-- Hidden
Content partคงคิดว่าผมตายไปแล้วล่ะสิ...สบตากันได้ไม่นานผมก็เป็นฝ่ายลากสายตากลับมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ก็แค่คนแปลกหน้าที่สวยมากๆ คนหนึ่ง
ไม่มีอะไรพิเศษ ไม่มีอะไรทั้งนั้น...
“กูเห็นยัยเกลคนสวยคนแซ่บของมึงแวบๆ”
ผมกลับมานั่งตรงโต๊ะรวมกับกลุ่มเพื่อนในไม่กี่นาทีให้หลัง
แต่ก้นสัมผัสเก้าอี้ได้ไม่ถึงนาที...ความหงุดหงิดในปริมาณที่ไม่มากนักก็ก่อตัวขึ้นในใจเมื่อได้ฟังประโยคบอกเล่าที่โคตรไร้สาระของไอ้ดินซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ
กัน
“ใคร?” ผมถามเสียงเรียบ “ไม่รู้จัก”
“...?” ไอ้ดินทำหน้างุนงง ส่วนผมยกเหล้าขึ้นมาดื่มสองอึก
“กูถามจริง มึงอำกูเปล่าเนี่ย...”
ไอ้ดินชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ๆ
ราวกับต้องการความแน่ใจว่าผมไม่เพี้ยนไปจนลืมสิ่งที่เคยสำคัญที่สุดจริงๆ
ผมไม่ได้อำใครเล่น ไม่ได้เพี้ยน
และไม่ได้บ้า
แต่ผมไม่อยากได้ยินชื่อผู้หญิงคนนั้นอีก
การเริ่มต้นใหม่ไม่ควรจะมีมลทินตั้งแต่แรก...มันน่าหงุดหงิด
และใช่ ผู้หญิงที่ผมเจอก่อนหน้านี้คือเกล
คนแปลกหน้าคนนั้นคือเกลเอง...วันนี้เธอแต่งตัวเด็ดมาก
ไม่รู้มาอ่อยใคร
ไม่ได้เจอกันนาน
รู้สึกได้เลยว่าเธอสวยขึ้น ความตายของผมคงทำให้เธอมีความสุขมาก น่าปลื้มใจจริงๆ
“ไม่ต้องพูดถึงยัยนั่นอีก”
ผมบอกไอ้ดินดีๆ แล้วดื่มต่ออีกแก้ว
จนเวลาล่วงเลยผ่านไปราวๆ สองชั่วโมง
เพื่อนๆ ในกลุ่มก็ทยอยกลับกันหมด ส่วนผมกับไอ้ดินอยู่ต่ออีกหน่อยถึงเช็กบิลแล้วออกมาจากร้าน
“มึง...นั่น...” จังหวะที่ผมสตาร์ทรถ
ไอ้ดินที่ขับนำผมไปนิดเดียวเกิดชะงักแล้วหันมาเรียกผมเสียงเครียด
ผมที่เห็นถึงความผิดปกติบางอย่างทำได้แค่เลิกคิ้วขึ้นแล้วขับไปจอดอยู่ข้างๆ มัน
ไอ้ดินพยักพเยิดหน้าไปตรงจุดหนึ่ง
ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้ผมเห็นเหตุการณ์บางอย่างเข้า
เป็นเหตุการณ์ที่คนดีของสังคมจะต้องปรี่เข้าไปช่วยอย่างแน่นอน
แต่ผม...มองเฉยๆ
“ทำไม?” ผมถามเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่
ก็แค่ผู้หญิงชุดดำคนหนึ่งที่ผมไม่อยากรู้จัก
เธอก็แค่...กำลังถูกผู้ชายคนหนึ่งที่ตัวสูงกว่า มีพละกำลังมากกว่าลวนลาม
“เฮ้ยไอ้เอย์ นั่นเกลนะ”
“แล้วไงต่อ”
ผมหยิบหมวกกันน็อกขึ้นมาสวมเพื่อปิดบทสนทนา “ไม่ใช่เรื่องของกู”
จะไม่มีการแก้แค้น จะไม่มีการเอาคืน
แต่ถ้าวันไหนเธอลำบาก เธอทรมาน
ผมจะมอง...มองอยู่แบบนี้
เรื่องของเธอ ผมจะสาระแนทำไม
จะเป็นจะตายยังไงมันก็ไม่เกี่ยวกับผม
ว่าแล้วผมก็ขับรถจากมาโดยไม่แม้แต่จะเหลียวหลังกลับไป...“หึ...”
เมื่อนึกใบหน้าเย่อหยิ่งรวมถึงน้ำเสียงที่หวานแบบห้วนๆ
แล้วความจุกก็พร้อมใจกับโจมตีผม
นึกสมเพชตัวเองอยู่ทุกครั้งที่ช่วงหนึ่งในชีวิตเคยให้ใจเธอไปทั้งดวงเธอมักชอบทำเหมือนผมเป็นตัวปัญหา
ชอบพูดเหมือนผมคือคนเดียวที่ผิด
ผมรู้ว่าผมทำอะไรอยู่
แต่เธอต่างหากที่แม่งไม่รู้อะไรเลย
ยัยโง่...
อยากบ้าก็บ้าซะให้พอ
จะไปเอากับผู้ชายคนไหนก็ไป
“ทำหน้าน่ากลัวอีกแล้วนะมึง”
ไอ้ดินคงสังเกตเห็นสีหน้าผมเข้าจึงใช้ตีนสะกิดอีกครั้ง
“...คิดจะทำอะไรไม่ดีอยู่หรือเปล่า บอกกูมา”
เวลาอยู่กับเพื่อน
ปกติผมจะร่าเริงกว่านี้ พูดเยอะกว่านี้
ไม่ชอบที่จะปล่อยพลังด้านลบให้พวกมันคอยเครียดตามไปด้วย
แต่รอบนี้ผมว่ามันยากที่จะเก็บไว้
นั่นอาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ไอ้ดินปรับเปลี่ยนการพูด
รวมถึงน้ำเสียงที่กลับมาเคร่งขรึม
ผมมองหน้ามันอีกครั้ง
จ้องมันอยู่พักหนึ่ง...
“พูดเหมือนจะคอยให้ท้าย”
ก่อนประโยคนี้จะหลุดออกไปจากปากผมพร้อมกับควันบุหรี่
เรียวคิ้วไอ้ดินขมวดเล็กน้อยเมื่อได้ยินบางสิ่งจากผม
แต่เพียงไม่กี่วินาทีมันก็พยักหน้าให้ เรียกได้ว่าแทบไม่ต้องใช้เวลาคิดเลยด้วยซ้ำ
“ช่วยได้ก็ช่วย”
คำพูดของไอ้ดินทำให้ผมรู้ว่า...แม้จะสูญเสียผู้หญิงเลวๆ อย่างเกลไป
อย่างน้อยผมก็ยังมีเพื่อนดีๆ คอยอยู่เคียงข้างกัน “แต่อะไรที่เสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางกูต้องคิดดูก่อนนะ
ไอ้ฟ่างมันไม่ชอบ”
ฟ่าง...คือหนึ่งในกลุ่มเพื่อนสนิทผม
แต่ผมเป็นคนเดียวที่รู้ว่าไอ้ดินคิดไม่ซื่อกับเธอ
คิดจะรวบรัดอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ ผมเชียร์นะ แต่ก็ได้แค่เชียร์อยู่ห่างๆ
“อือ” ผมครางออกมาหนึ่งคำ
ไม่ต้องห่วงหรอก
ผมไม่คิดจะทำอะไรโง่ๆ อยู่แล้ว
ทุกวันนี้โง่มามากพอแล้ว โง่ที่ไปรักเกล...ยัยผู้หญิงแพศยา
เวลาผ่านไป
ผมอยู่ที่แอลกอฮอล์...ร้านนั่งชิลที่ผมและผองเพื่อนมักมานั่งสังสรรค์กันเป็นประจำเวลาดึกดื่น
อาการผมดีขึ้นจนใกล้เคียงกับปกติแล้ว
สามารถกินเหล้าได้ตามปกติแล้วหลังจากที่หมอห้ามไม่ให้แตะของพวกนี้จนกว่าบาดแผลจะสมาน
อยากมานาน...ในที่สุดก็ได้ดื่มสักที
และคงเพราะดื่มมากเกินไปนี่เอง ทำให้หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นผมต้องปลีกตัวจากฝูงเพื่อนเพื่อมาเข้าห้องน้ำ
แต่จังหวะที่เดินสวนผ่านโซนห้องน้ำหญิงซึ่งอยู่ติดกับห้องน้ำชายมากๆ
นั้น สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งในชุดเดรสสีดำสนิทแบบผ่าหลังเข้า
เธอกำลังเติมลิปสติกสีแดงสดบริเวณซิงก์ซึ่งมีกระจกบานเล็กให้ส่อง
เธอเห็นผมเหมือนกัน
และเธอกำลังมองผมผ่านกระจกบานนั้น...
นัยน์ตาคมเฉี่ยวเบิกขึ้นนิดๆ
จนแทบสังเกตไม่ได้ แต่ผมสัมผัสได้ว่าเธอตกใจที่เห็นผม เหมือนผมเป็นผี ปีศาจ
หรืออะไรสักอย่างที่ไม่ควรมาเดินอยู่แถวนี้
แล้วผมควรไปอยู่ไหน? ใน ‘นรก’ เหรอ?Aey Describe“สภาพมึงนี่มันดูไม่ได้เลย”
“...”
“ไอ้เอย์! เหม่ออะไรของมึงวะ”
แรงตบบริเวณศีรษะทำให้ผมที่นั่งสูบบุหรี่อยู่เงียบๆ ต้องเคลื่อนสายตากลับไปมองเจ้าของฝ่ามือ
กระทั่งพบกับใบหน้าหงุดหงิดของไอ้ดิน...หนึ่งในเพื่อนที่ผมแสนจะไว้ใจ
ผมไม่ค่อยได้เล่าเรื่องเพื่อนให้ฟังใช่ไหม
จริงๆ เรื่องมันไม่ได้มีอะไรพิเศษ
เพื่อนก็เพื่อน แค่นั้น
และถ้าหากสงสัยว่าตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน
ทำอะไรอยู่...
“กูง่วงเฉยๆ” ผมตอบแบบขอไปที
เป็นคำตอบที่ไม่ได้ผ่านการคิดเหมือนที่คนอื่นๆ ทำกัน ผมแค่...อยากตัดบทแล้วนั่งอยู่เงียบๆ
คนเดียวมากกว่า
เกือบเดือนแล้วนับตั้งแต่เรื่องในคืนนั้น
เกลเอาปากแทงผมจนขยับร่างกายแทบไม่ได้ ผมเจ็บ เลือดท่วม ทำอะไรไม่ได้นอกจากพยายามโทรหาใครสักคนที่สามารถติดต่อได้ในเวลานั้น
แต่เหมือนโชคจะไม่เข้าข้างผมเท่าไหร่ เพราะตอนนั้น...ไม่มีใครรับสายผมเลย
ไม่มีเลยสักคน
ตัวเลือกสุดท้ายจึงไปตกอยู่ที่กิ่ง
น้องสาวเกล
ผมไม่อยากรบกวนเธอนัก
แต่เพราะก่อนหน้านั้นเราคุยกันทางไลน์แล้วผมเผลอพิมพ์อะไรโง่ๆ ออกไป
นั่นทำให้กิ่งเข้าใจว่าผมคงอยากคืนดีกับเกลในฐานะคนรักแน่ๆ
นั่นเป็นเหตุผลที่เธอวางแผนและยอมให้ชื่อเฟซกับพาสเวิร์ดมา
สุดท้ายเกลที่เป็นห่วงน้องสาวยิ่งกว่าอะไรในโลกนี้จึงติดกับ แล้วเรื่องมันก็เป็นอย่างที่เห็น
โชคร้ายซ้ำสองตรงที่กิ่งไม่รับโทรศัพท์
ซึ่งผมคิดว่าเธอคงนอนแล้วจึงไม่ได้รบกวนอะไรอีก
ผมปล่อยให้ตัวเองนอนอย่างหมดสภาพอยู่ตรงนั้นและรอให้รถสักคันผ่านมา
ไม่ได้นับว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน
แต่น่าจะราวๆ สิบชั่วโมง...ในครั้งที่ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองใกล้เข้าสู่ความตายขึ้นเรื่อยๆ
พละกำลังเฮือกหนึ่งก็ทำให้ผมกัดฟันแล้วลุกขึ้นยืน เดินไปเรื่อยๆ อย่างไร้เรี่ยวแรง
อยากจะทำการเคลื่อนไหวมันรวดเร็วกว่านี้ แต่ทำไม่ได้
เพราะปากกายังปักอยู่ที่สีข้างผม
ผมไม่สามารถดึงมันออกด้วยตัวเองได้
เพราะการทำโดยไม่รู้อะไรอาจทำให้ผมยิ่งเสียเลือดมากกว่าเดิม
ผมเดินไปเรื่อยๆ
จนท้องฟ้ากลับมาสว่าง และกิ่งที่คาดว่าจะตื่นแล้วก็ติดต่อกลับมา
เธอเป็นคนช่วยผมไว้เป็นครั้งที่สอง
ดูแลผมเหมือนตอนโดนอัดครั้งนั้นไม่มีผิด
กิ่งพาผมไปโรงพยาบาล นอนพักที่นั่นไม่กี่วันหมอก็อนุญาตให้ผมกลับได้ และผมตัดสินในนอนพักที่บ้านยายเธอแค่คืนเดียวเนื่องจากไม่รบกวนมากไปกว่านี้
โชคดีหน่อยที่กิ่งมีเสื้อผู้ชายติดตู้อยู่ตัวหนึ่ง
เธอจึงให้ใส่ออกจากบ้านมาในวันนี้
จริงๆ
ผมก็สงสัยเหมือนกันว่าเสื้อตัวนี้เป็นของใคร
“สรุปยังไง
จะเล่าให้ฟังไหมว่าเกิดอะไรขึ้น” ผมมาหอพักไอ้ดินเพราะอยากพักที่นี่สักหน่อย
แต่มันพูดพร่ำถามไถ่ไม่หยุด รำคาญฉิบหาย... “ไม่ค่อยโผล่หัวมามอทีหนึ่งแล้ว
ยังตีกับชาวบ้านเก่ง เจ็บตัวเก่ง เลือดสาดเก่ง ทำหน้าเหม็นเบื่อเก่งอีก”
“...”
“ถ้าจะเงียบแบบนี้ก็ออกไปซะไป”
ไอ้ดินไล่ผมเหมือนหมูเหมือนหมา ส่วนผมยังนั่งนิ่ง “โน่น...ไปให้ยัยเกลสุดที่รักมึงดูแล
กูไม่ใช่เมียมึงนะ”
เมียเหรอ...หมายถึงเกล?
ไม่มีหรอก
เธอตายไปจากหัวใจผมแล้ว
ตายไปนับตั้งแต่วันที่เธอคิดจะฆ่าผมด้วยปากกางด้ามนั้นแล้วถ้าถามว่าทำไมถึงไม่มีสัญญาณใดๆ เลย
คำตอบคือ...ฉันแค่อยากเก็บมันไว้ในใจมากกว่าจะเผยออกไปให้เขาได้รู้ขุนเป็นผู้ชายที่ดี ใช่ว่าฉันไม่ต้องการเขาในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง
แต่เพราะในอดีตฉันเคยเจ็บกับเรื่องความรักมาแล้ว เคยได้รับบทเรียนมาแล้ว นั่นเป็นอีกเหตุผลที่ฉันขอเก็บความรู้สึกนี้แค่คนเดียวโดยที่เราสองคนยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้
ฉันจะไม่ยอมเสียเพื่อนคนนี้ไปเด็ดขาด
ฉันสาบาน
ฉันกระชากภาพเมื่อหลายคืนก่อนออกจากหัวเพื่อกลับมาสู่ปัจจุบัน
และภาพปัจจุบันคือขุนที่กำลังวางมือหนาไว้เหนือศีรษะฉัน ใช้สายตาที่มองแล้วอุ่นไปทั้งหัวใจอย่างเช่นทุกครั้งเวลาฉันเจอเรื่องเครียด
แต่เปล่าเลย ฉันไม่ได้เครียด
ฉันแค่ไม่เคยฆ่าคน
เอย์คือเพื่อนคนแรก คือคนรักเก่า
คือน้องชายต่างแม่ และเขา...คือคนแรกที่ฉันฆ่าด้วยมือคู่นี้
“ตำรวจจะมาจับฉันไหม?”
หลังจากเงียบไปพักหนึ่งเพื่อเรียบเรียงอะไรหลายอย่างภายในหัว
ในที่สุดฉันก็ลองถามขุนออกไป มันเป็นคำถามที่เบสิกและโง่เง่าในเวลาเดียวกัน
ครอบครัวฉันรวย
เอาเงินปิดปากตำรวจสักล้านสองล้านคงไม่ใช่เรื่องยาก
แต่ฉันไม่ชอบทำอะไรที่มันเสียศักดิ์ศรี
นั่นต่างหากคือประเด็น
“ศพในข่าวอาจไม่ใช่มันก็ได้”
ขุนพูดในอีกแง่หนึ่งซึ่งแตกต่างจากสิ่งที่ฉันคิดอย่างสิ้นเชิง
เขาไม่ใช่คนมองโลกในแง่ดีนัก
แต่ในช่วงเวลาที่แย่ที่สุด เขาสามารถทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลายได้ และคิดว่า...เออ
มันก็อาจจะเป็นอย่างที่เขาว่ามา
แต่นี่มันเหมือนเป็นการปลอบใจตัวเองเกินไป
การที่เอย์ตาย
มันมีทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดีในความรู้สึกฉัน
เรื่องดีคือ...ฉันไม่ต้องเห็นเขาอีก
ถือเป็นการกำจัดคนเฮงซวยอีกหนึ่งออกไปจากสารบบ
เรื่องไม่ดีคือ...คำว่า ‘ฆาตกร’ มันจะอยู่ติดตัวฉันไปจนตาย
ฉันคงไม่มีความสุขนัก
ก็ต้องเลือกเอาว่าเป็นแบบที่หนึ่งหรือแบบที่สอง
“แต่ลักษณะเหมือนหมอนั่นเกือบแปดสิบเปอร์เซ็นต์”
ฉันยังจำสิ่งที่นักข่าวคนนั้นรายงานได้ สีผมยังไง สีผิวแบบไหน
รูปร่างส่วนสูงประมาณเท่าไหร่
ใกล้เคียงเอย์เกินไป
มันคงไม่บังเอิญจนน่าตกใจขนาดนี้
ในโลกนี้...สำหรับฉันไม่มีอะไรคือความบังเอิญ
“ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ช่าง”
ขุนทำให้ฉันอดไม่ได้ที่ขมวดคิ้ว
ตอนนั้นฉันพบว่าปลายนิ้วแข็งกระด้างเคลื่อนมาสัมผัสผิวแก้มฉันแล้ว
ขุนเป็นแบบนี้มานานแล้ว คำพูด
ปฏิกิริยา การแสดงออกต่างๆ นานาให้ความรู้สึกเหมือนกำลังโดนจีบ
ฉันไม่เคยพยายามตีความหมายกับทุกสิ่งที่เขาทำ
เพราะอย่างที่บอกไป ยังไงขุนและฉันก็เหมาะกับการเป็นเพื่อนกันที่สุดแล้ว
“ทำไม?” ฉันถาม
“...เปล่า” คำตอบปริศนานั่นทิ้งความคาใจไว้ที่ฉันเป็นปริมาณมาก
ถ้าหากมีเวลามากพอ ฉันก็คงเลือกที่จะถามต่ออีกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
แต่อย่างที่รู้...วันนี้ฉันมีควิซย่อย เลยต้องกระชากความรู้สึกส่วนนั้นทิ้งไปและหันมาใช้ชีวิตประจำวันให้เป็นปกติเท่าที่จะทำได้
จนกระทั่งเวลาผ่านไป...ฉันนิ่งและมองการรายงานข่าวจากช่องหนึ่งโดยที่สมองหยุดการทำงานไปชั่วขณะ
รู้สึกได้ว่าสิ่งที่อยู่ในหัวฉันมันขาวโพลนซะยิ่งกว่าหิมะ หนาวเหน็บ เย็นเฉียบ...กระทั่งรายละเอียดของผู้ตายถูกนักข่าวรายงานว่า
‘เป็นผู้ชายรูปร่างสูง ผิวขาว ผมสีดำ จากสภาพศพที่ขึ้นอืดและส่งกลิ่นเหม็น
คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 3 วัน’
เอย์สูงโปร่ง
ผิวขาว
ผมสีดำขลับ
และฉันทิ้งเขาไว้ในคืนนั้นราวๆ
3-4วันเห็นจะได้
วูบ!
เหมือนขุนรับรู้ได้ถึงความผิดปกติจากฉัน
เขาจึงคว้ารีโมทไปแล้วกดปิดทันที
ไม่เพียงเท่านั้นยังโยนรีโมทไปอีกทางเหมือนกลัวว่าฉันจะแย่งมาเปิดอีก
“รู้นะว่าคิดอะไรอยู่”
โทนเสียงของเขาแสดงออกถึงความกังวลอยู่หลายส่วน
ซึ่งปฏิกิริยาดังกล่าวส่งผลถึงฉันอย่างรุนแรง
จนสุดท้ายฉันก็ต้องเคลื่อนสายตากลับไปมองเขา
ครั้นเมื่อมองหน้าขุน
ความทรงจำในคืนนั้นก็ไหลย้อนเข้ามา
ฉันแทงเอย์ด้วยปากกาด้ามหนึ่งจนเลือดท่วม
ทิ้งเขาไว้ที่นั่นและกลับมาถึงคอนโดฯ ขุนในสี่สิบนาทีต่อมา ฉันพบว่าขุนยืนรออยู่ตรงลอบบี้ชั้นล่างสุดของคอนโดฯ...
จริงๆ
เขาบอกฉันว่าร้อนใจอยู่เหมือนกันที่ตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอ โชคที่ก่อนก่อนกลับไปหาเขา
ฉันได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กแล้วพบว่าเขาติดต่อมาหลายครั้งมาก
ฉันจึงเป็นฝ่ายส่งข้อความไปบอกว่าไม่เป็นไร กำลังจะกลับไป
นั่นเป็นเหตุผลที่ขุนต้องมานั่งรอฉันตรงล็อบบี้
จังหวะที่ฉันลงจากรถ
ขุนเห็นคราบเลือดบนมือฉัน เห็นหยดเลือดที่เซ็นเลอะเสื้อผ้าที่ฉันสวม
รวมถึงใบหน้าของฉันที่เขาเป็นคนพูดเองว่า ‘ไร้จิตวิญญาณ’
‘อยากเล่าอะไรไหม’ ขุนเป็นฝ่ายเปิดปากถาม
‘…ฉันคิดว่ามันอาจจะตาย’ ส่วนนี่คือคำตอบของฉัน
‘อือ’
‘ถ้าฉันฆ่าคน
นายยังจะเห็นฉันเป็นเพื่อนอยู่ไหม?’
ขุนกุมมือที่เต็มไปด้วยเลือดของฉัน
กอดฉัน แล้วกระซิบข้างหูว่า ‘ฉันอยู่ข้างเธอ’
คำตอบของขุนก่อเกิดความพิลึกพิลั่นตรงหน้าอก
ไม่ใช่อาการเจ็บปวด ไม่ใช่ความตื้นตัน แต่เป็นความรู้สึกทำนองว่า ‘ฉันรักคนไม่ผิดจริงๆ’
และใช่ เราเป็นเพื่อนกัน
แต่ฉันคิดกับเขาเกินกว่าเพื่อนมาสักพักแล้ว หลายวันผ่านไป
“ไม่คิดจะกลับบ้านไปหาพ่อหน่อยเหรอ”
ในเช้าวันหนึ่ง...ในขณะที่ฉันนั่งทาเล็บเพลินๆ อยู่ในห้องรับแขก เสียงทุ้มที่ดังขึ้นพร้อมกับกลิ่นขนมปังหอยฉุยก็ทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะลากสายตากลับไป
ขุนเพิ่งออกมาจากครัว
เขาทำขนมปังปิ้งทาแยมรสผลไม้มาให้ทุกเช้า
ซึ่งวันนี้ก็เป็นอีกวันที่เขาลงทุนตื่นเช้าเพื่อทำอาหารให้ได้ด้วยเหตุผลที่ว่า ‘เธอผอมเกินไป’
“อยากกลับก็กลับเอง”
ฉันรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อขุนพูดถึงบ้าน แถมยังเอ่ยถึงพ่อฉันด้วย
เป็นเวลาเกือบอาทิตย์แล้วที่ฉันอยู่ที่นี่
ไม่ได้กลับไปที่นั่น เรียกได้ว่าแทบจะย้ายถิ่นที่อยู่กันเลย
โชคดีที่วันนั้นฉันเอาของสำคัญติดตัวมาเกือบหมด
เลยไม่มีปัญหาจนต้องกลับไปเอาของที่บ้าน เพราะถ้าให้เลือก
ฉันก็ไม่อยากกลับไปเหยียบที่นั่นอีกเป็นครั้งที่สอง
พอกันทีกับอะไรเฮงซวยๆ
“ถามดีๆ ไม่ได้เหรอ”
ขุนทิ้งตัวนั่งบนโซฟาข้างๆ ฉัน
โทนเสียงเปลี่ยนไปเล็กน้อยคล้ายกับรู้ว่าฉันกำลังอารมณ์ไม่ดี และส่วนหนึ่งมันมาจากเขาเองที่เป็นฝ่ายเปิดประเด็น
“หยุดทาเล็บแล้วกินก่อน”
“รอให้แห้งแล้วค่อยกิน”
ฉันให้คำตอบเขาไปแบบนั้น ก่อนจะได้สายตาตำหนิเล็กๆ กลับมา
เป็นเพื่อนนะ แต่ทำตัวยิ่งกว่าผัว
ใครได้เขาเป็นคู่ชีวิตคงยิ่งกว่าเด็กสาวที่อยู่ในโอวาท
และบางทีคงถูกขุนจนอ้วนเป็นโอ่ง
“เธอมีควิซย่อยตอนแปดโมงครึ่งนะ”
ขุนย้ำเรื่องนั้นไม่พอ
ยังชำเลืองตามองนาฬิกาบนฝาผนังซึ่งขณะนี้เป็นเวลาเจ็ดโมงสิบห้านาที
“นายเป็นเพื่อนหรือผัวฉัน?” เอาจริงๆ
ไม่ได้จริงจังอะไรกับสิ่งที่ถามไป เพราะขุนรู้ว่าฉันเป็นคนหงุดหงิดง่ายและไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายในชีวิต
ซึ่งฉันเองก็รู้ว่าขุนเป็นคนยังไง
เขาเป็นแบบนี้มานานแล้ว
ถ้ารับไม่ได้คงไม่คบกันเป็นเพื่อนมาจนถึงทุกวันนี้
แต่...
“ฉันเป็นได้หมดถ้าเธออยากให้เป็น”
“...เหอะ” ฉันแค่นหัวเราะแล้วเบือนสายตาไปอีกทางทันที
แล้วจุดที่ตรึงสายตาฉันไว้หลังจากนั้นคือทีวีจอแบนที่กำลังฉายข่าวในช่วงเช้าอยู่
ตอนแรกฉันก็เปิดไว้เพราะไม่อยากให้ห้องมันเงียบจนเกินไป ไม่คิดจะดูอยู่แล้ว
จนกระทั่ง...
มีข่าวการเสียชีวิตของผู้ชายคนหนึ่งบนถนนเส้น
XXX
...ที่เดียวกับที่ฉันทิ้งเอย์ไว้เมื่อหลายคืนก่อน--
ลำดับตอนที่ #9
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : #ผู้หญิงแพศยา :: Episode 9 [อัปครบ]
-E P I S O D E 09-
หลายวันผ่านไป
“ไม่คิดจะกลับบ้านไปหาพ่อหน่อยเหรอ”
ในเช้าวันหนึ่ง...ในขณะที่ฉันนั่งทาเล็บเพลินๆ อยู่ในห้องรับแขก เสียงทุ้มที่ดังขึ้นพร้อมกับกลิ่นขนมปังก็ทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะลากสายตากลับไป
ขุนเพิ่งออกมาจากครัว
เขาทำขนมปังปิ้งทาแยมรสผลไม้มาให้ทุกเช้า
ซึ่งวันนี้ก็เป็นอีกวันที่เขาลงทุนตื่นเช้าเพื่อทำอาหารให้กินด้วยเหตุผลที่ว่า ‘เธอผอมเกินไป’
“อยากกลับก็กลับเอง”
ฉันรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อขุนพูดถึงบ้าน แถมยังเอ่ยถึงพ่อฉันด้วย
เป็นเวลาเกือบอาทิตย์แล้วที่ฉันอยู่ที่นี่
ไม่ได้กลับไปที่นั่น เรียกได้ว่าแทบจะย้ายถิ่นที่อยู่กันเลย
โชคดีที่วันนั้นฉันเอาของสำคัญติดตัวมาเกือบหมด
เลยไม่มีปัญหาจนต้องกลับไปเอาของที่บ้าน เพราะถ้าให้เลือก
ฉันก็ไม่อยากกลับไปเหยียบที่นั่นอีกเป็นครั้งที่สอง
พอกันทีกับอะไรเฮงซวยๆ
“ถามดีๆ ไม่ได้เหรอ”
ขุนทิ้งตัวนั่งบนโซฟาข้างๆ ฉัน
โทนเสียงเปลี่ยนไปเล็กน้อยคล้ายกับรู้ว่าฉันกำลังอารมณ์ไม่ดี และส่วนหนึ่งมันมาจากเขาเองที่เป็นฝ่ายเปิดประเด็น
“หยุดทาเล็บแล้วกินก่อน”
“รอให้แห้งแล้วค่อยกิน”
ฉันให้คำตอบเขาไปแบบนั้น ก่อนจะได้สายตาตำหนิเล็กๆ กลับมา
เป็นเพื่อนนะ แต่ทำตัวยิ่งกว่าผัว
ใครได้เขาเป็นคู่ชีวิตคงยิ่งกว่าเด็กสาวที่อยู่ในโอวาท
และบางทีคงถูกจับขุนจนอ้วนเป็นโอ่ง
“เธอมีควิซย่อยตอนแปดโมงครึ่งนะ”
ขุนย้ำเรื่องนั้นไม่พอ
ยังชำเลืองตามองนาฬิกาบนฝาผนังซึ่งขณะนี้เป็นเวลาเจ็ดโมงสิบห้านาที
“นายเป็นเพื่อนหรือผัวฉัน?”
เอาจริงๆ
ไม่ได้จริงจังอะไรกับสิ่งที่ถามไป เพราะขุนรู้ว่าฉันเป็นคนหงุดหงิดง่ายและไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายในชีวิต
ซึ่งฉันเองก็รู้ว่าขุนเป็นคนยังไง
เขาเป็นแบบนี้มานานแล้ว
ถ้ารับไม่ได้คงไม่คบกันเป็นเพื่อนมาจนถึงทุกวันนี้หรอก
แต่...
“ฉันเป็นได้หมดถ้าเธออยากให้เป็น”
“...เหอะ” ฉันแค่นหัวเราะแล้วเบือนสายตาไปอีกทางทันที
แล้วจุดที่ตรึงสายตาฉันไว้หลังจากนั้นคือทีวีจอแบนที่กำลังฉายข่าวในช่วงเช้าอยู่
ตอนแรกฉันเปิดไว้เพราะไม่อยากให้ห้องมันเงียบจนเกินไป ไม่คิดจะดูอยู่แล้ว
จนกระทั่ง...
มีข่าวการเสียชีวิตของผู้ชายคนหนึ่งบนถนนเส้น
XXX
...ที่เดียวกับที่ฉันทิ้งเอย์ไว้เมื่อหลายคืนก่อน
การรายงานข่าวยังคงดำเนินต่อไปโดยที่สมองของฉันเกิดหยุดการทำงานไปชั่วขณะ
รู้สึกได้ว่าสิ่งที่อยู่ในหัวฉันมันขาวโพลนซะยิ่งกว่าหิมะ ทั้งหนาวเหน็บ ทั้งเย็นเฉียบ...
กระทั่งรายละเอียดของผู้ตายถูกนักข่าวรายงานว่า
‘เป็นชายหนุ่มอายุราวๆ 20-24 ปี รูปร่างสูง ผิวขาว ผมสีดำ จากสภาพศพที่ขึ้นอืดและส่งกลิ่นเหม็น
คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 3 วัน’
เอย์สูงโปร่ง
ผิวขาว
ผมสีดำขลับ
และฉันทิ้งเขาไว้ในคืนนั้น ซึ่งผ่านมาราวๆ
3-4วันเห็นจะได้
พรึ่บ!
เหมือนขุนรับรู้ได้ถึงความผิดปกติจากฉัน
เขาจึงคว้ารีโมทไปปิดทีวี ไม่เพียงเท่านั้นยังโยนมันไปอีกทางเหมือนกลัวว่าฉันจะแย่งมาเปิดดูอีก
“รู้นะว่าคิดอะไรอยู่”
โทนเสียงของเขาแสดงถึงความกังวลอยู่หลายส่วน
ซึ่งปฏิกิริยาดังกล่าวส่งผลต่อฉันอย่างรุนแรง
จนสุดท้ายฉันต้องเคลื่อนสายตากลับไปมองเขา
ครั้นเมื่อพบกับใบหน้าคมคายของขุน ความทรงจำในคืนนั้นก็ไหลย้อนเข้ามา
ฉันแทงเอย์ด้วยปากกาด้ามหนึ่งจนเลือดท่วม
ทิ้งเขาไว้ที่นั่นและกลับมาถึงคอนโดฯ ขุนในสี่สิบนาทีต่อมา ฉันพบว่าขุนยืนรออยู่ตรงลอบบี้ชั้นล่างสุดของคอนโดฯ...
จริงๆ
เขาบอกฉันว่าร้อนใจอยู่เหมือนกันที่ตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอ โชคดีที่ก่อนกลับไปหาเขา
ฉันได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กแล้วพบว่าเขาติดต่อมาหลายครั้งมาก
ฉันจึงเป็นฝ่ายส่งข้อความไปบอกว่าไม่เป็นไร กำลังจะกลับไป
นั่นเป็นเหตุผลที่ขุนต้องมารอฉันตรงล็อบบี้
จังหวะที่ฉันลงจากรถ
ขุนเห็นคราบเลือดบนมือฉัน เห็นหยดเลือดกระเซ็นเลอะเสื้อผ้าที่ฉันสวม
รวมถึงใบหน้าของฉันที่เขาเป็นคนพูดเองกับปากว่า ‘โคตรไร้จิตวิญญาณ’
‘อยากเล่าอะไรไหม’ ขุนเป็นฝ่ายเปิดปากถาม
‘…ฉันคิดว่ามันอาจจะตาย’ ส่วนนี่คือคำตอบของฉัน
‘อือ’
‘ถ้าฉันฆ่าคน
นายยังจะเห็นฉันเป็นเพื่อนอยู่ไหม?’
ขุนกุมมือที่เต็มไปด้วยเลือดของฉัน
กอดฉัน แล้วกระซิบข้างหูว่า ‘ฉันอยู่ข้างเธอ’
คำตอบของขุนก่อเกิดความพิลึกพิลั่นตรงหน้าอก
ไม่ใช่อาการเจ็บปวด ไม่ใช่ความตื้นตัน แต่เป็นการตอกย้ำความคิดที่ว่า ‘ฉันรักคนไม่ผิดจริงๆ’
และใช่ เราเป็นเพื่อนกัน
แต่ฉันคิดกับเขาเกินกว่าเพื่อนมาสักพักแล้ว
ถ้าถามว่าทำไมถึงไม่มีสัญญาณใดๆ เลย
คำตอบคือ...ฉันแค่อยากเก็บมันไว้ในใจมากกว่าจะเผยออกไปให้เขาได้รู้
ขุนเป็นผู้ชายที่ดี ใช่ว่าฉันไม่ต้องการเขาในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง
แต่เพราะในอดีตฉันเคยเจ็บกับเรื่องความรักมาแล้ว เคยได้รับบทเรียนมาแล้ว นั่นเป็นอีกเหตุผลที่ฉันขอเก็บความรู้สึกนี้แค่คนเดียวโดยที่เราสองคนยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้
ฉันจะไม่ยอมเสียเพื่อนคนนี้ไปเด็ดขาด
ฉันสาบาน
ฉันกระชากภาพเมื่อหลายคืนก่อนออกจากหัวเพื่อกลับมาสู่ปัจจุบัน
และภาพปัจจุบันคือขุนที่กำลังวางมือหนาไว้เหนือศีรษะฉัน ใช้สายตาที่มองแล้วอุ่นไปทั้งหัวใจอย่างเช่นทุกครั้งเวลาฉันเคร่งเครียดหรือแบกรับบางสิ่งไว้
แต่เปล่าเลย ฉันไม่ได้เครียด
ฉันแค่ไม่เคยฆ่าคน
เอย์คือเพื่อนคนแรก คือคนรักเก่า
คือน้องชายต่างแม่ และเขา...คือคนแรกที่ฉันฆ่าด้วยมือคู่นี้
“ตำรวจจะมาจับฉันไหม?”
หลังจากเงียบไปพักหนึ่งเพื่อเรียบเรียงอะไรหลายอย่างภายในหัว
ในที่สุดฉันก็ลองถามขุนออกไป มันเป็นคำถามที่เบสิกและโง่เง่าในเวลาเดียวกัน
ครอบครัวฉันรวย
เอาเงินปิดปากตำรวจสักล้านสองล้านคงไม่ใช่เรื่องยาก
แต่ฉันไม่ชอบทำอะไรที่มันเสียศักดิ์ศรี
นั่นต่างหากคือประเด็น
“ศพในข่าวอาจไม่ใช่มันก็ได้”
ขุนพูดอีกแง่หนึ่งซึ่งแตกต่างจากสิ่งที่ฉันคิดอย่างสิ้นเชิง
เขาไม่ใช่คนมองโลกในแง่ดีนัก
แต่ในช่วงเวลาที่แย่ที่สุด เขาสามารถทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลายได้ และคิดว่า...เออ
มันก็อาจจะเป็นอย่างที่เขาว่ามา
แต่นี่มันเหมือนเป็นการปลอบใจตัวเองเกินไป
การที่เอย์ตาย
มันมีทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดีในความรู้สึกฉัน
เรื่องดีคือฉันไม่ต้องเห็นเขาอีก
ถือเป็นการกำจัดคนเฮงซวยอีกหนึ่งออกไปจากสารบบ
เรื่องไม่ดีคือ...คำว่า ‘ฆาตกร’ มันจะอยู่ติดตัวฉันไปจนตาย
ฉันคงไม่มีความสุขนัก
ก็ต้องเลือกเอาว่าเป็นแบบที่หนึ่งหรือแบบที่สอง
“แต่ลักษณะเหมือนหมอนั่นเกือบแปดสิบเปอร์เซ็นต์”
ฉันยังจำสิ่งที่นักข่าวคนนั้นรายงานได้ สีผมยังไง สีผิวแบบไหน
รูปร่างส่วนสูงประมาณเท่าไหร่
ใกล้เคียงเอย์เกินไป
มันคงไม่บังเอิญจนน่าตกใจขนาดนี้
ในโลกนี้...สำหรับฉันไม่มีอะไรคือความบังเอิญ
“ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ช่าง”
ขุนทำให้ฉันอดไม่ได้ที่ขมวดคิ้ว
ตอนนั้นฉันพบว่าปลายนิ้วแข็งกระด้างเคลื่อนมาสัมผัสผิวแก้มฉันแล้ว
ขุนเป็นแบบนี้มานานแล้ว คำพูด
ปฏิกิริยา การแสดงออกต่างๆ นานาให้ความรู้สึกเหมือนกำลังโดนจีบ
ฉันไม่เคยพยายามตีความหมายกับทุกสิ่งที่เขาทำ
เพราะอย่างที่บอกไป ยังไงขุนและฉันก็เหมาะกับการเป็นเพื่อนกันที่สุดแล้ว
“ทำไม?” ฉันถาม
“...เปล่า”
คำตอบปริศนานั่นทิ้งความคาใจไว้ที่ฉันเป็นปริมาณมาก ถ้าหากมีเวลามากพอ ฉันก็คงเลือกที่จะถามต่ออีกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
แต่อย่างที่รู้...วันนี้ฉันมีควิซย่อย เลยต้องกระชากความรู้สึกส่วนนั้นทิ้งไปและหันมาใช้ชีวิตประจำวันให้เป็นปกติเท่าที่จะทำได้
จนกระทั่งเวลาผ่านไป...
Aey Describe
“สภาพมึงนี่มันดูไม่ได้เลย”
“...”
“ไอ้เอย์! เหม่ออะไรของมึงวะ”
แรงตบบริเวณศีรษะทำให้ผมที่นั่งสูบบุหรี่อยู่เงียบๆ ต้องเคลื่อนสายตากลับไปมองเจ้าของฝ่ามือ
กระทั่งพบกับใบหน้าหงุดหงิดของไอ้ดิน...หนึ่งในเพื่อนที่ผมแสนจะไว้ใจ
ผมไม่ค่อยได้เล่าเรื่องเพื่อนให้ฟังใช่ไหม
จริงๆ เรื่องมันไม่ได้มีอะไรพิเศษ
เพื่อนก็เพื่อน แค่นั้น
และถ้าหากสงสัยว่าตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน
ทำอะไรอยู่...
“กูง่วงเฉยๆ” ผมตอบแบบขอไปที
เป็นคำตอบที่ไม่ได้ผ่านการคิดเหมือนที่คนอื่นๆ ทำกัน ผมแค่...อยากตัดบทแล้วนั่งอยู่เงียบๆ
คนเดียวมากกว่า
หลายวันแล้วนับตั้งแต่เรื่องในคืนนั้น
เกลเอาปากกาแทงผมจนขยับร่างกายแทบไม่ได้ ผมเจ็บ เลือดท่วม ทำอะไรไม่ได้นอกจากเค้นสังขารทุเรศๆ เพื่อโทรหาใครสักคนที่สามารถติดต่อได้ในเวลานั้น
แต่เหมือนโชคจะไม่เข้าข้างผมเท่าไหร่ เพราะตอนนั้น...ไม่มีใครรับสายผมเลย
ไม่มีเลยสักคน
ตัวเลือกสุดท้ายจึงไปตกอยู่ที่กิ่ง
น้องสาวเกล
ผมไม่อยากรบกวนเธอนัก
แต่เพราะก่อนหน้านั้นเราคุยกันทางไลน์แล้วผมเผลอพิมพ์อะไรโง่ๆ ออกไป
นั่นทำให้กิ่งเข้าใจว่าผมคงอยากคืนดีกับเกลในฐานะคนรักแน่ๆ
นั่นเป็นเหตุผลที่เธอวางแผนและยอมให้ชื่อเฟซกับพาสเวิร์ดมา
สุดท้ายเกลที่เป็นห่วงน้องสาวยิ่งกว่าอะไรในโลกนี้จึงติดกับ แล้วเรื่องมันก็เป็นอย่างที่เห็น
โชคร้ายซ้ำสองตรงที่กิ่งไม่รับโทรศัพท์
ซึ่งผมคิดว่าเธอคงนอนแล้วจึงไม่ได้รบกวนอะไรอีก
ผมปล่อยให้ตัวเองนอนอย่างหมดสภาพตรงนั้นและรอให้รถสักคันผ่านมา
รอแล้วรอเล่า
ไม่ได้นับว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่ในครั้งที่ผมเริ่มรู้สึกว่าหัวใจมันเต้นช้าลงเหมือนคนใกล้ตาย พละกำลังเฮือกหนึ่งก็ฉุดให้ผมลุกขึ้นยืน เดินซวนเซไปเรื่อยๆ อย่างไร้เรี่ยวแรง อยากจะเคลื่อนไหวให้รวดเร็วกว่านี้ แต่ทำไม่ได้ เพราะปากกายังปักอยู่ตรงสีข้างผม
ผมเดินไปเรื่อยๆ จนความมืดมิดถูกแสงอาทิตย์กลืนกิน และกิ่งที่คาดว่าเพิ่งตืนก็ติดต่อกลับมา
เธอเป็นคนช่วยผมไว้เป็นครั้งที่สอง ดูแลผมเหมือนตอนโดนอัดครั้งนั้นไม่มีผิด
กิ่งพาผมไปโรงพยาบาล นอนพักที่นั่นไม่กี่วันหมอก็อนุญาตให้ผมกลับได้ และผมตัดสินใจนอนพักที่บ้านยายเธอแค่คืนเดียวเนื่องจากไม่รบกวนมากไปกว่านี้ โชคดีหน่อยที่กิ่งมีเสื้อผู้ชายติดตู้อยู่ตัวหนึ่ง เธอจึงให้ใส่ออกจากบ้านมาในวันนี้
จริงๆ
ผมก็สงสัยเหมือนกันว่าเสื้อตัวนี้เป็นของใคร
“สรุปยังไง
จะเล่าให้ฟังไหมว่าเกิดอะไรขึ้น” ผมมาหอพักไอ้ดินเพราะอยากพักที่นี่สักหน่อย
แต่มันพูดพร่ำถามไถ่ไม่หยุด รำคาญฉิบหาย... “ไม่ค่อยโผล่หัวมามอทีหนึ่งแล้ว
ยังตีกับชาวบ้านเก่ง เจ็บตัวเก่ง เลือดสาดเก่ง ทำหน้าเหม็นเบื่อเก่งอีก”
“...”
“ถ้าจะเงียบแบบนี้ก็ออกไปซะไป”
ไอ้ดินไล่ผมเหมือนหมูเหมือนหมา ส่วนผมยังนั่งนิ่ง “โน่น...ไปให้ยัยเกลสุดที่รักมึงดูแล
กูไม่ใช่เมียมึงเหมือนยัยนั่นนะ”
เมียเหรอ...หมายถึงเกล?
ไม่มีหรอก
ในหัวใจผมไม่มีผู้หญิงที่ชื่อเกลอีกแล้ว
ผมคงรักคนที่คิดจะฆ่าตัวเองไม่ลง
“หึ...”
เมื่อนึกใบหน้าเย่อหยิ่งรวมถึงน้ำเสียงที่หวานแบบห้วนๆ
แล้วความจุกก็พร้อมใจกับโจมตีผม
นึกสมเพชตัวเองอยู่ทุกครั้งที่ช่วงหนึ่งในชีวิตเคยให้ใจเธอไปทั้งดวง
เธอมักชอบทำเหมือนผมเป็นตัวปัญหา
ชอบพูดเหมือนผมคือคนเดียวที่ผิด
ผมรู้ว่าผมทำอะไรอยู่
แต่เธอต่างหากที่แม่งไม่รู้อะไรเลย
ยัยโง่...
อยากบ้าก็บ้าซะให้พอ
จะไปเอากับผู้ชายคนไหนก็ไป
“ทำหน้าน่ากลัวอีกแล้วนะมึง”
ไอ้ดินคงสังเกตเห็นสีหน้าผมเข้าจึงใช้ตีนสะกิดอีกครั้ง
“...คิดจะทำอะไรไม่ดีอยู่หรือเปล่า บอกกูมา”
เวลาอยู่กับเพื่อน
ปกติผมจะร่าเริง พูดเยอะ ไม่ชอบปล่อยพลังด้านลบให้พวกมันคอยเครียดตามไปด้วย
แต่รอบนี้ผมว่ามันยากที่จะเก็บไว้
นั่นอาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ไอ้ดินปรับเปลี่ยนการพูด
รวมถึงน้ำเสียงที่กลับมาเคร่งขรึม
ผมมองหน้ามันอีกครั้ง
จ้องมันอยู่พักหนึ่ง...
“พูดเหมือนจะคอยให้ท้าย”
ก่อนประโยคนี้จะหลุดออกไปจากปากผมพร้อมกับควันบุหรี่
เรียวคิ้วไอ้ดินขมวดเล็กน้อยเมื่อได้ยินบางสิ่งจากผม
แต่เพียงไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นมันก็พยักหน้าให้ เรียกได้ว่าแทบไม่ต้องใช้เวลาคิดเลยด้วยซ้ำ
“ช่วยได้ก็ช่วย”
คำพูดของไอ้ดินทำให้ผมรู้ว่า...แม้จะสูญเสียผู้หญิงเลวๆ อย่างเกลไป
อย่างน้อยผมก็ยังมีเพื่อนดีๆ คอยอยู่เคียงข้างกัน “แต่อะไรที่เสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางกูต้องคิดดูก่อนนะ
ไอ้ฟ่างมันไม่ชอบ”
ฟ่าง...คือหนึ่งในกลุ่มเพื่อนสนิทผม
แต่ผมเป็นคนเดียวที่รู้ว่าไอ้ดินคิดไม่ซื่อกับเธอ
คิดจะรวบรัดอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ ผมเชียร์นะ แต่ก็ได้แค่เชียร์อยู่ห่างๆ
“อือ” ผมครางออกมาหนึ่งคำ
ไม่ต้องห่วงหรอก
ผมไม่คิดจะทำอะไรโง่ๆ อยู่แล้ว
ทุกวันนี้โง่มามากพอแล้ว โง่ที่ไปรักเกล...ยัยผู้หญิงแพศยา
เวลาผ่านไป
ตอนนี้ผมอยู่ที่แอลกอฮอล์...ร้านนั่งชิลที่ผมและผองเพื่อนมักมานั่งสังสรรค์กันเป็นประจำเวลาดึกดื่น
อาการผมดีขึ้นมากแล้ว
สามารถกินเหล้าได้ตามปกติแล้วหลังจากที่หมอห้ามไม่ให้แตะของพวกนี้จนกว่าบาดแผลจะสมาน
อยากมานาน...ในที่สุดก็ได้ดื่มสักที
และคงเพราะดื่มมากเกินไปนี่เอง ทำให้หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นผมต้องปลีกตัวจากฝูงเพื่อนเพื่อมาเข้าห้องน้ำ
แต่จังหวะที่เดินผ่านโซนห้องน้ำหญิงซึ่งอยู่ติดกับห้องน้ำชายมากๆ
นั้น สายตาก็สะดุดเข้ากับความสวยของผู้หญิงคนหนึ่งในชุดเดรสสีดำสนิทแบบผ่าหลัง เธอกำลังเติมลิปสติกสีแดงสดบนริมฝีปากบริเวณซิงก์ล้างมือซึ่งมีกระจกบานเล็กให้ส่อง
เธอเห็นผมเหมือนกัน
และเธอกำลังมองผมผ่านกระจกบานนั้น...
นัยน์ตาคมเฉี่ยวเบิกขึ้นนิดๆ
จนแทบสังเกตไม่ได้ แต่ผมสัมผัสได้ว่าเธอตกใจที่เห็นผม เหมือนผมเป็นผี ปีศาจ
หรืออะไรสักอย่างที่ไม่ควรมาเดินอยู่แถวนี้
แล้วผมควรไปอยู่ไหน? ใน ‘นรก’ เหรอ?
คงคิดว่าผมตายไปแล้วล่ะสิ...
สบตากันได้ไม่นานผมก็เป็นฝ่ายลากสายตากลับมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ก็แค่คนแปลกหน้าที่สวยมากๆ คนหนึ่ง
ไม่มีอะไรพิเศษ ไม่มีอะไรทั้งนั้น...
“กูเห็นยัยเกลคนสวยคนแซ่บของมึงแวบๆ”
ผมกลับมานั่งตรงโต๊ะรวมกับกลุ่มเพื่อนในไม่กี่นาทีให้หลัง
แต่ก้นสัมผัสเก้าอี้ได้ไม่ถึงนาที...ความหงุดหงิดในปริมาณที่ไม่มากนักก็ก่อตัวขึ้นในใจเมื่อได้ฟังประโยคบอกเล่าที่โคตรไร้สาระของไอ้ดินซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ
กัน
“ใคร?” ผมถามเสียงเรียบ “ไม่รู้จัก”
“...?” ไอ้ดินทำหน้างุนงง ส่วนผมยกเหล้าขึ้นมาดื่มสองอึก
“กูถามจริง มึงอำกูเปล่าเนี่ย...”
ไอ้ดินชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ๆ
ราวกับต้องการความแน่ใจว่าผมไม่เพี้ยนไปจนลืมสิ่งที่เคยสำคัญที่สุดจริงๆ
ผมไม่ได้อำใครเล่น ไม่ได้เพี้ยน
และไม่ได้บ้า
แต่ผมไม่อยากได้ยินชื่อผู้หญิงคนนั้นอีก
การเริ่มต้นใหม่ไม่ควรจะมีมลทินตั้งแต่แรก...มันน่าหงุดหงิด
และใช่ ผู้หญิงที่ผมเจอก่อนหน้านี้คือเกล
คนแปลกหน้าคนนั้นคือเกลเอง...วันนี้เธอแต่งตัวเด็ดมาก
ไม่รู้มาอ่อยใคร
ไม่ได้เจอกันนาน
รู้สึกได้เลยว่าเธอสวยขึ้น ความตายของผมคงทำให้เธอมีความสุขมาก น่าปลื้มใจจริงๆ
“ไม่ต้องพูดถึงยัยนั่นอีก”
ผมบอกไอ้ดินดีๆ แล้วดื่มต่ออีกแก้ว
จนเวลาล่วงเลยผ่านไปราวๆ สองชั่วโมง
เพื่อนๆ ในกลุ่มก็ทยอยกลับกันหมด ส่วนผมกับไอ้ดินอยู่ต่ออีกหน่อยถึงเช็กบิลแล้วออกมาจากร้าน
“มึง...นั่น...” จังหวะที่ผมสตาร์ทรถ
ไอ้ดินที่ขับนำผมไปนิดเดียวเกิดชะงักแล้วหันมาเรียกผมเสียงเครียด
ผมที่เห็นถึงความผิดปกติบางอย่างทำได้แค่เลิกคิ้วขึ้นแล้วขับไปจอดอยู่ข้างๆ มัน
ไอ้ดินพยักพเยิดหน้าไปตรงจุดหนึ่ง
ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้ผมเห็นเหตุการณ์บางอย่างเข้า
เป็นเหตุการณ์ที่คนดีของสังคมจะต้องปรี่เข้าไปช่วยอย่างแน่นอน
แต่ผม...มองเฉยๆ
“ทำไม?” ผมถามเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่
ก็แค่ผู้หญิงชุดดำคนหนึ่งที่ผมไม่อยากรู้จัก
เธอก็แค่...กำลังถูกผู้ชายคนหนึ่งที่ตัวสูงกว่า มีพละกำลังมากกว่าลวนลาม
“เฮ้ยไอ้เอย์ นั่นเกลนะ”
“แล้วไงต่อ”
ผมหยิบหมวกกันน็อกขึ้นมาสวมเพื่อปิดบทสนทนา “ไม่ใช่เรื่องของกู”
จะไม่มีการแก้แค้น จะไม่มีการเอาคืน
แต่ถ้าวันไหนเธอลำบาก เธอทรมาน
ผมจะมอง...มองอยู่แบบนี้
เรื่องของเธอ ผมจะสาระแนทำไม
จะเป็นจะตายยังไงมันก็ไม่เกี่ยวกับผม
ว่าแล้วผมก็ขับรถจากมาโดยไม่แม้แต่จะเหลียวหลังกลับไป...
...
MA-NELL'S ZONE
กรี๊ดกร๊าดด อัปเเย้ววๆๆๆๆๆ
จุดเปลี่ยนของจริงคือนับตั้งเเต่ตอนนี้นะ ที่ผ่านมาถือว่าน้ำจิ้มมม
ป.ล เผื่อมีคนสงสัยว่าทำไมไม่ดึงปากกาออกไปเลย คือมันเอาออกเองไม่ได้นะคะ อันตรายมาก
การที่เราดึงออกเองอาจจะทำให้อวัยวะภายในเกิดความเสียหายกว่าเดิม เสียเลือดกว่าเดิม ตายเร็วกว่าเดิม
ฉะนั้น เวลาโดนมีดเเทง หรือโดนอะไรเสียบ ทางที่ดีควรรีบห้ามเลือดเเละพาส่งโรงพยาบาลนะ
ติดเเท็ก #ผู้หญิงแพศยา
ป.ล ขอพื้นที่ฝากนิยายน้องหน่อยนะคะ
เป็นน้องนักเขียนของเมย์เองง มาเร๊วว จิ้มๆ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น