ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Brave & Honor

    ลำดับตอนที่ #58 : บทที่ 57 ระหว่างทางสู่รีมัส

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 137
      0
      9 พ.ย. 51

                    ลอร่าหวีดร้องและตื่นขึ้นมากลางดึกจากความฝันที่น่าหวาดกลัว เธอเอามือปิดหน้า ร่างกายสั่นสะท้านขณะนึกทบทวนความฝัน เป็นความฝันที่คล้ายคลึงกับก่อนหน้านี้ในตอนที่เธอยังอยู่ในเมอร์ซาทิม

                    ในความฝันเธอได้พบกับชายหนุ่มที่ช่วยให้เธอพ้นจากความโดดเดี่ยวที่น่าเศร้าตรม ทว่าก็เป็นเพียงช่วงสั้นๆ เมื่ออยู่ๆภาพชายที่อยู่เบื้องหน้าได้มลายหายไป จากนั้นเธอก็รู้สึกเหมือนถูกผลักและตกจากที่สูงจนกระทบพื้นส่งเสียงดังสนั่น

                    ฟลอร่าเห็นร่างตนเองนอนแผ่อยู่บนพื้นดินมีเลือดอาบทั่วร่าง เหนือร่างของเธอมีบางสิ่งคล้ายมนุษย์กำลังจ้องมองลงมา เธอพยายามเพ่งดูเพื่อให้รู้แน่ว่ามันคืออะไร แล้วเธอก็ได้เห็น... ดวงตาอันน่าสะพรึงกลัวที่จ้องมองลงมาด้วยความอาฆาต พักหนึ่งเจ้าสิ่งนั้นก็ฉีกยิ้มด้วยความพึงพอใจที่ได้เห็นความตายของเธอ และนั่นเป็นภาพสุดท้ายที่เธอได้เห็นในความฝัน...

     

                    บริจิตรีบเข้ามาดูนายหญิงด้วยความเป็นห่วงหลังจากที่ได้ยินเสียงกรีดร้อง ซึ่งฟลอร่าก็เพียงแค่ส่ายหน้าแล้วบอกว่าได้ฝันร้ายไปเท่านั้น และสั่งให้ไปแจ้งคนอื่นๆที่ตื่นตกใจเพราะการณ์นี้ จากนั้นเธอก็หลับต่อไปโดยไม่ได้ฝันร้ายอีก

     

                    รุ่งเช้าอันเป็นวันที่ท่านหญิงฟลอร่าได้แจ้งแก่บารอนเคอร์เบนไว้ล่วงหน้าว่าจะเดินทางต่อ ท่านบารอนจึงได้ร่วมรับประทานอาหารเช้าเพื่อเป็นการอำลา ซึ่งหลังจากรับประทานอาหาร ท่านหญิงฟลอร่าก็ได้ถามกับเจ้าของปราสาท

                    “ท่านบารอนเคอร์เบน ทราบมาว่าท่านไม่สบายหรอกหรือ?”

                    “เอ่อ... ขอรับท่านหญิง เอ่อ... พักนี้ข้าไม่ค่อยสบาย โดนลมไม่ค่อยจะได้...” บารอนเคอร์เบนตอบตะกุกตะกัก ปั้นสีหน้าไม่ถูกที่อยู่ดีๆก็ถูกถามถึงเรื่องนี้

                    “เช่นนั้นหรือ... ท่านบารอนก็อายุอานามมากแล้ว ข้ารู้สึกเป็นห่วงแทน” หญิงสาวผู้งามสง่ากล่าว พลางหยิบเอาสะดึงขึ้นมาปักลวดลายผ้าเพื่อฆ่าเวลา

                    “อ้อ จริงสินะ บริจิตผู้ติดตามของข้ามีความรู้เรื่องการแพทย์พอควร ถ้าท่านบารอนจะอนุญาตให้นางรักษา...”

                    “นายหญิงเจ้าคะ ดิฉันเข้าใจว่าอาการของท่านบารอนเคอร์เบนน่าจะเกิดจากเยื่อเมือกในสมอง ถ้าใช้มีดเปิดกะโหลกแล้วขูดเมือกที่ว่าออก ก็น่าจะช่วยให้หายจากความทรมานได้นะเจ้าคะ” บริจิตกล่าวกับผู้เป็นนายก่อนจะหันมาส่งรอยยิ้มเย็นเยียบให้กับท่านบารอน

                    “เอ้อ... มิได้ๆ ข้ามิได้เจ็บป่วยมากมายถึงขั้นนั้นหรอกขอรับ แค่หวัดธรรมดาเท่านั้น” บารอนเคอร์เบนรีบปฏิเสธพัลวัน

                    ท่านหญิงฟลอร่าได้ยินเช่นนั้นก็ปรากฏรอยยิ้มที่มุมปาก “ถ้าอย่างนั้นท่านก็คงจะออกบริหารงานเมืองได้ตามปกติแล้วสินะ ข้าบังเอิญได้ยินผู้คนพูดคุยกันว่าไม่สามารถเดินทางออกจากเมืองเพื่อไปแสวงบุญได้เพราะท่านบารอนสุขภาพไม่อำนวย จึงตั้งใจว่าจะนำเรื่องนี้ไปรายงานท่านสังฆราชอยู่เชียว แต่คิดว่าคงไม่จำเป็นแล้วกระมัง?” สตรีผู้สูงศักดิ์กล่าวพลางจ้องมองมา ซึ่งแม้จะทราบอยู่แล้วว่าเธอมองไม่เห็น แต่ก็ไม่วายที่บารอนเคอร์เบนจะรู้สึกเสียวสันหลัง

                    “ท่านบารอน อย่าได้ตำหนิว่าข้าก้าวก่ายเลยนะ ข้าบังเอิญพบคนที่ต้องการจะเดินทางไปแสวงบุญ แต่ติดขัดเรื่องที่ท่านบารอนป่วยอยู่ ข้าจึงได้รับเป็นธุระนำหนังสือเดินทางของคนผู้นั้นมาให้ท่านบารอนช่วยประทับตรา” ท่านหญิงฟลอร่ามุ่งตรงเข้าประเด็นทันที หลังจากที่ใช้เวลาไล่ต้อนอยู่พอสมควร เธอยื่นหนังสือเดินทางและจดหมายชี้แจงวัตถุประสงค์การเดินทางพร้อมกับค่าธรรมเนียม ซึ่งบริจิตได้ช่วยนำมาวางไว้ตรงหน้าบารอนเคอร์เบน

                    ชายร่างอ้วนนั่งหน้านิ่ว แม้ไม่ต้องชำเลืองมองก็พอจะรู้ว่านี่เป็นหนังสือเดินทางของผู้ใด นี่มันเรื่องตลกบ้าบอหรือไรกัน ทำไมท่านหญิงฟลอร่าถึงได้เดินทางมาในเวลานี้ ไหนจะได้เจอเจ้านั่นและรับเรื่องไว้เป็นธุระอีก แค่นับเรื่องส่วนตัวก็ไม่สู้จะชอบหน้าเจ้านั่นแล้ว นี่ยังได้รับการกำชับจากผู้แทนองค์จักรพรรดิที่ให้ระวังผู้ที่เดินทางออกจากฟอร์ทอังเคิลอีก กระนั้นก็ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะไม่อนุมัติ ยิ่งอยู่ต่อหน้าทายาทหัวหน้าแห่งอัศวินจักราศี ซึ่งได้รับสิทธิในการถวายรายงานโดยตรงต่อองค์จักรพรรดิหรือสังฆราช หากปฏิเสธออกไปเห็นทีจะมีเรื่องวุ่นวายตามมาไม่น้อย...

                    “ท่านบารอนเป็นอะไรไปหรือ? เอ... หรือว่าเมืองของท่านมิได้ให้เสรีในการเดินทางไปแสวงบุญกัน?” ท่านหญิงฟลอร่าเร่งถาม เมื่อเห็นว่าบารอนเคอร์เบนชักจะนิ่งเงียบอยู่นาน

                    “เอ่อ... หามิได้ เพียงแต่โจเอลนั้นเป็นข้าที่ดินของข้า และเขาก็ยังไม่ได้จ่ายภาษีตามหมายเรียก...” บารอนเคอร์เบนรีบหาข้ออ้างขึ้นป้องกันตัว

                    “ท่านกลัวว่าเขาจะหลบหนีหรือ?” ท่านหญิงฟลอร่าถามอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งท่านบารอนก็ได้แต่พยักหน้ารับ

                    “เรื่องภาษีนั้น ท่านโจเอลได้เตรียมมาจ่ายแล้ว เพียงแต่ไม่สามารถเข้าพบท่านได้ ส่วนที่ว่าเขาจะหลบหนีไปหรือไม่นั้น...” สตรีผู้งามสง่าเว้นน้ำเสียง แล้วรอยยิ้มปริศนาก็ปรากฏขึ้นก่อนที่เธอจะพูดต่อ  “ข้าก็ไม่คิดว่าท่านจะเดือนร้อนในเรื่องนั้นหรอกนะ”

                    บารอนเคอร์เบนนิ่งด้วยความตกใจอยู่ชั่วขณะ หรือว่าท่านหญิงฟลอร่าจะรู้เรื่องราวความสัมพันธ์อันระหองระแหงระหว่างตนกับโจเอลด้วย?

                    มือที่อวบอ้วนกุมตราประทับด้วยอาการสั่นเทา ทว่าพักหนึ่งก็สงบลงได้ เมื่อคิดว่างานนี้เขาไม่มีอะไรต้องเสียเลย ยิ่งถ้าหากว่าโจเอลจะเดินทางไปไม่ไกลเกินกว่าชานเมืองเดลอส รวมทั้งไม่มีโอกาสหวนคืนสู่ฟอร์ทอังเคิล...

     

                    หลังจากจัดการเรื่องราวต่างๆเป็นที่เรียบร้อย คณะของท่านหญิงฟลอร่าก็ออกเดินทางจากปราสาทเดลอสเพื่อมุ่งหน้าสู่ฟอร์ทอังเคิล โดยท่านเจ้าของปราสาทได้เดินมาส่งเพียงแค่หน้าประตู เพราะยังคงพยายามสวมบทคนป่วยให้แนบเนียนที่สุด กระทั่งเมื่อขบวนของท่านหญิงฟลอร่าแล่นไปจนลับสายตาแล้ว บารอนเคอร์เบนจึงได้เรียกทหารคนสนิทมาเพื่อสั่งการบางอย่าง

                   

                    ณ โบสถ์ในเมือง ขบวนของท่านหญิงฟลอร่าได้แวะที่นี่ก่อนจะเดินทางต่อไป ซึ่งก็เพื่อจะขอให้ท่านเจ้าอาวาสช่วยอำนวยพรสำหรับการเดินทาง และเธอยังได้นัดพบโจเอลที่นี่อีกด้วย

                    “ขอบคุณท่านหญิงฟลอร่าเป็นอย่างมาก ที่ช่วยเป็นธุระให้ในครั้งนี้” โจเอลกล่าวขณะรับหนังสือเดินทางที่ประทับตราเป็นที่เรียบร้อยจากสตรีผู้สูงศักดิ์

                    “เกรงใจเกินไปแล้ว นี่ไม่อาจเทียบได้กับสิ่งที่ท่านทำให้ข้าเลย อีกอย่าง ข้าขอรับคำขอบคุณไว้ด้วยการที่ท่านช่วยเรียกข้าว่าฟลอร่าเฉยๆเถิดนะ” สาวน้อยผู้งามสง่ากล่าวประโยคตอนท้ายด้วยน้ำเสียงตำหนิเล็กน้อย ทำเอาชายหนุ่มได้แต่ยิ้มด้วยอาการขัดเขิน

                    “เอ่อ... ฟลอร่า ในฐานะผู้ดูแลฟอร์ทอังเคิล ข้ารู้สึกเสียดายที่ไม่ได้อยู่ต้อนรับท่านด้วยตัวเอง ฉะนั้นข้าจึงได้เขียนจดหมายฉบับนี้ฝากท่านไป ซึ่งหากท่านมอบมันให้กับคนที่ป้อมแล้ว เขาจะให้การต้อนรับท่านอย่างดีที่สุด” โจเอลกล่าวพร้อมกับมอบจดหมายให้กับท่านหญิงฟลอร่า ซึ่งเธอได้รับเอาไว้

                    “ท่านเองก็ยังต้องเดินทางอีกไกล จริงสินะ หากมีโอกาสข้าก็อยากให้พวกท่านแวะไปเยือนบ้านของข้าที่เมอร์ซาทิมบ้างเหมือนกัน คิดว่าน่าจะอยู่ในทางผ่าน อา... ไม่รูว่าจะเป็นการรบกวนเกินไปหรือเปล่า หากจะให้ท่านช่วยนำอาวุธของท่านปู่ไปคืนให้ที่นั่น ถึงตอนนั้นครอบครัวของข้าจะได้ตอบแทนพวกท่านอย่างเหมาะสมตามที่ท่านปู่ได้สั่งเสียไว้”

                    “ถ้าท่านต้องการเช่นนั้น ข้าจะนำมันไปคืนให้ที่เมอร์ซาทิม แต่อย่าได้พูดถึงเรื่องที่ต้องตอบแทนเลย เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ข้าควรกระทำอยู่แล้ว” โจเอลตอบ

                    “แต่จะว่าไปก็แปลก ทำไมท่านบารอนเคอร์เบนถึงต้องขัดขวางไม่ให้พวกท่านเดินทางกันนะ ข้าไม่เข้าใจเลยจริง ๆ” ท่านหญิงฟลอร่าตั้งข้อสังเกต

                    โจเอลได้แต่สบตามองลูนาร์ นึกลังเลใจที่จะเล่าเบื้องลึกที่เกิดขึ้นให้สตรีผู้สูงศักดิ์ฟัง

                    “อา... ดูเหมือนข้าจะละลาบละล้วงเกินไปแล้ว ตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมาพอสมควร พวกท่านเองก็คงต้องรีบเดินทางไปเหมือนกัน ถ้าเช่นนั้นข้าขอลา และขออวยพรให้พวกท่านเดินทางโดยสวัสดิภาพ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะได้พบกันอีก” ท่านหญิงฟลอร่าตัดบท เธอย่อตัวลงเป็นการคารวะแก่โจเอลและลูนาร์ ซึ่งทั้งสองก็กล่าวอวยพรและแสดงการคารวะตอบ จากนั้นจึงแยกกันไปตามเส้นทางที่ได้ตั้งใจไว้

     

                    คณะของโจเอลได้เดินทางพ้นจากตัวเมืองมาได้ระยะหนึ่ง ตอนนี้พวกเขาอยู่บนถนนเส้นเล็กๆที่พาดผ่านเนินลูกแล้วลูกเล่า สองข้างทางมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นเป็นระยะๆ กิ่งก้านของพวกมันคลี่คลุมอยู่เหนือทางเดินคล้ายกับหลังคาที่ช่วยบังแดดและฝน ทำให้เกิดความร่มรื่น

                    “ท่านหญิงฟลอร่า เป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อมทีเดียวนะ” ลูนาร์เปรยขึ้นระหว่างการเดินทาง

                    “นั่นสินะ ทำให้ข้ารู้สึกสงสารที่นางมองไม่เห็น หาไม่แล้ว นางคงจะมีความสุขยิ่งกว่านี้...” โจเอลกล่าวบ้าง

                    “เช่นนั้นนางก็อาจจะไม่ได้พบกับท่าน” ลูนาร์ยิ้มอย่างมีเลศนัย คำกล่าวของเธอทำให้โจเอลมีท่าทีอึกอัก เมื่อเห็นดังนั้นเธอจึงพูดต่อ “ฮะๆ โจเอล ข้าเป็นนักบวช ฉะนั้นจึงไม่เชื่อในเรื่องความบังเอิญ การที่นางตกในสภาพนี้ อาจเป็นประสงค์ของเบื้องบนก็เป็นได้”

                    “ฟังดูช่างโหดร้ายเหลือเกิน” ชายหนุ่มรำพึง

                    “นั่นก็ยังไม่แน่หรอกนะ บางทีอนาคตข้างหน้า นางอาจได้พบเจอเรื่องดีๆก็เป็นได้” ลูนาร์ยังคงยิ้มอย่างมีเลศนัย

                    “ลูนาร์ เจ้าคงไม่ได้คิดว่าข้ากับนางจะ...” โจเอลพยายามจะโต้แย้ง ซึ่งหญิงสาวไม่ได้กล่าวอะไร เพียงมองมาด้วยสายตาที่เหมือนจะมองทะลุเข้าไปถึงข้างในจิตใจ

                    “ฮะๆ คิดไปใหญ่แล้ว ฐานะของข้ากับนางห่างไกลกันมาก เป็นไปไม่ได้ที่จะ...”

                    “ข้าคิดว่าท่านกับนางเหมาะสมกันดี” ลูนาร์ตอบโต้เพียงง่ายๆ แต่ก็ทำให้ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไป

                    “ข้าขอโทษ...” เขาพูดออกมาอย่างแผ่วเบา ขณะที่บีบมือหญิงสาวไว้

                    “สำหรับอะไร?” เธอถามกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย

                    “เรื่องของเรา...” โจเอลพูดออกมาด้วยเสียงที่เบากว่าเดิมจนคล้ายกับการกระซิบ

                    “โจเอล ท่านเองก็รู้เหมือนที่ข้ารู้ ว่าสถานภาพของข้าในตอนนี้ไม่สามารถจะรักใครเป็นพิเศษ ความรู้สึกที่ข้าเคยมีต่อท่านนั้นเป็นความทรงจำอันทรงคุณค่า และช่วยให้ข้าเข้าใจความรักได้ดีขึ้น ถึงตอนนี้ข้าก็ยังรักท่านอยู่ เพียงแต่เป็นความรักที่แตกต่างไปจากเดิม อย่าได้รู้สึกผิดหรือคิดว่าตนเองกำลังนอกใจเลยนะ เพราะบัดนี้ใจของข้านั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักในสรรพสิ่งอยู่แล้ว” หญิงสาวกุมมือของโจเอลไว้แล้วสบตาพร้อมอธิบาย

                    “ลูนาร์... เจ้าเติบโตขึ้นมาก” โจเอลเอ่ยเพียงสั้นๆ เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าหญิงสาวที่โตร่วมกันมาจะมีความคิดที่เติบใหญ่ถึงเพียงนี้

                    “ข้ายังไม่ได้เปลี่ยนไปขนาดนั้นหรอกนะ ถึงอย่างไรเราก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่” ลูนาร์ยิ้มให้ด้วยความอบอุ่น  ซึ่งโจเอลก็ยิ้มตอบ

                    “แต่ว่า... ก็ยังมีสิ่งที่ข้าขัดใจอยู่เหมือนกันนะ” เธอเริ่มต้นบ่น “ข้าเห็นท่านกับนางเอาแต่เจรจากันอย่างเกรงอกเกรงใจ แบบนี้เห็นทีจะไม่ถึงไหนเป็นแน่”

                    โจเอลได้แต่ก้มหน้ารับฟังคำตำหนิ ทว่าตัวเขาเองก็ยังไม่ได้คิดไปไกลอย่างที่ลูนาร์คิดเลย

                    “ท่านโจเอล” มาโก๊กเอ่ยแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา โจเอลหันไปสบตา และเข้าใจได้ว่าผู้ติดตามชาวการ์กอนต้องการจะเตือนถึงสิ่งผิดปกติ ทั้งคณะจึงพากันเงียบเสียงลงด้วยความระมัดระวัง

                    ไม่กี่อึดใจต่อมา กระสุนจากหน้าไม้นับสิบก็พุ่งมาจากหลายทิศทางเข้าทำร้ายกลุ่มของโจเอล ทว่าพวกเขาก็ได้ระวังตัวไว้ล่วงหน้าแล้ว จึงไม่ได้รับอันตรายมากนัก ลูกศรส่วนใหญ่ถูกหยุดไว้ด้วยที่คลุมไหล่ที่ทำจากหนังสัตว์ผืนใหญ่ของมาโก๊ก แต่ก็มีอีกจำนวนหนึ่งปักลึกลงไปในร่างของโก๊กที่เอาตัวเข้าบังโจเอลและลูนาร์ไว้

                    แม้ว่ายักษ์ทั้งสองจะเอาตัวเข้าปกป้องโจเอลและลูนาร์ไว้ ทว่าก็ยังมีลูกศรที่เล็ดรอดและปักเข้าตรงไหล่ของม้าที่ลูนาร์ขี่ ทำให้มันเตลิดไปด้วยความกลัว โจเอลทำท่าจะติดตามไป ทว่าหน้าไม้ที่ยิงมาเป็นเพียงแค่การเปิดฉากเท่านั้น เพราะอึดใจต่อมากลุ่มคนร้ายราวสิบคนก็ได้กระโจนออกมาจากที่ซุ่มเพื่อขัดขวางไม่ให้เขาตามไปช่วยเหลือลูนาร์ หนึ่งในพวกมันได้เป่านกหวีดส่งสัญญาณ ทำให้โจเอลกังวลในความปลอดภัยของลูนาร์

                    “ท่านโจเอล รีบตามไปช่วยท่านลูนาร์ พวกข้าจะจัดการตรงนี้เอง!” มาโก๊กร้องบอกก่อนจะช่วยแหวกทางให้โจเอลได้ตามลูนาร์ไป

     

              โจเอลรีบเร่งตามลูนาร์ไปด้วยความร้อนใจ นี่เป็นกลยุทธ์พื้นฐานของพวกนักล่าโดยแท้ ที่จะแบ่งออกเป็นสองกลุ่มเพื่อจู่โจมเป้าหมาย โดยที่กลุ่มแรกมีหน้าที่ไล่ต้อนและแยกเหยื่อออกจากกัน ขณะที่อีกกลุ่มจะมีหน้าที่เล่นงานเหยื่อที่เตลิดออกมา ซึ่งตอนนี้ลูนาร์ก็อาจจะเผชิยหน้ากับถูกคนร้ายอีกกลุ่มก็เป็นได้

                    เมื่อโจเอลตามมาจนทันเห็นตัวลูนาร์ เขาก็ต้องแปลกใจที่เห็นคนผู้หนึ่งกำลังขี่ม้าต่อสู้อยู่กับคนร้ายห้าคนเพื่อปกป้องนักบวชหญิง กระทั่งเมื่อเข้าไปใกล้จึงได้เห็นว่าคนผู้นั้นคือหญิงรับใช้ของท่านหญิงฟลอร่าที่ชื่อบริจิต น่าประหลาดใจที่เธอมีฝีมือในการใช้ดาบบนหลังม้าได้ดีขนาดนี้ โจเอลมิได้ชะงักงันไปกับความแปลกใจ เขารีบชักดาบดูรันดานาออกจากฝักแล้วสังหารคนร้ายไปหนึ่งคนในชั่วอึดใจ

                    เมื่อเห็นว่าพรรคพวกในกลุ่มตายไปหนึ่งคนและสถานการณ์ก็มีแนวโน้มว่าจะแย่ลง บรรดาคนร้ายจึงสลายตัวไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับเป่านกหวีดสัญญาณ

                    ลูนาร์ เจ้าได้รับอันตรายบ้างหรือเปล่า? โจเอลถามขึ้นทันทีด้วยความเป็นห่วง

                    ข้าไม่เป็นอะไร หญิงสาวตอบ ก่อนจะหันไปกล่าวกับบริจิต “ขอบคุณมากที่ได้ช่วยพวกเราไว้”

                    “ท่านหญิงฟลอร่าวานให้ข้าตามมาดูให้รู้แน่ เพราะรู้สึกแปลกใจที่ท่านบารอนเคอร์เบนยอมง่ายดายผิดปกติ” บริจิตตอบขณะเก็บดาบเข้าฝัก

                    “เช่นนั้นขอฝากคำขอบคุณไปถึงท่านหญิงฟลอร่าด้วย แต่ตอนนี้ข้าคิดว่าเราน่าจะย้อนกลับไปรวมกับผู้ติดตามของข้าจะดีกว่า” โจเอลเสนอ ซึ่งทั้งหมดต่างก็เห็นพ้อง

     

                    เมื่อทั้งหมดย้อนกลับมารวมกับโก๊กและมาโก๊กก็พบว่ายักษ์ทั้งสองได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้เล็กน้อย และได้สังหารคนร้ายไปหนึ่งคน โจเอลคิดว่าคนร้ายกลุ่มนี้คงตั้งใจแค่แยกโก๊กและมาโก๊กซึ่งทำหน้าที่คุ้มกันโดยต่อสู้หน่วงเหนี่ยวเวลาไว้ เพราะหากเป็นการปะทะกันจริงๆแล้วคงมีการบาดเจ็บล้มตายกันยิ่งกว่านี้ แต่พวกมันคงไม่รู้ว่าอาวุธของยักษ์ชาวการ์กอนสามารถจู่โจมในระยะไกลได้ จึงต้องสังเวยชีวิตให้กับลูกตุ้มหินของโก๊ก

                    บริจิตตรงเข้าไปค้นหาเบาะแสจากศพ แต่ก็บอกอะไรได้ไม่มากนัก ดูเหมือนพวกนี้จะเป็นมือรับจ้างทั่วๆไปที่ไม่มีเอกลักษณ์ให้เป็นที่จดจำ

                    “พวกนี้คงไม่ใช่คนของปราการมรกต...” โจเอลเอ่ยออกมาด้วยความลืมตัว

                    บริจิตสะดุดหูทันที เธอหันมาถามด้วยน้ำเสียงเครียด “ท่านรู้จักพวกนั้น?”

                    “เอ่อ... ข้าแค่เคยได้ยินเท่านั้น” โจเอลรีบกลบเกลื่อน ทว่าสายตาของบริจิตยังคงจ้องมองมาด้วยความสงสัย ว่าเหตุใดผู้บังคับป้อมอันห่างไกล จึงรู้จักชื่อของกลุ่มนักฆ่าที่ถูกเล่าลือด้วยความหวาดกลัวเฉพาะในแวดวงของชนชั้นสูงเท่านั้น

                    “หากเป็นคนของปราการมรกต ป่านนี้พวกเราได้ตายกันหมดแล้ว” เธอเอ่ยออกมาในที่สุด ซึ่งโจเอลก็เชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัย เพราะเขาเคยเผชิญความน่ากลัวดังกล่าวมาแล้ว

                    “เราคงหาเบาะแสจากคนพวกนี้ได้ไม่มาก ข้าจะลองเอาศพเจ้านี่ไปในเมืองดูเผื่อจะมีใครชี้ตัวได้บ้าง บางทีมันอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับบารอนเคอร์เบน” เธอกล่าวต่อไป

                    โจเอลฟังข้อสันนิษฐานของบริจิตแล้วยังคงกังขาอยู่ แม้ว่าบารอนเคอร์เบนจะมีข้อเสียหลายอย่าง และมีเหตุให้ขุ่นข้องหมองใจกับเขาอยู่บ้าง ทว่าขุนนางผู้นี้ก็เป็นคนใจเสาะจนไม่น่าจะอยู่เบื้องหลังการสั่งฆ่าใครได้เลย ตอนนี้เขานึกถึงสาเหตุออกเพียงแค่เรื่องของจอร์ชเท่านั้นที่จะพอมีน้ำหนัก ทว่าจอร์ชก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ แล้วเหตุใดพวกนี้จึงยังลงมือ ยิ่งคิดก็ยิ่งงุนงงจนหาคำตอบไม่ได้

                    “พวกที่หนีไปได้... บางทีอาจจะคอยหาโอกาสดักทำร้ายพวกท่านอีก ท่านลูนาร์ ม้าที่ท่านขี่ออกจะตื่นตกใจง่ายไปสักหน่อย เชิญเปลี่ยนกับม้าของข้าดีกว่า” บริจิตจูงม้าของเธอให้ลูนาร์ ซึ่งนักบวชหญิงก็ได้กล่าวขอบคุณและใช้เวทรักษาให้กับม้าตัวเดิมก่อนจะแลกเปลี่ยนกัน

                    “หนทางจากนี้ไปอาจมีอันตรายแอบซ่อนอยู่อีก ขอให้พวกท่านระมัดระวังตัวให้มาก ข้าต้องขอตัวลา ขอให้พวกท่านโชคดี บริจิตกล่าวอำลาก่อนจะบ่ายหน้ากลับไปยังเมืองเดลอส ส่วนลูนาร์นั้นใช้เวทรักษาให้มาโก๊กแล้ว ทั้งคณะจึงได้เดินทางต่อไป

     

                    ย้อนกลับไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ชายที่ชื่อวิลเลียมกำลังนอนอยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่นบนเตียงขนาดเล็ก ไร้ซึ่งอาภรณ์ปกปิด มีเพียงหนังสัตว์ผืนใหญ่เท่านั้นที่ห่มคลุมให้ความอบอุ่น

                    ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าสวยได้ยินเสียงดนตรีดังอยู่ใกล้ๆจึงพยายามเหลียวไปมอง แต่ก็เป็นไปอย่างยากเย็น ไม่รู้ว่าจะเป็นด้วยความอ่อนเพลียหรือว่าพิษจากบาดแผล ที่ทำให้เขาแทบไม่สามารถขยับร่างกายได้

                    วิลเลียมพยายามเอี้ยวไปจนมองเห็นผู้ที่กำลังบรรเลงเครื่องดนตรีอยู่เพียงลำพังหน้าเตาผิง คนผู้นั้นเป็นหญิงสาวรูปร่างเพรียวระหง แลดูสง่างาม แต่ด้วยสติที่พร่าเลือนทำให้เขามองเห็นหน้าเธอไม่ชัด เธอผู้นั้นกำลังไล้สายพิณบรรเลงเพลงที่ทำให้เกิดความรู้สึกเปลี่ยวเหงาเศร้าสร้อย แต่ฉับพลันทันใดดนตรีก็ได้สะดุดลง เมื่อเธอรู้สึกตัวว่ากำลังถูกเฝ้ามอง

                    หญิงสาววางพิณลงข้างกายแล้วเอื้อมไปหยิบหน้ากากที่ปิดใบหน้าช่วงบนมาสวมไว้ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินตรงมาทางวิลเลียม

                    เมื่อหญิงสาวเดินเข้ามาใกล้ วิลเลียมก็รู้สึกสยบต่ออำนาจบางอย่างในตัวเธอ แม้จะรู้สึกสงสัยถึงสาเหตุที่เธอต้องสวมหน้ากากปิดบังเอาไว้

                    มืออันเรียวสวยของหญิงสาวได้แตะลงบนหน้าผากของวิลเลียมเพื่อวัดไข้ ซึ่งตัวเขากลับรู้สึกว่าตนเองร้อนรุ่มยิ่งกว่าเดิม มืออันนุ่มนวลวางอยู่พักหนึ่งจึงค่อยดึงกลับ จากนั้นเธอก็เลิกผ้าห่มและแก้ผ้าพันแผลออกดูก่อนจะยิ้มด้วยความพอใจ ขณะที่วิลเลียมนั้นสะลึมสะลือเหมือนอยู่ในห้วงความฝัน รู้สึกเพียงว่าถูกเช็ดตัวและทำแผลให้ก่อนจะสลบไปอีกครา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×