ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Ending [ทำมือ] ◦แพศยา◦

    ลำดับตอนที่ #9 : #ผู้หญิงแพศยา :: Episode 9 [อัปครบ]

    • อัปเดตล่าสุด 10 ธ.ค. 61








    -E P I S O D E 09-

    หลายวันผ่านไป

    “ไม่คิดจะกลับบ้านไปหาพ่อหน่อยเหรอ” 

    ในเช้าวันหนึ่ง...ในขณะที่ฉันนั่งทาเล็บเพลินๆ อยู่ในห้องรับแขก เสียงทุ้มที่ดังขึ้นพร้อมกับกลิ่นขนมปังก็ทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะลากสายตากลับไป

    ขุนเพิ่งออกมาจากครัว เขาทำขนมปังปิ้งทาแยมรสผลไม้มาให้ทุกเช้า ซึ่งวันนี้ก็เป็นอีกวันที่เขาลงทุนตื่นเช้าเพื่อทำอาหารให้กินด้วยเหตุผลที่ว่า เธอผอมเกินไป

    “อยากกลับก็กลับเอง” ฉันรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อขุนพูดถึงบ้าน แถมยังเอ่ยถึงพ่อฉันด้วย

    เป็นเวลาเกือบอาทิตย์แล้วที่ฉันอยู่ที่นี่ ไม่ได้กลับไปที่นั่น เรียกได้ว่าแทบจะย้ายถิ่นที่อยู่กันเลย

    โชคดีที่วันนั้นฉันเอาของสำคัญติดตัวมาเกือบหมด เลยไม่มีปัญหาจนต้องกลับไปเอาของที่บ้าน เพราะถ้าให้เลือก ฉันก็ไม่อยากกลับไปเหยียบที่นั่นอีกเป็นครั้งที่สอง

    พอกันทีกับอะไรเฮงซวยๆ

    “ถามดีๆ ไม่ได้เหรอ” ขุนทิ้งตัวนั่งบนโซฟาข้างๆ ฉัน โทนเสียงเปลี่ยนไปเล็กน้อยคล้ายกับรู้ว่าฉันกำลังอารมณ์ไม่ดี และส่วนหนึ่งมันมาจากเขาเองที่เป็นฝ่ายเปิดประเด็น “หยุดทาเล็บแล้วกินก่อน”

    “รอให้แห้งแล้วค่อยกิน” ฉันให้คำตอบเขาไปแบบนั้น ก่อนจะได้สายตาตำหนิเล็กๆ กลับมา

    เป็นเพื่อนนะ แต่ทำตัวยิ่งกว่าผัว

    ใครได้เขาเป็นคู่ชีวิตคงยิ่งกว่าเด็กสาวที่อยู่ในโอวาท และบางทีคงถูกจับขุนจนอ้วนเป็นโอ่ง

    “เธอมีควิซย่อยตอนแปดโมงครึ่งนะ” ขุนย้ำเรื่องนั้นไม่พอ ยังชำเลืองตามองนาฬิกาบนฝาผนังซึ่งขณะนี้เป็นเวลาเจ็ดโมงสิบห้านาที

    “นายเป็นเพื่อนหรือผัวฉัน?” 

    เอาจริงๆ ไม่ได้จริงจังอะไรกับสิ่งที่ถามไป เพราะขุนรู้ว่าฉันเป็นคนหงุดหงิดง่ายและไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายในชีวิต ซึ่งฉันเองก็รู้ว่าขุนเป็นคนยังไง

    เขาเป็นแบบนี้มานานแล้ว ถ้ารับไม่ได้คงไม่คบกันเป็นเพื่อนมาจนถึงทุกวันนี้หรอก

    แต่...

    “ฉันเป็นได้หมดถ้าเธออยากให้เป็น”

    “...เหอะ” ฉันแค่นหัวเราะแล้วเบือนสายตาไปอีกทางทันที

    แล้วจุดที่ตรึงสายตาฉันไว้หลังจากนั้นคือทีวีจอแบนที่กำลังฉายข่าวในช่วงเช้าอยู่ ตอนแรกฉันเปิดไว้เพราะไม่อยากให้ห้องมันเงียบจนเกินไป ไม่คิดจะดูอยู่แล้ว จนกระทั่ง...

    มีข่าวการเสียชีวิตของผู้ชายคนหนึ่งบนถนนเส้น XXX

    ...ที่เดียวกับที่ฉันทิ้งเอย์ไว้เมื่อหลายคืนก่อน

    การรายงานข่าวยังคงดำเนินต่อไปโดยที่สมองของฉันเกิดหยุดการทำงานไปชั่วขณะ รู้สึกได้ว่าสิ่งที่อยู่ในหัวฉันมันขาวโพลนซะยิ่งกว่าหิมะ ทั้งหนาวเหน็บ ทั้งเย็นเฉียบ...

    กระทั่งรายละเอียดของผู้ตายถูกนักข่าวรายงานว่า เป็นชายหนุ่มอายุราวๆ 20-24 ปี รูปร่างสูง ผิวขาว ผมสีดำ จากสภาพศพที่ขึ้นอืดและส่งกลิ่นเหม็น คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 3 วัน

    เอย์สูงโปร่ง

    ผิวขาว

    ผมสีดำขลับ

    และฉันทิ้งเขาไว้ในคืนนั้น ซึ่งผ่านมาราวๆ 3-4วันเห็นจะได้

    พรึ่บ!

    เหมือนขุนรับรู้ได้ถึงความผิดปกติจากฉัน เขาจึงคว้ารีโมทไปปิดทีวี ไม่เพียงเท่านั้นยังโยนมันไปอีกทางเหมือนกลัวว่าฉันจะแย่งมาเปิดดูอีก

    “รู้นะว่าคิดอะไรอยู่” โทนเสียงของเขาแสดงถึงความกังวลอยู่หลายส่วน ซึ่งปฏิกิริยาดังกล่าวส่งผลต่อฉันอย่างรุนแรง จนสุดท้ายฉันต้องเคลื่อนสายตากลับไปมองเขา

    ครั้นเมื่อพบกับใบหน้าคมคายของขุน ความทรงจำในคืนนั้นก็ไหลย้อนเข้ามา

    ฉันแทงเอย์ด้วยปากกาด้ามหนึ่งจนเลือดท่วม ทิ้งเขาไว้ที่นั่นและกลับมาถึงคอนโดฯ ขุนในสี่สิบนาทีต่อมา ฉันพบว่าขุนยืนรออยู่ตรงลอบบี้ชั้นล่างสุดของคอนโดฯ...

    จริงๆ เขาบอกฉันว่าร้อนใจอยู่เหมือนกันที่ตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอ โชคดีที่ก่อนกลับไปหาเขา ฉันได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กแล้วพบว่าเขาติดต่อมาหลายครั้งมาก ฉันจึงเป็นฝ่ายส่งข้อความไปบอกว่าไม่เป็นไร กำลังจะกลับไป นั่นเป็นเหตุผลที่ขุนต้องมารอฉันตรงล็อบบี้

    จังหวะที่ฉันลงจากรถ ขุนเห็นคราบเลือดบนมือฉัน เห็นหยดเลือดกระเซ็นเลอะเสื้อผ้าที่ฉันสวม รวมถึงใบหน้าของฉันที่เขาเป็นคนพูดเองกับปากว่า ‘โคตรไร้จิตวิญญาณ

    อยากเล่าอะไรไหมขุนเป็นฝ่ายเปิดปากถาม

    ‘…ฉันคิดว่ามันอาจจะตายส่วนนี่คือคำตอบของฉัน

    อือ

    ถ้าฉันฆ่าคน นายยังจะเห็นฉันเป็นเพื่อนอยู่ไหม?

    ขุนกุมมือที่เต็มไปด้วยเลือดของฉัน กอดฉัน แล้วกระซิบข้างหูว่า ฉันอยู่ข้างเธอ

    คำตอบของขุนก่อเกิดความพิลึกพิลั่นตรงหน้าอก ไม่ใช่อาการเจ็บปวด ไม่ใช่ความตื้นตัน แต่เป็นการตอกย้ำความคิดที่ว่า ฉันรักคนไม่ผิดจริงๆ

    และใช่ เราเป็นเพื่อนกัน

    แต่ฉันคิดกับเขาเกินกว่าเพื่อนมาสักพักแล้ว

    ถ้าถามว่าทำไมถึงไม่มีสัญญาณใดๆ เลย คำตอบคือ...ฉันแค่อยากเก็บมันไว้ในใจมากกว่าจะเผยออกไปให้เขาได้รู้

    ขุนเป็นผู้ชายที่ดี ใช่ว่าฉันไม่ต้องการเขาในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง แต่เพราะในอดีตฉันเคยเจ็บกับเรื่องความรักมาแล้ว เคยได้รับบทเรียนมาแล้ว นั่นเป็นอีกเหตุผลที่ฉันขอเก็บความรู้สึกนี้แค่คนเดียวโดยที่เราสองคนยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้

    ฉันจะไม่ยอมเสียเพื่อนคนนี้ไปเด็ดขาด

    ฉันสาบาน

    ฉันกระชากภาพเมื่อหลายคืนก่อนออกจากหัวเพื่อกลับมาสู่ปัจจุบัน และภาพปัจจุบันคือขุนที่กำลังวางมือหนาไว้เหนือศีรษะฉัน ใช้สายตาที่มองแล้วอุ่นไปทั้งหัวใจอย่างเช่นทุกครั้งเวลาฉันเคร่งเครียดหรือแบกรับบางสิ่งไว้

    แต่เปล่าเลย ฉันไม่ได้เครียด

    ฉันแค่ไม่เคยฆ่าคน

    เอย์คือเพื่อนคนแรก คือคนรักเก่า คือน้องชายต่างแม่ และเขา...คือคนแรกที่ฉันฆ่าด้วยมือคู่นี้

    “ตำรวจจะมาจับฉันไหม?” หลังจากเงียบไปพักหนึ่งเพื่อเรียบเรียงอะไรหลายอย่างภายในหัว ในที่สุดฉันก็ลองถามขุนออกไป มันเป็นคำถามที่เบสิกและโง่เง่าในเวลาเดียวกัน

    ครอบครัวฉันรวย เอาเงินปิดปากตำรวจสักล้านสองล้านคงไม่ใช่เรื่องยาก

    แต่ฉันไม่ชอบทำอะไรที่มันเสียศักดิ์ศรี นั่นต่างหากคือประเด็น

    “ศพในข่าวอาจไม่ใช่มันก็ได้” ขุนพูดอีกแง่หนึ่งซึ่งแตกต่างจากสิ่งที่ฉันคิดอย่างสิ้นเชิง

    เขาไม่ใช่คนมองโลกในแง่ดีนัก แต่ในช่วงเวลาที่แย่ที่สุด เขาสามารถทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลายได้ และคิดว่า...เออ มันก็อาจจะเป็นอย่างที่เขาว่ามา

    แต่นี่มันเหมือนเป็นการปลอบใจตัวเองเกินไป

    การที่เอย์ตาย มันมีทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดีในความรู้สึกฉัน

    เรื่องดีคือฉันไม่ต้องเห็นเขาอีก ถือเป็นการกำจัดคนเฮงซวยอีกหนึ่งออกไปจากสารบบ

    เรื่องไม่ดีคือ...คำว่า ฆาตกรมันจะอยู่ติดตัวฉันไปจนตาย

    ฉันคงไม่มีความสุขนัก

    ก็ต้องเลือกเอาว่าเป็นแบบที่หนึ่งหรือแบบที่สอง

    “แต่ลักษณะเหมือนหมอนั่นเกือบแปดสิบเปอร์เซ็นต์” ฉันยังจำสิ่งที่นักข่าวคนนั้นรายงานได้ สีผมยังไง สีผิวแบบไหน รูปร่างส่วนสูงประมาณเท่าไหร่

    ใกล้เคียงเอย์เกินไป

    มันคงไม่บังเอิญจนน่าตกใจขนาดนี้

    ในโลกนี้...สำหรับฉันไม่มีอะไรคือความบังเอิญ

    “ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ช่าง” ขุนทำให้ฉันอดไม่ได้ที่ขมวดคิ้ว ตอนนั้นฉันพบว่าปลายนิ้วแข็งกระด้างเคลื่อนมาสัมผัสผิวแก้มฉันแล้ว

    ขุนเป็นแบบนี้มานานแล้ว คำพูด ปฏิกิริยา การแสดงออกต่างๆ นานาให้ความรู้สึกเหมือนกำลังโดนจีบ

    ฉันไม่เคยพยายามตีความหมายกับทุกสิ่งที่เขาทำ เพราะอย่างที่บอกไป ยังไงขุนและฉันก็เหมาะกับการเป็นเพื่อนกันที่สุดแล้ว

    “ทำไม?” ฉันถาม

    “...เปล่า”  

    คำตอบปริศนานั่นทิ้งความคาใจไว้ที่ฉันเป็นปริมาณมาก ถ้าหากมีเวลามากพอ ฉันก็คงเลือกที่จะถามต่ออีกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

    แต่อย่างที่รู้...วันนี้ฉันมีควิซย่อย เลยต้องกระชากความรู้สึกส่วนนั้นทิ้งไปและหันมาใช้ชีวิตประจำวันให้เป็นปกติเท่าที่จะทำได้

    จนกระทั่งเวลาผ่านไป... 


    Aey Describe

    “สภาพมึงนี่มันดูไม่ได้เลย”

    “...”

    “ไอ้เอย์! เหม่ออะไรของมึงวะ” แรงตบบริเวณศีรษะทำให้ผมที่นั่งสูบบุหรี่อยู่เงียบๆ ต้องเคลื่อนสายตากลับไปมองเจ้าของฝ่ามือ กระทั่งพบกับใบหน้าหงุดหงิดของไอ้ดิน...หนึ่งในเพื่อนที่ผมแสนจะไว้ใจ

    ผมไม่ค่อยได้เล่าเรื่องเพื่อนให้ฟังใช่ไหม

    จริงๆ เรื่องมันไม่ได้มีอะไรพิเศษ เพื่อนก็เพื่อน แค่นั้น

    และถ้าหากสงสัยว่าตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่...

    “กูง่วงเฉยๆ” ผมตอบแบบขอไปที เป็นคำตอบที่ไม่ได้ผ่านการคิดเหมือนที่คนอื่นๆ ทำกัน ผมแค่...อยากตัดบทแล้วนั่งอยู่เงียบๆ คนเดียวมากกว่า

    หลายวันแล้วนับตั้งแต่เรื่องในคืนนั้น เกลเอาปากกาแทงผมจนขยับร่างกายแทบไม่ได้ ผมเจ็บ เลือดท่วม ทำอะไรไม่ได้นอกจากเค้นสังขารทุเรศๆ เพื่อโทรหาใครสักคนที่สามารถติดต่อได้ในเวลานั้น แต่เหมือนโชคจะไม่เข้าข้างผมเท่าไหร่ เพราะตอนนั้น...ไม่มีใครรับสายผมเลย

    ไม่มีเลยสักคน

    ตัวเลือกสุดท้ายจึงไปตกอยู่ที่กิ่ง น้องสาวเกล

    ผมไม่อยากรบกวนเธอนัก แต่เพราะก่อนหน้านั้นเราคุยกันทางไลน์แล้วผมเผลอพิมพ์อะไรโง่ๆ ออกไป นั่นทำให้กิ่งเข้าใจว่าผมคงอยากคืนดีกับเกลในฐานะคนรักแน่ๆ

    นั่นเป็นเหตุผลที่เธอวางแผนและยอมให้ชื่อเฟซกับพาสเวิร์ดมา สุดท้ายเกลที่เป็นห่วงน้องสาวยิ่งกว่าอะไรในโลกนี้จึงติดกับ แล้วเรื่องมันก็เป็นอย่างที่เห็น

    โชคร้ายซ้ำสองตรงที่กิ่งไม่รับโทรศัพท์ ซึ่งผมคิดว่าเธอคงนอนแล้วจึงไม่ได้รบกวนอะไรอีก

    ผมปล่อยให้ตัวเองนอนอย่างหมดสภาพตรงนั้นและรอให้รถสักคันผ่านมา

    รอแล้วรอเล่า

    ไม่ได้นับว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่ในครั้งที่ผมเริ่มรู้สึกว่าหัวใจมันเต้นช้าลงเหมือนคนใกล้ตาย พละกำลังเฮือกหนึ่งก็ฉุดให้ผมลุกขึ้นยืน เดินซวนเซไปเรื่อยๆ อย่างไร้เรี่ยวแรง อยากจะเคลื่อนไหวให้รวดเร็วกว่านี้ แต่ทำไม่ได้ เพราะปากกายังปักอยู่ตรงสีข้างผม

    ผมเดินไปเรื่อยๆ จนความมืดมิดถูกแสงอาทิตย์กลืนกิน และกิ่งที่คาดว่าเพิ่งตืนก็ติดต่อกลับมา

    เธอเป็นคนช่วยผมไว้เป็นครั้งที่สอง ดูแลผมเหมือนตอนโดนอัดครั้งนั้นไม่มีผิด

    กิ่งพาผมไปโรงพยาบาล นอนพักที่นั่นไม่กี่วันหมอก็อนุญาตให้ผมกลับได้ และผมตัดสินใจนอนพักที่บ้านยายเธอแค่คืนเดียวเนื่องจากไม่รบกวนมากไปกว่านี้ โชคดีหน่อยที่กิ่งมีเสื้อผู้ชายติดตู้อยู่ตัวหนึ่ง เธอจึงให้ใส่ออกจากบ้านมาในวันนี้

    จริงๆ ผมก็สงสัยเหมือนกันว่าเสื้อตัวนี้เป็นของใคร

    “สรุปยังไง จะเล่าให้ฟังไหมว่าเกิดอะไรขึ้น” ผมมาหอพักไอ้ดินเพราะอยากพักที่นี่สักหน่อย แต่มันพูดพร่ำถามไถ่ไม่หยุด รำคาญฉิบหาย... “ไม่ค่อยโผล่หัวมามอทีหนึ่งแล้ว ยังตีกับชาวบ้านเก่ง เจ็บตัวเก่ง เลือดสาดเก่ง ทำหน้าเหม็นเบื่อเก่งอีก”

    “...”

    “ถ้าจะเงียบแบบนี้ก็ออกไปซะไป” ไอ้ดินไล่ผมเหมือนหมูเหมือนหมา ส่วนผมยังนั่งนิ่ง “โน่น...ไปให้ยัยเกลสุดที่รักมึงดูแล กูไม่ใช่เมียมึงเหมือนยัยนั่นนะ”

    เมียเหรอ...หมายถึงเกล?

    ไม่มีหรอก

    ในหัวใจผมไม่มีผู้หญิงที่ชื่อเกลอีกแล้ว 

    ผมคงรักคนที่คิดจะฆ่าตัวเองไม่ลง

    “หึ...” เมื่อนึกใบหน้าเย่อหยิ่งรวมถึงน้ำเสียงที่หวานแบบห้วนๆ แล้วความจุกก็พร้อมใจกับโจมตีผม นึกสมเพชตัวเองอยู่ทุกครั้งที่ช่วงหนึ่งในชีวิตเคยให้ใจเธอไปทั้งดวง

    เธอมักชอบทำเหมือนผมเป็นตัวปัญหา

    ชอบพูดเหมือนผมคือคนเดียวที่ผิด

    ผมรู้ว่าผมทำอะไรอยู่ แต่เธอต่างหากที่แม่งไม่รู้อะไรเลย

    ยัยโง่...

    อยากบ้าก็บ้าซะให้พอ จะไปเอากับผู้ชายคนไหนก็ไป

    “ทำหน้าน่ากลัวอีกแล้วนะมึง” ไอ้ดินคงสังเกตเห็นสีหน้าผมเข้าจึงใช้ตีนสะกิดอีกครั้ง “...คิดจะทำอะไรไม่ดีอยู่หรือเปล่า บอกกูมา”

    เวลาอยู่กับเพื่อน ปกติผมจะร่าเริง พูดเยอะ ไม่ชอบปล่อยพลังด้านลบให้พวกมันคอยเครียดตามไปด้วย แต่รอบนี้ผมว่ามันยากที่จะเก็บไว้

    นั่นอาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ไอ้ดินปรับเปลี่ยนการพูด รวมถึงน้ำเสียงที่กลับมาเคร่งขรึม

    ผมมองหน้ามันอีกครั้ง จ้องมันอยู่พักหนึ่ง...

    “พูดเหมือนจะคอยให้ท้าย” ก่อนประโยคนี้จะหลุดออกไปจากปากผมพร้อมกับควันบุหรี่

    เรียวคิ้วไอ้ดินขมวดเล็กน้อยเมื่อได้ยินบางสิ่งจากผม แต่เพียงไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นมันก็พยักหน้าให้ เรียกได้ว่าแทบไม่ต้องใช้เวลาคิดเลยด้วยซ้ำ

    “ช่วยได้ก็ช่วย” คำพูดของไอ้ดินทำให้ผมรู้ว่า...แม้จะสูญเสียผู้หญิงเลวๆ อย่างเกลไป อย่างน้อยผมก็ยังมีเพื่อนดีๆ คอยอยู่เคียงข้างกัน “แต่อะไรที่เสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางกูต้องคิดดูก่อนนะ ไอ้ฟ่างมันไม่ชอบ”

    ฟ่าง...คือหนึ่งในกลุ่มเพื่อนสนิทผม

    แต่ผมเป็นคนเดียวที่รู้ว่าไอ้ดินคิดไม่ซื่อกับเธอ คิดจะรวบรัดอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ ผมเชียร์นะ แต่ก็ได้แค่เชียร์อยู่ห่างๆ

    “อือ” ผมครางออกมาหนึ่งคำ

    ไม่ต้องห่วงหรอก ผมไม่คิดจะทำอะไรโง่ๆ อยู่แล้ว

    ทุกวันนี้โง่มามากพอแล้ว โง่ที่ไปรักเกล...ยัยผู้หญิงแพศยา

     

    เวลาผ่านไป

    ตอนนี้ผมอยู่ที่แอลกอฮอล์...ร้านนั่งชิลที่ผมและผองเพื่อนมักมานั่งสังสรรค์กันเป็นประจำเวลาดึกดื่น

    อาการผมดีขึ้นมากแล้ว สามารถกินเหล้าได้ตามปกติแล้วหลังจากที่หมอห้ามไม่ให้แตะของพวกนี้จนกว่าบาดแผลจะสมาน

    อยากมานาน...ในที่สุดก็ได้ดื่มสักที

    และคงเพราะดื่มมากเกินไปนี่เอง ทำให้หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นผมต้องปลีกตัวจากฝูงเพื่อนเพื่อมาเข้าห้องน้ำ

    แต่จังหวะที่เดินผ่านโซนห้องน้ำหญิงซึ่งอยู่ติดกับห้องน้ำชายมากๆ นั้น สายตาก็สะดุดเข้ากับความสวยของผู้หญิงคนหนึ่งในชุดเดรสสีดำสนิทแบบผ่าหลัง เธอกำลังเติมลิปสติกสีแดงสดบนริมฝีปากบริเวณซิงก์ล้างมือซึ่งมีกระจกบานเล็กให้ส่อง

    เธอเห็นผมเหมือนกัน

    และเธอกำลังมองผมผ่านกระจกบานนั้น...

    นัยน์ตาคมเฉี่ยวเบิกขึ้นนิดๆ จนแทบสังเกตไม่ได้ แต่ผมสัมผัสได้ว่าเธอตกใจที่เห็นผม เหมือนผมเป็นผี ปีศาจ หรืออะไรสักอย่างที่ไม่ควรมาเดินอยู่แถวนี้

    แล้วผมควรไปอยู่ไหน? ใน นรกเหรอ?

    คงคิดว่าผมตายไปแล้วล่ะสิ...

    สบตากันได้ไม่นานผมก็เป็นฝ่ายลากสายตากลับมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    ก็แค่คนแปลกหน้าที่สวยมากๆ คนหนึ่ง

    ไม่มีอะไรพิเศษ ไม่มีอะไรทั้งนั้น...

     

    “กูเห็นยัยเกลคนสวยคนแซ่บของมึงแวบๆ”

    ผมกลับมานั่งตรงโต๊ะรวมกับกลุ่มเพื่อนในไม่กี่นาทีให้หลัง แต่ก้นสัมผัสเก้าอี้ได้ไม่ถึงนาที...ความหงุดหงิดในปริมาณที่ไม่มากนักก็ก่อตัวขึ้นในใจเมื่อได้ฟังประโยคบอกเล่าที่โคตรไร้สาระของไอ้ดินซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ กัน

    “ใคร?” ผมถามเสียงเรียบ “ไม่รู้จัก”

    “...?” ไอ้ดินทำหน้างุนงง ส่วนผมยกเหล้าขึ้นมาดื่มสองอึก “กูถามจริง มึงอำกูเปล่าเนี่ย...”

    ไอ้ดินชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ๆ ราวกับต้องการความแน่ใจว่าผมไม่เพี้ยนไปจนลืมสิ่งที่เคยสำคัญที่สุดจริงๆ

    ผมไม่ได้อำใครเล่น ไม่ได้เพี้ยน และไม่ได้บ้า

    แต่ผมไม่อยากได้ยินชื่อผู้หญิงคนนั้นอีก การเริ่มต้นใหม่ไม่ควรจะมีมลทินตั้งแต่แรก...มันน่าหงุดหงิด

    และใช่ ผู้หญิงที่ผมเจอก่อนหน้านี้คือเกล

    คนแปลกหน้าคนนั้นคือเกลเอง...วันนี้เธอแต่งตัวเด็ดมาก ไม่รู้มาอ่อยใคร

    ไม่ได้เจอกันนาน รู้สึกได้เลยว่าเธอสวยขึ้น ความตายของผมคงทำให้เธอมีความสุขมาก น่าปลื้มใจจริงๆ

    “ไม่ต้องพูดถึงยัยนั่นอีก” ผมบอกไอ้ดินดีๆ แล้วดื่มต่ออีกแก้ว

    จนเวลาล่วงเลยผ่านไปราวๆ สองชั่วโมง เพื่อนๆ ในกลุ่มก็ทยอยกลับกันหมด ส่วนผมกับไอ้ดินอยู่ต่ออีกหน่อยถึงเช็กบิลแล้วออกมาจากร้าน

    “มึง...นั่น...” จังหวะที่ผมสตาร์ทรถ ไอ้ดินที่ขับนำผมไปนิดเดียวเกิดชะงักแล้วหันมาเรียกผมเสียงเครียด ผมที่เห็นถึงความผิดปกติบางอย่างทำได้แค่เลิกคิ้วขึ้นแล้วขับไปจอดอยู่ข้างๆ มัน

    ไอ้ดินพยักพเยิดหน้าไปตรงจุดหนึ่ง ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้ผมเห็นเหตุการณ์บางอย่างเข้า เป็นเหตุการณ์ที่คนดีของสังคมจะต้องปรี่เข้าไปช่วยอย่างแน่นอน

    แต่ผม...มองเฉยๆ

    “ทำไม?” ผมถามเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่

    ก็แค่ผู้หญิงชุดดำคนหนึ่งที่ผมไม่อยากรู้จัก เธอก็แค่...กำลังถูกผู้ชายคนหนึ่งที่ตัวสูงกว่า มีพละกำลังมากกว่าลวนลาม

    “เฮ้ยไอ้เอย์ นั่นเกลนะ”

    “แล้วไงต่อ” ผมหยิบหมวกกันน็อกขึ้นมาสวมเพื่อปิดบทสนทนา “ไม่ใช่เรื่องของกู”

    จะไม่มีการแก้แค้น จะไม่มีการเอาคืน

    แต่ถ้าวันไหนเธอลำบาก เธอทรมาน ผมจะมอง...มองอยู่แบบนี้

    เรื่องของเธอ ผมจะสาระแนทำไม จะเป็นจะตายยังไงมันก็ไม่เกี่ยวกับผม

    ว่าแล้วผมก็ขับรถจากมาโดยไม่แม้แต่จะเหลียวหลังกลับไป...

    ...
    MA-NELL'S ZONE
    กรี๊ดกร๊าดด อัปเเย้ววๆๆๆๆๆ
    จุดเปลี่ยนของจริงคือนับตั้งเเต่ตอนนี้นะ ที่ผ่านมาถือว่าน้ำจิ้มมม

    ป.ล เผื่อมีคนสงสัยว่าทำไมไม่ดึงปากกาออกไปเลย คือมันเอาออกเองไม่ได้นะคะ อันตรายมาก
    การที่เราดึงออกเองอาจจะทำให้อวัยวะภายในเกิดความเสียหายกว่าเดิม เสียเลือดกว่าเดิม ตายเร็วกว่าเดิม
    ฉะนั้น เวลาโดนมีดเเทง หรือโดนอะไรเสียบ ทางที่ดีควรรีบห้ามเลือดเเละพาส่งโรงพยาบาลนะ

    ติดเเท็ก #ผู้หญิงแพศยา




    ป.ล ขอพื้นที่ฝากนิยายน้องหน่อยนะคะ
    เป็นน้องนักเขียนของเมย์เองง มาเร๊วว จิ้มๆ
    https://writer.dek-d.com/swingblack/story/view.php?id=1880887&fbclid=IwAR3uHZPfphiiVUa0WGwO48G1tVEi6JV2dcnr7B_CL33JznsGCsSmHKJok0U
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×