ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Brave & Honor

    ลำดับตอนที่ #57 : บทที่ 56 ทายาทโอแลนโด

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 136
      0
      22 ต.ค. 51

                    จเอลตื่นขึ้นมาในช่วงสายของวันใหม่ ทั้งที่โดยปกติแล้วเขามักจะตื่นเช้าเสมอ นอกจากนี้เขายังแทบจำเรื่องที่สนทนากับจูเหลียงไม่ได้ แต่ก็พบว่าสิ่งของสำหรับการเดินทางถูกเตรียมไว้พร้อมแล้ว โดยโมเกอร์และจูเหลียงเป็นผู้จัดแจงให้ โก๊กและมาโก๊กซึ่งจะร่วมไปในฐานะผู้ติดตามก็รออยู่แล้ว เพราะมีข้าวของติดตัวไปไม่เท่าไหร่

                    แม้ว่าสองพี่น้องชาวการ์กอนเล่าเรียนและเข้าใจภาษาเกลลิคได้บ้างแล้ว แต่โจเอลก็ยังอดกังวลใจในรูปลักษณ์ภายนอกของทั้งสองไม่ได้ เกรงว่าจะสร้างความอกสั่นขวัญแขวนให้กับผู้คนส่วนใหญ่ที่ไม่คุ้นชินกับชาวการ์กอน แต่เมื่อจูเหลียงเป็นคนแนะนำกึ่งจะบังคับ เขาจึงต้องยอมให้ยักษ์ทั้งสองร่วมเดินทางไปด้วย

                    โจเอลรับประทานอาหารเช้าก่อนออกเดินทาง ระหว่างนั้นเขาได้มองไปยังที่นั่งประจำของฮานส์ซึ่งว่างอยู่ และได้รับการบอกว่าฮานส์ได้ออกเดินทางไปตั้งแต่เช้ามืด โจเอลถอนหายใจขึ้นทีหนึ่งหลังจากได้ยิน และรับประทานอาหารต่อไปเงียบๆ

     

                    หลังรับประทานอาหารเช้า ทั้งคณะจึงออกเดินทางโดยแวะที่โบสถ์เพื่อรับลูนาร์และจดหมายที่บาทหลวงฟีบัสจะฝากไปด้วย ท่านบาทหลวงรวมทั้งโมเกอร์และจูเหลียงได้เดินตามไปส่งจนสุดเขตหมู่บ้าน ซึ่งผู้ปกครองแห่งฟอร์ทอังเคิลก็ได้ฝากฝังหมู่บ้านแก่คนทั้งสาม ก่อนจะเร่งรีบเดินทางเพื่อให้ถึงเมืองเดลอสก่อนค่ำ

     

                    เมื่อมาถึงเมืองเดลอส คณะเดินทางของโจเอลก็ต้องติดอยู่กับที่ไม่อาจเดินทางต่อไปตามที่ตั้งใจไว้ได้ เหตุเพราะไม่ได้รับการประทับตราสำหรับอนุญาตให้ออกจากเมือง ทั้งๆที่พวกเขามีจดหมายจากบาทหลวงฟีบัสที่ชี้แจงสาเหตุการเดินทาง ซึ่งน่าจะช่วยให้ผ่านการอนุมัติได้โดยง่าย ทว่าทหารที่เฝ้าประตูเมืองก็ปฏิเสธอย่างแข็งขัน โดยให้เหตุผลว่าจะต้องรับการอนุญาตจากท่านบารอนโดยตรง แต่ขณะนี้ท่านบารอนได้ล้มป่วยยังไม่สามารถเข้าพบได้  ทั้งคณะจึงต้องหาที่พักแรมเพื่อรอโอกาสเข้าพบบารอนเคอร์เบน

                    ลูนาร์ได้แยกไปพักที่โบสถ์ในเมือง ขณะที่โจเอลนั้นพักในโรงแรมเล็กๆที่เขามักจะมาพักเป็นประจำเวลาที่มาเมืองเดลอส ซึ่งส่วนมากเป็นการมาเพื่อเข้าพบบารอนผู้เป็นเจ้าที่ดินตามธรรมเนียม แต่บางครั้งก็เป็นการมาเพื่อเข้าร่วมเทศกาล สมัยที่บิดายังอยู่ เขาเคยติดตามบิดาไปถึงเชอราตัน เมืองหลวงของอาเรียส เพื่อเข้าร่วมในเทศกาลเป่าเขาศักดิ์สิทธิ์ แต่หากพ้นจากนั้นเขาก็แทบจะไม่รู้จักแล้ว การต้องเดินทางไปถึงรีมัสจึงทั้งสร้างความกังวลและตื่นเต้นให้กับชายหนุ่มวัยสิบแปดไม่น้อย

                    สำหรับโก๊กและมาโก๊กนั้นค่อนข้างมีปัญหาเรื่องที่พัก ทั้งด้วยขนาดร่างกายที่ใหญ่โต และการเป็นชาวการ์กอนที่ทำให้ถูกรังเกียจ โจเอลจึงหาที่พักให้ทั้งสองได้ดีที่สุดแค่เพียงโรงนา ซึ่งทั้งสองก็ไม่ได้ว่ากระไร

     

                    “ทำไมพวกเกลลาร์ต้องสร้างระบบระเบียบอะไรให้มันวุ่นวายด้วยนะ ถ้าเป็นที่การ์กอน เราจะเดินทางไปไหนมาไหนก็เป็นเรื่องเสรี ไม่จำเป็นจะต้องมารอให้ใครอนุญาต” โก๊กบ่นกับพี่ชายของตนด้วยภาษาการ์กอนระหว่างทางเดินกลับจากปราสาทของบารอนเคอร์เบน ซึ่งปฏิเสธการเข้าพบเป็นวันที่สามแล้ว ความหงุดหงิดใจคงทำให้ยักษ์ผิวสีน้ำเงินลืมไปว่าโจเอลเข้าใจภาษาของพวกเขา มาโก๊กจึงใช้ศอกกระทุ้งเข้าที่สีข้างน้องชายเป็นการปราม

                    “ช่างเถิดมาโก๊ก บางครั้งข้าเองก็ไม่ชอบใจกับกฎและพิธีรีตองพวกนี้เหมือนกัน แต่ว่ามันก็จำเป็นในการสร้างระเบียบให้กับสังคมของเรา” โจเอลอธิบาย

                    “ระเบียบที่จะใช้ปกครองคนอื่นล่ะสิ พวกเราไม่ต้องมีกฎแบบนี้ก็ยังอยู่กันได้” โก๊กยังคงบ่นอุบ ทำเอามาโก๊กมองตาเขียวที่น้องชายเถียงไม่เลิก

                    “ฮะ ฮะ ฮะ นั่นสินะ” โจเอลหัวเราะอารมณ์ดี ไม่รู้สึกเคืองโกรธต่อคำวิจารณ์

                    “ดูท่าว่าเราจะติดอยู่ที่นี่โดยไม่มีกำหนดเสียแล้วกระมัง” เขาหันไปคุยกับลูนาร์

                    “น่าแปลกจริง...”  หญิงสาวเอ่ย “ข้าได้คุยกับบาทหลวงริชาร์ด ท่านเพิ่งได้พบกับท่านบารอนก่อนพวกเรามาถึงแค่วันเดียวเท่านั้นเอง เห็นว่าตอนนั้นก็ยังดูแข็งแรงดีอยู่ ทำไมถึงมาล้มป่วยอย่างกะทันหันได้...”

                    “อืม... บางทีบารอนเคอร์เบนอาจต้องการกักเราไว้” โจเอลคิดตาม

                    ลูนาร์นึกไปถึงเรื่องที่เธอได้รู้เกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างองค์จักรพรรดิกับจอร์ช ซึ่งอาจเป็นเหตุผลให้บารอนเคอร์เบนขัดขวางการเดินทางในครั้งนี้

                    “โจเอล ท่านว่าองค์จักรพรรดิจะทรงคิดว่าจอร์ชยังอยู่ที่ฟอร์ทอังเคิลหรือเปล่า?” ลูนาร์กระซิบถามเพราะมีผู้คนเดินสวนทางอยู่พอสมควร

                    “เรื่องนั้นข้าก็ไม่แน่ใจ” โจเอลมีท่าทีครุ่นคิดเล็กน้อย “หากเป็นดังนั้น ก็หมายความว่าจอร์ชได้ผ่านเมืองเดลอสไปโดยที่บารอนเดอร์เบนไม่รู้ จริงสินะ... ถ้าเลี่ยงไปใช้เส้นทางนอกด่านก็พอจะเป็นไปได้อยู่...”

                    “อืม... ข้าจะลองคุยกับหลวงพ่อริชาร์ดดูดีไหม บางทีหากคณะนักบวชขอเข้าเยี่ยม ท่านบารอนคงจะอนุญาต” ลูนาร์เสนอซึ่งโจเอลก็เห็นด้วย เพราะคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้

     

                    ทั้งสี่เดินทางออกจากปราสาทจนเข้าเขตที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน โจเอลสังเกตสายตาหลายคู่ที่มองมาทางโก๊กและมาโก๊กด้วยความสนใจปนหวาดระแวง แม้ว่าทั้งสองจะสวมเสื้อคลุมยาวกรอมเท้าและดึงฮูดมาคลุมศีรษะเพื่อปิดบัง ทว่าร่างกายที่สูงใหญ่ก็ยังคงโดดเด่นสะดุดตาอยู่ดี

                    ครั้นเมื่อมาถึงสะพานหินซึ่งค่อนข้างทรุดโทรม โจเอลและคนอื่นๆก็ต้องแอบยังข้างทาง เมื่อมีคนกลุ่มหนึ่งขี่ม้านำขบวนตามด้วยรถม้าอีกคันหนึ่ง

                    เมื่อทั้งขบวนเกือบจะผ่านพวกโจเอลไป จู่ๆล้อรถข้างหนึ่งก็กระแทกก้อนหินที่ขวางบนถนน แม้ว่าหินก้อนนั้นจะไม่ใหญ่นักแต่ก็ทำเอาดุมล้อหลวม ล้อจึงแกว่งจากเพลาจนรถเอียงวูบเกือบพลิกคว่ำ หากว่าโก๊กไม่รีบกระโจนเข้าประคองตัวรถไว้ ขณะที่มาโก๊กใช้กำลังหยุดม้าลากรถ ซึ่งยักษ์ทั้งสองทำได้ง่ายดายราวกับหยุดรถเด็กเล่น

                    “นายหญิง ได้รับอันตรายหรือเปล่าเจ้าคะ?” หนึ่งในคนที่ขี่ม้านำขบวนรีบเข้ามาดูผู้เป็นนายที่อยู่ในตัวรถ ซึ่งผู้ที่รีบเข้ามาดูผู้เป็นนายนั้น เป็นหญิงสาวอายุราวๆ 19 ปี ใบหน้าคม นัยน์ตาเป็นสีเทาอมฟ้าเหมือนสีของก้อนเมฆ คิ้วเข้มสีน้ำตาลแดงเช่นเดียวกับสีผมของเธอที่ถูกมัดรวบไว้ด้านหลังแลดูทะมัดทะแมง

                    “ข้าไม่เป็นไร เกิดอะไรขึ้นกัน?” น้ำเสียงเยือกเย็นดังมาจากในตัวรถ เป็นน้ำเสียงของหญิงสาวที่ฟังดูมีเสน่ห์จนทำให้โจเอลอยากเห็นเจ้าของน้ำเสียง

                    “ดูเหมือนดุมล้อจะหลุดกะทันหันเจ้าค่ะ โชคดีที่มี เอ่อ... คนช่วยเราไว้” หญิงรับใช้คนเดิมตอบอย่างไม่เต็มเสียงเมื่อเห็นตัวผู้ที่เข้ามาช่วยชัดๆ

                    “ใครมาช่วยเราไว้หรือ?” ผู้เป็นนายถามต่อไปด้วยความใคร่รู้และอยากตอบแทนผู้มีพระคุณ

                    “พวกเขาเป็น... เอ่อ... เป็น...” ผู้เป็นบ่าวอ้ำอึ้ง ไม่กล้าเอ่ยถึงนามซึ่งมีความหมายในทางอัปมงคล

                    “พวกเขาเป็นการ์กอน และเป็นผู้ติดตามของข้าเอง” โจเอลเป็นฝ่ายตอบแทน ทำเอาผู้ที่ได้ยินต่างพากันเงียบด้วยความตกใจกลัว

                    ความเงียบปกคลุมอยู่ชั่วขณะหนึ่ง กระทั่งสตรีที่อยู่ในรถได้เอ่ยออกมา

                    “บริจิต ข้าอยากลงไปสูดอากาศข้างนอกรถสักหน่อย”

                    “แต่...” หญิงรับใช้ท้วง ทว่าไม่มีเสียงตอบกลับมา ย่อมหมายความว่านี่เป็นคำสั่งที่ต้องกระทำตามเท่านั้น หญิงรับใช้ที่ชื่อบริจิตจึงลงจากรถม้าเพื่อเปิดประตูและเชิญผู้เป็นนายลงจากรถ

                    โจเอลนิ่งงันเมื่อได้เห็นรูปโฉมของสตรีที่เยื้องย่างลงจากรถม้า เธอเป็นหญิงสาวที่มีผิวขาวมากราวกับถูกทะนุถนอมมาอย่างดี ดูแล้วอายุคงไล่เลี่ยกับโจเอล ดวงตาของเธอเป็นสีน้ำตาลอมเทาดูสงบนิ่งประดับด้วยแผงขนตายาวงอน จมูกโด่ง ริมฝีปากบางสีแดงมีเสน่ห์ปรากฏรอยยิ้มอย่างมีอัธยาศัย ผมสีทองถูกมัดรวบเร้นอยู่ในที่คลุมเช่นสตรีชั้นสูง เธอแต่งกายในชุดกระโปรงฟูฟ่องราคาแพงสีเลือดหมู ดูโดยรวมแล้วต้องกล่าวว่าเป็นผู้หญิงที่สวยมากทีเดียว แม้ว่าออกจะผอมไปสักหน่อย

                    “คนที่ช่วยเราไว้อยู่ที่ไหนกันหรือ?” เธอเอ่ยถามต่อบ่าว

                    “อยู่ตรงหน้านายหญิงแล้วเจ้าค่ะ” หญิงรับใช้ตอบขณะจับมือประคองผู้เป็นนายให้หันมาทางโก๊กและมาโก๊ก ซึ่งบัดนี้ได้มายืนอยู่หลังโจเอล

                    “ขอบคุณที่ได้ช่วยเหลือพวกเรา ข้าเคยได้ยินชื่อของท่านแต่ในนิทาน ซึ่งดูท่าว่าจะไม่จริงตามคำเล่าลือเสียแล้ว” สตรีผู้สูงศักดิ์กล่าวพลางแย้มยิ้ม

                “พวกเขาคงไม่เข้าใจที่ท่านพูดหรอก ขออภัย ข้าคือโจเอล เอนฮาร์ท ผู้พิทักษ์แห่งฟอร์ทอังเคิล สองคนนี้คือผู้ติดตามของข้าเอง พวกเขาไม่ได้พูดภาษาเกลลาร์หรอก” โจเอลแนะนำตัวพร้อมอธิบาย

                    “เอ๊ะ ฟอร์ทอังเคิลหรือ? อา... ข้านี่เสียมารยาทจริงที่ไม่ได้กล่าวแนะนำตัว ข้าคือฟลอร่า โอวิลไทน์ แห่งเมอร์ซาทิม ข้ากำลังจะไปที่ฟอร์ทอังเคิลอยู่พอดี โชคดีจริงที่ได้พบกับท่านโจเอล แล้วนี่ข้าจะกล่าวขอบคุณผู้ติดตามของท่านอย่างไรดี?”

                    “ข้าจะบอกพวกเขาให้เอง ท่านเดินทางมาไกลทีเดียว มีธุระอะไรที่ฟอร์ทอังเคิลกันหรือ? อ้อ ข้าควรจะแนะนำคนในคณะของข้าเสียก่อน หากว่าท่านไม่เร่งรีบ”

                    “ท่านควรจะเรียกนายข้าว่า ท่านหญิงฟลอร่านะ” หญิงรับใช้ที่ชื่อบริจิตกล่าวแทรก จากนั้นก็หันไปพูดกับนายตน “นายหญิง เราใกล้จะถึงปราสาทของท่านบารอนเคอร์เบนแล้วนะเจ้าคะ เราควรเข้าพบท่านบารอนเสียก่อนจะเหมาะกว่า”

                    ผู้เป็นนายนิ่งตรึกตรองตามคำแนะนำของบ่าว ซึ่งก็จริงว่าการมาสนทนาวิสาสะกับผู้ใต้ปกครองก่อนผู้ปกครอง ถือเป็นการเสียมารยาทอยู่พอสมควร เธอจึงต้องกล่าวตัดบทแต่เพียงเท่านี้

                    “ขออภัยด้วยเถิดท่านโจเอล พอดีข้ามีธุระเร่งด่วนคงต้องขอลา หวังว่าเราจะได้พบกันอีก” เธอย่อตัวเป็นการคารวะ ขณะที่โจเอลก็ค้อมศีรษะให้เช่นกัน แล้วท่านหญิงฟลอร่าก็กลับขึ้นไปบนตัวรถ พอดีกับที่ดุมล้อถูกตอกให้เข้าที่ คณะเดินทางของท่านหญิงฟลอร่าจึงเคลื่อนสู่ปราสาทเดลอสต่อไป

     

                    “บริจิต” ท่านหญิงฟลอร่าร้องเรียกหญิงรับใช้เมื่อรถม้าวิ่งไปได้พอสมควร หญิงรับใข้จึงขับม้ามาขนาบข้างตัวรถ

                    “เจ้าค่ะ นายหญิง”

                    “ท่านโจเอลมีรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไรกันหรือ?”

                    คำถามของผู้เป็นนายทำเอาบริจิตรู้สึกแปลกใจ เพราะนายหญิงของเธอไม่เคยแสดงอาการสนใจคนทั่วไปเช่นนี้มาก่อน

                    “จะว่าอย่างไรดีนะเจ้าคะ...” บริจิตแกล้งทำอ้อยอิ่งจนนายหญิงต้องรบเร้า

                    “เจ้าก็ว่ามาตามตรงสิ”

                    “เจ้าค่ะ” บริจิตถอนหายใจแล้วกล่าวต่อ “เขาเป็นผู้ปกครองดินแดนบ้านนอก ท่านหญิงคงพอเดารูปลักษณ์เขาได้กระมัง เขาเป็นคนอ้วนเตี้ย ขาสั้น พุงห้อยเกือบถึงพื้น ผิวคล้ำดำหยาบกักขฬะ จมูกหักงอ ตาโปน ปากหนา ใบหน้าเต็มไปด้วยแผลเป็นหลายแห่ง” เธอแกล้งบรรยายไปเช่นนั้น เพื่อจะให้นายหญิงเลิกสนใจในตัวโจเอล

                    “อย่างนั้นหรือ...” ท่านหญิงฟลอร่ารำพึง “ฟังจากน้ำเสียง ไม่คิดว่าเขาจะมีรูปร่างหน้าตาเช่นนั้นเลยนะ”

                    “แต่ดิฉันเห็นกับตา... เอ่อ ขอประทานอภัยเจ้าค่ะ” บริจิตรีบขอโทษที่ได้ลืมตัวพูดในสิ่งที่ไม่สมควรออกไป

                    “...ช่างเถิด” ท่านหญิงฟลอร่าเอ่ย พร้อมสะบัดมือเป็นการบอกว่าเธอต้องการอยู่คนเดียว ทั้งขบวนจึงเดินทางต่อไปโดยปราศจากการสนทนากันกระทั่งถึงปราสาทเดลอส

     

                    ทางด้านโจเอล หลังจากที่แวะไปส่งลูนาร์ที่โบสถ์และสนทนากับบาทหลวงริชาร์ดก็ได้กลับมาถึงห้องพักในช่วงเย็น เขายืนเท้าศอกกับขอบหน้าต่าง ซึ่งจากตรงนี้สามารถมองเห็นปราสาทเดลอสที่อยู่ไกลออกไปได้

                    ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเหม่อมองออกไปแน่วนิ่งพลางขบคิดไปต่างๆนานา ถ้าหากว่าการที่บารอนเดอร์เบนไม่ยอมให้เข้าพบเกี่ยวเนื่องกับจอร์ชและองค์จักรพรรดิจริง พวกเขาก็คงเดินทางไปต่อไม่ได้แน่ๆ นี่ถ้าหากว่าเฮอร์มมาด้วยคงจะแนะนำให้เลี่ยงไปใช้เส้นทางนอกด่าน โจเอลไม่เคยใช้เส้นทางดังกล่าว แต่ได้ยินมาว่ามันอันตรายอย่างยิ่ง และควรจะเดินทางเฉพาะในตอนกลางคืน เพราะจะช่วยให้รอดพ้นจากสายตาของพวกโจรที่คอยดักปล้น เขาจึงไม่คิดจะเสี่ยงพาลูนาร์ไปตามเส้นทางนั้น

                    วันนี้ในตอนที่เดินทางจากโบสถ์มายังโรงแรม มาโก๊กได้กระซิบบอกเขาว่าสังเกตเห็นคนสอง - สามคนคอยสะกดรอยพวกเขาอยู่ ซึ่งอันที่จริงก็ได้ติดตามมาได้สองวันแล้ว โจเอลยังนึกกริ่งเกรง แต่ก็เชื่อถือในหูตาที่ไวเป็นพิเศษของชาวการ์กอน ทว่าคนที่คอยจับตาพวกเขาเป็นใครกันแน่? หรือว่าจะเป็นพวกเดียวกับมือสังหารซึ่งมีเป้าหมายที่ตัวจอร์ช หากเป็นเช่นนั้นเขาก็คงไม่ต้องกังวลมากนัก เพราะตราบใดที่พวกนั้นยังไม่พบเป้าหมายก็คงจะไม่ผลีผลามทำอะไร และเขาก็เชื่อว่านอกจากนี้แล้วไม่น่าจะมีเหตุผลอื่นให้ต้องถูกติดตาม

                    โจเอลคิดเรื่อยเปื่อยต่อไป กระทั่งถึงเหตุการณ์ที่ประสบมาในวันนี้ นั่นคือการที่ได้พบกับหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ เขายังจำชื่อของเธอได้ ฟลอร่า โอวิลไทน์ไม่สิ... ต้องเป็น ท่านหญิงฟลอร่า สินะ โจเอลนึก ขณะรอยยิ้มผุดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เขารู้สึกคุ้นกับนามสกุล โอวิลไทน์อย่างประหลาด เมื่อพอจะนึกอะไรบางอย่างได้ เขาจึงหยิบเอาจดหมายที่เก็บไว้ออกมาดู เธอคือคนในตระกูลของท่านโอแลนโดนี่เอง...

                   

                    เช้าวันรุ่งขึ้น โจเอลได้ไปเยี่ยมลูนาร์ที่โบสถ์ และตั้งใจจะสนทนากับบาทหลวงริชาร์ดในเรื่องที่จะขอเข้าพบบารอนเคอร์เบน เขาได้พกจดหมายของท่านโอแลนโดติดตัวไว้ แม้ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสพบเจอท่านหญิงฟลอร่าอีกหรือไม่ ทว่าเมื่อมาถึงโบสถ์ก็ได้เห็นรถม้าคันเมื่อวานจอดอยู่โดยมีทหารติดตามคอยดูแล ทำให้คิดว่าท่านหญิงฟลอร่าน่าจะอยู่ที่นี่ ซึ่งนับเป็นโอกาสที่จะได้คืนสิ่งของของท่านโอแลนโดให้กับคนในตระกูล

                    โจเอลเข้าไปในตัวโบสถ์โดยสั่งให้โก๊กและมาโก๊กคอยที่ด้านนอก เมื่อพ้นประตูมาได้ระยะหนึ่งก็พบกับหญิงสาวที่ชื่อบริจิตยืนคอยทีอยู่

                    “อ้อ ท่าน...” เธอเว้นน้ำเสียงเพื่อนึกชื่อชายตรงหน้า

                    “โจเอล” เขาแนะนำตัวเพียงสั้น ๆ

                    “ท่านโจเอลกรุณาคอยสักครู่เถิด นายหญิงของข้ากำลังใช้สถานที่อยู่ อีกไม่นานเราก็จะไปกันแล้ว” หญิงสาวกล่าว ดูจากสายตาและกิริยาท่าทางแล้ว เธอคงไม่ชอบโจเอลสักเท่าไหร่

                    “บริจิต เจ้าอย่าได้พูดเช่นนั้นสิ สถานที่นี้ทุกคนควรจะได้ใช้มิใช่หรือ” น้ำเสียงตำหนิดังมาจากด้านใน ไม่ช้าเจ้าของเสียง ซึ่งก็คือท่านหญิงฟลอร่าก็เดินออกมาพร้อมกับลูนาร์

                    “เจ้าค่ะ” บริจิตยอมจำนน และหลีกทางให้กับโจเอล

                    “โจเอล ท่านมาพอดีเลย เรากำลังพูดถึงท่านอยู่พอดีเชียว” ลูนาร์กล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างมีเลศนัยซึ่งโจเอลไม่ได้เห็นมานาน ทำให้รู้สึกสงสัยว่าหญิงสาวทั้งสองพูดคุยถึงเขาด้วยเรื่องอันใด

                    “อ้อ จริงสินะ ท่านหญิงฟลอร่า โอวิลไทน์” โจเอลเอ่ย

                    “คะ?” อีกฝ่ายขานรับด้วยความงุนงงที่ถูกเรียกชื่อเต็มยศ

                    “หากท่านเป็นทายาทของท่านโอแลนโด อัศวินแห่งราศีเมษ ข้าก็ขอมอบสิ่งนี้คืนให้แก่ท่าน” โจเอลกล่าวพร้อมยื่นม้วนผ้าและแหวนให้กับสตรีผู้สูงศักดิ์

                    ท่านหญิงฟลอร่ารับของทั้งสองสิ่งไว้ เธอเลื่อนนิ้วสัมผัสไปบนหัวแหวนที่สลักตราประจำตระกูล พลันสีหน้าของเธอได้แปรเปลี่ยนเป็นความเศร้าตรม ทว่าก็เจือไว้ด้วยความคลายใจ

                    “แล้ว... ผ้าผืนนี้?” เธอถามด้วยความสงสัยในของอีกสิ่ง

                    “ผ้าผืนนั้น ท่านโอแลนโดได้ใช้มันบันทึกวาระสุดท้าย...” โจเอลตอบ แม้จะรู้สึกแปลกใจที่ท่านหญิงฟลอร่าน่าจะเห็นตัวหนังสือที่อยู่บนผืนผ้าได้อย่างชัดเจน

                    “ขออภัย... ท่านช่วยอ่านให้ข้าฟังจะได้หรือไม่...” หญิงผู้สูงศักดิ์กล่าวอย่างไม่เต็มน้ำเสียง

                    ด้วยความสงสัยที่เพิ่มพูน โจเอลจึงพลั้งปากถามออกไป “ตาของท่าน...”

                    ท่านหญิงฟลอร่าไม่ได้กล่าวอะไร เพียงพยักหน้าแทนคำตอบ ซึ่งก็พอจะทำให้โจเอลเข้าใจได้ว่าเธอมองไม่เห็น

                    โจเอลอ่านเนื้อความในจดหมายให้ท่านหญิงฟลอร่าฟัง ซึ่งแม้ว่าหญิงสาวผู้เป็นทายาทของท่านโอแลนโดจะพยายามเก็บอารมณ์ไว้ด้วยสีหน้าที่นิ่งสนิท ทว่าเธอกลับไม่อาจควบคุมน้ำตาที่ไหลรินอาบสองแก้มได้

                    “...ขอบคุณท่านโจเอลมาก ...ท่านโอแลนโดเป็นปู่ของข้าเอง มารดาข้า... คือเซรีน โอวินไทน์... นับร้อยปีแล้วสินะ... ที่ไม่ได้ทราบข่าวคราวของท่านปู่...” ท่านหญิงตอบเสียงกระท่อนกระแท่น เธอคงพยายามเก็บกลั้นเสียงสะอื้นไห้ไว้ข้างใน

                    “แล้ว... ร่างของท่านปู่?” เธอถามต่อไป

                    “ขออภัย ด้วยความจำเป็นบางประการ ข้าจึงทำได้เพียงจัดงานศพเรียบๆให้เท่านั้น” โจเอลตอบด้วยความรู้สึกผิด ที่ไม่อาจทำพิธีที่เหมาะสมให้กับอัศวินผู้มีนามเกริกก้อง

                    “...ขอบคุณท่านมาก เท่านี้ข้าก็ไม่รู้จะตอบแทนอย่างไรแล้ว” ท่านหญิงฟลอร่ากล่าวอย่างจริงใจ

                    “เอาเป็นว่า เราใช้เวลานี้สวดให้กับวิญญาณของท่านโอแลนโดกันเถิดนะ” ลูนาร์กล่าวแทรกเพราะต้องการให้บรรยากาศดีขึ้น ซึ่งทุกคนต่างก็เห็นพ้อง

     

                    “ต้องขอขอบคุณท่านโจเอลอีกครั้ง ที่ได้นำสิ่งของของท่านปู่มามอบให้” สตรีผู้สูงศักดิ์กล่าวหลังจบบทสวดมนต์ สีหน้าและน้ำเสียงของเธอในตอนนี้ดูสดชื่นขึ้นมาก

                    “อย่าได้ถือเป็นเรื่องต้องขอบคุณเลย ท่านโอแลนโดเป็นอัศวินที่มีชื่อเสียง ถือเป็นเกียรติของข้ามากกว่าที่ได้พบกับทายาทของท่าน และหากจะนับเนื่องไปแล้ว ปู่ของข้าก็เคยได้รับใช้ท่านมาก่อน ข้าจึงถือว่านี่เป็นการตอบแทนในฐานะบ่าวผู้หนึ่ง” โจเอลตอบกลับไปด้วยความเกรงใจในคำขอบคุณของอีกฝ่าย

                    “จริงสินะ ยังมีอาวุธคู่กายของท่านโอแลนโดอีกด้วย ถ้าท่านไม่เร่งรีบ ข้าจะกลับไปนำมาให้”  ชายหนุ่มกล่าวต่อไป เมื่อทำท่าว่าจะกลับไปนำสิ่งของดังกล่าวก็ได้ถูกรั้งเอาไว้

                    “รบกวนท่านเกินไปแล้ว ถึงอย่างไรข้ากำลังจะเดินทางไปยังฟอร์ทอังเคิลอยู่แล้ว ไว้ถึงตอนนั้นก็คงจะไม่สายเกินไปกระมัง”

                    “ท่านหญิงฟลอร่า ท่านอุตส่าห์เดินทางมาไกลขนาดนี้ ไม่ทราบว่ามีธุระอันใดที่ฟอร์ทอังเคิลหรือ?” ลูนาร์แทรกถามขึ้นมา ด้วยรู้สึกแปลกใจว่าเหตุใดหญิงสาวผู้มีฐานะจึงได้เดินทางมายังบ้านนอกที่ไม่มีสิ่งใดน่าสนใจ

                    ท่านหญิงฟลอร่านิ่งเงียบอยู่พักหนึ่งคล้ายกับไม่รู้จะเริ่มที่ตรงไหน กระทั่งเอ่ยออกมาในที่สุด “เหตุที่ข้าตั้งใจจะเดินทางไปยังฟอร์ทอังเคิล ก็เพราะดวงตาอันอับโชคทั้งสองข้างของข้านี่แหละ ที่ผ่านมาข้าได้เพียรเดินทางไปวิงวอนตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์หลายแห่ง... ข้าได้ยินชื่อบาทหลวงฟีบัส ว่าท่านได้แสดงปาฏิหาริย์ขับไล่ชนต่างเผ่าให้ออกไปจากฟอร์ทอังเคิล ข้าจึงเดินทางมาเพื่อหวังจะให้ท่านช่วยสวดประทานพรให้...” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย แต่เมื่อเอ่ยนามของบาทหลวงฟีบัส ใบหน้ากลับฉายแววแห่งความหวังขึ้นมาอีกครั้ง

                    โจเอลและลูนาร์สบตากัน ไม่อยากเชื่อว่าข่าวลือสะพัดไปไกลและรวดเร็วได้ปานนี้ โจเอลรู้สึกสงสารหญิงสาวผู้งดงามและเพียบพร้อม แต่กลับโชคร้ายที่ไม่สามารถมองเห็นได้ เขานึกเลยไปถึงคำสาปของเมยานาร์ว่าจะเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ เพราะท่านโอแลนโดกล่าวว่าได้สังหารเมยานาร์ตามที่ปรากฏในจดหมาย

                    “บาทหลวงฟีบัสเป็นบิดาของข้าเอง แต่พวกเรากำลังจะเดินทางไปแสวงบุญที่รีมัส คงไม่มีโอกาสต้อนรับท่านหญิงฟลอร่าด้วยตัวเอง” ลูนาร์กล่าว

                    “อา... จริงหรือนี่ น่าเสียดายเหลือเกิน ขอกล่าวตามตรงว่าข้ารู้สึกถูกชะตากับท่านทั้งสอง ถ้าหากได้พวกท่านช่วยแนะนำสถานที่ในฟอร์ทอังเคิลก็คงจะดีไม่น้อย” สีหน้าของท่านหญิงฟลอร่าฉายแววผิดหวัง

                    “ในฐานะผู้ดูแลหมู่บ้าน ต้องขออภัยที่ข้าไม่อาจอยู่รับรองท่านหญิง แต่พวกเราพอจะไปเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆในเมืองเดลอสด้วยได้ หากท่านหญิงต้องการ และท่านบารอนเคอร์เบนผู้เป็นเจ้าเมืองไม่ว่ากระไร” โจเอลเสนอ เพราะถึงอย่างไรคณะของเขาก็ยังไปจากเมืองนี้ไม่ได้อยู่ดี

                    “ดีจริง ถ้าเช่นนั้นวันนี้ข้าขอรบกวนท่านทั้งสองจะได้หรือไม่” ท่านหญิงฟลอร่ากล่าวด้วยสีหน้าแย้มยิ้ม

                    “อ้อ” ลูนาร์ร้องขึ้นเหมือนนึกอะไรได้ ก่อนจะพูดต่อ “ข้าเพิ่งนึกได้ว่ามีธุระอยู่คงไปไม่ได้ โจเอล เห็นทีท่านจะต้องรับหน้าที่นี้เพียงคนเดียวเสียแล้ว” กล่าวจบนักบวชหญิงแห่งฟอร์ทอังเคิลก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย ทำให้โจเอลรู้สึกสงสัย ไม่อาจคาดเดาความคิดของเธอได้เลย

     

                    ในที่สุดโจเอลก็รับหน้าที่ในการนำเที่ยวให้กับท่านหญิงฟลอร่าเพียงผู้เดียว โดยลูนาร์ยืนกรานอย่างหนักแน่นว่าไม่สามารถไปด้วยได้ และต้องให้โก๊กและมาโก๊กกลับที่พักไปก่อน เพราะไม่สะดวกจะให้เดินทางไปกับคณะที่เดินทางกันด้วยม้าและรถม้า

                    นายบ้านหนุ่มแห่งฟอร์ทอังเคิลนั่งข้างสารถีเพื่อแนะนำเส้นทาง ด้วยความที่เขาต้องมาที่เมืองเดลอสบ่อยๆ ทำให้รู้จักเส้นทางและสถานที่ต่างๆไม่น้อย

                    การเป็นคนนำเที่ยวทำให้สถานที่ที่คุ้นเคยกลับดูน่าสนใจขึ้นมา เมื่อยามที่เขาบรรยายให้ท่านหญิงฟลอร่าได้เห็นภาพตามและเล่าถึงประวัติความเป็นมาของมัน เธอจะฟังด้วยความตั้งใจเป็นอย่างยิ่ง กระทั่งเชื้อเชิญให้ชายหนุ่มเข้ามานั่งในรถม้าเพื่อจะได้บรรยายไปด้วยในระหว่างที่รถเคลื่อนไป

                    โจเอลรับคำเชิญ เขาก้าวขึ้นไปนั่งที่ฝั่งตรงข้ามกับท่านหญิงฟลอร่า ขณะที่บริจิตขี่ม้าขนาบข้างคอยจับตามองตลอด

                    ภายในตัวรถแม้ไม่กว้างขวางนักแต่ก็สะดวกสบายพอควร มีการสลักลวดลายไว้อย่างงดงาม แม้จะดูเก่าแก่ลงไปตามกาลเวลา

                    “มันทรุดโทรมมากแล้วสินะ... วันนั้นที่ดุมล้อหลุดก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก รถคันนี้ก็เหมือนตระกูลของข้า... มันจะวิ่งต่อไปได้อีกแค่ไหนกันนะ” สตรีผู้สูงศักดิ์เปรยออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย โจเอลรู้สึกแปลกใจที่อยู่ดีๆท่านหญิงฟลอร่าก็พูดถึงเรื่องนี้ แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่นั่งฟังต่อไปเงียบๆ

                    “ตระกูลโอวิลไทน์รุ่งเรืองขึ้นมาก็ในยุคของท่านปู่โอแลนโด ที่ได้เป็นถึงหัวหน้าของอัศวินแห่งจักราศี รถคันนี้เป็นของขวัญสำหรับงานแต่งงานของท่านปู่และท่านย่าจากจักรพรรดิในยุคนั้น แต่แล้วท่านปู่ก็ได้ออกผจญภัย และหายสาบสูญไปในดินแดนอาถรรพ์...

                    ท่านพ่อข้า... แม้จะมาจากตระกูลที่ไม่มีชื่อเสียงนัก แต่ท่านก็เป็นอัศวินหนุ่มฝีมือดี ซึ่งถูกคาดหวังว่าจะได้รับตำแหน่งอัศวินแห่งจักราศี... ทว่าท่านกลับเสียชีวิตตั้งแต่ยังหนุ่มด้วยโรคประหลาด ตัวข้าเองก็เริ่มมองไม่เห็นตั้งแต่อายุได้สิบปี...” ท่านหญิงฟลอร่าเงียบเสียงไปชั่วขณะ สีหน้าเศร้าสร้อย ชั่วครู่เธอก็หัวเราะขึ้นด้วยความขมขื่น

                    “ฮะ ฮะ ฮะ ตัวข้ามาพิการในยุคที่ผู้คนเชื่อว่ามันจะถ่ายทอดถึงลูกหลาน คงจะหาชายหนุ่มที่สมฐานะกันมาสู่ขอได้ยาก ไม่สิ... ต้องพูดว่าไม่มีทางเลยต่างหาก และท่านแม่ก็ไม่ต้องการให้ตระกูลของเราตกต่ำไปกว่านี้... ตัวข้าจะทำเช่นไรได้...” เธอกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ หญิงสาวหันหน้าออกไปนอกหน้าต่างเพื่อปิดบังน้ำตาที่ไหลพรั่งพรู

                    โจเอลนั่งนิ่งฟังคำตัดพ้อต่อโชคชะตาด้วยความเห็นใจ แต่เขาไม่รู้จะหาคำใดมาปลอบประโลมหญิงสาวให้พ้นจากความเศร้าตรม

                    “เอ่อ... ข้าไม่รู้จะกล่าวอะไรดี แต่ขอเป็นกำลังใจให้ท่านหายจากโรคร้าย” เขากล่าวออกมาในที่สุด

                    หญิงสาวซับน้ำตาที่นองหน้าแล้วตอบกลับมา “ขอบคุณท่านมาก ขอโทษด้วยที่อยู่ๆก็เล่าเรื่องพวกนี้ให้ท่านฟัง คงเพราะข้าสับสนไปเท่านั้น”

                    “ไม่เป็นไร หากมันช่วยให้ท่านหญิงฟลอร่าสบายใจขึ้น ข้าก็ยินดี” โจเอลกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เขาเฝ้ามองใบหน้าอันงดงามทว่าเศร้าตรมของสตรีผู้สูงศักดิ์ด้วยความเห็นใจ คงเป็นภาระหนักอึ้งสำหรับหญิงสาวผู้หนึ่งที่ต้องแบกรับชื่อเสียงและความหวังของวงศ์ตระกูลด้วยสภาพร่างกายเช่นนี้

                    โจเอลมองไปยังผ้าปักหลายชิ้นที่วางอยู่ข้างที่นั่งของท่านหญิงฟลอร่า ซึ่งคงเป็นงานอดิเรกของท่านหญิง แต่ละชิ้นมีความประณีตงดงาม บ่งบอกถึงนิสัยของผู้ปักว่าเป็นคนละเอียดลออและเยือกเย็น ผ้าปักส่วนใหญ่เป็นลวดลายดอกไม้ เหมือนกับชื่อของท่านหญิงฟลอร่าที่หมายถึงดอกไม้ซึ่งกำลังแย้มบาน

                    “จริงสินะ นี่ก็ใกล้เย็นแล้ว ข้าอยากพาท่านหญิงฟลอร่าไปชมสถานที่หนึ่งก่อนจะกลับ”

     

                    เมื่อรถม้าและขบวนเดินทางหยุดลงเมื่อถึงสถานที่ที่โจเอลต้องการจะพาชมเป็นที่สุดท้าย ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลก็ก้าวลงจากรถและประคองสตรีผู้สูงศักดิ์ลงมา

                    “ท่านหญิง ลองเดินตรงไปเรื่อยๆดูสิ” ชายหนุ่มแนะนำ หญิงสาวผู้บอบบางจึงค่อยๆเดินไปอย่างเก้กัง บริจิตรีบเข้ามาประคองไว้แต่ก็ถูกปฏิเสธ

                    ท่านหญิงฟลอร่าเดินต่อไปด้วยความประหม่า นับตั้งแต่มองไม่เห็น เธอก็แทบจะไม่ได้เดินตามลำพังเลย ถ้าจะต้องไปไหนมาไหนคนเดียวก็เฉพาะในอาคารซึ่งสามารถสัมผัสผนังนำทาง นี่จึงนับเป็นครั้งแรกที่เธอได้เดินข้างนอกด้วยตนเอง

                    ใต้เท้าที่บอบบาง สาวน้อยได้สัมผัสพื้นดินและหินขรุขระซึ่งเกือบทำให้ล้มอยู่บ่อยครั้ง ทว่าก็ยังคงเดินต่อไปโดยไม่ขอความช่วยเหลือ ในที่สุดมือที่ควานไปข้างหน้าเพื่อนำทางก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่ง มันคือยอดหญ้าอันอ่อนนุ่ม สูงเลยเอวเล็กน้อย เมื่อก้าวเดินต่อไปก็สัมผัสเข้ากับดอกไม้ที่เบ่งบานรายรอบ

                    “ที่นี่เป็นทุ่งดอกไม้ที่เติบโตขึ้นเองตามธรรมชาติ” เสียงทุ้มและอบอุ่นดังอยู่ไม่ไกล

                    “หอมดีจริง ที่นี่คงมีดอกไม้นานาพรรณ สีสันของมันจะเป็นอย่างไรนะ ข้าอยากจะเห็นเหลือเกิน” เธอกล่าวด้วยสีหน้าเบิกบาน ขณะที่มือสัมผัสไปยังดอกไม้ทีละดอก มีที่เหมือนกันบ้าง ต่างกันบ้าง

                    “ฮะๆ ก็คละเคล้ากันไป เทียบกับสวนที่จัดแต่งแล้วก็คงจะงามไปคนละแบบ”

                    “นั่นสินะ” เธอรู้สึกแปลกใจและสนุกที่พบกับดอกไม้ที่แตกต่างกันเมื่อเดินไปเรื่อยๆ จนบริจิตต้องเตือนเป็นระยะๆด้วยความเป็นห่วง

                    “ท่านหญิงฟลอร่า ดอกไม้พวกนี้เติบโตขึ้นเองโดยปราศจากการดูแล แต่ก็เบ่งบานงดงามในที่สุด ชีวิตเป็นเรื่องอัศจรรย์ ไม่มีใครรู้ว่าก้าวย่างต่อไปเราจะพบเจอกับอะไร... ขออภัย ข้าแค่จะบอกกับท่านหญิงว่าอย่าได้ท้อแท้ การมีชีวิตอยู่นับเป็นเรื่องดีที่สุดแล้ว”  โจเอลกล่าวขณะก้าวเดินเคียงข้างหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ ใบหน้าของเธอปรากฏรอยยิ้มด้วยความเบิกบาน เป็นช่วงเวลาที่เธอได้ทิ้งความเศร้าตรมไว้ชั่วขณะ ช่างเป็นความรู้สึกที่ทั้งเนิ่นนานและแสนสั้น

     

                    “ดูเหมือนข้าจะรบกวนท่านด้วยความเอาแต่ใจมาพอสมควรแล้ว ท่านโจเอล มีสิ่งใดที่ข้าพอจะตอบแทนท่านได้บ้าง?” เธอเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่ได้เดินเล่นจนเป็นที่พอใจ

                    “ท่านหญิงอย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลย การได้นำท่านชมเมืองนับเป็นเกียรติยิ่งแล้ว” ชายหนุ่มรีบตอบละล่ำละลัก

                    “อย่าได้เกรงใจเลย ข้าพอจับอาการได้ว่าพวกท่านมีความเร่งรีบอยู่เช่นกัน ท่านบอกว่าจะเดินทางไปรีมัส ติดขัดประการใดหรือจึงได้ยังอยู่ที่นี่ คงไม่ใช่เพราะข้าชิงเวลาอันมีค่าของพวกท่านมาหรอกนะ” ท่านหญิงฟลอร่าหันมาทางโจเอล นี่ถ้าไม่รู้ว่าเธอมองไม่เห็น เขาต้องคิดว่ากำลังถูกจ้องมองอย่างคาดคั้นเป็นแน่

                    “มิได้ๆ” ชายหนุ่มตอบได้เพียงเท่านั้น เพราะไม่แน่ใจว่าควรจะเล่า อุปสรรคของตนให้ท่านหญิงฟลอร่าฟังดีหรือไม่

                    “ในเมื่อข้ายอมเล่าเรื่องตนเองให้ท่านฟัง ท่านจะไม่เล่าเรื่องของตนบ้างเชียวหรือ” น้ำเสียงของหญิงสาวเริ่มมีอาการตัดพ้อ โจเอลจึงยอมเล่าถึงสาเหตุที่เขาไม่สามารถเดินทางออกจากเมืองให้เธอฟังในที่สุด

     

                    “เอ๊ะ ท่านบารอนเคอร์เบนไม่สบายหรอกหรือนี่? แต่เมื่อวานก็ยังเห็นต้อนรับข้าดีอยู่เลยนี่นะ ออกจะดูร่าเริงด้วยซ้ำ” ท่านหญิงฟลอร่ารำพึงออกมา เมื่อฟังสาเหตุที่โจเอลต้องติดอยู่ที่เมืองเดลอสจนจบ

                    “ช่างเถิด ถึงท่านบารอนจะป่วยจริง แต่การจะช่วยให้ท่านโจเอลออกจากเมืองเพื่อเดินทางต่อก็ไม่ยากเย็นนัก ดีล่ะ ให้ข้าได้ตอบแทนท่านบ้างก็แล้วกัน”  เธอกล่าวต่อไป

                    “ขอบคุณท่านหญิงฟลอร่ามาก” โจเอลค้อมกายแสดงการคารวะ

                    “ถ้าเทียบกับสิ่งที่ท่านทำให้ข้ายังนับว่าน้อยมาก อ้อ กรุณาเรียกข้าว่าฟลอร่าเฉยๆเถิดนะ” หญิงสาวตอบพร้อมกับแย้มยิ้มให้

                    “บริจิต” เธอร้องเรียกหญิงรับใช้

                “เจ้าคะ?” หญิงสาวที่ถูกเรียกรีบขานรับ

                    “ข้าชักจะรู้สึกหนาว วานเจ้าช่วยไปหยิบเสื้อคลุมที่รถมาให้ข้าที”

                    “เจ้าค่ะ รอสักครู่นะเจ้าคะ” หญิงรับใช้ตอบรับ เธอหันมามองโจเอลเขม็งก่อนจะรีบเดินกลับไปยังรถม้า คล้ายจะปรามว่าช่วงที่ละสายตาไปนี่ อย่าได้คิดทำอะไรนอกลู่นอกทางเชียว

     

                    “ท่านโจเอล” ท่านหญิงฟลอร่าเอ่ย หลังจากได้ยินเสียงหญิงรับใช้เดินไปไกลแล้ว

                    มีอะไรหรือท่านหญิง... เอ่อ... ท่านฟลอร่า ชายหนุ่มขานรับ

                    ข้าขอเสียมารยาทสักหน่อย ท่านคงไม่ว่ากระไร หญิงสาวผู้สูงศักดิ์กล่าว โดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดอะไร เธอก็ได้ยื่นมือออกไปสัมผัสใบหน้าชายหนุ่ม มือที่นุ่มนวลและเรียวงามเลื่อนไปอย่างแผ่วเบา ผ่านสันจมูก ริมฝีปาก และคาง

                    โจเอลได้แต่ยืนนิ่ง ใบหน้าแดงซ่านเมื่อสัมผัสอันนุ่มนวลผ่านไปตามใบหน้าโดยทิ้งกลิ่นหอมจางๆไว้ กระทั่งเสียงเยือกเย็นไพเราะดังขึ้น

                    ท่านช่างเหมือนกับที่ข้าคิดฝันไว้จริงๆ หญิงสาวกล่าวก่อนจะเดินกลับไปยังรถม้า ขณะที่โจเอลยังคงยืนงงอยู่กับที่

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×