ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Brave & Honor

    ลำดับตอนที่ #32 : บทที่ 31 การถอยของดารูเกนซ์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 208
      0
      23 มิ.ย. 50

    ายหนุ่มผมสีน้ำตาลหยุดนิ่งเพ่งมองภาพเบื้องหน้า พลันในสมองก็ครุ่นคิดประเมินสถานการณ์อย่างรวดเร็ว เพราะบัดนี้ กองทัพของศัตรูกำลังจะข้ามลำธารมุ่งตรงมา

                    พวกการ์กอนมีจำนวนมากกว่าหลายเท่านัก ซึ่งคงจะเป็นทัพหลัก ต่างเดินทางกันมาด้วยความเร็วปกติ มิได้หักโหมเช่นคราวที่แล้ว ด้วยจำนวนของศัตรูและความพร้อมของฝ่ายตน โจเอลคงไม่สามารถโจมตีข้าศึกที่มุ่งหน้ามาได้ แม้ว่าพวกนั้นจะยังไม่เห็นตัวพวกเขาก็ตาม ทว่าขณะที่คิดเช่นนี้ ใครบางคนในหมู่พวกเขาก็คิดและทำในสิ่งที่ต่างออกไปอย่างน่าตกใจ!

                    นักรบการ์กอนหลายต่อหลายคนที่กำลังตั้งท่าจะข้ามลำธารเล็กๆ ต่างชะงักงันเงื้อง่าด้วยความพรั่นพรึง เหตุเพราะเบื้องหน้าของกลุ่มคนเหล่านั้นคือพญามัจจุราชผู้เป็นที่หวาดหวั่น บุรุษเพียงผู้เดียวซึ่งถูกโจษจันท์กันไปทั่วด้วยความยำเกรงในหมู่ชาวการ์กอน แน่แล้ว... เขาคือดารูเกนซ์นั่นเอง!

                    อัศวินหนุ่มก้าวออกจากที่กำบัง ปรากฏตัวเพียงลำพังอย่างองอาจ จนดูราวกับว่าร่างกายของเขาสูงใหญ่เกินกว่าความเป็นจริง ทั้งในสายตาของมิตรและศัตรู

                    บนหลังอาชาอันงามสง่า ดารูเกนซ์ยังคงอาการสงบนิ่งไม่ไหวติง ขณะที่ศัตรูเองก็เหมือนจะถูกสะกดให้ไม่กล้าขยับเขยื้อนเช่นกัน อัศวินหนุ่มกุมอาวุธในมือไว้หลวมๆด้วยกิริยาผ่อนคลาย ราวกับมิได้คร้ามเกรงต่อข้าศึกที่มากมีอยู่เบื้องหน้า เกราะสีแดงเพลิงที่สวมโดดเด่นตัดกับสีเขียวของป่ารกครึ้มซึ่งขึ้นเป็นฉากหลัง โดยมีแสงแดดลอดผ่านยอดไม้สะท้อนแผ่นโลหะแวววาวเพิ่มความน่ายำเกรง

                    โจเอลเองก็ถึงกับนิ่งงันกับการกระทำอันบ้าบิ่นของสหายร่วมศึก ดูๆไปแล้วช่างไม่ต่างอะไรกับดไวเซนผู้มุทะลุ หากว่าไม่รู้จักกันมาก่อนแล้ว เขาต้องคิดว่าชายผู้นี้เสียสติอย่างแน่นอน

                    ทว่าเพียงพักเดียว ผู้นำแห่งฟอร์ทอังเคิลก็เข้าใจได้ เมื่อเห็นพวกการ์กอนพากันยืนออแน่นขนัดที่ลำธารอีกฝั่ง ไม่มีใครกล้าพอจะก้าวข้ามมาแม้แต่คนเดียว

                    ดารูเกนซ์มิได้อวดกล้าอย่างไร้สติ หากแต่ทราบดีถึงความอ่อนแอบางอย่างที่มีในหมู่พวกคนเถื่อน มันคือความกลัวนั่นเอง...

                    ความพ่ายแพ้ยับเยินที่เพิ่งผ่านมาเพียงชั่วข้ามวัน ประทับความรู้สึกขยาดต่อฝีมือการรบที่เหนือกว่าอย่างมิอาจเทียบ โดยเฉพาะกับอัศวินในชุดเกราะสีแดงเพลิง ซึ่งก่อนหน้านั้นได้บุกทำลวงเข้ากลางวงล้อม ณ หมู่บ้านคูอูลเพียงลำพังเพื่อหวังจะช่วยดไวเซน และนักรบการ์กอนหลายคนยังคงจำได้ดี ว่าอาวุธของพวกตนมิอาจระคายผิวอสูรสงครามผู้นี้

                    ดารูเกนซ์สงบนิ่งมองดูหมู่ปัจจามิตรประหนึ่งราชสีห์มองดูฝูงแกะ แม้ว่าจะปราศจากพาหนะคู่ใจในการศึก แต่เขาก็แน่ใจว่าพวกคนเถื่อนจะไม่สนใจสิ่งนั้น ประโยชน์ประการหนึ่งของสีแดงอันโดดเด่นบนชุดเกราะของเขา นั่นคือศัตรูจะจดจำมันได้ดี และรู้สึกคร้ามเกรงเมื่อประจักษ์ถึงฝีมือการรบที่เหนือกว่า หลังจากนั้นไม่ว่าเขาจะปรากฏร่างในสนามรบพร้อมกับลาโกโรโกโสหรือยืนอยู่บนพื้นดิน ข้าศึกก็ยังคงขวัญผวามิกล้าเข้าต่อตี

                    อีกประการหนึ่ง แม้ว่าพวกการ์กอนจะฮึกเหิมบุกเข้ามา ทว่าเขาก็ประเมินแล้วว่าในหมู่ศัตรูคงไม่มีผู้ใดว่องไวเทียมทัดอาชาในบังคับของตน เมื่อมั่นใจเช่นนั้น จึงไม่มีประโยชน์อันใดให้ต้องกระชับอาวุธมั่นเพราะไม่จำเป็นต้องใช้ ท่าทางอันผ่อนคลายนั่นเสียอีก ที่เป็นอาวุธร้ายบั่นทอนขวัญกำลังใจของข้าศึก

                    โจเอลเข้าใจได้ว่านี่คือกลศึกที่จะเหนี่ยวรั้งเวลาให้พวกที่ชักลากไม้ได้กลับหมู่บ้านโดยปลอดภัย ทว่าก็บ้าบิ่นอยู่ไม่น้อย เพราะหากพวกการ์กอนฮือบุกพร้อมกัน อัศวินผู้นี้ก็อาจจะถูกล้อมจับได้โดยง่าย

                    นายบ้านแห่งฟอร์ทอังเคิลแบ่งทหารส่วนหนึ่งไปแจ้งให้พวกที่ชักลากไม้เร่งกลับสู่หมู่บ้านโดยเร็ว ขณะที่ตนและทหารอีกส่วนยังคงซุ่มซ่อนในที่กำบัง เผื่อว่าดารูเกนซ์อาจจะเพลี่ยงพล้ำ

                    เขารู้ดีว่าทำไมอัศวินหนุ่มจึงปรากฏตัวเพียงลำพัง การทำเช่นนั้นย่อมจะสร้างความงุนงงและสับสนให้กับข้าศึกมากกว่า เพราะจะทำให้พวกนั้นไม่ทราบถึงจำนวนที่แน่ชัด ไม่เช่นนั้นแล้วดารูเกนซ์คงจะให้ทหารของตนเปิดเผยตัวด้วยเป็นแน่ ในสถานการณ์เช่นนี้โจเอลต้องตัดสินใจให้ดี จะผลีผลามไม่ได้เป็นอันขาด

     

                    ระหว่างที่ตรึงกำลังกันอยู่นั้น พวกการ์กอนก็เริ่มทำอะไรบางอย่าง พลธนูชาวการ์กอนต่างระดมยิงเข้าใส่ดารูเกนซ์เป็นการหยั่งเชิง แต่ดูท่าว่าฝ่ายนั้นจะยังเกรงในฝีมือของอัศวินหนุ่มอยู่ ส่วนใหญ่จึงยิงมาจากแนวหลังที่ไกลเกินระยะ ด้วยกลัวว่าอัศวินผู้นี้อาจพุ่งเข้าปะทะเมื่อใดก็ได้ แต่ถึงแม้ว่าจะยิงในระยะใกล้ อาวุธเหล่านั้นก็ไม่อาจสร้างความเสียหายให้กับชุดเกราะที่สร้างมาอย่างดีของดารูเกนซ์ได้ และเพราะรู้ดีถึงข้อนั้น อัศวินหนุ่มจึงนิ่งเฉยมิได้แสดงอาการหลบเลี่ยงลูกธนูที่ระดมยิงมาแต่อย่างใด

                    เมื่อเห็นว่าการโจมตีจากระยะไกลเช่นนั้นไม่เป็นผล นักรบการ์กอนผู้หนึ่งก็ก้าวออกมายืนหน้าแถวด้วยท่าทางมั่นใจ ชายผู้นั้นมีผิวมันปลาบสีเขียวอ่อนเหมือนใบไม้ที่เพิ่งผลิ ร่างกายสูงโย่งโดยมีสัดส่วนของต้นขาที่ยาวเป็นพิเศษ ราวกับเป็นขากบมากกว่าขาของคน ส่วนศีรษะหรือก็ต่อเข้ากับลำตัวโดยแทบมองไม่เห็นคอ

                นักรบผู้นั้นตะโกนออกมาด้วยภาษาการ์กอน ก่อนจะกระโดดเพียงครั้งเดียวก็เข้าถึงตัวดารูเกนซ์ที่อยู่ห่างไปถึงห้าหลา!

                    การกระโจนเข้าถึงตัวอย่างรวดเร็วเช่นนี้ มักสร้างความประหลาดใจให้ศัตรูหลายต่อหลายคน ทว่าดารูเกนซ์ก็มิได้สะทกสะท้านแม้แต่น้อย เขาเพียงชำเลืองมอง แล้วอิริยาบถอันผ่อนคลายก็กลับแปรเปลี่ยนเป็นกระบวนท่าสังหารในพริบตา!

                    อัศวินหนุ่มกระชับอาวุธในมือแล้วควงแทงใส่ศัตรูที่พุ่งตรงเข้ามา ปลายหอกของนักรบการ์กอนผู้โชคร้ายถูกปัดออกด้วยปลายทวนที่ป้านออกคล้ายใบขวาน ก่อนที่มันจะตัดแขนข้างที่กุมหอกสะบั้นออกจากร่าง และไม่ทันที่ร่างนั้นจะร่วงลงสู่พื้น ดารูเกนซ์ก็สะบัดปลายทวนตัดศัตรูผู้นั้นออกเป็นสองท่อน!

                    ผลของการประลองที่จบลงในชั่วอึดใจ กลับทำให้ทั่วบริเวณเงียบงันด้วยความตกตะลึง แม้แต่โจเอลเองก็รู้สึกว่าชายผู้นี้ลงมือได้รวดเร็วและเหี้ยมโหด ผิดกับบุคลิกขี้อายที่เคยเห็น

                    ชั่วเวลาที่พวกนักรบการ์กอนยังคงงุนงงต่อเหตุการณ์ตรงหน้า อัศวินผู้สวมเกราะสีแดงเพลิงก็กลับเข้าสู่อิริยาบถเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซ้ำยังเปิดกระบังหมวกเผยใบหน้าอย่างไม่กลัวเกรงต่อการจู่โจมใดๆ ทว่าโจเอลมองเห็นสายตาที่ลอบชำเลืองมาของดารูเกนซ์ ที่ต้องการจะหาช่องถอนตัวในระหว่างที่ยังคงได้เปรียบ มีใครในหมู่การ์กอนที่อัศวินผู้นี้ต้องกังวลเป็นพิเศษอย่างนั้นหรือ...

                    หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่เพียงพักเดียว โจเอลก็สั่งการให้พวกทหารขี่ม้ากระจายกันออกเป็นวงกว้าง โดยระวังมิให้พวกการ์กอนมองเห็นตัว ระหว่างที่ควบผ่านไปที่ใดก็ให้พยายามก่อให้เกิดฝุ่นฟุ้งกระจายมากที่สุด หรือใช้ทวนและธนูไล่พวกนกและสัตว์ป่าให้แตกตื่น

                    ฝ่ายการ์กอนต่างผงะกันเล็กน้อยเมื่อเห็นฝูงนกแตกตื่นจากฝั่งตรงข้าม ด้วยไม่แน่ใจว่ามีอะไรรอพวกตนอยู่หลังสุมทุมพุ่มไม้ เพราะเพิ่งผ่านการถูกซุ่มโจมตีไปเพียงข้ามวัน หลายคนจึงออกจะแขยงอยู่ บัดนี้จึงดูเหมือนว่าเป็นเวลาอันสมควรที่ดารูเกนซ์จะถอนตัว ซึ่งอัศวินหนุ่มก็ฉวยโอกาสบังคับม้าให้เหลียวหลังกลับ เหยาะย่างไปอย่างเชื่องช้าโดยไม่มีศัตรูคนใดกล้าติดตาม

     

                    โจเอลหยุดรออยู่เพียงพักเดียว ดารูเกนซ์ก็ตามมาทันสมทบ ทั้งคู่แทบไม่ได้เอ่ยอะไรต่อกัน ต่างก็เร่งกลับสู่หมู่บ้านให้เร็วที่สุด

                    แม้ว่าจะไม่มีศัตรูคนใดกล้าติดตาม แต่สีหน้าของอัศวินมังกรก็ฉายแววแห่งความกังวลออกมาให้เห็น ซึ่งโจเอลคาดเดาเอาว่าคงเป็นเพราะเขาไม่ได้เข้าสู่สนามรบพร้อมกับลาร์ซมังกรพาหนะ

                    ไม่ช้าพวกเขาก็ตามทันกลุ่มที่ชักลากไม้ เป็นที่น่าแปลกใจว่าพวกนั้นยังพยายามแบกท่อนซุงกลับไปยังค่ายให้ได้ แม้ว่ามันจะไม่ได้ใหญ่โตจนขนย้ายลำบาก แต่ก็ทำให้เดินทางล่าช้าลงอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์เช่นนี้ ซึ่งอันที่จริงก็เป็นเพราะแบเรียมได้ยืนกรานมิให้ทิ้งท่อนซุง แม้แต่ชายผู้นี้ก็ยังเข้าใจถึงความสำคัญในการซ่อมแซมกว้านที่หักพังลงไปอย่างนั้นหรือ?

                    จะว่าไปก็ค่อนข้างสมเหตุสมผลอยู่ ที่แบเรียมจะดึงดันเช่นนั้น เพราะเมื่อกองทัพการ์กอนมาถึงแล้ว พวกเขาคงไม่มีโอกาสที่จะลงมาหาไม้ในป่าข้างล่างนี่อีก โจเอลจึงต้องเออออไปอย่างช่วยไม่ได้

                    ขณะที่ทุกคนช่วยกันออกแรงแบกท่อนซุงไปตามทุ่งโล่งอยู่นั้น ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลก็มองเห็นอะไรบางอย่างบนท้องฟ้า บางสิ่งที่เขายังคงจำได้อย่างแม่นยำ...

                    บนฟากฟ้าอันสงบนิ่ง วิหคสีขาวตัวโตบินวนเป็นวงกลมด้วยท่าทางประหลาด ทว่าโจเอลรู้ดีว่าแท้จริงแล้วนั่นคือร่างของสตรี ซึ่งบางทีนางอาจเป็นพวกการ์กอน หากเป็นเช่นนั้น... พวกศัตรูคงรู้สภาพที่แท้จริงของพวกเขาแล้ว!

                    ไป! ทุกคน รีบถอยกลับหมู่บ้าน! ทิ้งท่อนซุงไว้!” นายบ้านหนุ่มตะโกนสั่ง

                    โง่จริง! ไม่ได้นะ! ท่านไม่รู้หรือไรว่ามันสำคัญ อีกนิดเดียวเราก็จะถึงอยู่แล้ว!” แบเรียมแย้ง

                    โจเอลเข้าใจถึงความสำคัญ ทว่าไม่ต้องการเอาชีวิตมาเสี่ยงเพื่อมัน เขาต้องพยายามหลีกเลี่ยงการปะทะ เพราะไม่อาจหากำลังคนทดแทนได้ จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องสงวนกำลังไว้ให้มากที่สุด

                ความขัดแย้งระหว่างโจเอลและแบเรี่ยม ทำให้พวกเขาเสียเวลาอันมีค่าไปอีก ตอนนี้กองทัพการ์กอนที่ติดตามมาเริ่มโผล่พ้นราวป่ามาบ้างแล้ว!

                    ดารูเกนซ์ไม่พักเสียเวลาไปกับการโต้แย้งของโจเอลและแบเรียม เขาเร่งขับม้าเข้าสกัดข้าศึกที่ติดตาม พร้อมด้วยทหารใต้อาณัติ

                    การจู่โจมของทหารม้าชาวดราโกเนียร์ ช่วยเหนี่ยวรั้งเวลาได้เพียงเล็กน้อย เพราะจำนวนที่น้อยกว่าหลายเท่า ทำให้ใช้วิธีโจมตีอย่างฉาบฉวยเท่านั้น

                    โจเอลประเมินสถานการณ์ตรงหน้า และคิดว่าควรจะต้องทำอะไรสักอย่าง เพราะกองทัพการ์กอนที่มีจำนวนมากกว่า เริ่มที่จะขยายแนวเพื่อเตรียมโอบล้อม ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น กองทหารม้าฝ่ายเขาอาจถูกล้อมไว้ได้ ถ้าพวกเขาจะถอยก็ควรจะเร่งทำเสียตอนนี้ การถอยกลับเข้าค่ายเช่นนี้ต้องทิ้งระยะห่างจากศัตรูพอประมาณ ไม่เช่นนั้นข้าศึกอาจบุกตามเข้าประตูค่ายได้โดยง่าย

                    ไป! ทิ้งซุงนี่ไว้!” ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลตะโกนสั่ง พร้อมกับกระชากดาบคู่ใจออกจากฝักเป็นการขู่ เตือนให้รู้ว่าเขาไม่ต้องการพูดซ้ำเป็นครั้งที่สอง

                    แบเรียมยืนนิ่งคล้ายชั่งใจ ทว่าเมื่อธนูจากการ์กอนเริ่มโปรยปรายมาอย่างไร้ทิศทางจนตกเอาใกล้ๆตัว ชายผู้วางท่าหยิ่งยโสก็ควบม้าเผ่นเข้าค่ายโดยทิ้งทหารของตนไว้

                    พวกเจ้ารีบไปซะ!” โจเอลร้องบอกทหารชาวเหนือ พวกนั้นทิ้งท่องซุงไว้แล้วทำตามคำสั่งทันที ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลจึงหันไปทางทหารของตน

                    ทหารม้าแห่งฟอร์ทอังเคิลจงตามข้ามา! ที่เหลือเร่งกลับหมู่บ้านไป!” สิ้นคำสั่งเขาก็ควบม้าออกนำเพื่อจะตามดารูเกนซ์ให้เร่งถอนกำลังทันที

                    ผู้พิทักษ์แห่งฟอร์ทอังเคิลเร่งฝีเท้าม้าเข้าสู้ใจกลางทัพการ์กอน ซึ่งขณะนี้ได้เกิดการปะทะเล็กๆขึ้น ระหว่างทหารม้าชาวเหนือที่มีจำนวนไม่ถึงสิบคนกับศัตรูนับพัน

                    ท่านดารูเกนซ์! เร่งเข้าเถิด! ได้เวลาถอนทัพแล้ว!” โจเอลตะโกนบอก พักหนึ่งก็มีทหารชาวดราโกเนียร์ตรงมาหาเขา บนหลังม้าที่ทหารผู้นั้นขี่อยู่มีทหารอีกนายอาการบาดเจ็บหนักนั่งซ้อนมาด้วย

                    ท่านโจเอล! ตอนนี้ท่านดารูเกนซ์กำลังรบติดพันกับข้าศึกฝีมือร้ายกาจอยู่ ยังถอยตอนนี้ไม่ได้ขอรับ!” ทหารผู้นั้นกล่าวอย่างกระหืดกระหอบ ในหมู่พวกการ์กอนยังมีคนที่ฝืมือทัดเทียมกับดารูเกนซ์ด้วยอย่างนั้นหรือ...

                    พวกเจ้าช่วยระวังปีกไว้ก่อน! ข้าจะเข้าไปช่วยท่านดารูเกนซ์เอง!” โจเอลร้องสั่ง แล้วมุ่งตรงเข้าไปช่วยอัศวินมังกรเพียงลำพัง

     

                    ด้วยชุดเกราะสีแดงเพลิงอันโดดเด่น โจเอลจึงมองหาดารูเกนซ์ได้ไม่ยาก ภาพที่เขาเห็นช่างผิดแปลกจากทุกครั้งที่อัศวินมังกรผู้นี้เข้าสู่สนามรบ นั่นเพราะนักรบการ์กอนที่ประมือกับดารูเกนซ์มีเพียงผู้เดียวเท่านั้น ซ้ำยังยืนสู้รบอยู่บนพื้นที่ต่ำกว่า แต่กลับต่อกรกับอัศวินมังกรผู้มากด้วยฝีมือได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ

                    ชายผู้ประลองกับดารูเกนซ์มีรูปร่างค่อนข้างเล็ก ผิวสีน้ำผึ้ง สิ่งที่สะดุดตาและทำให้เขาดูต่างจากผู้คนทั่วไป คือเขาคู่หนึ่งที่ชี้แหลมยื่นออกมาจากหน้าผาก ซึ่งบางครั้งก็เหมือนจะมีแสงสว่างวาบให้เห็น

                    แม้ตัวจะเล็ก แต่นับรบผู้นี้ก็แคล่วคล่องเป็นอย่างมาก เขาใช้อาวุธรูปร่างคล้ายแหลนที่มีปลายแหลมทั้งหัวและท้าย ส่วนที่เป็นใบของมันทำจากผลึกสีฟ้ากะเทาะจนได้รูปยาวร่วมฟุต ดูบอบบางจนน่าจะแตกหักได้โดยง่าย กระนั้นก็น่าแปลกใจที่ดารูเกนซ์พยายามจะหลบการโจมตีเพียงอย่างเดียวโดยไม่ยอมจะประอาวุธด้วย มีเป็นบางครั้งที่เขาจู่โจมกลับไปบ้าง แต่ศัตรูก็หลบได้ทุกครั้งจนดูท่าว่าอัศวินมังกรจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

                    โจเอลตัดสินใจซัดทวนในมือเข้าใส่นักรบผู้มีเขา เมื่อเห็นว่าดารูเกนซ์กำลังจะเสียท่า ศัตรูร่างเล็กปัดอาวุธที่พุ่งเข้าใส่อย่างไม่สะทกสะท้าน จนดูเหมือนการกระทำของโจเอลช่างเปล่าประโยชน์ แต่ถึงกระนั้นก็ยังทำให้ศัตรูเสียจังหวะ พอให้อัศวินหนุ่มได้ผละออกจากการพันตูได้

                    ดารูเกนซ์ฉวยโอกาสนั้นขับม้าหนีอย่างรวดเร็ว โจเอลจึงสั่งให้ทหารที่ถอนกำลังตาม ด้วยฝีเท้าของม้าศึกที่ทำให้พวกเขาทิ้งห่างข้าศึกได้ไม่ยาก มีเพียงนักรบร่างเล็กที่ประมือกับดารูเกนซ์เท่านั้น ที่ไม่ยอมตัดใจง่ายๆ ชายผู้นั้นวิ่งตามมาด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ จนใกล้จะไล่ตามพวกโจเอลได้ทัน แต่ก็เป็นการกระทำที่บ้าบิ่นไม่น้อย เพราะนักรบผู้นั้นได้ทำการติดตามมาเพียงผู้เดียว ทิ้งระยะจากฝ่ายตนอยู่หลายช่วงตัว

                    เมื่อเห็นว่าถูกติดตามจดจ่อเข้ามาเต็มที และศัตรูก็มีเพียงคนเดียว โจเอลจึงตัดสินใจจะชักม้ากลับเข้ารับมือ ทว่าดารูเกนซ์กลับยื่นด้ามทวนเข้าขวางไว้ สร้างความประหลาดใจให้กับนายบ้านหนุ่มเป็นอย่างยิ่ง ทั้งที่เป็นโอกาสจะได้จัดการศัตรูที่ติดตามมาได้อยู่แล้ว แต่เมื่อดารูเกนซ์ปรามเช่นนั้น เขาจึงต้องเร่งฝีเท้าม้าเพื่อสลัดจากการไล่ล่าแทน

                    นักรบการ์กอนผู้ไล่ติดตามรู้สึกกระหยิ่มใจ ที่พวกสี่ขาซึ่งนับเป็นศัตรูตัวร้ายต่างพากันหนีโดยไม่คิดจะหันมาตอบโต้ ซึ่งเป็นการแสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็น ทว่าไม่ช้าความลำพองใจเช่นนั้นกำลังจะถูกหยุดลง...

                    ธนูดอกหนึ่งพุ่งมาอย่างรวดเร็วและแม่นยำเข้าใส่นักรบร่างเล็ก ทำเอาล้มกลิ้งไม่เป็นท่า มันถูกยิงมาจากเชิงเทินบนกำแพงของหมู่บ้านเซกิ นิ้วมือเรียวงามของจอร์ชโก่งง้างสายธนูอีกครั้งเพื่อจัดการซ้ำให้แน่ใจ แต่หนนี้กลับพลาดเป้า เมื่อร่างที่คิดว่าแน่นิ่งไปแล้วได้พลิกหลบอย่างรวดเร็ว!

                    นักรบหนุ่มตั้งหลักได้ลุกขึ้นยืนและมองไปยังกำแพงหมู่บ้านด้วยความขัดเคือง ในมือของเขามีลูกธนูที่ยิงมาดอกแรก ซึ่งคว้าไว้ได้อย่างเฉียดฉิวก่อนที่จะเจาะเข้ากลางแสกหน้า เพราะถูกยิงมาไกลเกินระยะของพลธนูทั่วไป ทำให้เขาออกจะชะล่าใจเกินไปจนเกือบเสียท่า

                    ไม่ช้านาน นักรบการ์กอนซ์ที่เหลือก็ตามทันกัน แต่ถึงตอนนี้พวกสี่ขาก็หนีเข้าไปหลังกำแพงได้พักหนึ่งแล้ว ความหนุนเนื่องในการบุกจึงขาดหายไปพอสมควร

                    ชาวการ์กอนไม่เคยพบเห็นรั้วที่สูงและดูแข็งแรงเช่นนี้มาก่อน เพราะโดยปกติแล้วแทบจะไม่มีการสร้างรั้วกันเลยในหมู่พวกเขา กระนั้นนักรบซึ่งเป็นผู้นำก็ตัดสินใจที่จะเข้าตีดูสักครั้งหนึ่ง

                    นักรบการ์กอนนับพันฮือบุกขึ้นไปตามคำสั่งของผู้นำ ด้วยจำนวนที่มากกว่าเกินสิบเท่า น่าที่จะทำให้อีกฝ่ายต้องย่อยยับไปในพริบตา แต่การณ์ไม่ง่ายดายเช่นนั้น ด้วยค่ายทั้งสองตั้งอยู่บนที่สูง การเข้าตีจึงเป็นไปอย่างยากลำบากซ้ำทหารที่อยู่บนเชิงเทินก็ซัดอาวุธลงมาไม่ขาดสาย และพื้นโดยรอบก็ปักขวากไว้แน่นหนา ฝ่ายที่เข้าตีจึงบาดเจ็บล้มตายโดยไม่อาจตอบโต้

                    ชายผู้มีเขามองดูไพร่พลฝ่ายตนล้มตายไปพอสมควร ในที่สุดก็สั่งให้ทุกคนถอย เพราะเขายังไม่ต้องการจะหักหาญเอาในตอนนี้

                    การถอนตัวของพวกการ์กอนสร้างความฮึกเหิมให้กับทหารชาวเกลลาร์ ต่างส่งเสียงโห่เฮลั่นด้วยความยินดี จนใครคนหนึ่งถึงกับเสนอให้ออกตามตี ทว่าโจเอลไม่อนุญาตให้ทำเช่นนั้น พวกการ์กอนที่ล้มตายยังนับเป็นส่วนน้อยเมื่อเทียบกับที่เหลือ ซ้ำยังถอยไปอย่างเป็นระบบ การโจมตีในครั้งนี้จึงน่าจะเป็นเพียงการหยั่งเชิงเพียงเท่านั้น

                   

                    เวลาผ่านไปได้ราวหนึ่งชั่วโมง หลังการโจมตีของพวกการ์กอน แต่ก็ยังเหลืออีกหลายชั่วโมงก่อนที่ความมืดจะโรยตัว บนเชิงเทินจึงยังต้องวางกำลังไว้เผื่อว่าจะมีการโจมตีอีกระลอก

                    โจเอลยังไม่สบายใจนักแม้ว่าพวกเขาจะไม่สูญเสียเลยก็ตาม การที่ศัตรูไม่ดึงดันในการเข้าตีครั้งนี้ ย่อมหมายความว่าผู้นำฝ่ายนั้นจะต้องมีแผนการอื่น และตราบใดที่ยังไม่รู้แน่ว่าแผนนั้นคืออะไร เขาก็ยังวางใจไม่ได้

                    ชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่บนเชิงเทิน ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเหม่อมองไปยังฟ้ากว้างเหมือนกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง โดยไม่ได้สังเกตเลยว่ามีใครบางคนเดินเข้ามาหาจากทางด้านหลัง

                    ท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือ โจเอล น้ำเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้น เมื่อผู้ถูกเรียกหันมาจึงพบกับสหายหนุ่มของตน

                    กังวลใจเรื่องพวกการ์กอนอยู่หรือ? จอร์ชถามต่อ พลางเดินมายืนข้างๆโจเอลแล้วกวาดตามองลงไปเบื้องล่าง ฝ่ายที่ถูกถามหันมามองสหายหนุ่ม ถอนหายใจหน่อยหนึ่งก่อนจะตอบ

                    ...ข้ากำลังคิดอยู่ว่าพวกมันมีแผนการอะไรอยู่กันแน่ การโจมตีเมื่อตอนเที่ยงเป็นเพียงการหยั่งเชิงเท่านั้น พวกนั้นถอยกลับไปโดยไม่บอบช้ำมากนัก ยังไงต้องมีแผนอื่นอีกแน่...

                    เช่นนั้นผู้นำของมันก็ไม่โง่ หากหักหาญเอาในเวลานี้ ฝ่ายนั้นคงสูญเสียหนักเพราะชัยภูมิของเราได้เปรียบ อาวุธและเสบียงอาหารก็ยังพร้อมมูล ถ้าให้ข้าเดา... พวกมันคงคิดจะใช้แผนปิดล้อมกับเรา จอร์ชกล่าว ซึ่งโจเอลก็ค่อนข้างเห็นด้วย พวกการ์กอนคงเลือกใช้เวลาเป็นปัจจัยเสริม เมื่อฝ่ายนั้นสามารถจะเพิ่มเติมกำลังพลและเสบียงได้ ผิดกับฝ่ายของเขาที่ขาดแคลนในสองสิ่งนี้

                    แล้วท่านคิดว่าอย่างไร? โจเอลถาม

                    ก็อาจจะเป็นได้ทั้งดีและไม่ดี จอร์ชหันมายิ้มให้อย่างมีเลศนัย ก่อนจะกล่าวต่อ หากพวกมันไม่คิดจะโจมตีในเร็วๆนี้ เราก็ไม่ต้องบอบช้ำมากนัก ในเมื่อเราแค่รอเวลาที่จะถอนตัวเท่านั้น แต่ว่า... ไม่มีอะไรจะรับประกันว่าพวกมันจะคิดเช่นนั้น และ...

                    อาจมีปัญหากับเส้นทางถอยของเรา... ทั้งสองเอ่ยออกมาพร้อมๆ กันดูท่าว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นปัญหาที่สุดสำหรับพวกเขา

                    เจ้ายักษ์สองพี่น้องนั่น... จะมีปัญหาอะไรหรือเปล่านะ... ชายหนุ่มผมยาวเป็นฝ่ายรำพึง

                    เรื่องนั้นฮานส์กำลังไปตรวจสอบอยู่ อีกสองสามวันคงรู้ผล ตอนนี้เราคงได้แต่ภาวนาว่าจะไม่มีปัญหาอะไร แม้จะพูดเช่นนั้น แต่สีหน้าของโจเอลก็มีแววแห่งความกังวลแฝงอยู่

                    ใช่... แล้วก็ต้องภาวนาไม่ให้พวกการ์กอนเกิดฮึดเอาในวันสองวันนี้ด้วย...จอร์ชพูดด้วยน้ำเสียงล้อเล่น เหมือนกับพยายามจะลดความอึมครึมต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

                    ทั้งสองนิ่งไปพักหนึ่ง ต่างมองลงไปเบื้องล่าง พวกการ์กอนที่เหลือคงรวมพลกันจนครบแล้ว เพราะทุ่งหญ้ากว้างเริ่มเนืองแน่นไปด้วยพวกคนเถื่อนที่มีผิวพรรณต่างๆนานา

                    แม้ว่าพวกนั้นจะถูกสังหารไปมากจากการซุ่มโจมตีเมื่อวาน และความพยายามจะหักค่ายในวันนี้ แต่ดู เหมือนว่าจำนวนจะไม่ได้ลดน้อยลงจากที่เคยเห็นที่ฟากเขาด้านโน้นเลย ซึ่งอาจเป็นเพราะมีการเสริมกำลังเข้ามา หรือไม่ก็เพราะพวกนั้นไม่ได้จัดกำลังกันอย่างเป็นระเบียบ เมื่อยืนคละเคล้าเช่นนี้ จึงออกจะเป็นการยากที่จะคะเนจำนวนได้ถูกต้อง

                    นักรบส่วนใหญ่ยืนออล้อมวงใครคนหนึ่งอยู่ ด้วยระยะที่ค่อนข้างไกล ทำให้ไม่อาจสังเกตเห็นผู้ที่ยืนอยู่ตรงกลางได้ แต่โจเอลก็พอจะเดาได้ว่าเป็นใคร เพราะนักรบคนนั้นดูเหมือนจะกำลังพูดปลุกใจพวกที่เหลือให้รู้สึกฮึกเหิม เขาชูหอกขึ้นแล้วทำท่าทางเหมือนกำลังต่อสู้กับศัตรูที่มองไม่เห็น โดยมีเสียงเฮลั่นรับเป็นระยะ

                    เจ้าคนที่มีเขา... จอร์ชพูดขึ้น ท่าทางหมอนั่นจะเป็นผู้นำของฝ่ายการ์กอน ท่านได้ประมือกับมันหรือเปล่า?

                    ไม่... โจเอลตอบเพียงสั้นๆ พลางนึกไปถึงตอนที่ถอนกำลัง ดูเหมือนดารูเกนซ์มีความคร้ามเกรงในตัวนักรบผู้นั้น จึงได้พยายามห้ามปรามไม่ให้เขาปะทะด้วย แม้แต่อัศวินมังกรผู้มากด้วยฝีมือยังไม่มั่นใจพอจะเผชิญกับศัตรูผู้นี้อย่างนั้นหรือ?

                    งั้นหรือ... ชายหนุ่มใบหน้าสวยบ่นพึมพำ ริมฝีปากเรียวบางเหมือนจะแย้มยิ้มอย่างมีเลศนัย ทว่าโจเอลไม่ทันได้สังเกตเห็น

                    ท่านไม่เห็นด้วยกับแผนการของข้าอย่างนั้นหรือ? จอร์ชเปรย น้ำเสียงฟังดูเย็นเยียบ

                    ท่านหมายถึง... อีกฝ่ายรู้สึกงุนงงต่อคำถามนั้น

                    กว้านที่ข้าทำลายไปยังไงล่ะ ท่านคิดจะซ่อมแซมมันใช่ไหม? คำกล่าวของชายหนุ่มร่างบอบบางเหมือนเป็นการตำหนิ น่าแปลกที่โจเอลพลอยรู้สึกผิดตามไปด้วย ราวกับว่าสหายหนุ่มผู้นี้มีอิทธิพลเหนือเขา แม้ในใจจะอยากโต้แย้ง ทว่าเขากลับอ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออก คล้ายกับว่าริมฝีปากช่างหนักอึ้งจนไม่อาจขยับ

                    ช่วงเสี้ยวเวลาอันน่าอึดอัดสำหรับโจเอลนั้น เขารู้สึกเหมือนว่าสหายผู้ลึกลับจะยืนค้ำเด่น โดยมีเงาแผ่มากดบ่าให้เขาทรุดลง นั่นเป็นเพราะฐานันดรที่ชายผู้นี้ได้เอ่ยอ้างหรือ? หรือว่าเป็นเพราะชายผู้นี้อ่านจิตใจของโจเอลจนทะลุปรุโปร่ง ว่าการพูดเช่นนั้นจะทำให้เขารู้สึกผิด เพราะได้สัญญาไปแล้วว่าจะไม่หักหลังต่อสหาย แต่มันรวมถึงเรื่องที่วางแผนทำร้ายผู้อื่นด้วยอย่างนั้นหรือ?

                    ข้า... ข้ามิได้เลือดเย็นเช่นท่าน... โจเอลกลั้นใจตอบออกไปในที่สุด มันเป็นคำพูดที่ค่อนข้างรุนแรง เพราะโดยปกติแล้วเขาแทบจะไม่เคยตำหนิใครตรงๆเช่นนี้มาก่อน

                    จอร์ชนิ่งไปเมื่อได้ยินคำตอบของสหาย ไม่รู้ว่าเขาโกรธหรือเปล่า แต่ไม่ช้าชายผู้มีใบหน้างดงามดังสตรีก็แค่นหัวเราะออกมาเบา ๆ

                    ฮ่ะฮ่ะ กล่าวแรงไปนะ สำหรับคนขี้เกรงใจอย่างท่าน ข้าก็แค่... ทำในสิ่งที่ต้องทำเท่านั้น...

                    ท่านรู้อยู่แล้วสินะ ว่าข้าจะไม่เห็นด้วย... โจเอลกล่าว

                    จอร์ชปรายตามองคู่สนทนา ยักไหล่หน่อยหนึ่งก่อนจะตอบ ก็ท่านเป็นคนที่อ่านไม่ยากนี่นะ ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ไม่มีโอกาสซ่อมมันแล้ว

                    จริงดังที่จอร์ชว่า ตอนนี้พวกเขาไม่สามารถจะหาไม้มาซ่อมแซมกว้านที่เสียหายได้อีก ในเมื่อพวกการ์กอนได้ตั้งทัพล้อมไว้จนหมดแล้ว

                    เรื่องระหว่างจอร์ชและดารูเกนซ์ หรือจะพูดให้ถูกก็คือเรื่องระหว่างจอร์ชและองค์จักรพรรดิ ช่างน่ากระอักกระอ่วนใจยิ่งนักสำหรับโจเอลในยามนี้ และความกินแหนงแคลงใจเช่นนี้ อาจส่งผลให้พวกเขาอ่อนแอเกินกว่าจะรับมือกับศึกภายนอกได้

                    จอร์ช ข้าขอร้อง ช่วยเก็บเรื่องบาดหมางระหว่างท่านกับองค์จักรพรรดิไว้ก่อนจะได้หรือไม่ อย่างน้อยก็จนกว่าพวกเราจะรอดพ้นจากศัตรู... โจเอลขอร้องสหายเพื่อพยายามระงับความขัดแย้งภายใน

                    หึ... โจเอล สำหรับข้าแล้ว ศัตรูมีอยู่เสมอนั่นล่ะ ข้าขอย้ำคำเดิม ข้าแค่ทำในสิ่งที่ต้องทำเท่านั้น... กล่าวจบ ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าสวยก็เดินจากไปโดยไม่เหลียวกลับมามอง ทิ้งให้คู่สนทนาต้องครุ่นคิดด้วยความกังวลต่อปัญหาภายใน ซึ่งดูจะรุนแรงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าศึกภายนอกที่จรดจ่ออยู่ตรงหน้า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×