ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Ending [ทำมือ] ◦แพศยา◦

    ลำดับตอนที่ #8 : #ผู้หญิงแพศยา :: Episode 8 [อัปครบ]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 17.45K
      2.36K
      1 ธ.ค. 61




    -E P I S O D E 08-


    Khun Describe

    ผมกำลังจะออกไปทำธุระที่ต่างจังหวัด แต่ระหว่างทางมีบางสิ่งทำให้ผมต้องเปลี่ยนความคิด

    สิ่งนั้นคือผู้หญิงในชุดโทนสีเข้มตรงสวนสาธารณะฝั่งซ้ายมือ ศีรษะของเธอถูกคลุมด้วยฮู้ด มองจากตรงนี้ไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าเธอกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ แต่ผมคิดว่าเธอกำลังเครียด...

    ผมชะลอรถแล้วหาทางยูเทิร์นกลับ ใช้เวลาไม่กี่นาทีก็มาจอดเทียบฟุตบาธใกล้ๆ กับจุดที่เธอยืนอยู่

    เป็นเกลเอง

    เธอยืนเอาแผ่นหลังพิงรถเหมือนเหนื่อยที่จะไปต่อ ยิ่งไปกว่านั้น ผมยังเห็นบุหรี่และไฟแช็กในมือขาวซีด เหมือนว่าเธอกำลังจมอยู่กับความทุกข์จนต้องพึ่งพามันเป็นสิ่งสุดท้าย

    และมันที่ว่าก็เป็นสิ่งที่เกลเคยบอกว่าเกลียดนักเกลียดหนา

    ผมนั่งอยู่ในรถและมองเธอผ่านกระจกติกฟิล์ม กระทั่งนิ้วชี้และนิ้วกลางนำพาบุหรี่หนึ่งมวนไปจนถึงริมฝีปากสีแดงก่ำ เธอเม้มมันไว้ สูดมันเข้าไปหนึ่งครั้ง...

    “เวรเอ๊ย” แล้วก็เป็นอย่างที่คาดไว้ หลังจากเกลอัดควันเข้าปอดไปเฮือกใหญ่ ประมาณสามวินาทีต่อมาเธอก็สำลักหน้าดำหน้าแดงด้วยความไม่เคยชิน แถมยังสบถหยาบคายตามมาเหมือนนี่เป็นความผิดของเจ้า Marlboro Black นั่น

    เด็กน้อย

    เธอมันเด็กน้อยจริงๆ เลยเกล

    ผมคิดในใจ ก่อนจะลงจากรถแล้วตรงดิ่งเข้าไปแย่งบุหรี่ในมือเธอทันทีโดยไม่ถามความเห็นเจ้าตัวสักคำ

    “สูบไม่เป็นยังจะดันทุรังอีกนะ” ผมเอาบุหรี่มวนเดิมที่เธอเพิ่งสูบมางับไว้ทันที มีกลิ่นมิ้นต์เล็กๆ จากลิปสติกของเธอด้วย

    “นายชอบยุ่ง” เกลทำหน้าเบื่อหน่าย ไม่ตกใจสักนิดที่ผมมาปรากฏตัวตรงหน้าเธอ

    ผ่านช่วงที่เกลต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลมาสักระยะแล้ว เรายังติดต่อกันอยู่แทบทุกวัน ยัยบ้านี่ชอบทักไลน์มาตอนดึกๆ เหมือนอยากคุย แต่สุดท้ายก็ได้แค่ส่งสติ๊กเกอร์มาให้

    เกลเป็นพวกชอบเก็บอะไรไว้คนเดียว ถ้าผมไม่ได้ตะบี้ตะบันถาม หรือเธอไม่ได้อยากพรั่งพรูมันออกมาเองจริงๆ เธอก็จะไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว

    อย่างมากคงแค่หาเรื่องคุย  คุยเรื่อยเปื่อยพอให้ความฟุ้งซ่านในจิตใจเจือจางลงบ้าง

    “มาทำไรคนเดียว ดึกมากแล้ว” ผมไม่สนใจแววตาแสนขวางและน้ำเสียงหงุดหงิด

    “เบื่อ” เกลตอบแบบขอไปที แต่แววตาคู่นั้นกลับปรากฏความเจ็บปวดออกมาให้ผมเห็น “ไม่อยากกลับบ้าน ไม่อยากนอนบ้าน”

    “ทะเลาะกับพ่ออีกแล้วหรือไง” ผมถามแบบนี้เพราะความเป็นไปได้มันมีอยู่สูงมาก

    เธอทะเลาะกับพ่อบ่อย และบ่อยจนนับครั้งไม่ถ้วน

    สาเหตุหลักคงมาจากแม่เลี้ยงที่ชื่อสายธาร

    “...” เกลไม่ตอบ แถมยังหลบตาผม

    และผมเพิ่งสังเกตเธออย่างใกล้ชิด ถึงได้เห็นว่าปลายจมูกมนซับสีแดงอ่อนๆ ใต้ตาบวมเล็กน้อยคล้ายว่าผ่านการร้องไห้มา

    อีกแล้วสินะ

    หมับ...

    ภาพนั้นทำให้ผมต้องคว้าเกลมากอด ก่อนใช้มือกดศีรษะเธออย่างแผ่วเบา จงใจให้เธอซุกหน้ากับแผงอกผม

    ผมได้ยินคำว่า ไอ้...’ หลุดออกมา แต่ไม่แน่ใจว่าหลังจากนั้นเกลก่นด่าอะไรผมบ้าง เพราะผมไม่สนใจ

    ผมแค่อยากกอดเธอ

    ผมแค่ไม่ชอบที่เธอต้องมาเสียน้ำตา ไม่ชอบตอนที่เกลเปราะบาง มันทำให้ผม...เป็นห่วง

    “คืนนี้มีที่พักยัง?” 

    “คิดว่าจะไปนอนบ้านยาย” คำตอบที่ดังออกมาพร้อมเสียงอู้อี้ทำให้ผมต้องกระชับร่างบางเข้ามาใกล้อีกนิด

    ผมรู้ว่าเกลไม่ชอบด้านอ่อนแอของตัวเอง แต่เธอไม่รู้ตัวหรอกว่า...เสียงอู้อี้เหมือนเด็กนั่นมันน่าทะนุถนอมมากแค่ไหน “ถามทำไม อยากให้ไปนอนคอนโดฯ นายหรือไง”

    ถ้าตอบว่า อืมคงไม่ผิดใช่ไหม?

    “ก็แล้วแต่เธอ ฉันไม่ได้บังคับ” ผมรู้ว่าเกลไม่ชอบให้ใครมาบงการชีวิตเธอ “แต่คอนโดฯ ฉันสบายนะ เตียงนุ่มมาก”

    “...” เกลเงยหน้าขึ้นมา เรียวคิ้วขมวดติดกันเล็กน้อย หน้าตาดูไม่สบอารมณ์อีกแล้ว

    “ถ้าเธอเมื่อยขาก็ขึ้นลิฟต์ได้ หรือถ้าไม่ชอบลิฟต์ ฉันก็อุ้มเธอได้” ไม่ได้บังคับให้เธอเลือกเลย...ผมสาบาน

    “นี่” เสียงขุ่นเขียวของยัยเพื่อนตัวร้ายทำให้ผมหลุบตาลงอีกนิด “พูดขนาดนี้ทำไมไม่ลากฉันไปคอนโดฯ เลย”

    “ลากไม่ได้ เธอทุบฉันแน่” พูดพลางจินตนาการถึงตอนที่เกลโมโห เธอไม่ใช่ผู้หญิงในแบบที่ใครเคยเจอ และผมพิสูจน์มาแล้วว่าถ้าทำให้ยัยนี่ไม่พอใจ อย่างน้อยๆ คงโดนทุบจนได้แผล

    “รำคาญ” เพราะผมเพิ่มแรงกอดขึ้นอีกนิดจนร่างบางแทบฝังลงมา เกลที่หงุดหงิดเป็นทุนเดิมก็กระชากเสียงใส่ ไม่เพียงเท่านั้น...เธอยังพยายามดันตัวเองออกจากอ้อมแขนของผมอีกด้วย

    ผมไม่ได้เอาแต่ใจขนาดจะกอดเธอไปทั้งคืน ถึงได้ยอมปล่อย

    สิ่งแรกที่ผมเห็นหลังจากร่างของเราหลุดออกจากกันคือใบหน้าถมึงทึงของเกล

    “จะไปนอนบ้านยายก็ได้ ฉันไม่ได้บังคับเธอ” ผมรู้ว่าเกลรักยายมาก และเธอก็เป็นห่วงน้องสาวที่ชื่อกิ่งอะไรนั่นด้วย

    “ห้าทุ่มครึ่ง คงนอนกันหมดแล้ว” เกลยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู “ไม่อยากปลุกให้ยัยกิ่งมาเปิดประตู พรุ่งนี้มันมีสอบแต่เช้า” 

    อืม...ถ้าจำไม่ผิด เกลมีกุญแจบ้านยายสำรองอยู่ แต่เธอทำหายตอนเกิดอุบัติเหตุ

    “ไปคอนโดฯ ฉันถูกไหม?” ผมเลิกคิ้ว 

    หัวใจเต้นตึกตักอีกแล้ว อ่อนหัดฉิบ...

    “อืม รบกวนหน่อยแล้วกัน”

    งั้นธุระที่ต้องไปทำ...ผมขอเทก่อนเเล้วกัน

     

    ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงคอนโดฯ

    ผมให้เกลขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนชุดรออยู่ในห้อง ส่วนผมแวะซื้อของกินเล็กๆ น้อยๆ อยู่ด้านล่างเพราะรู้ว่าเธอคงยังไม่ได้กินอะไรมาแน่ๆ

    เกลผอมลงจนสังเกตได้ เห็นแล้วอยากจับขุนให้อ้วนจริงๆ

    กึก...

    หลังจากจ่ายเงินและเดินออกมาจากร้านสะดวกซื้อ ผมตั้งใจว่าจะขึ้นคอนโดฯ เลย แต่การปรากฏตัวของใครบางคนที่นั่งสูบบุหรี่อยู่บนบิ๊กไบค์คันสีดำ ฉุดให้เท้าทั้งสองข้างหยุดนิ่งอยู่กับที่

    ไอ้เอย์

    “กูมาตามพี่สาวกลับบ้าน” ไม่มีคำทักทายใดๆ เกิดขึ้น มีแต่น้ำเสียงกดต่ำกับสายตาที่คล้ายกับจะทุบผมให้แหลกละเอียด  

    ผมรู้ในทันทีว่าตอนนี้ไอ้เอย์กำลังอารมณ์เสีย

    “เกลจะนอนที่นี่” ผมใช้โทนเสียงปกติ เพราะรู้ว่าอารมณ์ร้อนกลับไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น

    “ยัยนั่นหนีออกจากบ้าน อย่าบอกนะว่ามึงสนับสนุน?” ไอ้เอย์ใช้นิ้วคีบมวนบุหรี่ออกจากริมฝีปาก ก่อนจะตั้งคำถามพร้อมกลุ่มควันลอยคลุ้ง

    สายตาแหลมคมของไอ้เอย์แตกต่างไปจากทุกครั้ง เหมือนมันไม่ได้โกรธแค่เกลคนเดียว แต่รวมถึงผมคนนี้ด้วย

    ความสัมพันธ์ในอดีตของมันกับเกล จริงๆ แล้วไม่ใช่ว่าผมไม่รู้ แต่ผมแค่เลือกที่จะเก็บมันไว้ในใจ ไม่จำเป็นต้องพูดหรือขุดคุ้ย

    ตอนนี้เกลเหยียดขยาดไอ้เอย์มาก นั่นคือสิ่งที่พอจะการันตีได้ว่าสองคนนี้ไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิม และผม...รู้สึกดีใจที่เรื่องมันเป็นแบบนี้

    “เพราะเธอไม่มีความสุขที่ต้องอยู่บ้านไง” ผมพูดอย่างใจเย็น ไม่ลืมเงยหน้าขึ้นไปด้านบนของคอนโดฯ

    เห็นหายไปนาน ป่านนี้ยัยนั่นคงสาปแช่งผมแน่ๆ ที่ปล่อยให้รอ

    “พี่เกลต้องมาอยู่กับมึงสองต่อสองเหรอถึงจะมีความสุข” ไอ้เอย์ปาบุหรี่ลงพื้นอย่างมีอารมณ์ ไม่ลืมใช้รองเท้าผ้าใบสีเข้มขยี้จนเปลวไฟสีส้มมอดดับ เพียงไม่กี่วินาทีมันก็ตรงมาที่ผม ทิ้งระยะห่างไว้เพียงสองเอื้อมแขน

    โตแล้ว ไม่อยากมีเรื่องกับเด็กหรอก

    แต่ถ้ามันยังไม่เลิกกวนตีน ผมเองก็คงทนไม่ไหวเหมือนกัน

    “อย่างน้อยก็มีความสุขกว่าอยู่กับมึง” ผมมองหน้ามันอย่างเยือกเย็น

    กับคนที่ทำให้เกลเจ็บปวดซ้ำๆ บางทีผมก็คิดว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องใจเย็นให้มากนัก

    ทำใครผมไม่ว่า แต่กับเกล...ผมยอมไม่ได้

    หมับ!

    อย่างที่คิดไว้ สิ้นคำตอบแทงใจดำ ไอ้เอย์ก็กระชากคอเสื้อผมอย่างมีน้ำโห นัยน์ตาวาวระยับด้วยโทสะ ได้ยินเสียงขบกรามที่บ่งบอกถึงระดับอารมณ์ด้วย

    “ทำบ้าอะไรของนาย” ทว่าเพียงไม่กี่วินาทีหลังจากที่คอเสื้อผมโดนกระชาก เสียงเย็นเฉียบของเกลก็ดังขึ้นจากเบื้องหลัง

    ผมไม่ทันได้หันกลับไปมองก็พบว่าเธอตรงดิ่งเข้ามาผลักไอ้เอย์ออกอย่างรุนแรง และมันรุนแรงจนไอ้เอย์เซถลาจนเกือบล้ม

    วูบหนึ่ง ผมรับรู้ได้ถึงความอ่อนล้าในครั้งที่สองตาของไอ้เอย์สะท้อนภาพเกล

    ทั้งเจ็บปวด ทั้งเหนื่อย

    “มาตามกลับบ้าน” แต่ถึงอย่างนั้นไอ้เอย์ก็ยังยืนกรานเจตนารมณ์ของตัวเอง แม้ว่าท่าทีของเกลจะชัดเจนว่าไม่อยากกลับไป “...กลับบ้านเราเถอะพี่เกล”

    “ที่ๆ มีนายกับสายธาร ฉันไม่อยากเรียกมันว่าบ้านหรอก” เกลสวน

    “อยู่กับไอ้ขุนมันดีกว่า?” เสียงไอ้เอย์กลับมาห้วนจัด “เพื่อนหรือผัว”

    “...”

    “เอย์ก็ผัวเก่า ไอ้ผาก็ผัวใหม่ แล้วไอ้ขุนล่ะใคร...ชู้เหรอ?” อกผมเดือดยิ่งกว่าน้ำร้อน สัญชาตญาณสั่งให้ผมเข้าไปเลาะฟันมันออกจากปากสักสองสามซี่ แต่...

    เกลที่ยืนอยู่ไม่ไกลกลับรั้งผมไว้ด้วยเรียวแขนทั้งสองข้าง เธอบังคับให้ผมจ้องมอง ก่อนจะเขย่งปลายเท้าเพื่อให้ส่วนสูงของเราอยู่ในระดับที่ใกล้เคียง

    ประมาณสามวิหลังจากนั้น...เกลก็กดกลีบปากชุ่มชื้นลงมาบนริมฝีปากของผม

    แนบเเน่นและดุเดือดตั้งเเต่คราวเเรกที่ได้สัมผัส

    ตุ้บ...

    ถุงขนมมากมายในมือผมลงไปกองกับพื้นทันทีด้วยความช็อกปนตกใจ

    สติสตังเหมือนดับวูบไปชั่วขณะ สองหูอื้ออึงจนไม่ได้ยินเสียงรอบข้าง แต่ใช้เวลาไม่นานนักผมก็กู้ทั้งหมดกลับคืนมาได้ ก่อนส่วนลึกในจิตใจจะออกคำสั่งให้มือที่ยังว่างโอบรัดรอบเอวคอดบางของเกล

    และใช่ ผมทำตามสัญชาตญาณอย่างไม่มีข้อกังขา

    ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้ ที่เกลทำแบบนี้เพราะเธอรำคาญไอ้เอย์ เธอมีจุดประสงค์ทุกครั้งเวลาลงมือทำอะไร

    แม้ว่านี่ไม่ได้เกิดจากความต้องการที่แท้จริง แต่ผม...โอเค

    ยังไงก็ได้ เกลว่าดี ผมก็ว่าดี

    รสชาติแรกระหว่างเราแปลกใหม่มากสำหรับผม มันเดือดดาลจากความหงุดหงิดที่เธอมี แต่เมื่อผมพบเจอกับความอ่อนนุ่มกับกลิ่นมิ้นต์บนริมฝีปากเธอ ผมดันชอบมัน ชอบจนต้องโอบกระชับร่างบางเข้ามาใกล้

    พึ่บ

    เหมือนเกลรู้ว่าผมเริ่มตอบสนองจึงใช้อุ้งมือข้างใดข้างหนึ่งกระชากเรือนผมของผมเป็นการยุติ... ทิ้งไว้ซึ่งอาการชายิบที่แสนอธิบายยากบนริมฝีปากผม

    หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเกลก็หันกลับไปมองไอ้เอย์ที่ยืนนิ่งเป็นรูปปั้น ผมเองก็หันไปยังทิศทางเดียวกันกับเธอด้วย นั่นทำให้ผมได้เห็นว่าตอนนี้มันมีปฏิกิริยายังไงกับสิ่งที่เกิดขึ้น

    ท่าทีเยือกเย็น แต่เหมือนมีเปลวไฟขุมหนึ่งลุกโชติช่วงอยู่ในดวงตาคู่นั้น คู่ที่กำลังสะท้อนภาพเกล

    โดยปกติแล้ว ถ้ามีอะไรไม่ถูกใจ ไอ้เอย์จะไม่นิ่งเฉยแบบที่เป็นอยู่

    มันคงกำลังคิดอะไรสักอย่าง

    “นายคงได้คำตอบแล้วเอย์” เป็นเกลเองที่พูด “ทั้งผา ทั้งขุน สองคนนี้เป็นคนในปัจจุบันของฉัน ส่วนนาย...” ประโยคถัดมา เธอทิ้งช่วงไว้เล็กน้อยโดยไม่ลืมมองไอ้เอย์ตั้งแต่ศีรษะจดเท้าอย่างนึกสังเวช

    “เอย์ทำไม?” ไอ้เอย์กำหมัดแน่น...ก่อนจะเอากำปั้นดังกล่าวซุกไว้ในกระเป๋ากางเกง “เอย์เป็นอะไรสำหรับพี่เกลเหรอตอนนี้”

    “ไม่รู้สิ” คำตอบนั้นทั้งเย็นชาและห่างเหิน

    ที่สำคัญ...เกลยังไม่หยุดทำให้ผมช็อกด้วยการฉวยมือข้างขวาไปกอบกุม ก่อนจะกลายเป็นการสอดประสานเรียวนิ้วที่ทำให้ผมรู้สึก...ใจคอไม่ดีเท่าไหร่ “ไม่สำคัญเลยจำไม่ได้”

    โกหก...

    เกลจำได้หมดทุกอย่าง

    ไอ้เอย์เคยเป็นความสุขของเธอ 

    มันเคยเป็นโลกทั้งใบ...แต่แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็พังทลายด้วยคนที่เธอเคยให้เป็นทั้งชีวิต

    เกลเป็นพวกจำฝังใจ ถ้าคนที่เคยทำระยำใส่ไม่ตะเกียกตะกายอย่างทรมานต่อหน้าต่อตา...เธอจะไม่มีทางลืม

    “...เออ จำคำนี้ไว้”

    ไอ้เอย์ถุยน้ำลายลงพื้นอย่างอารมณ์เสีย ก่อนจะเดินกลับไปยังบิ๊กไบค์คันสีดำอย่างเชี่ยวกราด เเทบจะทันทีที่มันขับรถจากไปด้วยความเร็วราวกับไม่เกรงกลัวความตาย

    “โทษทีละกัน” คล้อยหลังประมาณสองนาที ยัยเพื่อนตัวดีก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่พร้อมคำขอโทษ

    “ไม่เป็นไร”

    ฉันโอเค จะเกรี้ยวกราดแล้วทำแบบนี้บ่อยๆ...ฉันก็ไม่ว่าอะไร

     

    คืนนั้น

    ผมตื่นขึ้นมาช่วงตีสามแล้วพบว่าเกลไม่อยู่ที่นี่แล้ว

    เธอหายไปไหน?

    End Describe

     

    Gale Describe

    มีบางสิ่งปลุกฉันในช่วงตีสองครึ่ง สิ่งนั้นคือเมสเซนเจอร์จากยัยกิ่ง

    ไม่บ่อยนักที่มันจะส่งข้อความมาหาฉันในเวลาดึกดื่น มันรู้อยู่แล้วว่าพี่สาวตัวเองนอนดึก แต่มันน่ะสิ...ไม่เกินห้าทุ่มก็หลับอุตุไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องแปลกที่เด็กอนามัยอย่างมันจะทักมาหาในช่วงเวลาแบบนี้

    Ging :: เจ๊ กิ่งรู้สึกไม่ดีเลย

    Ging :: มาหากิ่งหน่อยได้เปล่าอ่า

    หลังอ่านข้อความเหล่านั้นจบ คำถามแรกที่พุ่งเข้ามาในหัวคือ เกิดอะไรขึ้น?

    ถึงจะตงิดใจและแอบคิดว่ายัยกิ่งอาจโดนแฮ็กเฟซบุ๊ก และฉันอาจกำลังโดนแกล้ง แต่เมื่อคิดดูดีๆ แล้ว มีไม่กี่คนที่รู้ว่าเราสองคนแทนสรรพนามกันยังไงในชีวิตประจำวัน

    Me :: เป็นไร

    Ging :: กิ่งอยากกอดเจ๊ มาหากิ่งที่บ้านหน่อย นะๆๆ

    ฉันนั่งจ้องข้อความนั้นอยู่พักหนึ่งก็ตัดสินใจแล้วว่าไม่ควรเพิกเฉย จึงหยิบเอากุญแจรถแล้วรีบออกจากคอนโดฯ ขุนทันทีโดยไม่มีการรั้งรอใดๆ

    โชคดีที่ขุนนอนอีกห้อง หมอนั่นหลับเป็นตายและคงไม่รู้หรอกว่าฉันกำลังออกไปข้างนอก

    ถึงขุนจะบงการและสั่งฉันไม่ได้ แต่บางที...การที่หมอนั่นทำตัวเป็นพี่ชายและแสดงออกถึงความเป็นห่วงเป็นใยมันก็ทำให้ฉันใจอ่อนอยู่เหมือนกัน

    ฉันไม่ค่อยได้รับความรักความใส่ใจจากคนในครอบครัวมากอย่างที่ควรจะเป็น แถมยังเคยผิดหวังจากเพื่อนและคนรักมาอย่างสาหัสในครั้งอดีต พอโดนขุนตามใจและเอาใจมากๆ ฉันว่าไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกที่ตัวเองจะเป็นแบบนี้

    ขุนเป็นเพื่อนที่ดีนะ 

    ฉันลงมาถึงชั้นล่างในไม่กี่นาทีต่อมา ซึ่งเรื่องมันคงจะดำเนินไปอย่างเรียบเฉยถ้าหากว่าไม่เจอใครบางคนที่คล้ายว่าซุ่มดูอยู่นานแล้วตรงเข้ามาซ้อนแผ่นหลังและผลักฉันเข้าไปด้านในจังหวะที่ประตูรถถูกเปิด!

     ทุกอย่างผ่านไปไวมากจนฉันไม่สามารถอธิบายออกมาได้ รู้แค่ว่า...เมื่อประตูรถปิดลง ฉันก็พบว่าตัวเองนั่งอยู่บนตักหนาของใครคนหนึ่งพร้อมลมหายใจร้อนผ่าวที่เป่าระข้างใบหู

    “ไม่ระวังหลังเลยนะพี่เกล” และเสียงกระซิบนั่นก็ดังขึ้น...

    “นายเป็นเหี้ยไรเอย์!” 

    ทันทีที่ได้คำตอบว่าใครเป็นเจ้าการกระทำสุดเฮงซวยนี่ ฉันก็หมดความอดทนจนต้องตะเบ็งเสียงถามอย่างมีน้ำโห พร้อมทั้งใช้ข้อศอกซึ่งเป็นอาวุธเพียงหนึ่งเดียวในตอนนี้กระทุ้งลงกลางลำตัวเขา

    เสียงกระทบกันของกระดูกช่วงข้อศอกกับกล้ามเนื้อที่หดเกร็งบ่งบอกได้อย่างดีว่าพละกำลังที่ฉันส่งไปมันรุนแรงแค่ไหน 

    ติดแค่ว่า...เอย์ยังคงรัดตัวฉันไว้ด้วยท่อนแขนทรงพลัง

    ไม่สิ ฉันรู้สึกได้ว่ามันแนบแน่นขึ้นกว่าเก่าจนแทบหายใจไม่ออก

    เหมือนเอย์กำลังฆ่าฉันผ่านการกอด และกอดของเขาเปรียบเสมือนโซ่หรือเกลียวเชือกขนาดใหญ่

    “เหี้ยมากไง ถึงทำแบบนี้” สุ้มเสียงทุ้มต่ำดังข้างหูอีกครั้ง “ถามหน่อยสิเกล”

    “...” ประโยคต่อมาของเอย์ดังขึ้นพร้อมกับการบังคับให้ฉันเอี้ยวหน้ากลับไปมองเขาผ่านการบีบคาง

    เจ็บมาก...ยอมรับว่าตอนนี้ฉันเจ็บไปทั้งตัว

    ทั้งอ้อมกอดของเขา ทั้งการบีบปลายคางที่คล้ายกับจะทำให้มันแหลกคามือ

    “ไหนว่าไม่สำคัญแล้วจำไม่ได้ไง” คำถามนั้นของเอย์ทำให้ฉันต้องสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ “พูดเองว่าจำไม่ได้ พูดเองว่าไม่สำคัญ แต่จริงๆ เธอลืมฉันไม่ลงหรอก ใช่ไหม?”

    ทุกถ้อยคำ ทุกวลี มันเต็มไปด้วยการเยาะเย้ยแดกดัน แต่ท้ายประโยคนั้น ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าเขากำลังรอคอคำตอบ

    คำตอบในแบบที่เขาอยากได้ยิน ไม่ใช่คำตอบที่ฉันอยากจะพูด

    ทำฉันแบบนี้ นายจะยังรอคอยคำตอบที่น่าพอใจอยู่เหรอเอย์

    ...ประสาท

    “ใช่ ฉันไม่ลืม” ก่อนตอบ...ฉันต้องกดความรู้สึกบางส่วนไว้ไม่ให้มันปะทุออกมา และเมื่อกลั่นเสียงออกไป ฉันรับรู้ได้ในทันทีว่าหัวใจมันหนักอึ้งมากแค่ไหน

    “...” เอย์เงียบ 

    เขายังคงหายใจรดฉัน อยู่ใกล้ฉัน ใกล้มากจนสัมผัสได้ถึงไรหนวดแข็งๆ กับลมหายใจร้อนผ่าวเจือกลิ่นบุหรี่

    “คิดว่าฉันจะลืมคนที่พรากทุกอย่างไปจากชีวิตเหรอ?”

    “เรื่องเด็กคนนั้น...” เอย์พยายามจะพูดอะไรสักอย่าง

    เห็นไหมล่ะ ขนาดสิ่งมีชีวิตที่เกิดมาจากเราสองคน เขายังเรียกว่า เด็กคนนั้นแทนที่จะเป็น ลูกของเรา เลย

    กับสิ่งที่เกิดขึ้น ฉันหมดศรัทธาในตัวเขาไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก

    แต่เขา...เขาฆ่าฉันให้ตายทั้งเป็น เจ็บปวดและร้องไห้มาตั้งกี่ครั้งกี่หน คนที่ทำเรื่องชั่วช้าขนาดนี้ทำไมถึงยังมีหน้ามากอด มาสัมผัส และพูดจาเหมือนว่าเรายังเป็นอะไรกันอยู่

    เขาทำมันได้ยังไง

    “ฉันไม่ฟัง” เพราะฉันเคยให้เวลาเขาเพื่ออธิบายทุกอย่าง แต่เขากลับเพิกเฉยไม่สนใจ เลือกที่จะทิ้งฉันไว้ข้างหลัง

    ตอนนี้มันสายไปแล้ว

    “แล้วเธอจะเอายังไง” ต่อให้น้ำเสียงไม่กระโชกโฮกฮาก แต่เพราะเราอยู่ใกล้กันมากจนแทบจะรวมร่างกันได้ ฉันจึงรับรู้ได้ตั้งแต่วินาทีแรกว่าคำถามนั้นมันแฝงไปด้วยความหงุดหงิดระดับไหน

    อยากถามว่า...ควรเป็นฉันมากกว่าไหมที่ต้องหงุดหงิด

    มีปัญหาทางสมองเหรอถึงมองเห็นแต่ความผิดของคนอื่น แถมยังเอาอารมณ์ตัวเองเป็นที่ตั้งตลอด

    “ปล่อยฉันแล้วไสหัวไป เรื่องนี้แค่นี้ทำไมต้องถาม” 

    ฉันอยากหันไปข่วนเขาให้เลือดไหล และถ้าเป็นไปได้ ฉันก็อยากเอามีดในกระเป๋าออกมาแล้วแทงเขาให้ตายไปตรงนี้ เผื่อความคับแค้นใจ+ความเจ็บปวดในครั้งอดีตที่ยังคงตามเล่นงานมาจนถึงปัจจุบันจะลดลงบ้าง

    แต่ตายง่าย...มันไม่สะใจ

    ก็แค่ตาย

    ต้องทรมาน ต้องกระสับกระส่าย ต้องทุรนทุราย และต้องค่อยๆ ตายอย่างน่าสงสาร

    “ถ้าอยากปล่อย คงปล่อยตั้งแต่แรกแล้วไหม” เอย์กระชับอ้อมกอด “เธอควรกลับบ้าน พ่อเป็นห่วง”

    ยังไม่ได้บอกสินะว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ฉันพูดเรื่องนั้นกับสายธาร แถมยังตบมันจนหน้าหัน

    เรื่องก็ไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะหลังจากนั้นไม่นานพ่อก็ขึ้นมาเห็นภาพที่ดูแล้วยังไงอีเวรสายธารก็แสนน่าจะสงสาร ทั้งเศษแก้วบนพื้นกับแผลเล็กๆ ตรงตาตุ่ม ไหนจะรอยแดงจากการถูกตบกับเลือดของฉันบนแก้มมัน

    มองเผินๆ เหมือนมันถูกฉันตบจนเลือดออก

    ทั้งที่ความจริง...มันหยิกฉันจนเลือดซิบ

    พ่อด่าฉันแบบสาดเสียเทเสียอย่างที่ไม่ต้องคาดเดาอะไรให้ปวดหัว และการที่ท่านเอาแต่เข้าข้างมัน มันทำให้ฉันรู้สึกอยู่พอสมควรว่าบ้านหลังนั้นคงไม่ใช่ที่ของตัวเอง

    บ้าน...สำหรับคนอื่นอาจเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัย

    แต่บ้าน...สำหรับฉันในตอนนี้มันคือนรก

    คือที่ที่อยู่แล้วไม่เคยมีความสุข แล้วจะอยู่ทำไม? นั่นคือเหตุผลที่ฉันกลับเข้าห้องแล้วเอาของที่จำเป็นยัดใส่กระเป๋า จากนั้นก็ออกจากบ้านมา...ถ้าเรียกให้ถูกคงหนีออกจากบ้านมั้ง

    ไหนๆ ฉันก็เป็นเด็กใจแตกในสายตาพ่ออยู่แล้ว จะเลวก็เลวให้มันสุดไปเลย ไม่มีอะไรต้องแคร์อีก

    ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ของฉันและเอย์ที่บอกสายธารไป ฉันว่ามันคงไม่ยอมบอกพ่อหรอก ตราบใดที่มันยังอยากเป็นเมียท่าน อยากอยู่ในบ้านหลังนั้นและใช้ชีวิตสุขสบายบนกองเงินกองทอง

    “ไม่ต้องมาทำหน้าที่แทนพ่อฉัน” ฉันกดเสียง “และนี่ก็ชีวิตฉัน ฉันเลือกเอง นายอย่าสอด”

    “เกล เธอดื้อ” เอย์ปรามาสฉัน “แต่...ถ้าไม่อยากกลับบ้านก็ไม่เป็นไร”

    “...”

    คำพูดนั้นเหมือนเขายอมยกธงขาวแล้วปล่อยกันอย่างเสียไม่ได้ แต่เปล่า...

    “ไปที่อื่นก็ได้” เพราะเขาแย่งกุญแจไปจากมือฉัน สตาร์ทรถ...จากนั้นก็ขับออกไปจากลานจอดทั้งที่ฉันยังนั่งอยู่บนตักเขาแบบนี้

    ...เขาจะพาฉันไปไหน?

    ตั้งคำถามอย่างหัวเสียและไม่ลืมออกแรงดิ้นให้เอย์รู้ว่าฉันไม่เห็นด้วยกับการกระทำอันอุกอาจของเขา

    ไม่ใช่แค่ฉัน แต่ถ้าใครเจอแบบนี้ก็คงทนไม่ไหว

    “เอย์ ฉันจะไม่ไปไหนกับนาย!” เมื่อการออกแรงดิ้นไม่ประสบผล ฉันจึงเค้นเสียงออกมาอีกครั้งด้วยความดังระดับที่อาจทำให้แก้วหูเขาแตกได้

    แต่รู้ไหม เอย์เพียงแค่ขมวดคิ้วเหมือนรำคาญฉัน ทว่าไม่ยอมหยุดรถ ยังคงขับไปข้างหน้าด้วยความเร็วระดับปานกลาง

    จนกระทั่งฉันดิ้นอีกครั้ง เขาก็ระบายความหงุดหงิดออกมาผ่านการขับรถ เป็นการเพิ่มความเร็วในการขับชนิดที่ว่าไม่เกรงกลัวความตาย

    “อยู่เฉยๆ เถอะ อย่ารั้น” ท่ามกลางลมหายใจที่ตอนนี้ถูกแขวนอยู่บนเส้นด้าย โทนเสียงที่ดุดันและเงียบเชียบก็เล็ดลอดออกมาจากลีบปากเรียบตึง “ไม่พาไปฆ่าหรอก”

    “จะฆ่าหรือไม่ฆ่ามันสำคัญตรงไหน” ฉันถามเขา “ในเมื่อฉันไม่อยากไปกับนาย”

    “แต่เอย์ผัวเกลไม่ใช่เหรอ” และคำถามที่เขาสวนกลับมายิ่งทำให้ฉันต้องข่มความเดือดดาลไว้ ทั้งที่ความจริงอกข้างซ้ายร้อนยิ่งกว่าน้ำถูกต้ม “...หมายถึงผัวเก่า” 

    ...ก่อนประโยคต่อมาจะดังขึ้นอย่างแผ่วเบาใกล้ๆ ฉัน

    ตอนนี้เขารู้สึกยังไง คิดอะไรอยู่ บางทีฉันก็อยากรู้ แต่พอถึงเวลาจริงๆ กลับไม่อยากได้คำตอบ

    “จอดรถ” ฉันเลิกสนใจคำพูดก่อนหน้านี้แล้วโฟกัสแค่เรื่องที่ตัวเองต้องการ

    เอย์ควรลงไปจากรถ ส่วนฉันควรล้มเลิกเรื่องยัยกิ่งแล้วกลับคอนโดฯ ขุน

    ดูแค่นี้ก็รู้แล้วว่าเอย์กับยัยกิ่งร่วมมือกัน ไม่เอย์บังคับยัยนั่น ก็อาจจะเป็นยัยนั่นก็ได้ที่อาสาช่วยเอง

    ยัยกิ่งรู้ว่าเราสองคนเคยเป็นอะไรกัน และปัจจุบันมันคงคิดว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิม

    ทั้งที่คิดแบบนั้น...แต่เสื้อผู้ชายในห้องมันในวันนั้นคืออะไร พวงกุญแจตุ๊กตาที่ฉันเห็นในกระเป๋ากางเกงเอย์คืออะไร ปริศนามากมายยังคงฝังอยู่ในหัวฉัน ให้ลืมคงเป็นไปไม่ได้

    เอี๊ยด...

    น่าแปลกที่ครั้งนี้คำพูดฉันเข้าไปถึงหูและทะลุไปถึงสมอง เอย์ถึงได้ยอมจอดตามที่ฉันสั่ง แต่ทันทีที่รถจอดสนิท ฉันกลับพบว่าจุดนี้คือจุดที่ปราศจากรถรา รวมไปถึงสิ่งมีชีวิตต่างๆ

    ถนนถูกโอบล้อมไปด้วยป่าชื้น ครั้นเมื่อมองไปข้างหน้าก็พบกับเส้นทางที่ทอดยาวออกไปจนสุดลูกหูลูกตา หาจุดสิ้นสุดไม่เจอ

    “จอดแล้ว เอาไงต่อ?” เอย์ถามเหมือนอยากรู้ว่าฉันจะจัดการกับสถานการณ์แบบนี้ยังไง

    จึก...

    และคำถามนั้นก็ได้คำตอบเป็นปากกาด้ามหนึ่งในมือฉัน

    ตอนที่เขาขับรถ เขาคงไม่ได้สังเกตหรอกว่าฉันพยายามล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าใบเล็กซึ่งวางอยู่บนรถก่อนแล้ว ฉันจำได้ว่าในนั้นมีปากกางอยู่ประมาณสองสามด้าม

    ฉันฉวยโอกาสตอนที่เขาเอาแต่ขับรถเพื่อล้วงมันออกมา

    และใช่ ฉันพาดแขนไว้ด้านหลัง ก่อนจะปักมันเข้าที่สีข้างของเขา

    “เธอ...” ฉันกดส่วนที่คมที่สุดลงไป และคาดว่าคงลึกพอจนทำให้เขาเปล่งเสียงออกมาอย่างแหบแห้งและทรมาน

    เอย์คลายอ้อมแขนข้างหนึ่งออกจากเอวฉัน ฉันรู้สึกเป็นอิสระทันทีหลังจากคั่นเลือดเลวๆ ของเขาออกมาด้วยปากกาเพียงด้ามเดียว

    “หืม?” ฉันครางออกมาหนึ่งคำพร้อมทั้งเอี้ยวหน้ากลับไปมองเจ้าของร่างสูง จนพบกับนัยน์ตาสั่นระริกที่ดูยังไงก็ไม่รู้สึกว่ามันน่าสงสาร “เจ็บเหรอเอย์”

    ฉันถามโดยที่ปากกาด้ามนั้นยังคงปักบริเวณสีข้างของเขา

    เลือดสีเข้มกระเซ็นมาเลอะมือฉัน กลิ่นมันเหม็นคาวจนเวียนหัว

    แต่ไม่เป็นไร...กลับไปค่อยล้าง

    “เธอจะฆ่าฉันเหรอ...เกล” เอย์เค้นเสียงถาม เขาไม่เคลื่อนไหว ไม่ปัดป้อง คล้ายว่าเขาแค่ต้องการความแน่ใจว่าสิ่งที่ฉันทำอยู่ตอนนี้...เป็นการกระทำที่ผ่านกระบวนการคิดมาอย่างถี่ถ้วนแล้วใช่หรือไม่

    คำตอบคือไม่

    ฉันไม่คิด ไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้น

    กับคนอย่างเขา ทำให้เจ็บ ทำให้เลือดออก ทำให้ทรมาน ทำไมต้องมานั่งคิดให้มันวุ่นวายและปวดหัวด้วย

    ให้ความสำคัญกับตัวเองมากเกินไปแล้ว

    “ไม่ต้องห่วง” ฉันมองหน้าเขาอย่างเฉยชาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยที่ระหว่างนั้นยังคงลงน้ำหนักกับด้ามปากกาจนความยาวของมันเหลือเพียงครึ่งหนึ่งจากทั้งหมด “แค่นี้มันคงไม่ทำให้นายตาย”

    “...” 

    เอย์งอตัว มีเสียง อ๊ะเล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน

    จังหวะที่เขาอ่อนแอที่สุด ฉันรีบเปิดประตูรถแล้วผลักเขาลงไปนอนกองกับพื้นถนนเย็นเฉียบ พอเห็นว่าชายเสื้อเขาเกี่ยวติดกับประตู เท้าข้างขวาก็ยื่นไปเขี่ยมันออกอย่างรำคาญ

    ก่อนประตูจะปิดอีกครั้ง ฉันหลุบตามองเขา และเขากำลังมองฉันอย่างอ่อนแรง

    เป็นสายตาชนิดหนึ่ง...ที่ฉันไม่อยากเสียเวลามานั่งเดา

    ปึง...

    ฉันปิดประตูเป็นการจบทุกอย่าง จากนั้นขับรถจากมา...ทิ้งเขาไว้บนถนนร้างๆ นั่นเพียงลำพัง

    ถ้าฝนตก...ก็ให้มันนอนหนาวตายอยู่ตรงนั้น

    ถ้ามีรถผ่านมา...ก็ขอให้ใครสักคนเหยียบมัน

    ถ้ามันเจ็บจนทนไม่ไหว ไม่มีแรงลุก ไม่มีปัญญาเอาตัวรอด...ก็ขอให้มันทรมานอยู่แบบนั้นจนกว่าจะตายไปเอง

    นี่ไม่ได้มากไปเมื่อเทียบกับสิ่งที่ฉันเจอ

    ไม่ได้มากไปเลย

    ---

    MA-NELL'S ZONE

    อะเหื้ออออ

    ติดเเท็ก #ผู้หญิงแพศยา


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×