SF [March&Tou] - The Secret of ..
**เรื่องราวทั้งหมดที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นเพียงเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากจิตนาการของผู้แต่ง ไม่ได้มีส่วนหนึ่งส่วนใดเกี่ยวข้องกับเรื่องจริง บุคคลจริง หรือเหตุการณ์จริงใด ๆ ทั้งสิ้น**
ผู้เข้าชมรวม
484
ผู้เข้าชมเดือนนี้
4
ผู้เข้าชมรวม
เป็นเพียงเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากจิตนาการของผู้แต่ง
ไม่ได้มีส่วนหนึ่งส่วนใดเกี่ยวข้องกับเรื่องจริง
บุคคลจริง หรือเหตุการณ์จริงใด ๆ ทั้งสิ้น
และทุกอย่างเกิดขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
มิได้มีเจตนาให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งแต่อย่างไร
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน
และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกท่านจะได้รับความสุขเมื่อกลับออกไป**
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
“อะไรวะ เยอะไปมั๊ย!!” ผมก็คงโวยวายได้เท่านั้น ก่อนจะตัดสินใจปิดมือถือ เพื่อหนีสิ่งรบกวนนั้นไปซะ
เยอะไปจริง ๆ เยอะไปทุกสิ่ง ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด
..
วันนี้น้อง ๆ ไปออกงานกัน ไอ้เราเป็นพี่ ก็อยากจะให้กำลังใจน้องมันสักหน่อย แต่...เอ๊ย คงไม่ต้องให้กำลังใจมันแล้วล่ะมั้ง ยิ้มหน้าระรื่นออกขนาดนั้น
คือ..มันงานเดินแฟชั่นมั๊ย
แล้วไอ้ที่หอมกันซ้าย-ขาวนั้นมันคืออะไรวะ
เปิดทวิตเตอร์เข้าไปก็เจอเข้าเต็ม ๆ แล้วไหนยังใน IG ที่แท็กกันเข้ามาอีก คือ..ชื่องานมันก็ไม่ได้เกี่ยวเลยไหม แล้วคนจัดงานมันจะให้หอมแก้มกันทำไมวะครับ หือ..อยากจะรู้
(มาร์ชถึงกับเกาหัวแกรกตั้งแต่เห็นรูปที่พิธีกรในงานบอกให้ตั้วกับแบงค์หอมแก้มกัน)
คือมันเป็นงาน..
จะให้เข้าใจก็เข้าใจอยู่หรอก แต่จะไม่ให้หงุดหงิดมันก็ทำไม่ได้ป่ะ ออกงานกับตั้วมันมาก็นาน แฟนคลับก็เชียร์อยู่เยอะแยะ แต่ก็ยังไม่เคยทำอะไรรุ่มร่ามแบบนั้นเลยนะ
แล้วนี่มันจะหอมกันทำไม.. มันเลี่ยงไม่ได้เลยหรือไง..
คือ..ไม่ได้หวงมันนะ อย่าเข้าใจผิด
แค่รู้สึกว่ามันไม่เหมาะสมเฉย ๆ
โอ๊ย..นอนดีกว่าเว้ย.. ขี้เกียจจะคิดล่ะ
ทิ้งตัวลงนอนแต่ก็ไม่หลับ กระสับกระส่ายอยู่อย่างนั้น สุดท้ายตาคล้ำไปเรียน เซ็งชีวิตจริง ๆ
..
พยายามจะอัพโซเชียลให้เป็นปกติ แต่สุดท้ายก็ยังไม่อยากคุยกับใครอยู่ดี
“พี่มาร์ช..” มีเสียงเรียกดังมาจากข้างหลัง
“อ้าว..ปันปัน มาได้ไง?” ผมเอ่ยทัก ยิ้มให้น้องนิดหนึ่ง ดีเหมือนกันจะได้ มีเพื่อนคุย นั่งอยู่ที่ร้านเซ็ง ๆ เบื่อ ๆ อยู่พอดี
“หนูนัดเพื่อนกินข้าวแถวนี้น่ะ เห็นว่าใกล้ร้านพี่ เลยแวะมาชวนไปกินด้วยกัน” ปันปันบอก
“อ๋อ..ได้ซิ ไปกินที่ไหนอ่ะ?” ผมตอบรับ
“ร้านเพื่อนหนูเอง ใกล้ ๆ เนี่ย”
ผมพยักหน้ารับนิดหนึ่ง “งั้นรอแป๊ะนึงนะ เดี๋ยวพี่ไปเอากระเป๋าก่อน”
ผมเดินเข้าไปหลังร้าน หยิบกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์ แล้วเดินตาม ปันปันออกจากร้านไป
ร้านที่ปันปันพาไป เป็นร้านอาหารสไตล์กึ่งผับ อยู่ไม่ห่างจากร้านของผมเท่าใดนัก เพื่อนของปันปันที่นัดกันไว้นั่งรออยู่ก่อนแล้ว ซึ่งก็เป็นคนที่ผมรู้จักด้วยเช่นเดียวกัน
“งานเมื่อวานเป็นไงบ้าง?” ผมเอ่ยถามปันปัน หลังจากสั่งอาหารและเครื่องดื่มแล้ว
“ก็ดีนะ” ปันปันพูดไปด้วยพยับหน้าตามจังหวะเพลงที่ทางร้านกำลังเปิดอยู่ไปด้วย
“ตั้วกับแบงค์เล่นกันน่ารักเลย คนกรี๊ดกร๊าดกันจะตาย พี่มาร์ชน่าไปด้วย” ปันปันพูดปนหัวเราะเล็กน้อยท่าทางอารมณ์ดีมาก ในขณะที่อารมณ์ผมทำท่าจะปรี๊ดขึ้นสมองอีกครั้ง
ปันปันยังคงเล่าเรื่องราวจี๊ด ๆ ของเพื่อนที่ไปออกงานด้วยกันอย่างออกรส ผมรับฟังอย่างแกน ๆ ก่อนจะขวักมือเรียกบริกรแล้วสั่งเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ไป
ความจริงตอนแรกตั้งใจว่าจะไม่ดื่ม กะว่าแค่มากินข้าวชิว ๆ แล้วก็จะกลับไปที่ร้านต่อ แต่ก็นะ..
มาร้านที่มันบรรยากาศแบบนี้ทั้งที มันก็ต้องดื่มแหละจริงไหม ไม่ได้เกี่ยวกับเหตุผลอะไรอย่างอื่นเลยสักนิด (เหรอ?)
นั่งอยู่ได้สักพัก ผู้ปกครองของน้องปันปันก็มารับเธอกลับบ้าน
ผมสวัสดีคุณแม่น้อง แล้วก็ส่งน้องขึ้นรถตรงหน้าร้าน ก่อนจะกลับเข้าไปนั่งดื่มต่อข้างใน
ดื่มเข้าไปพอประมาณไม่มากไม่น้อย ไม่ได้เมาหรอกนะ จริง จริ๊ง..
ดื่มไปสักพักพอได้ที่ หน้าใครบางคนก็ลอยไปลอยมาภายในหัวผม คือ..ความจริงมันก็ลอยอยู่ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เพียงแต่ว่าตอนนี้รู้สึกมันจะลอยใกล้ จนเห็นชัดขึ้นยังไงไม่รู้
มือกดโทรศัพท์เลื่อนเจอชื่ออย่างง่ายดายแทบจะไม่ต้องหา ด้วยความเคยชิน ฟังเพลงไปได้เกือบครึ่งเพลงถึงจะได้ยินเสียงคนรับสาย
“พี่มาร์ช..มีอะไรฮะ โทรมาดึกเลย” เสียงคนรับฟังดูงัวเงียคล้ายเพิ่งตื่น แต่ผมไม่ได้สนใจ
“ถ้าไม่มีอะไรโทรมาไม่ได้เหรอ?”
“พี่เมาหรือเปล่าเนี่ย?” เสียงมันย้อนถามมา ทำไมมันไม่ตอบคำถาม
“เปล่า”
“ไว้คุยกันพรุ่งนี้ได้ไหมฮะ ตั้วง่วงแล้ว พรุ่งนี้ตั้วมีเรียน”
“คุยกับพี่แค่นี้ไม่ได้เหรอตั้ว ทำไมเหรอ พี่ไม่มีความหมายแล้วหรือไง ซีรีย์มันยังอีกหลายตอนนะ อย่าลืมซิ”
“อะไรเนี่ยพี่มาร์ช พูดอะไรไม่เห็นรู้เรื่องเลย” ดูมันขึ้นเสียงใส่ผม กล้ามาก
“เดี๋ยวนี้ตั้วขึ้นเสียงใส่พี่เหรอ”
“เปล่า.. ตั้วก็พูดด้วยดี ๆ แต่พี่พูดเรื่องอะไรเนี่ย ตั้วไม่เข้าใจ”
“เออ.. ไม่เข้าใจหรอก ตั้วไม่เคยเข้าใจอะไรทั้งนั้นแหละ เพราะตอนนี้พี่มันไม่สำคัญแล้วไง ออกงานกับคนอื่นได้แล้วนิ”
“พี่มาร์ชอยู่ที่ไหนเนี่ย เสียงเพลงมันดังมากเลยนะ ตั้วว่าพี่มาร์ชกลับบ้านไปนอนดีกว่ามั้ง เรียนหนักไม่ใช่เหรอฮะ”
ท่าทางมันคงรำคาญผมเต็มที คงไม่อยากคุยด้วยแล้วซินะ มันพาลจะตัดบทอยู่เรื่อย
“พี่พูดแค่นี้ถึงกับต้องรำคาญกันเลยเหรอตั้ว ทำไม ไม่อยากคุยกับพี่ อยากคุยแต่กับคนอื่นหรือไง” ก็ได้ ถ้ามันไม่อยากคุยกับผมดี ๆ ผมก็จะไม่คุยกับมันดี ๆ เหมือนกัน
“พี่โวยวายใส่ตั้วทำไมเนี่ย.. ตั้วไปทำอะไรให้? พี่พูดมาตรง ๆ เลยดีกว่า” มันเสียงดังกลับมา
“ตั้วทำอะไรยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ?”
“ตั้วทำอะไร?” มันย้อนถามผมกลับด้วยน้ำเสียงห้วนสุดเท่าที่ผมเคยได้ยินมาเลย
“ยังจะถามอีกเหรอ คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันดีแล้วซิ อ๋อ..ลืมไปว่าตั้วชอบแบบนั้น” ดังมาก็ดังกลับ ห้วนมาก็ห้วนกลับ ก็เอาซิว่าใครมันจะชนะ
“พี่ไปโมโหอะไรมาตั้วไม่รู้หรอกนะ แต่ถ้าพี่เมาแล้วก็กลับบ้านไปนอนซะเถอะไป” มันดุ แถมสั่ง กล้ามาก
“ไม่ต้องมาสั่งเลย.......” ตู๊ด..ตู๊ด..ตู๊ด.. คือมันวางสายในขณะที่ผมยังพูดไม่จบ
ผมกดโทรศัพท์กลับไปใหม่ด้วยความไว เสียงเพลงรอสายดังขึ้น ตู๊ด..ตู๊ด..ตู๊ด..แล้วก็ดับลง พอผมกดไปอีกครั้งมันก็ปิดเครื่องไปแล้ว
..
ติ๊ด..ติ๊ด..ติ๊ด..ติ๊ด.. เสียงนาฬิกาปลุกดังน่ารำคาญจนต้องเอื้อมมือมาตบ สุดท้ายมันกลิ้งร่วงจากโต้ะข้างหัวเตียงไปกองอยู่กับพื้น
ผมปวดหัวจี๊ด จนแทบจะขยับลุกจากเตียงไม่ไหว
พอลุกขึ้นนั่งได้ ก็เอามือสองข้างกุมขมับ
“กลับบ้านมายังไงวะ” บ่นเสร็จก็เริ่มคิด ปะติดปะต่อเรื่องได้คร่าว ๆ ว่าไปกินเหล้าที่ร้านอาหารกึ่งผับกับปันปัน แล้วน้องก็กลับบ้านไปก่อน จากนั้นก็นั่งอยู่ต่อ แล้วก็เรียกแท็กซี่กลับมา โดยทิ้งรถตัวเองไว้ที่ร้าน
แต่ก่อนจะเรียกแท็กซี่กลับบ้าน จำได้ว่าโทรไปหาตั้วด้วยนี่หว่า
“ชิบหายแล้ว..” สบถออกมาเสียงดังแทบลั่นห้อง มันโกรธแน่เลย
อาบน้ำแต่งตัว ต้องไปมหา’ลัยก่อน แล้วเดี๋ยวตอนเย็นค่อยคุยกับมันอีกที
สูดหายใจลึก ๆ พยายามเรียกสติตัวเองกลับมา แล้วลากสังขารเข้า ห้องน้ำไป
..
อีกคนที่ต้องตาคล้ำมาเรียน
โดนโทรปลุกกลางดึก น่าจะสักตีสองกว่าได้ แถมคนโทรมายังโวยวายอะไรใส่ก็ไม่รู้
เล่นเอาโมโหจนไม่ได้นอน ตอนนี้เลยง่วงสุด
“เฮ้ย..ตั้ว ตกลงพี่มาร์ชนี่เขาจะกลับไปคบกับปันปันเหรอวะ?” เสียงเจมส์แว๊บเข้ามาในโสตประสาตจึงหันไปมอง
“ไม่รู้ว่ะ.. ทำไมเหรอ?” ก็งงจริงนะ อยู่ดี ๆ เจมส์ถามทำไม
“เห็นมีข่าวควงกันว่ะ คราวก่อนก็ไปกินข้าวกันที่สยาม คราวนี้เข้าผับเลยนะเว้ย” เจมส์อธิบาย พร้อมแนบหลักฐานมาให้ ภาพในโทรศัพท์มือถือ เป็นภาพปันปันนั่งอยู่ในร้านที่ดูจะอึมครึมสักหน่อยกับใครอีกคนที่เห็นหน้าไม่ชัด แต่เนื้อข่าวระบุว่าเป็น ‘มาร์ช’ จุฑาวุฒิ ภัทรกำพล
“กูก็ไม่รู้เหมือนกัน มึงอยากรู้ มึงก็ไปถามพี่มาร์ชซิ” รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที ไปเที่ยวกับสาวแล้วยังมีหน้าโทรมาโวยวายกลางดึก แม่ปันปันมารับพากลับบ้านไปก่อนเลยไม่พอใจซินะ.. หึ
..
เรียนเสร็จ ก็มาเอารถที่ร้านขับไปทำงานต่อ กว่าจะเสร็จงานก็ปาเข้าไปเที่ยงคืน วันนี้ก็ยุ่งทั้งวันอีก เลยยังไม่ได้คุยกับตั้วเลยแม้แต่คำเดียว
เรียนก็หนักนะ งานก็มีตลอด ก็ดีในด้านรายได้ แต่ก็แทบจะไม่มีเวลาพัก กับตั้วแทบจะไม่ค่อยได้เจอกันเลยช่วงนี้ ซีรีย์ถ่ายเสร็จหมดแล้วก็ต่างคนต่างเรียน ต่างคนต่างทำงาน พอจะมีแวะเวียนมาเจอกันตามงานบ้างเป็นครั้งคราว
นัดเจอกันบ้างตอนที่ว่างตรงกัน แต่ก็ไม่บ่อยเหมือนเมื่อก่อน อุสาห์วางแผนไว้ ว่าเมื่อวานจะชวนมันไปกินข้าวซะหน่อย ก็ดันเห็นรูปตอนมันไปออกงานแล้วหงุดหงิด สุดท้ายก็เลยไม่ได้โทรไปชวน แต่ไม่ใช่แค่ไม่ได้โทรไปชวนมัน ดัน...โทรไปโวยวายใส่มันอีก มันตัดสายทิ้ง แถมปิดเครื่องหนี แสดงว่าโกรธแน่ เฮ้อ..
“เอาไงดีวะ..” จด ๆ จ้อง ๆ มองหน้าจอมือถือเป็นนาน เช็คทวิตสักหน่อยล่ะกันงั้น
‘ทำไมมองอะไรไปก็รู้สึกหงุดหงิดไปหมดเลยนะ’ เอ่อ..เกี่ยวไหมวะนี่
โทรไปแล้วมันยิ่งโกรธจะทำยังไงวะ เฮ้อ.. ผมถอนหายใจยาวอีกคำรบหนึ่งก่อนตัดสินใจ
“เอาวะ..”
ขณะฟังเพลงรอสาย ใจก็เต้นตึกตัก..คือมันไม่ใช่ไหม จะมาตื่นเต้นอะไรเอาตอนนี้ ฟังเพลงเพลินจนสายตัด มันไม่รับสาย..
ผมถอนหายใจอีกเฮือก ก่อนจะเปิดไลน์
‘ตั้ว’
‘พี่ขอโทษ’
ทุกอย่างเงียบไปสักพัก มันกดอ่านนะ แต่ไม่ตอบ ผมเลยพิมพ์ข้อความลงไปอีก
‘พี่อยากคุยด้วย’
‘พี่มาร์ชมีอะไร’ มันพิมพ์ข้อความกลับมา หลังจากนิ่งไปพักใหญ่
‘ออกมาข้างนอกหน่อยได้ป่ะ’ ผมถาม
‘ตอนนี้’ มันถามกลับ
‘พี่อยู่หน้าบ้านตั้ว’ ผมบอกมัน
ออกจากตึกแกรมมี่ ผมก็ขับรถมาจอดหน้าบ้านมันได้สักพัก ก่อนที่จะตัดสินใจโทรศัพท์หา แล้วก็เปิดแอร์นั่งรออยู่แบบนี้ ยังคิดอยู่ว่า ถ้าเกิด คืนนี้ต้องรอมันทั้งคืน พรุ่งนี้คงต้องจ้างรถมาลากรถเข้าศูนย์ไปเปลี่ยนแบตแน่แล้ว
พักใหญ่ตั้วก็เดินมาหาผมที่รถ ที่จอดอยู่หน้าบ้านถัดจากประตูมาเล็กน้อย ผมเปิดไฟในรถ เอามือตบเบาะรถข้างตัว ปลดล็อคประตูให้มันเข้ามานั่ง
หน้ามันบอกบุญไม่รับ แต่ก็ยังดีที่มันยอมออกมา
“พี่มาร์ชมีอะไรฮะ พรุ่งนี้ตั้วก็ต้องไปเรียนนะ” มันพูดทำลายความเงียบ
คือใจจริงผมอยากขอโทษมันนะ อยากเจอกันแล้วขอโทษเพื่อแสดงความจริงใจ แต่พอเห็นหน้ามันแล้วพูดไม่ออก
“พี่อยากขอโทษเรื่องเมื่อคืน ที่พี่โทรมาโวยวาย คือพี่ดื่มเยอะไปหน่อย” ขอยกให้เป็นความผิดของแฮลกอฮอล์ที่ไหลลงคอไปก็แล้วกัน แม้จะรู้ว่าไม่ได้เมามากจนถึงขนาดทำอะไรไปโดยไม่รู้ตัวก็เถอะ
“ไม่เป็นไรฮะ ตั้วเข้าใจ” ฟังมันพูดแล้วผมก็ใจชื้นขึ้น
“พี่คงไม่พอใจที่ปันปันหนีกลับไปก่อนก็เลยพาล” ชักเริ่มไม่ดีและ
“เฮ้ย..ตั้ว มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับปันปันเลยนะ” ผมออกตัวทันควัน เพราะมันไม่ได้เกี่ยวจริง ๆ แล้วมันไปโยงถึงปันปันได้ยังไง งง..
มันมองหน้าผมนิ่ง ๆ เหมือนไม่เชื่อ คือ..นี่มันเห็นพี่มันไม่น่าเชื่อถืออะไรเลยใช่ไหมเนี่ย.. เฮ้ย..เย็นไว้ เย็นไว้ จะไปโวยวายใส่มันอีกไม่ได้ เดี๋ยวมันยิ่งไปกันใหญ่
“แล้วพี่โทรมาโวยวายตั้วทำไมเมื่อวาน?” มันย้อนถาม
“เอ่อ...” เอาล่ะซิ เอาล่ะซิ คือ..ไม่ได้เตรียมคำตอบไว้ แค่คิดจะมาขอให้มันยกโทษให้เฉย ๆ แต่จริง ๆ มันก็คงต้องถามแหละ แต่จะตอบมันว่าอะไรดีวะ
มันเลิกคิ้วเป็นเชิงถามซ้ำ เพราะเห็นผมเงียบไปนาน
‘เอาวะ..’ ผมคิด ก่อนที่จะตอบมันออกไปตามความจริง
“คือ.. จริง ๆ พี่แค่อยากโทรมาเตือนเรื่องเวลาที่ไปออกงาน พี่ว่าที่ตั้วกับแบงค์แสดงบนเวทีมันไม่ค่อยเหมาะสม เราเป็นนักแสดง เป็นไอดอลของวัยรุ่นหลายคน พี่ว่าบางทีมันก็ต้องรักษาภาพบ้าง” เฮ้อ.. พูดไปแล้วมันจะเข้าใจไหมวะนี่
“ตั้วว่ามันก็ไม่ได้มีอะไรนะ พี่เขาขอให้ทำ ตั้วก็ว่ามันก็ไม่ได้เสียหายอะไร ก็เหมือนพี่ เหมือนน้อง เหมือนเพื่อน คนที่มาในงานตั้วก็ว่าน่าจะเข้าใจ แล้วแฟนคลับเขาก็ชอบด้วย”
‘แต่กูไม่ชอบโว้ย..’ คือ..อยากจะตะโกนบอกมันแบบนี้ได้ไหมวะครับ ฟังมันพูดแล้วก็หงุดหงิด ใจเย็น..ใจเย็น..ใจเย็น.. เตือนตัวเองร้อยรอบ
“แต่พี่ว่ามันเยอะไป คนเขาก็จะคิดกันไปซิว่าตั้วไม่ใช่ผู้ชาย ภาพพจน์มันจะเสียหายนะ”
“พี่มาร์ชกลัวด้วยเหรอว่าภาพพจน์ตั้วจะเสียหาย?” มันย้อนถามเหมือนไม่เชื่อ
“ถ้าภาพพจน์ตั้วจะเสียหาย มันเสียหายไปตั้งแต่ที่พี่มาร์ชชอบล้อว่าตั้วไม่ใช่ผู้ชายแล้วล่ะ..” มันย้อนมาดอกนี้คือผมเงิบ..
“แต่นั้นพี่ไม่ได้ตั้งใจไง ก็แบบแซวเล่นกันขำ ๆ”
“ตั้วก็ไม่ได้ว่าอะไรไง..” หน้ามันนิ่ง ๆ จนผมไม่รู้ว่ามันคิดอะไรอยู่ คือมันโกรธไหมว๊าที่แซวมัน คือ..แค่เล่น ๆ เองนะ ไม่ได้คิดอะไร
“แล้วที่เมื่อคืนพี่บอกว่า ตั้วชอบแบบนี้ ก็คือเรื่องนี้ใช่ไหม?” คราวนี้มันทำตาเขียวใส่ แสดงว่าโกรธจริง
“คือ..พี่ขอโทษ พี่เมา แล้วพี่ก็เผลอพูดไป แต่พี่ไม่ได้คิดจะว่าตั้วจริง ๆ นะ” แต่อันนี้คือผมไม่ได้ตั้งใจจะว่ามันจริง ๆ นะ ก็แค่คิดว่าเมื่อก่อนมันเล่นกับผม ผมก็คิดว่ามันเล่นกับผมคนเดียว แบบสร้างกระแสอะไรแบบนั้น แต่นี้คือมันเล่นกับคนอื่นก็ได้ไง ก็เลยคิดว่ามันอาจจะชอบเล่นแบบนี้กับใครก็ได้ มันน่าหงุดหงิดไหมละ ก็เลยเผลอว่ามันไป
แต่ยังไงมันก็ทำไม่ถูกนะ.. ถ้าผมจะโกรธมันก็ไม่แปลกป่ะ
“พี่ขอโทษจริง ๆ พี่อาจจะใช้คำพูดแรงเกินไป แต่พี่คิดว่าสิ่งที่ตั้วทำมันดูไม่ดีจริง ๆ นะ มันไม่เหมาะสมด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง อะไรที่เลี่ยงได้ พี่ว่ามันก็ควรจะเลี่ยง ความจริงแค่กอดกันเฉย ๆ ก็พอไม่ใช่หรือไง พี่ก็แค่เป็นห่วง ในฐานะที่พี่เป็น..พี่ชาย” ผมมองหน้ามัน มันทำหน้านิ่งไม่ได้ตอบอะไร ผมไม่รู้ว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่
ผมเอื้อมมือไปจับแขนมัน แล้วดึงมือมันมาจับไว้
“ดีกันนะ” ผมบอก แล้วยิ้มให้มัน ก่อนจะเอานิ้วก้อยอีกมือของผมไปเกี่ยวกับนิ้วก้อยของมือมันข้างที่ผมจับไว้ มันมองหน้าผม ไม่ได้ยิ้ม แต่ก็ไม่ได้ดึงมือออก
“พี่มาร์ชกลับบ้านเถอะ มันดึกมากแล้ว พรุ่งนี้พี่ไม่มีเรียนหรือไง” โดนมันไล่อีกแล้ว เฮ้อ..
“อืม..งั้นเดี๋ยวไว้พี่โทรหานะ” ผมบอกก่อนจะปล่อยมือมัน
มันลงจากรถแล้วปิดประตู ผมคงต้องเดินไปส่งมันสักหน่อยมั้ง ทำตัวเป็นพี่ชายที่ดี ว่าแล้วก็ลงจากรถแล้วเดินตามมันไป
ระยะทางจากรถมาถึงประตูบ้านใกล้นิดเดียว มันเดินเข้าประตูรั้วไป หันมามองผมนิดนึง ในแวบแรกผมคิดอยากเห็นยิ้มแบบตั้วที่มันชอบทำ แต่ก็เปล่า มันเพียงมองแล้วโบกมือให้ผมน้อย ๆ แล้วจึงปิดประตูลง
ผมเดินกลับมาที่รถ ไม่รู้ว่ามันหายโกรธหรือเปล่า แต่ก็คงจะโทรหามันได้หรอกมั้ง เพราะมันไม่ได้ปฏิเสธนิ แล้วยังไงก็ค่อยว่ากันอีกทีล่ะกัน
..
8 โมงเช้า ไม่อยากจะตื่นจริง ๆ คือ..สายแล้ว และต้องไปเรียน แต่ก็ยังนั่งกดโทรศัพท์
‘ตอนนี้ชอบเพลง กลืน Season five มาก ๆ ลองฟังกันดูนะ ;)’ เพลงอะไรหว่า? ผมกดค้นหา และกดเล่น ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป
‘ปฏิเสธใจตัวเองไม่เก่ง ปฏิเสธในตัวเองไม่ได้ ก็ต้องยอมรับ ต้องยอมกลืน คำบอกลาที่เคยพูดไว้
ปฏิเสธใจตัวเองไม่เก่ง ปฏิเสธใจตัวเองทำไม่ไหว แค่เธอพูดจาดีดีให้กัน แค่เพียงเท่านั้นก็ยอมจะกลืน กลืนน้ำลายตัวเอง’
เสียงเพลงลอยตามลมมา ขณะที่ผมอาบน้ำ รู้สึกดีจัง.. เพราะน้ำที่อาบ หรือเพราะเพลงที่ได้ยินกันนะ
แต่งตัวเสร็จ ผมเปิด IG
‘ทำไมตามันแบ๊วจังว้า..’ มองรูปมันขำ ๆ ก่อนจะผิวปากหวือไปเรียน
..
ผมเปิดไลน์ ห้องแชทที่คุยอยู่กับมันเปิดค้างไว้ตั้งแต่เมื่อคืนไม่ได้ปิด
‘ไว้ไปกินข้าวกันนะ’ ผมทักไปเป็นคำถาม
มันส่งสติ๊กเกอร์ OK กลับมา คงจะกำลังเรียนอยู่
วันนี้มีงาน พรุ่งนี้ก็มีงาน วันศุกร์ก็ยังคงมีงาน แล้วเมื่อไหร่จะว่าง คงไว้ต้องรอนัดกันวันหน้าอีกที ตั้งใจเรียนได้แล้ว ตอนนี้มันเวลาเรียนนะ
และแล้วก็กลับเข้าสู่โลกโซเชียลตามปกติ..
‘คิดถึงฉันไหม เวลาที่เธอ... นั่งเล่นทวีตตตตตตตตต’ อัพเสร็จขอนั่งขำแปร๊บบบบ เฮ้ย..เรียนได้แล้ว เรียนได้แล้ว
..
กดวางสายโทรศัพท์ แล้วมองดูเวลาที่หน้าจอ 23.15 คืออะไร..
จำได้ว่าตอนกดโทรออกมันยังไม่สี่ทุ่มเลยนี่หว่า ตั้วมันก็ไม่เตือนนะ คืนนี้มันไม่ง่วงหรือไง.. เสียค่าโทรอีกบานล่ะเดือนนี้
แต่ก็ช่างเถอะ.. คุยกันดี ๆ ได้ก็ดีแล้ว ลุกไปเข้าห้องน้ำทำธุระแล้วตั้งใจว่า ก่อนนอนค่อยเช็ค IG อีกครั้ง
‘รูปคู่บนเวที’ ชิ.. ดีนะแค่รูปกอดคอกันธรรมดา ตั้วมันก็คงเข้าใจที่พี่อุสาห์เตือนไป ใช่ไหม?
‘งอน’ ก็นะ เล่นกับมันหน่อย อืม..นอนดีกว่า
..
ป.ล. แล้วดูที่มันมาตอบ
‘หึ’ คืออะไร.. คือ..ไม่คิดที่จะฟังกัน คราวหน้าจะทำอีกช่ะ.. สงสัยผมคงต้องโทรไปเคลียร์กับมันอีกรอบและ ขอตัวก่อนนะครับ..
--------------------------------------------------------
**เรื่องราวทั้งหมดที่จะกล่าวต่อไปนี้
เป็นเพียงเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากจิตนาการของผู้แต่ง
ไม่ได้มีส่วนหนึ่งส่วนใดเกี่ยวข้องกับเรื่องจริง
บุคคลจริง หรือเหตุการณ์จริงใด ๆ ทั้งสิ้น
และทุกอย่างเกิดขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
มิได้มีเจตนาให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งแต่อย่างไร
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน
และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกท่านจะได้รับความสุขเมื่อกลับออกไป**
ผลงานอื่นๆ ของ _MasterTear ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ _MasterTear
ความคิดเห็น