ล้างโลก
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเพื่อนสนิทที่ใกล้ชิดมนุษย์มากที่สุดเป็นผู้ร่วมขบวนการทำลายล้างโลก
ผู้เข้าชมรวม
350
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ปี ค.ศ. 3000 ในคืนที่ท้องฟ้าที่แดงฉานดุจเลือด ทุกอณูของอากาศเต็มไปด้วยฝุ่นละอองและกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ ทั่วทุกพื้นพสุทาเต็มไปด้วยสิ่งที่เคยมีชีวิต นอนตายเกลื่อนกลาดไร้ค่า ไม่ต่างไปจากซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้างที่สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "มนุษย์" ยกย่องว่ามันเกิดจากอารยธรรมที่สูงส่งและเกิดจากมันสมองอันเป็นเลิศ ภาพอันโหดร้ายเหล่านี้เป็นสิ่งที่อยู่ข้างหน้าของผม ผมไม่รู้ว่าผมควรจะทำอย่างไรต่อไปดี ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาไม่กี่ปีตามเวลาบนดาวเคราะห์ดวงนี้ ตั้งแต่ผมเกิดมามักมีเรื่องที่แปลกๆเกิดขึ้นกับผมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นตอนเกิด ที่ผมสามารถพูดภาษาที่ไม่เหมือนมนุษย์ได้เลยโดยไม่ต้องมีใครสอนแต่ผมก็ไม่เคยพูดใครฟังเพราะกลัวอันตราย ผมอยู่กับพ่อที่ชอบขลุกตัวอยู่ในห้องทดลองขนาดใหญ่ใต้ดิน ผมมีความสามารถพิเศษมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้พลังจิตเคลื่อนย้ายของหรือการจดจำวิทยาการทุกสิ่งที่มนุษย์ทำและสร้างได้อย่างแม่นยำภายในเวลาไม่กี่นาที แม้มันจะเป็นทฤษฎีของนักวิทยาศาสตร์คนโปรดของพ่อที่ชื่อว่า "ไอต์สไตร์"และผมก็เข้าใจวิธีสร้างลูกระเบิดปรมณูที่พ่อเก็บมาทำต่อในห้องทำงานได้ แต่มันน่าแปลกตรงที่ว่าผมไม่สามารถจดจำมันได้นานเท่านั้นแหละ ความจำของผมจะอยู่ในหัวถึงวันที่ก่อนพระจันทร์จะเต็มดวงแล้วมันก็จะหายไปและผมจะทรมาทถ้าผมไม่หาข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีของมนุษย์มาไว้ในสมอง
"แฟรงส์ เมื่อไหร่ที่แกจะเลิกแอบเข้ามายุ่มยามในห้องทดลองของฉันซักที"พ่อบอกอย่างอารมณ์เสียพร้อมกับวางเอกสารปึกใหญ่ลงบนโต๊ะ
'มันน่าเรียนรู้นี่' ผมตอบพร้อมกับคาบรายงานการค้นคว้าของนักวิทยาศาสตร์ในห้องทดลองของพ่อมาอ่าน
"ทำเป็นอ่านไป แกอ่านมันไม่รู้เรื่องดอก และที่สำคัญแกไม่จำเป็นต้องรู้"
พ่อคว้ารายงานเล่มโตที่ผมกดอยู่กับพื้นอยู่กลับไปวางโครมไว้บนโต๊ะเหมือนเดิมอาจจะเพราะช่วงนี้งานพ่อมาก และมีข่าวความไม่สงบบนโลกเกิดขึ้นบ่อยๆ ดังนั้นพ่อต้องเร่งปรับปรุงอาวุธใหม่ซึ่งมันก็เป็นส่งที่ผมคาดหวังจะดู แต่เห็นท่าว่าวันนี้คงไม่ดีเท่าไหร่ที่จะทำให้พ่อโกรธ ผมจึงเลือกที่จะหันหลังและเดินออกจากห้องทดลองอย่างรวดเร็ว
"ฉันหวังว่าแกคงไม่ได้เป็นคนที่แอบเข้าไปในห้องทดลองใหญ่ของสหประชาชาติเมื่อคืนดอกนะ"
พ่อพูดติดตลกและหัวเราะน้อยๆพร้อมกับปิดประตูโครมใหญ่ใส่ผมพอพ่อหัวเราะผมก็ดีใจ เพราะผมว่าช่วงนี้พ่อมักอารมณ์ไม่ดีและไม่เหมือนพ่อคนที่ผมรู้จักสักเท่าไหร่เลย แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความใคร่อยากรู้อยากเห็นในตัวผมมันลดลงเลย และวันนี้ผมก็แอบเข้าไปในห้องทดลองใหญ่ของสหประชาชาติอีก ซึ่งการเข้าไปก็ไม่ง่ายเลย แต่ผมก็สามารถเข้าได้ ก็บอกแล้วไงว่าผมมีความสามารถพิเศษมาก ผมสามารถทำให้ตัวเองเล็กลงจนเท่าแมลงสาปได้ แต่ก็ได้นานแค่ 30 นาทีเท่านั้น และผมเกือบจะโดนยามรักษาการจับได้ถ้าไม่เป็นเพราะไอ้แมวคู่อริที่มันตามผมไปที่นั้น มันดันไปโดนเอาเลเซอร์และกลไกในห้องทดลองเข้า ก็มันตัวใหญ่ขนาดนั้นมันก็โดนเข้าจังๆน่ะซิ และมันก็ถูกจับให้ไปเป็นสัตว์ทดลองในวันนั้นไม่รู้ชะตากรรมจะเป็นอย่างไร
และแล้ววันหนึ่งในฤดูร้อนในปี ค.ศ. 2979 ผมก็ค้นพบความสามารถพิเศษอันใหม่ของผมนั้นก็คือ การติดต่อกับใครสักคนที่ผมไม่รู้จักด้วยโทรจิต ซึ่งท่าทางของเขาก็เป็นมิตรดี
"ฉันหวังว่าแกคงไม่ได้เป็นคนที่แอบเข้าไปในห้องทดลองใหญ่ของสหประชาชาติเมื่อคืนดอกนะ"
พ่อพูดติดตลกและหัวเราะน้อยๆพร้อมกับปิดประตูโครมใหญ่ใส่ผมพอพ่อหัวเราะผมก็ดีใจ เพราะผมว่าช่วงนี้พ่อมักอารมณ์ไม่ดีและไม่เหมือนพ่อคนที่ผมรู้จักสักเท่าไหร่เลย แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความใคร่อยากรู้อยากเห็นในตัวผมมันลดลงเลย และวันนี้ผมก็แอบเข้าไปในห้องทดลองใหญ่ของสหประชาชาติอีก ซึ่งการเข้าไปก็ไม่ง่ายเลย แต่ผมก็สามารถเข้าได้ ก็บอกแล้วไงว่าผมมีความสามารถพิเศษมาก ผมสามารถทำให้ตัวเองเล็กลงจนเท่าแมลงสาปได้ แต่ก็ได้นานแค่ 30 นาทีเท่านั้น และผมเกือบจะโดนยามรักษาการจับได้ถ้าไม่เป็นเพราะไอ้แมวคู่อริที่มันตามผมไปที่นั้น มันดันไปโดนเอาเลเซอร์และกลไกในห้องทดลองเข้า ก็มันตัวใหญ่ขนาดนั้นมันก็โดนเข้าจังๆน่ะซิ และมันก็ถูกจับให้ไปเป็นสัตว์ทดลองในวันนั้นไม่รู้ชะตากรรมจะเป็นอย่างไร
และแล้ววันหนึ่งในฤดูร้อนในปี ค.ศ. 2979 ผมก็ค้นพบความสามารถพิเศษอันใหม่ของผมนั้นก็คือ การติดต่อกับใครสักคนที่ผมไม่รู้จักด้วยโทรจิต ซึ่งท่าทางของเขาก็เป็นมิตรดี
"ฉันหวังว่าแกคงไม่ได้เป็นคนที่แอบเข้าไปในห้องทดลองใหญ่ของสหประชาชาติเมื่อคืนดอกนะ"
พ่อพูดติดตลกและหัวเราะน้อยๆพร้อมกับปิดประตูโครมใหญ่ใส่ผมพอพ่อหัวเราะผมก็ดีใจ เพราะผมว่าช่วงนี้พ่อมักอารมณ์ไม่ดีและไม่เหมือนพ่อคนที่ผมรู้จักสักเท่าไหร่เลย แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความใคร่อยากรู้อยากเห็นในตัวผมมันลดลงเลย และวันนี้ผมก็แอบเข้าไปในห้องทดลองใหญ่ของสหประชาชาติอีก ซึ่งการเข้าไปก็ไม่ง่ายเลย แต่ผมก็สามารถเข้าได้ ก็บอกแล้วไงว่าผมมีความสามารถพิเศษมาก ผมสามารถทำให้ตัวเองเล็กลงจนเท่าแมลงสาปได้ แต่ก็ได้นานแค่ 30 นาทีเท่านั้น และผมเกือบจะโดนยามรักษาการจับได้ถ้าไม่เป็นเพราะไอ้แมวคู่อริที่มันตามผมไปที่นั้น มันดันไปโดนเอาเลเซอร์และกลไกในห้องทดลองเข้า ก็มันตัวใหญ่ขนาดนั้นมันก็โดนเข้าจังๆน่ะซิ และมันก็ถูกจับให้ไปเป็นสัตว์ทดลองในวันนั้นไม่รู้ชะตากรรมจะเป็นอย่างไร
และแล้ววันหนึ่งในฤดูร้อนในปี ค.ศ. 2979 ผมก็ค้นพบความสามารถพิเศษอันใหม่ของผมนั้นก็คือ การติดต่อกับใครสักคนที่ผมไม่รู้จักด้วยโทรจิต ซึ่งท่าทางของเขาก็เป็นมิตรดี
'เป็นไงสบายดีไหม'เสียงที่ได้ยินถามด้วยเสียงแหบแห้ง
'เป็นไงสบายดีไหม'เสียงที่ได้ยินถามด้วยเสียงแหบแห้ง
'เป็นไงสบายดีไหม'เสียงที่ได้ยินถามด้วยเสียงแหบแห้ง
'คุณเป็นใคร' ผมถามด้วยความสงสัยในขณะที่ปากก็กำลังเคี้ยวอาหาร
'เป็นใครไม่สำคัญหรอก แต่ขอบใจที่เจ้าได้เป็นผู้ที่ทำหน้าที่ที่ดีมาตลอดเหมือนกับเพื่อนๆของเจ้า'
'หน้าที่อะไร ใครคือเพื่อนผม ผมมีแต่พ่อคนเดียวนะ' ผมถามด้วยความสงสัย
'เจ้าไม่ต้องรู้ตอนนี้หรอก เอาไว้เมื่อวันกำหนดการมาถึง เจ้าก็จะหมดหน้าที่และเจ้าก็จะได้กลับไปอยู่ในที่ที่เจ้าควรจะอยู่'
เจ้าเสียงไร้ตัวตนบอกอย่างเชื่องช้าและหายไปโดยที่ผมยังไม่ทันได้คำตอบ
'ดะ ดะ เดี๋ยวซิ'ผมพูดอย่างเร่งรีบแต่หาได้ทันเสียงที่หายไปจากสมองไม่
ผมเก็บความสังสัยเกี่ยวกับไอ้เสียงประหลาดนี้ตลอดมาจนกระทั้งวันหนึ่งในปี ค.ศ.2997ผมเห็นข่าวในโทรทัศน์อากาศ (โทรทัศน์ที่ไม่ต้องมีตัวเครื่องแค่กดรีโมสขนาดเท่าครึ่งฝ่ามือมนุษย์และวางไว้ก็จะมีภาพและเสียงปรากฏในอากาศตรงหน้า) ว่ามีวัตถุประหลาดขนาดใหญ่ตกลงมาในมาหาสมุทรแอตแลนติก ทำให้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุ่นแรง อันเกิดจากรอยร้าวขนาดใหญ่ของเปลือกโลกใต้มหาสมุทร บ้านเรือนและสิ่งก่อสร้างที่ทันสมัยของมนุษย์พังทลายอย่างไม่เป็นท่า มนุษย์ทุกพื้นที่บนโลกเดือดร้อนไม่มีที่อยู่และอาหาร แต่สิ่งที่สร้างความอัศจรรย์ใจแก่คนทั้งโลกให้ตื่นตลึงมากกว่านั้นก็ คือ ทวีปแอตแลนติก ที่เคยจมหายไปในห้วงมหาสมุทรแอตแลนติกเมื่อหลายพันปีก่อน ได้โผล่พ้น มหาสมุทรมาอีกครั้ง มันโผล่พ้นขึ้นมาได้อย่างไรไม่มีใครทราบแน่ชัด นักวิทยาศาสตร์ก็ได้แต่สันนิฐาน กันไปต่างๆนานา แต่ก็ไร้ซึ่งหลักฐาน แม้วิทยาการและเทคโนโลยีจะก้าวไกลเท่าไหร่แต่ เมื่อมนุษย์ขาด แคลนปัจจัยสี่ สัญดานมนุษย์ที่ไม่ได้พัฒนาไปตามวัตถุก็แสดงออกมาอย่างไม่เกรงใจใคร มนุษย์เริ่มฆ่า ฟันกันเองเพื่อแย่งอาหารอัดเม็ด เสื้อผ้าสังเคราะห์และ ยาที่สามารถรักษาแผลที่หายได้ทันที และมนุษย์ต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆใต้ดิน เพราะหลังจากที่ทวีปแอนแลนติกได้โผล่ขึ้นมาได้ไม่นาน ก็เกิดสิ่งที่มนุษย์คิดว่ามันคงเป็นได้แค่ในโลกของภาพยนตร์สำหรับเขาเท่านั้น แต่ปัจจุบันมันได้เกิดขึ้นจริงในโลใบนี้ นั้นก็คือ หุ่นยนตร์ขนาดใหญ่มากมายได้ถูกส่งมายังโลกเพื่อทำลายและตามล่ามนุษย์ มันน่าแปลกตรงที่มันไม่ทำร้ายผมเลย ผมมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างปวดใจแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แต่สิ่งที่ทำได้ในขณะนี้คงเป็นการค้นหาพ่อที่หายไป และแล้วเสียงที่ผมเคยได้ยินเมื่อ 18 ปีที่แล้ว ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
'เป็นไงบ้าง พอใจกับความสำเร็จของเราไหม' เจ้าสียงแหบแห้งพูดด้วยเสียงที่สะใจ
'คุณพูดอะไร ความสำเร็จอะไร รึ รึ หรือว่าคุณ..... ' ผมพูดติดอ่างและไม่อยากจะพูดต่อในสิ่งที่กำลังคิด
'ใช่แล้ว ก็ความสำเร็จในการทำลายล้างมนุษย์บนดาวเคราะห์ดวงนี้ยังไงล่ะ'
'ทำไม คุณต้องทำแบบนี้' ผมกระชากเสียงถามด้วยความโกรธ
'คุณหรอ ฉันไม่ได้ทำคนเดียว อย่าลืมนะว่านายและเพื่อนๆของนายก็มีส่วน เสียงแหบแห้งนั้นพูดด้วยเสียงอันแผ่วเบา
'เพื่อนหรอ..........'
'นั้นไง มองไปข้างหลังนายซิ'
ผมมองไปตามที่เสียงแหบแห้งนั้นบอกและสิ่งที่ทำให้ผมตกใจทันทีที่เห็นก็คือ ฝูงสุนัขลำตัวสีขาวด่างที่มีขนาดและรูปร่างหน้าตาเหมือนผมเปียบ ยืนอยู่เป็นพันๆตัวพวกมันเดินเข้ามาและยิ้มให้กับผม
'นะนะนี่หมายความว่ายังไง ทะทะทำไมพวกนี้......'
'เจ้าก็เคยฉลาดมาตลอดนี่ แค่นี้ดูไม่รู้หรือว่าพวกเจ้าทั้งหมดคือตัวโคลนนิ่งทั้งหมดของสัตว์ชนิดหนึ่งบนโลกที่ข้าสร้างมาเท่านั้นเอง' เจ้าของสียงนั้นพูดในขณะที่ผมกำลังตะลึงมองสิ่งที่เห็น
'พวกเจ้าเกิดจากมันสมองที่เป็นเลิศของมนุษย์ไง ข้าก็แค่หยิบยืมวิธีการโคลนนิ่งของมนุษย์แล้วนำมา
ดัดแปลงใส่สมองกลและกลไกลควบคุมพวกเจ้านิดหน่อย พวกเจ้าก็สามารถเกิดขึ้นได้แล้ว'
'พะพวกท่านสร้างพวกเรามาทำไม' ผมถามเจ้าของเสียงนั้นทั้งๆที่พอจะคาดเดาคำตอบได้และภาวนาอย่าให้เป็นอย่างที่ผมคิดเลย
'เจ้าโง่หรือแกล้งโง่กันแน่..... ก็เป็นอย่างที่เจ้าคิดนั้นแหละ' ผมตะลึงอีกครั้งกับคำตอบมันเป็นอย่างที่
ผมคิดจริงๆว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาผมและสุนัขเหล่านี้เป็นคนส่งข่าวสารและวิทยาการความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทั้งหมดของมนุษย์ให้กับเจ้าของเสียงแหบแห้งนี้
'มันไม่ใช่เพียงแค่นั้น พวกเจ้ายังเป็นคนที่ช่วยข้า ค้นหาฐานรับ ของเครื่องรับส่งมวลสารที่ถูกฝังและจมหายไปกับทวีปแอตแลนติกเมื่อหลายพันปีก่อน เพราะพวกเจ้าข้าจึงสามารถขนส่งกองทัพหุ่นยนต์ที่ยิ่งใหญ่ของข้ามายังโลกได้ไงล่ะ ฮะฮะฮะฮาฮาฮา'
เจ้าของเสียงนั้นหัวเราะด้วยเสียงที่น่าเกลียด มันเสียดแทงจิตใจของผม แต่สิ่งที่เสียดแทงใจผมให้เจ็บปวดมากกว่าเสียงนั้นในขณะนี้ ก็คือ ความจริงที่ว่า ผมเป็นผู้ร่วมขบวนการในการยึดครองโลก ผมเป็นคนทำลายบ้านของพ่อที่เลี้ยงดูผม
'เมื่อเจ้าทำภารกิจเสร็จสิ้น เจ้าก็ควรกลับไปอยู่ที่ที่เจ้าควรจะอยู่ ข้าจะให้เจ้าดูแลดาวเคราะห์ดวงหนึ่งเลย
เอาไหม' เจ้าเสียงนั้นพยายามต่อรองยื่นข้อเสนอให้กับผม
'คุณทำอย่างนี้ทำไม ผมไม่ไปไหนทั้งนั้น' ผมเริ่มร้อนในตาและมีน้ำใสๆที่มนุษย์เรียกว่าน้ำตาไหล
ออกมา มันป็นครั้งแรกที่ผมร้องไห้
'เจ้าจะอาลัยอาวรณ์พวกมนุษย์ทำไม พวกนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตในจักรวาลที่น่าเกลียดและเห็นแก่ตัวที่สุด
ไม่ใช่พวกมนุษย์หรือ เอาสุนัขอย่างเจ้าไปปล่อยในอวกาศ เอาเศษเหล็กมากมายไปทิ้งให้เป็นขยะอวกาศ
พวกข้าต่างหากที่เป็นคนที่เก็บเศษสุนัขตัวหนึ่งมาชุบชีวิตและนำเศษขยะอวกาศเหล่านั้นมาทำเป็น
หุ่นยนต์ที่มีชีวิตอีกครั้ง'
'แต่ท่านก็ทำเพื่อประโยชน์ของท่าน' ผมตะคอกสุดเสียงจนมันก้องไปทั้งสมองกลบ้าๆในหัวผม
'ตามใจ งั้นเจ้าจะทำยังไง' เจ้าเสียงนั้นถามผมปนความสังสัย
'ข้าจะอยู่โลกนี้ต่อไป' ผมบอกด้วยเสียงที่แน่วแน่
'เจ้าจะอยู่เพื่ออะไร พวกข้าต้องพัฒนาโลกนี้ให้เป็นโลกอนานิคมของข้า'
'แล้วทำไมท่านไม่ให้พวกเราดูแลมันล่ะ' ผมต่อรอง
'เจ้าไม่สามารถดูแลมันได้หรอก' เจ้าเสียงนั้นพูดออกมาด้วยน้ำเสียงดูถูก
'ได้ซิ ก็แค่ท่านมอบความวิทยาการที่ก้าวหน้าของท่านให้กับเรา อีกอย่างท่านลืมไปแล้วหรือว่าเราอยู่
บนโลกนี้นานเกินไปจนไม่รู้ว่าถ้าไปอยู่ที่อื่นจะอยู่ได้ไหม'
'แล้วพวกเราจะได้อะไรจากพวกเจ้า' เสียงนั้นพูดหยั่งเชิง
'พวกข้าจะเป็นฐานสร้างหน่วยสอดแนมที่เก่งกาจให้กับท่าน' ผมรีบบอกเพราะกลัวพวกมันจะเปลี่ยนใจ
เสียงนั้นเงียบหายไปนานเกือบ 15 นาที ผมจึงค่อยๆ หันไปหาแฝดของผมเหล่านั้นที่ต่างก็มองหน้าผม
และมีความเห็นเหมือนกับผมทุกตัว และแล้วก็มีเสียงตอบกลับมาที่ทำเอาผมสะดุ้ง
'ก็ได้ เพราะเราต้องการกำลังหนุนเพื่อครองระบบสุริยะแมนเซนล่า แล้วพวกข้าจะมาอีกในอีก 10 ปี
ข้างหน้า หวังว่าพวกเจ้าจะสร้างสิ่งที่ข้าต้องการและดูแลฐานรับส่งมวลสารของเราเป็นอย่างดี' เสียงนั้น
พูดออกมามาด้วยเสียงที่เน้นประโยคแรกและค่อยๆเบาลงจนหายไปพอเสียงนั้นหายไปผมก็เห็นกองทัพหุ่นยนต์จำนวนมากที่มุ่งหน้าไปทางทิศใต้มุ่งสู่ทวีปแอตแลติก ผมคิดว่าพวกมันคงเตรียมที่จะไปยังที่ใหม่เพื่อมุ่งหน้าสู่การทำลายล้างอีกครั้ง แม้ว่าพวกผมจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นมาเพราะการสร้างของพวกมันเหล่านั้น แต่บอกแล้วไงว่าพวกผมอยู่บนโลกนี้นานเกินไป ผมชอบโลกนี้มากเกินกว่าจะเห็นมันย่อยยับอยู่แบบนี้ แม้นมนุษย์จะทำน่าเกลียดในยุคสมัยที่ผ่านมา แต่ในยุคสมัยที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ผมจะสร้างโลกนี้ให้น่าอยู่ กว่าที่พวกนั้นจะเดินทางกลับมาที่นี้อีกครั้งผมคงสร้างอะไรต่างๆได้มากมาย มากพอที่จะต่อสู้กับไอ้เจ้าเสียงน่าเกลียดนั้นได้อย่างแน่นอน ก็ตามหลักทฤษฎีของนักวิทยาศาสตร์คนโปรดของพ่อไงล่ะ เวลาในวัตถุที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงจะช้ากว่าเวลาในวัตถุที่อยู่นิ่งหรือเคลื่อนที่ช้า ผมคาดว่าวิทยาการของพวกมันคงจะก้าวหน้ากว่าโลกนี้คงหลายล้านปีอยู่ ยานก็คงเคลื่อนที่เร็วมาก ผมอาจจะมีเวลาเหลือเพ้อเลยล่ะที่จะสร้างสิ่งที่ต่อสู้กับมัน ผมมองไปยังเพื่อนพ้องพี่น้องของผมในขณะที่สมองกลและความรู้ต่างๆมันกำลังพรังพรูออกมาเพื่อการสร้างโลกใหม่ สิ่งแรกที่ผมจะต้องทำนั้นก็คงเป็นการ.........กำจัดมนุษย์ที่น่าเกลียดให้สิ้นซาก ฮะฮะฮะฮาฮาฮา--------------------
ผลงานอื่นๆ ของ mayongyee ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ mayongyee
ความคิดเห็น