัวหน่าย ๆ หลังจากที่เขาแยกออกมาจากหลังตึก การตักเตือนเด็กนักเรียนมันไม่ใช่หน้าที่ของคนนอกอย่างเขา แต่ถ้าไม่พูดอะไรแล้วปล่อยให้เด็กกลุ่มนั้นลอกขนลิงไปต้มกินหรือเอาไปทำอะไรก็ตามแต่...เขาไม่เห็นด้วย
เขาไม่ชอบที่จะต้องไปยืนกดดันให้นักเรียนกลุ่มนั้นเอาลิงไปทิ้งถังขยะ แต่ถ้าไม่เห็นกับตาเขาก็คงไม่สบายใจจนกระทั่งเด็กผู้ชายคนหนึ่งเอาลิงตัวนั้นไปทิ้งนั่นแหละ เขาถึงได้แยกตัวออกมาสักที
หน้าที่ที่ต้องทำในตอนนี้คือขึ้นไปสอนให้เด็กที่อยู่บนดาดฟ้าใช้ไรเฟิล สองขายาวขึ้นบันไดอย่างไม่เร่งรีบก่อนจะดันประตูออกไป ภาพที่เห็นคือที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังยืนเหม่อลอยตามลำพังตรงขอบรั้ว คนตัวเล็กหันมามองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะซ่อนบางอย่างไว้ข้างหลัง
“คุณคือคิมมินซอกใช่ไหม?”
“ครับ” เด็กหนุ่มตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย อี้ฟานยิ้มบาง ๆ เพื่อให้บรรยากาศในตอนนี้ผ่อนคลายขึ้นกับการสานความสัมพันธ์ครั้งแรกระหว่างเขากับเด็กคนนี้ที่ไม่เคยพูดคุยกันมาก่อน มินซอกหลุบสายตาลงมองปืนในมือแกร่งแล้วเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย
“ผมขึ้นมาสอนคุณยิงปืนน่ะ คิดว่าคุณควรจะฝึกไว้”
“ทำไมถึงต้องใช้มันล่ะครับ?”
“เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้น คุณจะเป็นความหวังของโรงเรียนนี้น่ะ” อี้ฟานเดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ คนตัวเล็กก่อนจะทอดสายตาไปยังเบื้องหน้าที่มองเห็นวิวทิวทัศน์ไปจนสุดสายตา
“ถ้ามีคนบุกรุกเข้ามา เราสามารถเก็บคนพวกนั้นจากมุมนี้ได้ง่าย ๆ ” ร่างสูงตั้งปืนขึ้น เอียงคอไปทางขวาเล็กน้อยเพื่อปรับองศาที่พอดีพร้อมกับส่องกล้อง
“หมายความว่าผมจะต้องฆ่าคนเหรอ?” มินซอกถาม เขารู้สึกไม่ดีกับการที่จะต้องทำอะไรแบบนั้น
“ไม่เชิงหรอก แต่เราอาจจะต้องทำแบบนั้นเพื่อปกป้องโรงเรียนเอาไว้”
“...”
“ที่คุณขึ้นมาเฝ้าเวรบนนี้เพราะอะไรเหรอมินซอก?” อี้ฟานถามพลางเล็งปืนไปรอบ ๆ
“หน้าที่ของผมคือดูว่ายังมีคนรอดชีวิตอยู่ไหม มีการเคลื่อนไหวจากฝั่งไหนบ้าง ดูว่าตรงท่าเรือมีใครไปเอาข้าวของเราหรือเปล่า” ประโยคนี้ทำเอาร่างสูงหยุดชะงัก อี้ฟานลดปืนลงก่อนจะหันมามองคนข้าง ๆ
“ที่เทาไปเจอผมในวันนั้นนั่นก็...”
“ครับ ผมเป็นคนบอกเขาเองว่ามีรถขับไปทางนั้น”
“...”
ทั้งที่คิดมาตลอดว่าที่โรงเรียนต้องมีเวรเฝ้าชั้นดาดฟ้าเพราะกันผู้บุกรุก แต่ที่ไหนได้เขาเข้าใจผิดมาตลอด ร่างสูงโยนความคิดนี้ทิ้งไปแล้วหันมาสนใจกับปืนอีกครั้ง
“เมื่อกี้ผมได้คุยกับแบคฮยอนมานิดหน่อย เขาบอกว่าคุณกับลู่หานสนิทกันพอสมควร”
“คนอย่างเขาจะไปรู้อะไร” มินซอกตอบเสียงเรียบก่อนจะยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมา
“...”
“รู้ทุกเรื่องของคนอื่น...ยกเว้นเรื่องของตัวเอง”
ประโยคกำกวมของมินซอกทำเอาอี้ฟานพูดไม่ออก ถ้าให้คิดอีกแง่เด็กคนนี้อาจจะยังทำใจเรื่องลู่หานไม่ได้และกำลังพาลโมโหแบคฮยอน ดูเหมือนว่าการผูกมิตรกับเด็กคนนี้จะไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เสียแล้วสิ
“นี่ผมต้องลงไปปลุกรูมเมทให้ขึ้นมาเรียนยิงปืนพร้อมกันหรือเปล่าครับ?”
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวตอนที่คุณออกเวรผมจะขึ้นมาสอนเขาอีกทีก็ได้”
“เสียเวลาคุณแย่เลย” มินซอกพึมพำเบา ๆ
“ไม่เป็นไร” ร่างสูงยังคงยิ้มแม้ว่าคนข้าง ๆ จะมีสีหน้าเรียบเฉยเหมือนในทีแรก
“คุณชอบอยู่คนเดียวหรอมินซอก?”
“...”
“ถ้าคุณชอบอยู่คนเดียว ผมจะได้ไม่รบกวนเวลาคุณนาน ๆ น่ะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก”
“...”
“ผมแค่ไม่รู้จะทำตัวยังไง” มินซอกเม้มริมฝีปากแน่นแล้วทอดสายตามองไปยังสนามหญ้า “ผมเป็นคนพูดไม่เก่ง มนุษย์สัมพันธ์แย่ เพื่อนที่ว่ามีน้อยอยู่แล้วก็เหลืออยู่แค่คนเดียวคือรูมเมทของผมที่มีเวลาไม่ตรงกัน”
“แล้วคนอื่น ๆ ล่ะ”
“ตายหมดแล้ว” มินซอกถอนหายใจเบา ๆ แววตาเศร้าหมองผ่านเลนส์แว่นแตกยังคงจดจ้องอยู่กับสนามหญ้าเบื้องล่างอยู่อย่างนั้น
“เพราะงั้นคุณก็เลยเลือกที่จะอาสาขึ้นมาอยู่ที่นี่แทนที่จะใช้เวลาอยู่กับคนอื่น ๆ น่ะเหรอ?”
“จะว่าอย่างนั้นก็ใช่ แต่มันก็เป็นทางเลือกที่ดีไม่ใช่เหรอ ในเมื่อไม่มีใครอยากขึ้นมาอยู่ที่นี่ทั้งวัน ผมกับรูมเมทก็เลยตัดสินใจที่จะทำหน้าที่นี้แทน”
“ฮะ ๆ อยู่ที่นี่ทั้งวัน เคยเบื่อบ้างไหมหืม?”
“เบื่อครับ แต่เวลาเบื่อ...ก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า พอถึงตอนนั้นผมก็จะลืมไปเองว่าก่อนหน้านี้รู้สึกแย่มากแค่ไหน” ดูเหมือนว่าอี้ฟานจะประสบผลสำเร็จกับการทำความรู้จักกับเด็กคนนี้แล้ว ร่างสูงหัวเราะเบา ๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
“ถ้าพูดถึงท้องฟ้า...ลูกสาวผมชอบดูดาวมากเลยล่ะ”
“คุณมีลูกด้วยเหรอ?” มินซอกทำตาโต พลางหันไปมองคนข้าง ๆ อี้ฟานพยักหน้าเป็นคำตอบพร้อมกับรอยยิ้ม “ขอโทษที่ถามแบบนั้นนะ” มินซอกโค้งหัวเล็กน้อยเมื่อนึกขึ้นได้ว่าถามโง่ ๆ ออกไป
“ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่เรามาเริ่มเรียนกันเลยดีไหม?”
“ตอนนี้เลยเหรอ...อ...อื้ม” มินซอกหายใจเข้าลึก ๆ ขณะมองปืนไรเฟิลที่วางอยู่บนรั้ว เขายังไม่พร้อมที่จะจับเพชฌฆาตที่สามารถปลิดชีวิตคนได้ภายในเสี้ยววินาทีแบบนี้เลยจริง ๆ
“แล้วแว่นคุณน่ะ...”
“อ๋อ...มันแตกตั้งแต่วันเกิดเหตุแล้วล่ะครับ ช่างมันเถอะ ผมพร้อมแล้ว”
“โอเค คุณเคยเล่นบีบีกันหรือเปล่า?” ร่างสูงเข้ามายืนซ้อนหลังคนตัวเล็กพร้อมกับช่วยจัดท่าทางในการถือปืน
“เคยครั้งหนึ่งตอนที่ไปเที่ยวกับเพื่อนช่วงปิดเทอมครับ”
“มันก็คงไม่ต่างสักเท่าไหร่ แต่อาจจะดีดแรงกว่าบีบีกันหน่อย เอาล่ะ...วางมันไว้ระดับหัวไหล่แบบนี้นะ” มือใหญ่ช่วยประคองทับมือเล็กและดูเหมือนว่ามินซอกจะตื่นเต้นกับการจับปืนจริงเป็นครั้งแรกมาก
“แบบนี้เหรอ?”
“อืม คุณต้องวางระดับนี้ ต่อไปก็ดึงโบลออกมา” มินซอกกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบากก่อนจะละสายตาออกมาจากลำกล้องที่ติดอยู่กับปืนไรเฟิลเพื่อหา ‘โบล’ ตามที่ร่างสูงว่า
“ตรงนี้ใช่ไหม?”
“ใช่ ดึงมันเข้าหาตัวครับ”
แกร่ก...
“คราวนี้ส่องเข้าไปในลำกล้อง มองหาเป้าหมาย ทำสมาธิให้ดี อย่าลังเลที่จะยิง” นัยน์ตาคมหลุบมองคนตัวเล็กที่กำลังมือสั่นอยู่ มันคงไม่แปลกที่เด็กมัธยมอย่างมินซอกจะรู้สึกกลัว
“ผมทำไม่ได้...”
“ผมรู้ว่ามันยาก งั้นลองกับพวกกินคนดูก่อนนะ” ร่างสูงพยายามพูดโน้มน้าวและเพิ่มความกล้าให้กับคนตัวเล็ก มินซอกพยักหน้าช้า ๆ แล้วหันปืนไปทางด้านขวาซึ่งนั่นก็คือประตูทางออกหลังโรงเรียน
“เห็นผู้ชายคนนั้นไหม?”
“เห็น เขาคือคุณลุงขายต๊อกอยู่หัวมุมถนน”
“งั้นสมมติว่าตอนนี้เรากำลังจะยิงเป้าเพื่อเอาตุ๊กตาตามงานเทศกาล แล้วตรงนั้นคือเป้าหมายตัวสุดท้ายสำหรับรางวัลน้องหมีตัวใหญ่”
“...ตามงานเทศกาลมันก็แค่ห้าเมตรเองนะครับ แล้วผมก็ไม่ได้บ้าตุ๊กตาหมีด้วย...” มินซอกพึมพำ
“ผมรู้คุณทำได้ ตั้งปืนเร็วเข้า” ร่างสูงวางมือบนหัวไหล่อีกคนพร้อมกับโน้มตัวลงมาใกล้ ๆ มินซอกมองเป้าหมายผ่านลำกล้องแล้วเม้มปากแน่น ทำไมมันเล็งยากแบบนี้นะ
“มันจะไม่เสียงดังเหรอ”
“ไม่ครับ ผมใส่ปลอกเก็บเสียงให้เรียบร้อยแล้ว”
“...”
ปัง...
“...” มินซอกลดปืนลงแล้วมองไปยังคุณลุงร้านขายต๊อกที่เซถอยหลังไปเล็กน้อยหลังจากถูกยิงเข้าที่กลางอก “ทำไมยังยืนอยู่ได้อีก?”
“ผมลืมบอกไปว่าคุณต้องยิงมันที่หัว”
“หัวเหรอ?”
“ใช่ อาจจะเล็งยากสักนิด แต่ถ้าคุณคุ้นเคยกับมันเมื่อไหร่ หัวคือตำแหน่งที่ชัดเจนและยิงง่ายที่สุดสำหรับสไนเปอร์ คุณเคยดูหนังที่พระเอกอยู่บนตึกสูงเพื่อดักซุ่มยิงประธานาธิบดีกลางฝูงชนหรือเปล่า?”
“นั่นมันหนังนี่ครับ...” มินซอกพึมพำ
“ผมแค่ยกตัวอย่างน่ะ ถ้าคุณยิงครั้งแรกแล้วโดนกลางหัวเลย คุณคงกลายเป็นคนที่อันตรายที่สุดในเกาหลีใต้แน่ ๆ ” ร่างสูงพูดกลั้วหัวเราะจนคนข้าง ๆ หลุดยิ้มออกมาได้
“นั่นน่ะสิ...คุณก็เคยยิงพลาดเหมือนกันเหรอครับ?”
“นับครั้งไม่ถ้วนเลยล่ะ งั้นเรามาลองอีกครั้งนะ ” อี้ฟานวางมือลงบนหัวของคนตัวเล็กด้วยความเอ็นดู “ดึงโบล อ่าใช่...พอยิงออกไปแล้วรีบตั้งปืนให้เร็วกว่านี้นะ”
ปลอกกระสุนเด้งออกมาจากรังเพลิงก่อนจะร่วงลงบนพื้น มินซอกหายใจเข้าลึก ๆ แล้วจับจ้องไปยังเป้าหมายทั้งที่ยังมือสั่นอยู่ คุณลุงร้านขายต๊อกยังคงเดินเอื่อยมาทางประตูหลังจนกระทั่งลูกกระสุนไรเฟิลเฉียดหัวไปเล็กน้อย
“อา...”
“ไม่เป็นไรคุณทำดีแล้ว ลองคิดแบบนี้สิ...อยู่ข้างบนนี้ไม่มีใครสามารถขึ้นมาทำอะไรคุณได้ ไม่มีอะไรต้องกลัวทั้งนั้น คิดซะว่าพวกมันเป็นเป้ากระดาษตามงานเทศกาล แบบนั้นจะลดความกดดันลงได้นะ”
“ผมยิงปืนไม่เก่ง...ผมเคยเล่นเกมในคอมพิวเตอร์กับเพื่อนแล้วก็ถูกยิงก่อนทุกครั้งเลย” เด็กหนุ่มพูดขณะที่เขากำลังเล็งเป้าไปยังผีดิบตัวเดิม
“นั่นมันแค่เกม เอามาเทียบกันไม่ได้หรอก มั่นใจในตัวเองเข้าไว้สิ”
“...”
ปัง...
“...” มินซอกลดปืนลงพร้อมกับมองไปยังเป้าหมายเพิ่งถูกยิงเจาะเข้ากลางขมับก่อนจะล้มคว่ำหน้าลงไปกับพื้น มินซอกอ้าปากค้างกับฝีมือตัวเองแล้วหันไปมองคนข้าง ๆ ที่กำลังยิ้มให้
“ยินดีด้วยมินซอก คุณสอบผ่านแล้ว”
เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงแล้วที่อี้ฟานสอนให้มินซอกหัดใช้ปืน ดูเหมือนว่าคนตัวเล็กจะเรียนรู้เร็วกว่าที่คิด แต่ติดอยู่ที่ว่าเด็กคนนี้ไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสักเท่าไหร่ ร่างสูงมองไปยังประตูหลังโรงเรียนที่ยังปิดสนิทแล้วก็เป็นกังวล ตอนนี้พวกจงอินจะเป็นยังไงบ้าง...เขาเป็นห่วงจริง ๆ
“คุณมองหาอะไรอยู่เหรอครับ?”
“พวกจงอินน่ะเขาออกไปข้างนอกกันป่านนี้ยังไม่กลับมาเลย คุณเคยคุยกับเขาบ้างหรือเปล่าครับ?”
“ไม่หรอก มีแค่ลู่หานกับบยอนแบคฮยอนเท่านั้นแหละที่ผมเคยคุยด้วย”
“ครับ พวกเขาออกไปตามหาลู่หานน่ะ...ป่านนี้ยังไม่กลับเลย” ร่างสูงถอนหายใจเบา ๆ พอได้ยินแบบนั้นสีหน้าคนตัวเล็กก็ลดลงไปในทันที
“คุณคิดว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่ไหม?” มินซอกถามพร้อมกับเกยคางลงบนท่อนแขนที่พาดอยู่บนรั้ว อี้ฟานหันมามองสีหน้าหงอย ๆ ของอีกคนก่อนจะหลุบสายตาลง
“ผมหวังว่าเขาจะรอด”
“อื้ม” มินซอกขานตอบในลำคอ นัยน์ตาเรียวยังคงมองไปยังท้องฟ้าเบื้องหน้าที่กำลังเป็นสีส้มและอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า...โลกทั้งใบก็จะกลายเป็นสีดำ “คนเราอยู่ได้เพราะความหวัง ผมคิดแบบนั้นมาตลอด”
“...”
“มันเป็นการหลอกตัวเองว่าสักวันหนึ่งโลกของเราจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม แล้วพวกกัดคนก็จะถูกกำจัดไปจากโลกนี้จนหมด...ชิงช้าตรงนั้นจะกลับมาหมุนวนทวนเข็มนาฬิกาอีกครั้ง และท่าเรือตรงนั้นก็จะเต็มไปด้วยเรือขนส่งสินค้า คุณเห็นสะพานตรงนั้นไหม? ตรงนั้นน่ะ...ตอนกลางคืนมันจะมีแสงสว่างกระพริบทุก ๆ หนึ่งชั่วโมงด้วยนะ แต่ตอนนี้...มันไม่มีอีกแล้วล่ะ” มินซอกถอนหายใจ
“...”
“แย่จังเลยนะ”
“...”
“จริง ๆ แล้วสิ่งที่ทำให้คนเราเจ็บปวดที่สุดคงเป็นความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ที่สร้างขึ้นมาเพื่อปลอบใจตัวเองนี่แหละ”
หลอกตัวเอง...ว่าผู้ชายคนนั้นจะกลับมาที่นี่อีก...
กลับมาเพื่อปั่นป่วนชีวิตของเขาอีกครั้ง...
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!”
“กร๊าซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซ”
ทั้งคู่หันไปมองตามต้นเสียงแล้วก็พบกับเด็กนักเรียนหญิงที่กำลังวิ่งหนีตัวกินคนอย่างไม่คิดชีวิตทั้งที่อยู่ในโรงเรียน ร่างสูงเบิกตากว้างก่อนจะควักปืนพกออกมาจากข้างหลังแล้วเล็งไปตรงสนามหญ้าแต่ก็ต้องจิ๊ปากอย่างหัวเสียเมื่อระยะมันห่างกันเกินไป
“คุณอี้ฟาน!” มินซอกยื่นไรเฟิลให้แล้วร่างสูงก็รับมาในทันที คิ้วหนาขมวดมุ่นพร้อมกับสายตาแน่วแน่ที่เล็งไปยังเป้าหมาย
ปัง!
ร่างผีดิบตัวนั้นล้มลงไปกับพื้นก่อนที่เด็กผู้หญิงคนนั้นจะสะดุดล้ม เด็กสาวในชุดพละตะเกียกตะกายถอยหลังพร้อมกับร้องไห้โฮ นั่น...ซนนาอึน?!
“นาอึน!! เธอไม่เป็นไรใช่ไหม?” มินซอกตะโกนลงไปข้างล่าง เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมาทั้งที่ยังน้ำตานองหน้าก่อนจะตะโกนกลับไปยังชั้นดาดฟ้า
“ฉันไม่เป็นไร!!! แต่ในห้องพยาบาลมีพวกกัดคนอยู่เต็มไปหมด ฉันไม่รู้ว่ามันมาจากไหน ช่วยพวกเราด้วยมินซอก!!!”
“บ้าเอ๊ย!” อี้ฟานสบถลอดไรฟันก่อนจะยัดไรเฟิลใส่มือมินซอก คนตัวเล็กลนลานทำตัวไม่ถูกพลางเงยหน้าขึ้นมองร่างสูง
“คุณอยู่ที่นี่ อย่าลงข้างล่างเด็ดขาด ถ้าเกิดมีพวกมันออกมาในระยะที่คุณสามารถยิงมันได้ รีบเก็บมันซะ” ร่างสูงยัดกระสุนที่เอาติดมือมาด้วยใส่มือเล็ก มินซอกยังคงเก้ ๆ กัง ๆ ทำตัวไม่ถูกกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอีกครั้งหลังจากที่เชื้อระบาดในวันแรก
ดูเหมือนว่าสองขายาววิ่งลงข้างล่างไม่ทันใจร่างสูงถึงได้กระโดดข้ามบันไดถึงสี่ขั้นเพื่อลดหย่อนเวลาลง เขาแวะห้องของตัวเองพร้อมกับหยิบปืนพกติดมือมาอีกกระบอกพร้อมกับแม็กกาซีนสำรองจำนวนหนึ่งแล้วรีบลงไปข้างล่าง มือแกร่งปลดแม็กกาซีนออกมาเช็คความเรียบร้อยก่อนจะดันมันกลับเข้าไปเมื่อวิ่งลงมาถึงชั้นล่างสุด
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”
ร่างสูงเซเล็กน้อยเมื่อถูกเด็กจำนวนมากวิ่งชนขณะหนีเอาตัวรอด ตอนนี้เหตุการณ์กำลังชลมุนไปหมด เด็กนักเรียนบางส่วนนอนชักอยู่บนพื้นหลังจากถูกกัดกิน ส่วนบางคนกำลังต่อสู้กับพวกกินคนด้วยอาวุธที่เคยวางเตรียมไว้ข้างผนัง
ปัง!
อี้ฟานยิงไปยังผีดิบที่เกือบเข้าไปถึงตัวเทาที่กำลังใช้ขวานจามหัวอดีตเพื่อนร่วมชั้น ตอนนี้มีเด็กนักเรียนจำนวนมากที่ถูกกัดแล้วและบางคนที่กำลังตะเกียกตะกายหาทางเอาตัวรอด
“เทา!”
เด็กหนุ่มรับปืนที่อี้ฟานโยนมาให้ก่อนจะเล็งไปยังเป้าหมายโดยไม่ต้องคิด ลูกกระสุนแสกเข้ากลางหัวได้ง่าย ๆ เพราะผีดิบเดินเข้ามาในระยะใกล้ก่อนที่ขายาวจะถีบกลางอกจนมันกระเด็นติดผนัง
“ฮือ...”
“พระเจ้า...”
เทาแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเมื่อเห็นหญิงสาวในชุดกาวน์เดินออกมาในสภาพเลือดเต็มหน้าและซอกคอ สองมือเล็กเอื้อมมาข้างหน้าพร้อมกับขาที่ประคองร่างของเธอให้เดินเข้าหาเหยื่ออย่างทุลักทุเล เทาถอยหลังทีละก้าวเพราะยังช็อกอยู่จนกระทั่งอาจารย์สาวฮโยรินทรุดลงไปกับพื้นเพราะถูกอี้ฟานยิง
“คุณควรจะมีสติกว่านี้”
“ผมขอโทษ” เทากลืนน้ำลายลงอย่างฝืดคอ ตอนนี้เขากำลังมองหาใครคนหนึ่งที่เป็นห่วงมากที่สุด...ครูกาฮี...
“ครู...ครูกาฮีอยู่ไหน?”
เทาลนลานแล้วรีบวิ่งตามหาใครอีกคนที่ไม่อยู่ตรงนี้ เด็กหนุ่มกวาดสายตามองศพที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นแล้วก็แทบเป็นบ้าเมื่อเขาตามหาปาร์คกาฮีไม่เจอ
“เทา! เราต้องหยุดพวกนี้ก่อน!”
“แต่ว่า...”
“เราต้องหยุด ก่อนที่พวกมันจะแพร่เชื้อให้กับเพื่อนของคุณทุกคน!” ร่างสูงตะโกนบอกทั้งที่ยังคงเล็งปืนยิงไปยังเป้าหมาย พวกมันมีมากขึ้นจนแทบไม่อยากจะเชื่อ เทากัดฟันกรอดแล้วหันไปยิงพวกติดเชื้อก่อนจะซัดหมัดลุ่น ๆ ใส่ตัวที่กำลังเข้ามาประชิดตัว
“เหี้ยเอ๊ย!”
แบคฮยอนหลุดออกจากความคิดหลังได้ยินเสียงกรีดร้องดังเข้ามาถึงข้างใน ร่างเล็กค่อย ๆ ยันตัวลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปหยุดหน้าประตูแล้วเงี่ยหูฟัง
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!!!!!”
“ช่วยด้วย!!!!!!!!!!!!!!!!! กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด!!!!!!!!!!!!”
“...”
แบคฮยอนผงะถอยหลังออกมาก้าวหนึ่งแล้วยืนใช้ความคิด เสียงกรีดร้องแบบนั้นคงไม่ใช่ในทางดีแน่ เขาเดินไปคว้าไม้เบสบอลที่วางพิงผนังขึ้นมาแล้วเปิดประตูออกไปข้างนอก
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น...เขาคงอยู่เฉย ๆ ไม่ได้แล้ว...
ครืน...
“...”
ตั้งแต่ขับมาจากห้างสรรพสินค้าก็ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาอีกเลย เซฮุนมองคนที่นั่งอยู่ข้างคนขับแล้วก็นึกเป็นห่วง จงอินยังคงซึมเหมือนในตอนแรกที่รู้ว่าลู่หานตายแล้ว แต่ถึงจะเป็นห่วง...แต่โอเซฮุนคงพูดอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้
“ทำไมยังไม่มาเปิดอีกนะ...” ชานยอลพึมพำเบา ๆ พลางชะเง้อหน้ามองเมื่อเขาขับมาจอดหน้าประตูรั้วทางเข้าหอพักแล้วแต่กลับไม่มีคนมาเปิดให้สักคนเดียว
“งั้นผมปีนไปเปิดให้แล้วกัน บางทีคนที่เฝ้าประตูอาจจะ...”
“เดี๋ยวเซฮุน”
“ครับ นั่น...? ไม่นะ...” ทั้งสามคนเบิกตากว้างเมื่อมองลอดผ่านรั้วประตูเข้าไปแล้วก็พบกับเด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งหนีกันอย่างทุลักทุเลในขณะที่พวกกินคนวิ่งไล่กวดไปติด ๆ
“พวกมันมาจากไหนกันวะ?!”
ทั้งสามคนปลดเข็มขัดนิรภัยอย่างเร่งรีบและดูเหมือนว่าจงอินจะเป็นคนที่วิ่งไปถึงรั้วได้เร็วที่สุด ร่างหนาปีนขึ้นไปข้างบนก่อนจะหันกลับไปยื่นมือดึงให้เซฮุนกับชานยอลตามขึ้นมา ทั้งสามกระโดดลงไปข้างล่างแล้วควักปืนออกมาจากสายสะพายพร้อมกับวิ่งเข้าไปในระยะใกล้ก่อนจะยิงตัวกินคนที่มีความเร็วไวพอ ๆ กับเด็กนักเรียนที่กำลังวิ่งหนีเอาชีวิตรอด ร่างของมันไถลลงไปกับพื้นเมื่อถูกยิงเข้าที่หัวอย่างจัง
“เข้าไปในลานอเนกประสงค์ แล้วเปิดประตูให้แค่คนที่ไม่ถูกกัดเท่านั้น!” จงอินตะโกนบอกเด็กนักเรียนที่ยืนผวาอยู่ฝั่งตรงข้าม เด็ก ๆ พยักหน้าเข้าใจแล้วรีบวิ่งเข้าไปในลานอเนกประสงค์ ทั้งนักเรียนชาย-หญิงต่างช่วยกันปิดประตูก่อนจะผงะถอยหลังเมื่อตัวกินคนโผล่มาเกาะรั้วฝั่งตรงข้าม
“กรี๊ดดดดด!!!”
ปัง!
ร่างของผีดิบที่เกาะรั้วอยู่ค่อย ๆ ลมลงไปเมื่อถูกเป่าหัวจากข้างหลัง “ถอยเข้าไป!” ชานยอลลดปืนลงแล้ววิ่งกลับไปที่ตึกเพื่อช่วยคนอื่น ๆ ต่อ
เปรี๊ยงง!!!!
ซ่า...
สายฝนตกลงมาอย่างหนักในขณะที่เหตุการณ์ในตึกยังคงวุ่นวายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นักเรียนจำนวนมากล้มตายและลุกขึ้นมาเป็นผีดิบไล่กัดคนราวกับโรคติดต่อขั้นรุนแรง จนพวกเขาแทบแยกแยะไม่ออกว่าใครติดเชื้อหรือไม่ติดเชื้อบ้าง
“อี้ฟาน!!” ร่างสูงหันมาตามเสียงเรียกก่อนจะรับแม็กกาซีนที่จงอินโยนมาให้ กดปุ่มปลดแม็กกระสุนออกแล้วใส่แม็กใหม่เข้าไปใหม่เตรียมหันไปจัดการกับพวกกินคนอีกครั้ง
จงอินคว้าข้อมือเซฮุนที่กำลังจะขึ้นไปบนชั้นสองเอาไว้ก่อนที่ร่างบางจะหันกลับมามองเขาด้วยความสงสัย
“แบคฮยอนน่าจะอยู่ข้างบนนั่น!”
“พวกมันขึ้นไปไม่ถึงชั้นสี่หรอก...นายน่ะ อย่าอยู่ห่างจากฉันเกินหนึ่งช่วงแขน ได้ยินที่พูดนะ?” จงอินชี้หน้าอีกฝ่ายก่อนจะหันไปยิงตัวกินคนที่กำลังกัดกินศพอย่างเอร็ดอร่อย
ทั้งคู่ช่วยกันจัดการกับพวกผีดิบที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนชานยอลที่วิ่งตามมาทีหลังหยุดอยู่ทางแยกซ้ายขวาและตรงหน้าคือทางขึ้นบันไดไปชั้นสอง
อี้ฟาน จงอิน เซฮุนอยู่ทางซ้าย...แล้วแบคฮยอนล่ะ?
ร่างสูงนึกเป็นห่วงคนตัวเล็กที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ เขาตั้งท่าจะวิ่งขึ้นชั้นสองแต่ก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นคนตัวเล็กกำลังช่วยคนเจ็บอยู่เกือบสุดทางเดินท่ามกลางความชลมุน
“แบคฮยอน!!”
“...ชานยอล!”
“รีบถอยออกมาจากตรงนั้น!!!”
“...อ...ไม่นะ!!!”
นักเรียนที่เจ็บสี่คนก่อนหน้านี้ลุกขึ้นมาในสภาพผีดิบ แบคฮยอนค่อย ๆ เดินถอยหลังจนร่างสูงมองไม่เห็นคนตัวเล็กเพราะถูกพวกกินคนบัง
แบคฮยอนเหวี่ยงไม้เบสบอลติดตะปูฟาดเข้าที่หน้าผีดิบที่กำลังหมายเข้าไปเอาชีวิตเขาอย่างแรงแต่ก็ทำได้เพียงแค่ทิ้งบาดแผลไว้บนใบหน้าของมันเท่านั้น ร่างสูงรีบวิ่งเข้าไปหาคนตัวเล็กแต่ทางเดินมันช่างแคบจนกลายเป็นอุปสรรคที่น่ารำคาญเพราะเด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่งที่กำลังวิ่งสวนทางไป
“รีบไปที่ลานอเนกประสงค์!” ชานยอลหันไปบอกนักเรียนที่เพิ่งวิ่งผ่านไปเมื่อครู่ก่อนจะหันกลับไปทางเดิม แล้วหัวใจของเขาก็หล่นวูบเมื่อพบว่าแบคฮยอนไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว...
มีแต่ฝูงผีดิบที่กำลังรุมกัดกินศพที่นอนตายอยู่บนพื้นเท่านั้น หัวใจเต้นเร็วรัวพร้อมกับขายาวสองข้างที่วิ่งเข้าไป ผีดิบสี่ตัวกำลังรุมกัดศพที่นอนตายอยู่บนพื้นจนแยกแยะไม่ออกว่าก่อนหน้านี้เคยมีหน้าตาแบบไหน
ร่างสูงยิงเข้าที่หัวมันทีละตัวเริ่มจากตัวแรกที่ลุกขึ้นยืนก่อน เสียงหวีดร้องแผดลั่นมาจากข้างหลังเรียกความสนใจให้หันกลับไปมอง ชานยอลเล็งเป้าไปยังเด็กผู้ชายร่างสูงที่กำลังวิ่งไล่ตามเอาชีวิตเด็กหนุ่มคนหนึ่งแล้วก็ต้องทิ้งความสงสัยไว้ตรงนี้แล้วตามไปช่วยคนอื่น ๆ เพราะหาแบคฮยอนไม่เจอ
“กระสุนผมหมด!” เซฮุนพูดแล้วหันไปมองรอบข้าง จงอินมองหน้าอีกฝ่ายแล้วเอาปืนของตัวเองยัดใส่มือร่างบางก่อนที่เขาจะเข้าไปชกหน้าผีดิบให้เซติดกับผนังแล้วควักไขควงออกมาจากกระเป๋าก่อนจะเสียบเข้าตรงปลายคางอย่างแรง
“จงอิน!”
“ไปช่วยอี้ฟาน!”
“...!” ร่างบางเม้มริมฝีปากแน่นแล้วตัดใจวิ่งไปช่วยร่างสูงที่กำลังจะถูกรุม
จงอินดึงไขควงออกแล้วเหวี่ยงร่างไร้วิญญาณลงพื้นก่อนจะวิ่งไปตามทางยาวแล้วกระโดดข้ามรั้วไปข้างนอกเมื่อเห็นเป้าหมายชัดเจน พวกกินคนจำนวนหนึ่งอยู่กลางสนามหญ้ากำลังวิ่งไล่กัดเหยื่ออย่างย่ามใจ เหตุการณ์วุ่นวายไปหมดจนราวตากผ้าล้มระเนระนาดไม่เหลือชิ้นดี กระแสฝนที่ตกลงมาอย่างหนักทำให้เด็กบางคนหกล้มเพราะรองเท้าลื่น บางคนถูกกัด บางคนหนีรอดเพราะได้ความช่วยเหลือจากพวกเขา
เด็กหนุ่มที่ยืนเปียกฝนอยู่ชั้นดาดฟ้ามองเป้าหมายทั้งที่ตาพร่ามัว แน่นอนว่าหากใส่แว่นตอนฝนตกมันคงไม่ต่างอะไรจากตอนที่ไม่ใส่นัก มินซอกถอดแว่นที่แตกร้าวตรงเลนส์ข้างซ้ายออก เขาวางมันลงข้างตัวแล้วหยิบแว่นสีดำออกมาจากกล่อง
มันไม่ได้ทำให้เขามองผ่านเลนส์ชัดขึ้นเลยสักนิดเดียว
แต่ที่ใส่...ก็เพราะว่าเขาต้องการเพิ่มความกล้าให้กับตัวเองเท่านั้น...
“ช่วยผมด้วยนะ...พี่ลู่หาน”
เด็กหนุ่มพูดกับตัวเองก่อนจะตัดสินใจเหนี่ยวไกไปยังผีดิบที่กำลังวิ่งเข้าหาจงอิน
“อั่ก!”
ร่างหนาหันควับเมื่อจู่ ๆ ผีดิบที่วิ่งมาด้วยความเร็วล้มลงไปกองกับพื้นหญ้า พอเงยหน้าขึ้นมองไปยังดาดฟ้าก็เห็นเงาใครคนหนึ่งเล็งปืนมาทางนี้หากแต่เขาไม่มีเวลาตะโกนกลับไปแสดงความขอบคุณ
มินซอกปาดน้ำฝนออกจากเลนส์ทั้งที่ยืนตัวสั่นเพราะความหนาว แต่เขายังคงยืนอยู่ตรงนั้นเพื่อช่วยทุกคนจากพวกผีดิบ...
เหตุการณ์วุ่นวายสงบลงในเวลาถัดมา เสียงสายฝนกำลังตอกย้ำความสูญเสียให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่เศร้ายิ่งขึ้นกว่าเดิม เซฮุนเดินไปเปิดประตูให้กับนักเรียนที่ขังตัวเองอยู่ในลานอเนกประสงค์ก่อนที่ทุกคนจะเดินมารวมกันในสนามหญ้าที่สภาพเละเทะไม่มีชิ้นดี
“มีใครในนี้ถูกกัดบ้างไหม?!”
จงอินตะโกนสู้กับเสียงฝนที่ยังคงตกลงมาอย่างต่อเนื่อง เด็กผู้หญิงยืนกอดกันแน่น เพราะยังคงตกใจกลัวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นโดยที่ไม่ทันตั้งตัว
“ทุกคนแยกกันเป็นสามแถว”
“...”
เด็กทุกคนเดินไปต่อแถวกันอย่างว่าง่ายเมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของจงอิน ทุกคนต่างสลดไม่ต่างกันกับความสูญเสียที่เกิดขึ้น ยิ่งหันไปมองรอบข้างแล้วยิ่งหดหู่เมื่อนักเรียนที่เหลืออยู่ตอนนี้มีไม่ถึงยี่สิบคน อี้ฟานยืนก้มหน้านิ่ง...เขารู้สึกแย่จนพูดไม่ออกที่ไม่สามารถช่วยชีวิตเด็กเหล่านี้ไว้ได้
“ทีนี้เดินออกมาเช็คร่างกายทีละคน” จงอินกระดิกนิ้วเรียกก่อนจะชี้ไปยังปาร์คกาฮีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เทา “ผู้หญิงตรวจกับคุณกาฮี ส่วนอีกสองแถวที่เหลือตรงมาที่ฉันกับอี้ฟาน”
“ชานยอล เห็นแบคฮยอนหรือเปล่า?” เซฮุนถาม ชานยอลลดสีหน้าลงก่อนจะส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“ผมจะขึ้นไปดูเขาบนห้อง” เซฮุนเดินไปข้างหน้าแต่ก็ถูกชานยอลจับไหล่เอาไว้
“ไม่ต้องหรอก”
“ทำไมล่ะ?” เซฮุนขมวดคิ้ว
“...เดี๋ยวผมไปเอง” ร่างสูงตบบ่าคนตรงหน้าเบา ๆ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในตึกขณะที่คนอื่น ๆ กำลังช่วยกันตรวจเช็คร่างกายในเวลาใกล้พลบค่ำ
ขายาวก้าวไปตามทางเดินที่ไม่คงเหลือสภาพดี หัวใจของเขาเต้นช้าลงเมื่อเดินกลับมาตรงเดิมอีกครั้ง...จุดที่เขาเห็นแบคฮยอนหายไปและตรงนี้...
มีศพนอนตายอยู่ในสภาพไม่น่าดูสักเท่าไหร่...
ชานยอลก้มลงเก็บไม้เบสบอลเปื้อนเลือดขึ้นมาดูแล้วก็หัวใจหล่นวูบอีกครั้ง เขาเดินถอยหลังไปจนทรุดลงกับที่นั่งยาวหน้าห้องก่อนจะยกมือขึ้นลูบใบหน้าด้วยความรู้สึกผิด...
ศพที่นอนอยู่ตรงนั้น...รูปร่างคล้ายแบคฮยอนเหลือเกิน
“...”
ไม่มีความหวัง...ในตอนนี้ทุกคนอยู่กลางสนามหมดแล้วแต่แบคฮยอนหายไปไหน ทั้งที่อยู่ในระยะสายตาแท้ ๆ แต่เพียงแค่วินาทีเดียวที่เขาหันไปทางอื่น แต่พอหันกลับมาอีกทีแบคฮยอนกลับหายไปแล้ว
ลุกขึ้นสิปาร์คชานยอล...ลุกขึ้นเดินไปดูใกล้ ๆ ว่าศพที่นอนไส้ทะลักอยู่ตรงนั้นคือแบคฮยอนหรือเปล่า...ร่างสูงกำหมัดแน่น เขารู้สึกแย่จนไม่กล้าลุกไปดู
เขาปกป้องใครไม่ได้...ตั้งแต่อีโฮจองคนรักของเขาจนมาถึงบยอนแบคฮยอนคนที่เขาตั้งใจว่าจะดูแลให้ดีที่สุดตามที่บยอนแบคโฮเคยฝากฝังเอาไว้
กึง...กึง...กึง
“...”
ชานยอลหันควับเมื่อได้ยินเสียงแปลก ๆ มาจากล็อคเกอร์หน้าห้องทางขวามือ เสียงมันเหมือนกับมีใครใช้นิ้วเคาะมันเบา ๆ อยู่ข้างในนั้น ร่างสูงกลืนน้ำลายก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้น...เขาเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าล็อกเกอร์ที่ยังส่งเสียงเคาะเบา ๆ แล้วยืนใช้ความคิด...
‘แบคฮยอนน่ะ...ถูกรังแกมาตั้งแต่เด็ก...’
ตึกตึก...ตึกตึก...
‘ถูกเพื่อนระบายสีบนหน้า ถูกแกล้งสารพัด เสื้อนักเรียนสีขาวมีแต่รอยสกปรกกลับมาทุกวัน ไม่ต้องถามเลยว่าเดือนนึงเขาต้องซื้อเสื้อใหม่กี่ตัว...’
มือซ้ายเอื้อมไปยังล็อกเกอร์เบื้องหน้าอย่างช้า ๆ ส่วนมืออีกข้างดึงมีดออกมาจากสนับขาเตรียมพร้อมที่จะแทงตัวอะไรสักอย่างที่อยู่ข้างในนั้น...
แบคฮยอน...
ได้โปรด...
‘ไหนจะถูกเพื่อนจับแต่งเป็นผู้หญิง ถูกขังในล็อคเกอร์บ้างล่ะ...’
แอ๊ด...
ร่างสูงเปิดล็อกเกอร์พร้อมกับถอยหลังออกไปตั้งหลัก มือขวาง้างขึ้นเตรียมจะแทงหากว่ามีตัวอะไรสักอย่างกล้าพุ่งเข้าใส่ตัวเขา แต่ภาพที่เห็นคือร่างของใครอีกคนที่นั่งขดตัวอยู่ในนั้นด้วยสภาพอิดโรย
“...”
“...ชานยอล”
“...”
ชานยอลทิ้งมีดลงแล้วก้มลงไปดึงคนตัวเล็กเข้ามากอด ใบหน้าเรียวเกยกับไหล่กว้างและปล่อยให้อีกคนกอดอยู่อย่างนั้น มือแกร่งกดแผ่นหลังของคนตัวเล็กเข้าหาตัวเพื่ออ้อมกอดที่แนบแน่นยิ่งขึ้น หยดน้ำตาอุ่นไหลลงทุกครั้งที่กระพริบตา คนตัวเล็กค่อย ๆ เอื้อมมือขึ้นมากอดตอบร่างสูงแล้วซบหน้าลงอย่างโล่งใจ
“ผมขอโทษครับชานยอล...”
“ไม่เป็นไรนะ...ผมอยู่นี่แล้ว”
ร่างสูงกระซิบปลอบใจคนที่กำลังขวัญเสียก่อนจะช้อนร่างบางขึ้นมาอุ้ม แบคฮยอนซบหน้าลงกับอกแกร่งอย่างหมดเรี่ยวแรง การขังตัวไว้ข้างในนั้นมันเกือบจะฆ่าเขาให้ตายได้เพราะขาดอากาศหายใจ
ทั้งที่ตอนแรกเขาพร้อมจะตายเพื่อคนอื่นแล้วแท้ ๆ
แต่พอเห็นหน้าชานยอลในตอนนั้น...บยอนแบคฮยอนถึงได้รู้ว่าเขายังไม่ได้อยากตายจริง ๆ
TBC
แม่ยกไคฮุนใจเย็นตอนหน้าเราจัดให้หนัก ๆ
เราชอบอิมเมจพ่อลูก วอนโฮ มากเลยนะบอกเลย รอดูตอนต่อไป พวกนางสติได้อีกนะ มีอะไรอีกเยอะ 5555555555 ต่อไปจะเป็นยังไงลองเดากันเล่น ๆ นะ
ฟิคเรื่องนี้เดาทางง่ายมาก พูดเลย
#ficzombie
ความคิดเห็น