ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Brave & Honor

    ลำดับตอนที่ #33 : บทที่ 32 แขกที่ไม่คาดหมาย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 191
      0
      4 ก.ค. 50

                    ผู้พิทักษ์แห่งฟอร์ทอังเคิลต้องผุดลุกขึ้นมากลางดึก เนื่องจากเสียงเอะอะของทหารยามที่ทำหน้าที่บนเชิงเทิน ซึ่งสาเหตุก็เป็นเพราะมีผู้พบเห็นนกสีขาวตัวใหญ่มาบินเหนือกำแพงหลายรอบจนน่าสงสัย

                    โจเอลประหวัดถึงครั้งที่พบหญิงสาวมีปีกครั้งแรก ในตอนนั้นหากฮานส์ไม่เตือนไว้ เขาคงไม่สังเกตเห็นหญิงสาวผู้นั้นได้ เพราะความเงียบกริบแม้ในยามกระพือปีก จึงยากนักที่ผู้ใดจะรู้สึกตัว

                    นั่นทำให้เขาคาดเดาว่าการที่เธอบินไปมาหลายครั้งจนทหารยามพบเห็น คงเป็นความจงใจเสียมากกว่า พวกการ์กอนคงต้องการปั่นหัวไม่ให้พวกเขาได้พักผ่อน อย่างเมื่อช่วงหัวค่ำก็พากันส่งเสียงเอะอะราวกับจะบุกเข้าตี แม้จะรู้อยู่แล้วว่าฝ่ายนั้นคงไม่เลือกวิธีผลีผลาม กระนั้นก็ยังอดหวั่นใจไม่ได้

                    ในฐานะที่เป็นผู้นำ โจเอลต้องพยายามมองแผนการของศัตรูให้ออก และไม่แสดงอาการวิตกให้คนอื่นๆเห็น สถานการณ์ที่ข้าศึกใช้จิตวิทยาเข้าข่มขวัญ หากตัวเขาแสดงอาการออกมาแล้ว บรรดาทหารก็จะยิ่งตื่นกลัวไปกันใหญ่ จนในบางครั้งเขาอยากไร้อารมณ์ได้อย่างดารูเกนซ์ หรือเด็ดขาดได้เท่าดไวเซน

                    ตลอดเวลาที่ปกครองฟอร์ทอังเคิล นายบ้านวัยสิบแปดไม่เคยได้เผชิญเหตุการณ์ที่กดดันถึงเพียงนี้มาก่อน เมื่อนึกถึงเรื่องราวของจอร์ช เขาจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมสหายหนุ่มของเขาถึงได้ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าแม้ด้วยวัยที่เท่ากัน ความรู้สึกของการถูกตามล่าจากผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดในจักรวรรดิจะเป็นเช่นไรกัน...

                    หลังเสียงเอะอะจากพวกทหารยามที่หวาดระแวง โจเอลที่พยายามรีบมาถึงเชิงเทินให้เร็วที่สุดแล้ว แต่ก็ยังไม่ทันได้พบกับวิหคสีขาวที่เป็นต้นตอของปัญหาอยู่ดี

                    นายบ้านหนุ่มผู้มีผมสีน้ำตาลยังคงเดินเลียบเชิงเทินพลางคิดไปต่างๆนานา สายตากวาดไปมาทั่วๆ หวังจะพบกับร่างสีขาวบริสุทธิ์ แต่กลับไม่มีแม้แต่วี่แววใดๆ

    เมื่อมองลงไปยังเบื้องล่าง ค่ายของพวกการ์กอนยังเงียบสนิทจนเกือบจะไร้การเคลื่อนไหว คนพวกนี้ปลูกกระโจมที่พักกันอย่างง่ายๆ โดยใช้ท่อนซุงหนาขนาดเท่าท่อนแขนพาดทับกันเป็นสามเหลี่ยม ผนังกระโจมนั้นคลุมด้วยหนังสัตว์พอกันลมหรือน้ำค้างได้ โจเอลสังเกตเห็นว่ามีกระโจมรูปทรงอื่นๆอยู่ด้วย ซึ่งอาจเป็นเพราะมาจากคนละหมู่บ้าน เพราะแบบอย่างบ้านเรือนในหมู่บ้านเซกิก็ยังแตกต่างจากหมู่บ้านคูอูล แม้ว่าจะห่างกันเพียงภูเขากั้นไว้ หรือไม่ก็อาจเป็นการแสดงลำดับความสำคัญในกลุ่ม

                    การป้องกันของพวกการ์กอนก็ทำไว้อย่างหยาบๆ เพียงปักวางพนังไว้รอบๆ ดูบอบบางนักหากจะต้านการบุกของทหารม้า เพราะพนังพวกนั้นวางไว้เพียงชั้นเดียว ไม่มีการขุดคูหรือปักขวากเสริม อาจเป็นเพราะไม่มีเวลามากพอ หรือด้วยความคิดว่าจะไม่ถูกบุกโจมตีก็สุดจะเดา หากมองในด้านจำนวนก็ไม่แปลกที่ฝ่ายการ์กอนจะคิดเช่นนั้น เพราะกำลังของทั้งสองฝ่ายต่างกันเกือบสิบต่อหนึ่ง

                    โจเอลคิดเลยไปถึงนักรบร่างเล็กผู้มีเขาที่ได้เผชิญหน้ากันเมื่อตอนกลางวัน ทำไมดารูเกนซ์จึงได้หลีกเลี่ยงที่จะปะทะกับนักรบผู้นี้นัก? การล่าทัพเมื่อตอนกลางวันจึงพลอยทำให้ศัตรูฮึกเหิมขึ้นมา ตอนนี้ความน่าคร้ามเกรงของนักรบแดงคงลดไปมากโขในมุมมองของฝ่ายการ์กอน

                    ระหว่างที่ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลกวาดสายตาไปรอบๆ พลางครุ่นคิดถึงเรื่องต่างๆ เขาก็สังเกตเห็นร่างของคนสองคนยืนห่างออกไป เมื่อเดินเข้าไปหาก็ยิ่งแปลกใจหนักขึ้นไปอีก เพราะคนที่ยืนอยู่นั้นคือจูเหลียง และเด็กหญิงตัวเล็กที่ชื่อวียา ทั้งสองมาทำอะไรที่นี่กัน?

    พลันที่สงสัย  ชายเจ้าปัญหาก็หันมามองราวกับล่วงรู้ในความคิด

              อ้า โจเอล นี่ท่านยังไม่นอนอีกหรือ? จูเหลียงกล่าวทักทาย

                    ท่านมาทำอะไรที่นี่? ชายหนุ่มถามด้วยความรู้สึกแปลกใจ

                    อีกฝ่ายหัวเราะขึ้นมาเบาๆเมื่อได้ยินคำถามนั้น พลางใช้มือลูบเคราที่เรียวยาวของตนอย่างอารมณ์ดี

                    ข้านั้นหรือ? เขากล่าวทวน ข้าก็มาดูดาวน่ะสิ นี่มันเป็นหนึ่งในงานอดิเรกของข้า นอกเหนือจากการเล่นหมากล้อมที่ท่านไม่ได้เล่นกับข้าเมื่อช่วงหัวค่ำ ชายผู้อาวุโสกว่า หรี่ตามองอย่างกับจะตำหนิ

                    อ่า เรื่องนั้นข้าขอโทษด้วย ช่วงนี้ข้ามีเรื่องวุ่นไม่น้อย แต่ท่านไม่ควรจะมาอยู่ที่นี่...

                    หมายถึงเรื่องที่มีคนลอบก่อการร้ายน่ะหรือ? ชายผู้มีใบหูชี้แหลมกล่าวแทรก

                    ใช่ โจเอลตอบ

                    ท่านสงสัยข้าอย่างนั้นล่ะสิ? จูเหลียงรุกต่อ

              ไม่... แต่ท่านไม่ควรทำให้คนอื่นระแวงสงสัย ชายหนุ่มพยายามอธิบาย

                    ทำไม? คำถามง่ายๆ ประกอบกับสีหน้าไร้อารมณ์ของจูเหลียง ทำให้โจเอลเริ่มรู้สึกประหม่าจนไม่รู้จะตอบอะไร

                    ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ วางใจเถิด ข้าไม่ทำอันตรายพวกท่านหรอก ข้าแค่ออกมาบันทึกความเปลี่ยนแปลงของดวงดาว ตามปกติที่เคยทำทุกวันก็เท่านั้น ท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งในช่วงฤดูหนาวอย่างนี้ ถือเป็นช่วงที่พลาดไม่ได้เสียด้วย การบันทึกอย่างละเอียดและสม่ำเสมอ จะช่วยให้การคำนวณแม่นยำมากขึ้นนะ ท่านรู้หรือเปล่า ชายผู้มีใบหูชี้แหลมอธิบายอย่างอารมณ์ดี แต่โจเอลกลับรู้สึกว่าการไม่แยแสต่อสถานการณ์อันตึงเครียด ก็เหมือนจะพยายามยั่วยุให้ยิ่งเกิดความปั่นป่วน

                    ข้าคิดว่าท่านคงจะไม่เข้าใจถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้น หากท่านไม่อยู่ในที่ที่ควรอยู่ ข้าก็จำเป็นต้องควบคุมท่านให้แน่นหนามากขึ้น โจเอลกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ขุ่นมัว ทว่าอีกฝ่ายกลับเลิ่กคิ้วขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

                    ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ อย่าได้ทำเรื่องเปล่าประโยชน์เช่นนั้นเลย เอากำลังทหารไปคอยระวังการบุกโจมตีจะดีกว่า ขอรับรองว่าการเดินเล่นของข้าจะไม่รบกวนพวกท่าน อีกอย่าง... ท่านเองก็น่าจะรู้นะ ว่าการทำให้เอลฟ์โกรธนั้นน่ากลัวขนาดไหน... พูดจบ นัยน์ตาสีแดงของจูเหลียงก็วาวเรืองอย่างประหลาด ดูน่ากลัวอยู่ไม่น้อย ชายผู้นี้เป็นเอลฟ์จริง ๆ อย่างนั้นหรือ...

                    แต่ท่านเป็นพวกการ์กอน... โจเอลกล่าวออกมาด้วยเสียงที่เบา คล้ายกับไม่แน่ใจในสิ่งที่กำลังจะพูด

                    หืม? แย่จริง ข้านึกว่าท่านจะเป็นคนที่ใจกว่างกว่านี้เสียอีกนะนี่ จูเหลียงตำหนิ นั่นทำเอาโจเอลรู้สึกละอายขึ้นมาทีเดียว

                    เอาเถิด จูเหลียงกล่าวพลางลูบเครายาวเรียว ข้าจะเล่าเรื่องของข้าให้ท่านฟังบ้าง เผื่อจะช่วยลดความระแวงแคลงใจได้บ้าง และแน่ล่ะ ท่านก็ควรจะเล่าเรื่องของท่านด้วยเป็นการแลกเปลี่ยน

                    เมื่อชายหนุ่มพยักหน้ารับ อีกฝ่ายจึงเริ่มร่ายยาวถึงที่มาของตน

                    นั่น จูเหลียงเริ่มต้นด้วยการชี้นิ้วมือเรียวยาวไปทางทิศตะวันออก คือที่ที่ข้าจากมา เขากล่าวต่อ ด้วยความคะนองของวัยหนุ่ม ทำให้ข้าอยากจะลองข้ามทะเลมังกรดู ทะเลที่สภาพอากาศแปรปรวนมีแต่อสูรกายร่างมหึมา ดินแดนที่ไม่มีนักเดินเรือผู้ใดกล้าเผชิญ เพราะไม่มีผู้ใดที่หาญกล้าแล้วจะรอดกลับมาแม้เพียงสักคน... จูเหลียงเล่าด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น เขาเปิดเรื่องเหมือนกับกำลังเล่าตำนานแสนสนุกให้เด็กเล็กๆฟัง ซึ่งมันพลอยทำให้โจเอลรู้สึกสนใจตามไปด้วย

                    มีทะเลอยู่ทางทิศตะวันออกด้วยหรือ... ชายหนุ่มพึมพำด้วยความสงสัย ทั้งๆที่เขาเองก็ไม่เคยเห็นและไม่รู้จักทะเลดีนัก เคยได้ยินแต่ว่ามันกว้างใหญ่กว่าทะเลสาบนับร้อยเท่า เป็นที่ที่มีแต่ผืนน้ำเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา

                    คำถามของโจเอลทำเอาคู่สนทนาหัวเราะออกมาเบาๆอีกครั้ง คล้ายจับได้ถึงความไม่ประสีต่อโลกของอีกฝ่าย

                    ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ มีสิ ทะเลอยู่ล้อมรอบเราทุกทิศนั่นแหล่ะ โลกนี้มีสี่มหาสมุทรตั้งอยู่ทั้งสี่ทิศ ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ ไม่อย่างนั้น ท่านคิดว่าชาวการ์กอนจะเอาเกลือมาจากไหนกันหรือ?

                    เมื่อได้รับคำตอบเช่นนั้น โจเอลก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองรู้น้อยลงไปอีก เขารู้เพียงน้อยนิดเท่านั้นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเกลือกับทะเล ทั้งที่ใช้มันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ซึ่งจูเหลียงคงจับปฏิกิริยานั้นได้ ชายผู้มีใบหูเรียวยาวจึงร่ายถึงกระบวนการผลิตเกลือ เรื่อยไปจนถึงอิทธิพลของพระจันทร์และพระอาทิตย์ที่มีต่อทะเล อิทธิพลของดวงดาว ฯลฯ พอรู้สึกตัวอีกที โจเอลก็ถูกลากเข้าสู่เรื่องของปรัชญาเสียแล้ว

                    ท่านว่าแปลกดีไหม?จูเหลียงเปรย ไปๆมาๆแล้ว ทุกสิ่งในจักรวาลกลับล้วนสัมพันธ์ แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุด กับสิ่งที่ใหญ่ที่สุด... เมื่อดวงดาวเคลื่อนคล้อย ชะตามนุษย์ก็แปรเปลี่ยน ความผันแปรอย่างไร้ที่สิ้นสุดนี่ช่างน่าสนใจดีนะ... ที่ข้าสงสัยคือ... ในเมื่อดวงดาวเปลี่ยนชะตามนุษย์ได้ แล้วมนุษย์จะเปลี่ยนชะตาของดวงดาวได้ไหม...

    โจเอลยืนฟังทั้งหมดอย่างเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง โดยไม่สังเกตเลยว่านัยน์ตาของจูเหลียงส่องประกายอย่างน่าประหลาด เมื่อได้กล่าวประโยคสุดท้าย อันที่จริงแล้ว ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนกับตนเองไม่ได้อยู่ร่วมสนทนาด้วยซ้ำ เขาแค่ยืนอยู่ตรงนั้น แล้วพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด

                    ฮ่ะฮ่ะ โจเอล ข้าชอบท่านนะ ท่านเป็นผู้ฟังที่ดีที่ไม่แสดงความอวดรู้ออกมาให้เห็น เอ... เดาว่าวันนี้ท่านคงได้ประมือกับวาคียามาแล้วสินะ

                    วาคียา? โจเอลทวน เขาคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินชื่อนี้บ่อยๆ เวลาที่สนทนากับโก๊ก และมาโก๊ก ถึงตอนนี้ก็ยังสงสัยอยู่ ว่าวาคียาคือใครหรืออะไรกันแน่?

                    ฮ่ะฮ่ะ แต่จะว่าไปแล้ว ท่านคงยังไม่ได้ประมือกับวาคียาเป็นแน่ เพราะคงยากที่จะมีศัตรูคนใดรอดจากเขา อย่างที่บอก ข้าชอบท่านนะ ฉะนั้นจะขอบอกใบ้สักหน่อย จะได้ไม่เป็นอะไรไปเสียก่อน ท่านทราบความหมายในชื่อของวาคียาหรือไม่?

                    ชายหนุ่มส่ายศีรษะเบาๆเป็นการตอบ

                    ความหมายของมันคือ เทพอสุนี จงอย่าลืมเสียล่ะ... จูเหลียงตอบ โจเอลทำท่าเหมือนจะถามอะไรต่อ ทว่าอีกฝ่ายกลับยกนิ้วชี้ขึ้นประทับริมฝีปากของตนเป็นเชิงห้าม แล้วก็หันไปสนใจกับการบันทึกตำแหน่งดวงดาวต่อ

                    เมื่อเห็นว่าป่วยการที่จะพยายามไต่ถามหรือแม้แต่จะสนทนาต่อ โจเอลจึงขอตัวลา โดยเก็บเอาความหมายในชื่อของวาคียา ติดไปอย่างไม่เข้าใจนัก

     

                    ร้อน... เธอรู้สึกทรมานยิ่งนัก เมื่อความร้อนภายในกายช่างรุนแรงจนแทบจะหลอมเหลวร่างทั้งร่าง ทว่าร่างของเธอก็ยังปกติดีอยู่ เพียงแต่ภายนอกที่ดำคล้ำน่าเกลียดไม่สดใสเช่นที่เคย แม้แต่เรี่ยวแรงก็พลอยหดหายไม่สามารถจะขยับเขยื่อนร่างกายได้ กระทั่งการจะเกลือกตาไปมาก็ทำได้อย่างยากเย็นเต็มที ทว่าร่างของเธอก็ยังปกติดีอยู่

                    หากเช่นนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ความเจ็บปวดนี้ไม่ใช่ความเจ็บปวดในแบบที่เธอเคยพานพบ ร่างกายแต่ละส่วนไม่ได้มอดไหม้ไปอย่างที่เธอรู้สึก ทว่าก็ไม่อาจขยับได้ตามเจตจำนง หากไม่ใช่ว่าเธอกำลังจะตาย เธอก็กำลังจะเผชิญกับความเปลี่ยนแปลง อย่างที่มีผู้หนึ่งเคยเตือนเธอไว้

                    วันหนึ่งเจ้าจะเผชิญกับความเปลี่ยนแปลง อันเป็นเรื่องปกติที่พวกเราทั้งหลายจะต้องเผชิญ

                    คำกล่าวของผู้อาวุโสยังคงดังก้องอยู่ในโสต แต่การเปลี่ยนแปลงของเธอมาถึงเร็วเกินไป จนแม้แต่ผู้อาวุโสเองก็อาจจะแปลกใจ

                    เธอพยายามรำลึกถึงคำแนะนำที่เคยได้รับ และใช้มันเพื่อบรรเทาความทรมาน สักพักเธอก็รู้สึกผ่อนคลายได้บ้าง แต่ไม่ช้ามันก็คงรุมเร้าขึ้นมาอีก หลังคาโรงนอนที่ปิดทึบ ทำให้เธอไม่สามารถมองดูดวงจันทร์ได้

                    เธอได้รับคำแนะนำ ว่าดวงจันทร์จะมีผลต่อพลังลึกลับในกาย และหากพระจันทร์ขึ้นเต็มดวงอีกครั้งเมื่อไหร่ เธออาจขับไล่ความร้อนรุมอันแสนทรมานไปได้ แต่มันเหลืออีกกี่คืนกันล่ะ?

                    ระหว่างที่กำลังพยายามกลอกตามองไปรอบๆด้วยความยากลำบาก เธอก็รู้สึกได้ว่า เขา ยังคงอยู่ข้างๆ ชายที่เป็นห่วงและอยู่เคียงข้างเธอมาตลอด อาการบาดเจ็บของเธอในยามนี้คงทำให้เขาเป็นทุกข์ไม่น้อย แล้วถ้าหากว่าเธอตาย...

                    ไม่... เธอจะต้องอดทน และพ้นจากความทรมานนี้ไปให้ได้ ตราบในที่เขายังมีชีวิตอยู่ เธอก็จะอยู่เคียงข้าง มันเป็นความผูกพันในโชคชะตาของทั้งสอง

                    ดูเหมือนว่าเขาจะรับรู้ได้ถึงความทุกข์ทรมานของเธอ ชายหนุ่มลืมตาตื่นขึ้นมาจากชั่วงีบสั้นๆ จนน่าหวั่นเกรงว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ร่างกายที่แข็งแรงก็อาจทรุดโทรมลงอย่างน่าเป็นห่วง

                    ชายหนุ่มลูบศีรษะของเธอเบาๆเพื่อปลอบประโลม แม้ว่าแทบจะไม่รู้สึกถึงแรงสัมผัส แต่ก็รับรู้ได้ถึงความห่วงหาอาทรที่มี เขาเลื่อนกายมาใกล้ขึ้น และกระซิบข้างหูเธอเบา ๆ

                    อย่ากังวลไปเลย... เราจะรอดไปจากที่นี่ด้วยกัน... กลับบ้านเรา... แค่ทำตามคำบัญชาขององค์จักรพรรดิเท่านั้น...

                    เธอไม่อาจตอบสนองอะไรได้มากไปกว่าการกลอกตา และหวังว่าจะหายเป็นปกติอีกครั้ง เพียงอดทนอีกไม่กี่คืนเท่านั้น...

                   

                    เช้าวันใหม่มาถึงอย่างแสนจะเชื่องช้าในความรู้สึกของทุกคน น่าแปลกเหลือเกินที่เวลาต้องการให้วันคืนผ่านไปเร็วเท่าใด มันกลับยิ่งดูเชื่องช้าจนน่าหงุดหงิด

                    เช้าวันที่เก้าที่หมู่บ้านเซกิ เริ่มต้นด้วยเสียงกลองอันแสนจะอึกทึกครึกโครมของฝ่ายการ์กอน ซึ่งตั้งค่ายรายล้อมอยู่เบื้องล่าง แม้จะรู้สึกหวั่นใจอยู่บ้าง แต่โจเอลก็แสร้งทำนิ่งเฉยเสีย เพราะไม่ต้องการให้พวกทหารกันตื่นตระหนกจนเกินไป 

                    แล้วก็เป็นอย่างที่คิด ไม่นานเสียงกลองก็เงียบลง ไม่มีการจู่โจมใดๆจากพวกการ์กอน... ทุกอย่างยังคงเป็นปกติ

                    ตลอดช่วงเช่าจนถึงเที่ยงเหตุการณ์เป็นไปอย่างเนือยนายเต็มที เพราะถูกล้อมเอาไว้ ทำให้ไม่อาจทำอะไรได้มากกว่าการเดินไปเดินมาในค่าย จนดูเหมือนว่าพวกการ์กอนจะใช้ความเบื่อหน่ายฆ่าพวกเขาเสียกระมัง หากดไวเซนยังอยู่เขาคงจะทนอะไรที่น่าอึดอัดเช่นนี้ไม่ได้แน่ๆ

                    ยังดีที่มีลูนาร์ซึ่งคอยทำพิธีทางศาสนาให้กับทุกคนได้ตามปกติ ขวัญกำลังใจของพวกทหารจึงยังคงดีอยู่ ยิ่งพักนี้เธอใช้เวลาไปกับการสวดมนต์และทำสมาธิมากขึ้น ทำให้รู้สึกน่าเลื่อมใสศรัทธา ผิดกับบุคลิกขี้เล่นและเอาแต่ใจก่อนหน้านี้ ทว่าในด้านความสัมพันธ์กับโจเอลนั้นออกจะห่างเหินกันอยู่ เพราะต่างฝ่ายก็มีภาระที่ต้องแบกรับไว้ทั้งคู่

                    แม้จะรู้สึกเคว้งคว้างไปบ้าง แต่โจเอลเข้าใจถึงสาเหตุที่ลูนาร์ต้องอุทิศตัวในสถานการณ์เช่นนี้ นอกจากเรื่องของนูลตัวลูกที่ตายไปโดยที่เธอไม่อาจช่วยอะไรได้ ซึ่งคงจะสะกิดเรื่องที่เธอพยายามลืมไปนานแล้ว เธอคงตระหนักดีอีกว่าในที่นี้ ผู้ที่สามารถทำหน้าที่ของนักบวชได้มีเพียงเธอเท่านั้น เป็นหน้าที่ซึ่งเธอยินดีรับไว้โดยเสียสละความสุขส่วนตัว โจเอลหวังว่าหากได้กลับฟอร์ทอังเคิล เธอก็คงจะกลับมาเป็นลูนาร์คนเดิม และเขาจะได้พูดคุยกับบิดาของเธออย่างที่ตั้งใจไว้...

                    โจเอลใช้เวลาที่ผ่านเลยไปในการเดินตรวจตราค่าย ดูความเรียบร้อยของอาวุธและเสบียงอาหาร ซึ่งจนถึงตอนนี้ยังพร้อมมูลดีอยู่ จากนั้นก็พูดคุยดูแลขวัญกำลังใจของทหาร

                    เป็นอีกครั้งที่จอร์ชหายตัวไปโดยไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน พบเห็นอีกครั้งก็เมื่อก่อนอาหารเที่ยง ซึ่งชายหนุ่มร่างบอบบางต้องมาคอยควบคุมการแจกจ่ายเสบียง

     

                    หลังจากอาหารเที่ยง ทุกคนก็ต้องสะดุ้งตกใจอีกครั้งด้วยเสียงรัวกลองศึกจากฝ่ายการ์กอน พวกคนเถื่อนดูจะไม่ยอมให้พวกเขาได้เอนหลังพักผ่อนเอาเสียเลย

                    เมื่อโจเอลขึ้นไปสังเกตบนเชิงเทินก็ให้รู้สึกกังวลใจ เขาชักไม่แน่ใจเสียแล้วว่าครานี้จะเป็นการหลอกเพื่อทำลายขวัญ

                    บนทุ่งหญ้าเบื้องล่างในตอนนี้ พวกการ์กอนต่างจัดกำลังกันเป็นส่วนๆ ดูมีระเบียบวินัยไม่น้อย แถวหน้าสุดมีคนยืนเรียงกันอยู่ราวๆหกสิบคน ลึกลงไปหกแถว แต่ละคนถือสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นโล่แต่ค่อนข้างบอบบาง ทำจากหนังสัตว์ขึงตึง

                    นักรบที่อยู่ด้านหลังถูกแยกออกเป็นสามกลุ่ม แต่ละกลุ่มน่าจะมีคนอยู่ประมาณร้อยคน ทั้งสามกลุ่มอยู่ในแถวระนาบเดียวกัน แต่แบ่งออกเป็นตอนๆ นัยว่าเมื่อความยืดหยุ่นในการเข้าตี แต่ละกลุ่มมีคนช่วยกันถือท่อนซุงขนาดไม่ใหญ่แต่ยาว(ซึ่งอาจใช้เป็นบันไดสำหรับปีนกำแพง?) นอกจากนี้ยังมีกำลังอีกส่วนที่ดูเหมือนจะเป็นกองหนุนปิดอยู่ท้ายขบวน

                    ฝ่ายการ์กอนคิดจะหักค่ายเอาในตอนนี้แล้วอย่างนั้นหรือ

                    ความวิตกของโจเอลเริ่มจะใกล้ความเป็นจริงขึ้นอีกนิด เมื่อพวกคนเถื่อนเริ่มส่งเสียงโห่ร้องอึงคะนึงคล้ายกับพร้อมโจมตีได้ทุกเมื่อ

                    ถึงตอนนี้ผู้พิทักษ์แห่งฟอร์ทอังเคิลก็ทำใจเย็นอีกต่อไปไม่ได้แล้ว เขาสั่งระดมกำลังทหารขึ้นรักษาเชิงเทินอย่างกวดขัน ซึ่งทางค่ายของดารูเกนซ์ก็ทำเช่นเดียวกัน

                    ทหารชาวเกลลาร์หลายคนเริ่มมีเหงื่อจับบนใบหน้าให้เห็น ต่างหายใจแรง มือกำอาวุธแน่นขึ้นตามเสียงกระชั้นของกลองศึกฝ่ายการ์กอน

                    ระหว่างที่โสตประสาทต่างเขม็งเกลียวเพื่อรอโมงยามแห่งการประจัญบาน สายตาของโจเอลก็เหลือบไปเห็นการเคลื่อนไหวหนึ่ง ไกลลิบออกไปทางแนวป่า

                    ขณะกำลังเพ่งมองเพื่อให้รู้แน่ว่าสิ่งนั้นคืออะไรกันแน่ จู่ๆมันก็พุ่งทะยานพ้นแมกไม้ออกมาอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ และไม่ใช่แค่โจเอลเท่านั้น บรรดานักรบการ์กอนที่กำลังเตรียมตัวจู่โจมก็ต้องแปลกใจไม่แพ้กัน

                    เจ้าสิ่งที่วิ่งตัดเข้าสู่ทุ่งหญ้าด้วยความเร็วประหนึ่งสายลม ต่อให้มองด้วยระยะที่ไกลบนกำแพงหมู่บ้าน ก็ยังเห็นได้ชัดว่ามันคือม้าอย่างไม่ต้องสงสัย ที่น่าแปลกก็คือตลอดเวลาที่รบกันมา โจเอลไม่เคยพบเลยว่าพวกศัตรูมีม้าศึกไว้ใช้

                    เจ้าม้าศึกสีดำปลอดควบตะบึงผ่านทุ่งหญ้าอย่างรวดเร็วจนเหมือนเป็นเพียงเงาที่วูบไหว โจเอลยังไม่เคยเห็นอาชาตัวใดที่มีฝีเท้าไวเช่นนี้มาก่อน

                    ไม่ช้าอาชาไนยฝีเท้าดีตัวนั้นก็ตัดผ่านเข้ากลางหมู่นักรบการ์กอนที่มัวตกตะลึง ผู้ควบคุมพาหนะอันน่าทึ่งเผยตัวออกมาจากผ้าคลุมสีดำที่ทำให้เขาแทบจะกลมกลืนไปกับพาหนะ

                    เพียงชั่วเสี้ยววินาทีที่เผยตัว ทวนในมือของอัศวินปริศนาก็จ้วงแทงเข้าใส่นักรบการ์กอนผู้หนึ่งล้มลงสิ้นใจ และกว่าจะรวบรวมกำลังเข้าต่อต้านได้ทัน นักรบการ์กอนอีกหลายคนก็ล้มลงดาวดิ้นด้วยคมทวนของอัศวินปริศนา

                    เมื่อเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า อัศวินผู้มาใหม่เป็นศัตรูกับพวกการ์กอนอย่างไม่ต้องสงสัย บรรดาทหารชาวเกลลาร์ที่อยู่บนเชิงเทินจึงพากันส่งเสียงโห่ร้องเอาใจช่วย บ้างก็นิ่งเงียบมองภาพที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความพิศวง

                    ช่างน่าเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก ที่กลุ่มของนักรบมายมายนับพัน บัดนี้กลับสับสนอลหม่านด้วยฝีมือของหนึ่งอัศวินและหนึ่งอาชา ทุกที่ที่เงาดำเคลื่อนผ่านไป จะต้องมีพวกการ์กอนล้มตายลงเสมอ เหตุที่ฝ่ายซึ่งมีกำลังมากกว่าไม่อาจต้านทานผู้มีกำลังน้อยกว่า ก็ด้วยความเร็วอันน่าตกใจของม้าศึกสีดำปลอด บวกด้วยความแม่นยำจนน่ากลัวของอัศวิน ที่เมื่อแทงทวนออกไปครั้งใด เป็นได้ปลิดชีพศัตรูลงทุกครั้ง และเขาไม่เคยเปิดโอกาสให้เหยื่อได้ปัดป้อง หรือประอาวุธเลยสักครา การณ์จึงกลายเป็นว่าพวกการ์กอนมีแต่ล้มตายลงไปดังใบไม้ที่ปลิดปลิว

                    หลังจากที่ได้สร้างความเสียหายให้กับกองทัพการ์กอนอยู่พักหนึ่ง จู่ๆอัศวินปริศนาก็ผละออกจากการโจมตีเสียอย่างนั้น ซ้ำยังขับม้าบ่ายหน้ามาทางหมู่บ้านเซกิ สร้างความงุนงงให้กับทุกฝ่ายที่เฝ้ามองเหตุการณ์

                    ท่านโจเอลอยู่ที่นี่หรือเปล่า? ข้าเดินทางมาจากฟอร์ทอังเคิล ช่วยเปิดประตูให้ที!” อัศวินปริศนาตะโกนบอก ขณะหยุดม้ายืนอยู่ที่หน้าค่าย

                    ทีแรกทุกคนยังคงละล้าละลัง แม้จะเห็นอยู่ชัดเจนว่าชายผู้นี้เป็นชาวเกลลาร์ และยังแสดงความเป็นปรปักษ์กับฝ่ายการ์กอนให้ประจักษ์ แต่การที่มีผู้มาเยือนอย่างไม่คาดฝันแบบนี้ ทำให้ออกจะไว้ใจได้ยากอยู่สักหน่อย แต่เมื่อเห็นว่าพวกการ์กอนกกลุ่มหนึ่งที่ติดตามล่าอัศวินสีดำกำลังใกล้เข้ามา โจเอลจึงตัดสินใจสั่งให้ทหารเปิดประตูให้ชายผู้นั้น

     

                    หลังจากเปิดประตูรับแขกแปลกหน้าเข้ามาในหมู่บ้าน โจเอลก็ยังไม่ได้ลงมาพบชายผู้นั้นในทันที เขายังคงอยู่บนเชิงเทินจนกลุ่มที่ไล่ตามอัศวินปริศนาถอยกลับไป และแน่ใจว่าพวกการ์กอนจะยังไม่บุกในตอนนี้

                    ดูเหมือนว่าการโจมตีอย่างไม่คาดฝันของอัศวินในชุดสีดำ จะทำให้พวกการ์กอนเรรวนจนเสียฤกษ์อันดี ฝ่ายนั้นจึงยังคงรั้งรอต่อไปอีก

                    เมื่อวางใจในสถานการณ์ได้ในระดับหนึ่งแล้ว ผู้พิทักษ์แห่งฟอร์ทอังเคิลจึงลงมาพบกับแขกแปลกหน้า ซึ่งบัดนี้ถูกห้อมล้อมด้วยทหารที่กุมอาวุธชี้ตรงมาด้วยความระแวดระวัง

                    แหม นึกว่าจะรอให้ข้าถูกพวกนั้นรุมจนเละเสียอีก ท่านถึงจะยอมเปิดประตูให้ อัศวินปริศนาประชดประชันทันทีที่เห็นชายหนุ่มรูปงามปรากฏตัว ซึ่งคงจะคาดเดาได้ไม่ยากว่าน่าจะเป็นคนที่เขากำลังตามหา

                    โจเอลมองอีกฝ่ายอย่างนินิจพิจารณา ซึ่งออกจะผิดจากภาพที่วาดไว้ในตอนที่มองเห็นไกลๆ เริ่มจากม้าศึกสีดำปลอดที่ทุกคนคาดว่ามันน่าจะพ่วงพีดูสง่างาม ทว่าเมื่อได้มองเห็นใกล้ๆเช่นนี้ ถึงได้พบว่ามันออกจะผอมโกรก ขนหรือก็ไม่ได้มันปลาบเป็นประกาย กล่าวโดยรวมแล้วคงต้องบอกว่าโกโรโกโส ผิดจากความคาดหวังเป็นอย่างมาก

                    ตัวผู้ขี่นั้น เป็นชายหนุ่มอายุอานามยี่สิบต้นๆ แม้ว่ามีร่างกายสูงแลผึ่งผาย ทว่าชุดที่สวมก็ออกจะซอมซ่อเต็มที กล่าวถึงรูปร่างหน้าตาแล้ว ชายผู้นี้ออกผอมสูง สิ่งที่สะดุดตามากที่สุดบนใบหน้าของชายผู้นี้ คือดวงตาที่โตและหวานซึ้ง ขนตางอนยาวเรียงเป็นแผง แต่ก็ถูกซ่อนไว้โดยเบ้าตาหรุบลึก โหนกคิ้วสูง และจมูกที่แหลมโด่ง ทำให้เกิดเงาทาบเร้นแววตาที่สวยงามเป็นประกาย

                    แก้มทั้งสองข้างของชายผู้นี้ตอบลึก ริมฝีปากค่อนข้างกว้างและขยับยิ้มอยู่เสมอ คงเพราะความผอมที่ทำให้เค้าโครงหน้าของชายผู้นี้ได้ชัด จะว่าเป็นใบหน้าที่มีเสน่ห์ก็พอได้อยู่ ทว่าก็ลึกลับในที คงเพราะเส้นผมสีดำยาวหยักศกที่ปล่อยมาระหน้าระตาด้วยกระมัง

                    ชายผู้นี้มีผิวเข้ม แก่จัดกว่าสีน้ำผึ้ง แต่ก็ไม่ถึงกับดำ หนำซ้ำชุดที่สวมยังเป็นสีดำสนิทประกอบด้วยหมวกปีกกว้างยอดไม่แหลมที่ทำให้เกิดเป็นเงามืดบดบังใบหน้า ผ้าคลุมสีดำยาวคลุมทับแทบทั้งตัว น่าประหลาดที่ชายผู้นี้เข้าสู่สนามรบโดยมิได้สวมเกราะสักชิ้น มีเพียงชุดโซ่ถักซึ่งสมอยู่ภายใน ที่พอป้องกันอาวุธศัตรูได้บ้าง และช่วยให้ชายผู้นี้ไม่ดูบ้าบิ่นจนเกินไป

              ถ้าดูโดยรวมๆแล้ว ทุกอย่างที่เกี่ยวกับชายผู้นี้ล้วนเป็นสีดำแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นชุดที่สวมหรือม้า กระทั่งทวนก็เป็นสีดำตลอดทั้งด้าม แถมยังกลึงไม่เรียบร้อย ดูแล้วซอมซ่อไปเกือบทั้งตัว เว้นแต่ฝีมือการรบที่เพิ่งแสดงให้เห็น กับเข็มกลัดทองเหลืองที่อยู่บนผ้าคลุมแลดูเด่น

                    ท่านคงเป็นโจเอล เอนฮาร์ท ผู้ดูแลฟอร์ทอังเคิลสินะ ชายแปลกหน้าเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งไปนาน

                    โจเอลพยักหน้ารับ ก่อนจะถามกลับไป ท่านว่ามาจากฟอร์ทอังเคิลอย่างนั้นหรือ? แต่ข้าไม่คุ้นหน้าท่านเอาเสียเลย...

                    อ้อ ขอโทษที่ข้าลืมแนะนำตัว ชายปริศนากล่าว แล้วกระโดดลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็ว

                    ข้าคือ ฟรีแลนซ์ ผู้เสรี และนี่คืออาชาคู่ใจของข้า นามกรนั้นหรือ คือแบล๊คชัค ชายผู้นั้นปรายมือไปทางพาหนะของตน

                    ผู้เสรี? โจเอลกล่าวทวนด้วยความสงสัย

                    ชายที่ชื่อฟรีแลนซ์จับที่ขอบปีกหมวกนิดหนึ่งก่อนตอบ ถ้าจะกล่าวในแบบที่ไม่อ้อมค้อมแล้ว ข้าก็คือนักรบรับจ้างนั่นเอง ข้าถ่อมาถึงนี่ก็ด้วยท่านโมเกอร์จ้างวานมา...

                    คำตอบของชายแปลกหน้า ทำให้หลายคนที่อยู่ในที่นั้นยินดีจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่ เพราะนี่เป็นการยืนยันว่าพวกเขายังไม่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกเสียทีเดียว ซ้ำคนที่อยู่ในฟอร์ทอังเคิบยังพยายามหาทางช่วยเหลือพวกเขา จึงกลายเป็นว่าต่างคนต่างแย่งกันถามฟรีแลนซ์ ถึงเรื่องราวทางบ้านกันเซ็งแซ่ จนโจเอลต้องห้ามปรามในที่สุด

                    เอาล่ะ โมเกอร์จ้างท่านมาอย่างนั้นหรือ ท่านช่วยเล่ารายละเอียดให้มากกว่านี้สักหน่อยจะได้หรือไม่ แล้วตอนนี้ที่ฟอร์ทอังเคิลเป็นอย่างไรบ้าง?

                    เมื่อเจอกับคำถามถี่ยิบขนาดนั้น ฟรีแลนซ์ก็ถึงกับทำหน้าเหยเก ในที่สุดเขาก็ตอบออกมาอย่างอมพะนำเต็มที

                    อืม... ข้าคิดว่าถ้าท่านอยากทราบรายละเอียดขนาดนั้น เราควรจะหาที่ที่คุยกันได้เงียบๆกว่านี้ดีกว่านะ อีกอย่างทั้งข้าและม้าของข้าต่างก็เดินทางกันมาไกล... หากว่า... มีอะไรตกถึงท้องสักหน่อย... ชายในชุดดำฉีกยิ้มกว้างหลังกล่าวจบ ซึ่งโจเอลก็พอจะรู้ว่าสถานที่เงียบๆในความหมายของชายผู้นี้ คงจะไม่พ้นโต๊ะรับประทานอาหาร

                    เช่นนั้นเชิญทางนี้ เราจะเตรียมอาหารให้ท่าน... นายบ้านหนุ่มปรายมือและเดินนำทาง โดยมีแขกที่มิได้คาดหมายเดินตามไปอย่างลิงโลด

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×