ถิ่นกาขาว
คำทำนายแต่โบราณครั้งตั้งกรุง ถิ่นกาขาวคืออะไรใครอยากรู้ แวะมาดูเถิด...เพราะนี้มันคือ เรื่องของคนไทย
ผู้เข้าชมรวม
830
ผู้เข้าชมเดือนนี้
11
ผู้เข้าชมรวม
คำทำนายครั้งตั้งเสาหลักเมืองรัตนโกสินทร์
ทุกสมัยมีเหตุแห่งการเปลี่ยนแปลงและสูญเสีย
ถิ่นกาขาว คำนิยามแห่งราชวงค์จักรีองค์ที่ เก้า
เชิญมาดูเถิดพี่น้องว่าถูกต้องหรือไม่?
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
“แก...เคยได้ยินคำว่าถิ่นกาขาวมั้ย”
“อะไรนะ”
ผมขมวดคิ้วตอบพี่ไพฑูรย์ไปอย่างไม่สนใจเท่าไหร่นัก เวลานี้ตอนเที่ยงนักศึกษาเกรดกลางๆอย่างพวกผมมักชอบแอบมารวมหัวกันพักผ่อนในห้องอาหารของมหาวิทยาลัย ด้วยเหตุผลสุดคลาสสิกคือ ไม่มีที่ไป
“ก็ไอ้คำว่าถิ่นกาขาวเนี่ยนะ ที่จริงเราเคยได้ยินกันมานานแล้วละ บางก็ว่าเป็นพุทธทำนาย บางก็ว่าเป็นปริศนาธรรมที่พระเถรรุ่นใหญ่ในอดีตทำนายทายทักไว้ แต่ทุกคนก็มีความเห็นตรงกันว่าเป็นเรื่องของเมืองไทยในยุคนี้”
“ทำไมพี่ ถิ่นกาขาวมันเกี่ยวกับเมืองไทยยุคนี้ยังไง”
“อ้าว ไอ้นี้ ฟังแล้วก็ลองคิดตามหน่อยซิวะ ว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงมีคนว่าถิ่นกาขาวมันเกี่ยวข้องกับเมืองไทยยุคนี้ อุตสาห์เรียนเอกภาษาไทยทั้งที คิดซิ”
“คนไทยเราหน้าขาวขึ้นใช่ไมพี่ เพราะไปที่ไหนก็มีแต่คนใช้ครีมทาหน้าทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่เลย”
“ไม่ใช่โว้ย ไอ้นี้บทจะคิดก็คิดตื้นจริงเว้ย” พี่ไพฑูรย์เกาหัวพร้อมทำสีหน้าหนักใจ“คำว่าถิ่นกาขาวน่ะ เขาน่าจะเปรียบเปรยถึงเมืองไทยในยุคสมัยที่มีฝรั่งเดินทางมาหากินกันเยอะ คนไทยจะทำอะไรก็ทำตามแบบฝรั่ง จนวิถีชีวิตแบบไทยกำลังถูกกลืนกลายเป็นยุคที่คนไทยเอาใจฝรั่งบนแผ่นดินไทยเอง”
“หมายถึงเมืองไทยสมัยนี้เหรอ”
ผมนึกย้อนถึงเวลาเดินเล่นตามถนน ที่มักจะมองเห็นฝรั่งผมทองเดินปะปนกับคนไทยผมดำละลานตา บ้างใส่เสื้อเชิ้ตผูกเนกไทกำลังรอรถแท็กซี่ด้วยท่าทางกระวนกระวาย บ้างแบกเป้เดินทางยืนดูแผนที่เป็นกลุ่ม บ้างนั่งกินสุกี้แนบเนียนไปกับคนไทยในร้านฝั่งตรงข้ามถนน ไม่สังเกตก็ไม่ทันเห็นว่ามีคนต่างชาติปะปนกลมกลืนในเมืองไทยมากมายขนาดนี้ บางคนมาท่องเที่ยว บางคนมาอยู่ถาวร บางคนมาทำมาหากินจนกิจการใหญ่โต
ความเงียบเข้าปกคลุมทันที...
งานประชุมผู้แทนฝ่ายขายของบริษัทไอศกรีมชื่อดังแห่งหนึ่งจัดขึ้นมาเป็นวันที่สามแล้ว ห้องจัดเลี้ยงใหญ่ของโรงแรมวงศ์ทองดูแคบลงไปถนัดตากับงานเลี้ยงใหญ่นี้ทันที สองวันแรกเป็นการอบรมและการประชุมของผู้จัดการส่วนการขายภาคอีสาน วันสุดท้ายนี้เองจึงมีกิจกรรมรื่นเริง
และมีการแจกทุนต่างๆให้แก่นักเรียนนักศึกษา เวทีถูกตกแต่งใหม่อย่างหรูหราอลังการ พนักงานโรงแรมวิ่งวุ่นเข้าออกห้องประชุมไม่หยุด ผมและเพื่อนๆมายืนรอกันที่หน้าประตูห้องประชุมเพื่อรอรับทุนการศึกษาโดยนี้เป็นครั้งที่สองแล้วที่ผมได้รับเลือก อีกไม่นานกิจกรรมแห่งความสนุกสนานและของรางวัลมากมายก็จะมาถึง
“กู๊ดมอร์นิ่งเลดี้ส์แอนด์เจนเทิ่ลเเมนเวลคัมทู...” พิธีกรพูดออกไมโครโฟนเสียงก้องกังวานทันทีที่ประตูเปิดออก นักเรียนนักศึกษาบางคนฟังออก บางคนฟังไม่ออกแต่ก็เดินตามกันไปจับจองที่นั่งตามธรรมเนียม ผมหันไปถามเพื่อนนักศึกษาด้วยกัน
“เฮ้ยนี้ ทำไมครั้งนี้เขาถึงกล่าวต้อนรับเป็นภาษาต่างดาววะ แล้วพวกเด็กๆจะรู้เรื่องไหมล่ะเนี่ย”
“อ้าว แกไม่รู้อะไร ก็บริษัทนี้มีฝรั่งเขาซื้อหุ้นจากเจ้าของคนไทยไปเกือบครึ่งแล้ว พวกกรรมการบริหารก็มีฝรั่งเข้ามาเยอะแยะ แถมยังเปิดแผนกการตลาดต่างประเทศด้วย เราได้ทุนจากบริษัทโกอินเตอร์เชียวนะ” เพื่อนผมพูดให้ฟังอย่างฮึกเหิม
“มันก็เหมือนกับว่าบริษัทนี้เป็นบริษัทลูกครึ่งแล้วนะสิ”
“ใช่ ก็เหมือนกับบริษัทยักษ์ใหญ่อื่นๆละวะ มีสักกี่เจ้ากันเชียวที่อยู่ได้โดยไม่ร่วมทุนกับชาวต่างชาติ เดี๋ยวนี้มันยุคตลาดเสรีแล้ว”
“แล้วเคยมีบริษัทคนไทยใช้ไอ้ตลาดเสรีนี้ไปซื้อทุนถือหุ้นบริษัทในเมืองฝรั่งบ้างมั้ยเนี่ย”
ผมชะงักอยู่ที่ประโยคคำถามนั้นเพราะภาษาอังกฤษจากพิธีกรบนเวทีกำลังบอกกล่าวว่าขณะนี้พิธีการกำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว ขอเชิญคุณ
ชายชราไทยคนหนึ่งกับชายฝรั่งวัยหนุ่มมีพลังอีกคนเดินขึ้นเวทีคนละด้านมาพบกันตรงกลาง ในฐานะผู้บริหารระดับสูงกว่านายอ็อฟเฟอร์จึงได้กล่าวเปิดงานก่อน ผิดกับปีที่แล้วที่ผมมารับทุนซึ่งนายคมสันหรือที่ทุกคนเรียกกันติดปากว่า “นายใหญ่” จะเป็นคนพูดเปิดงาน ถึงแม้นายใหญ่คนนี้จะเป็นผู้ปลุกปั้นบริษัทไอศกรีมนี้มากับมือและยังมีหุ้นในบริษัทนี้มากกว่าครึ่ง แต่ใครๆก็รู้ว่าเงินที่ใช้หมุนเวียนในบริษัทส่วนใหญ่นั้นมาจากบริษัทแม่ของนายอ็อฟเฟอร์ที่เมืองนอกทั้งสิ้น
ทุกสายตามองดูภาพคนไทยที่เคยเป็นนายใหญ่ยืนสงบเสงี่ยมเจียมตัวอยู่ด้านหลังนายฝรั่งคนใหม่ด้วยความรู้สึกต่างกัน แต่สำหรับผมแล้วภาพที่เห็นนั้นเสียดแทงใจยิ่งนัก
เจ้านายฝรั่งคนใหม่เริ่มต้นด้วยการทักทายเป็นพิธีอย่างกระฉับกระเฉงและตัดเข้าการบรรยายความสำเร็จของยอดขายที่ผ่านมาทันที พร้อมทั้งยังพูดถึงแผนการตลาดใหม่ที่จะรุกเข้าสู่กลุ่มเป้าหมายคือเด็กประถมและมัธยม
“ในปีหน้าเราจะรุกตลาดระดับโรงเรียนมากขึ้น โดยเป้าหมายของเราคือเป็นไอศกรีมอันดับหนึ่งในใจของเด็กไทยเท่านั้น”นายฝรั่งพูดภาษาอังกฤษยืดยาว
ภาพบนจอยักษ์ด้านหลังนายฝรั่งเปลี่ยนจากแผนภูมิเป็นภาพเด็กประถมในจังหวัดต่างๆที่กำลังเพลิดเพลินกับไอศกรีม บางคนทำหน้ากินไอศกรีมอย่างมีความสุขราวกับกินอาหารทิพย์ แต่ที่ผมสะเทือนใจมากที่สุดคือภาพสุดท้าย...
ภาพของเด็กในจังหวัดชายแดนห่างไกลกำลังกินไอศกรีมของบริษัทลูกครึ่งฝรั่งอย่างเอร็ดอร่อยทั้งๆที่ไม่มีรองเท้าจะใส่
ผมปั่นจักรยานกลับบ้านด้วยใจที่ครุ่นคิดอะไรหลายอย่าง แบงค์สีเทาในกระเป๋าเงินผมไม่ทำให้ผมดีใจเท่าที่ควร
“พี่ค่ะ ดูสิค่ะ ลูกของเราพูดภาษาอังกฤษได้แล้วนะ คำว่าพ่อกับแม่ไง ไหนลูกเรียกสิจ๊ะ มามี้ แด๊ดดี๊”
เสียงออดอ้อนของสามีภรรยาข้างบ้านทำให้ผมนึกหงุดหงิดในใจ แน่ละสิ เล่นหยิบยืมเงินใครเขาไปทั่วเพื่อส่งลูกไปเรียนโรงเรียนนานาชาติเทอมละตั้งเป็นแสนๆ ใครบอกว่าความรู้ซื้อไม่ได้ก็ไม่รู้ ซื้อได้สิ แถมยังกู้เงินไปซื้อด้วย
“มามี...แดดดี”เสียงใสๆของเด็กน้อยทำให้ผมนึกถึงแบบฝึกหัดภาษาไทยบทหนึ่งที่ว่า ‘มานีมีตา’ขึ้นมาทันที
“ทำไมฝรั่งมันถึงมีอิทธิพลกับชีวิตของเรามากมายขนาดนี้วะ”
ผมกับพี่ไพฑูรย์กลับมานั่งในร้านอาหารห้องเดิม คู่สนทนาเดิม ต่างแต่เวลาหากอยู่ในยุคถิ่นกาขาวเหมือนเดิม
“แน่นอนซิ แรงงานราคาถูกค่าครองชีพต่ำ อาหารการกินสมบูรณ์ มีที่ตั้งทางทะเลที่ดีและที่สำคัญคนไทยยังยึดถือเคารพเชิดชูฝรั่งหยั่งกับเทวดา แล้วทำไมพวกกาขาวถึงจะไม่อยากมารุมทึ้งแผ่นดินนี้ล่ะ”
“พี่ก็ว่าเกินไป”ผมถอนหายใจ
“ฉันไม่ได้ว่าเกินไปนะโว้ย” พี่ไพฑูรย์กระชากคอเสื้อผมทันที “แกใส่ชุดอะไรไปเรียนทุกวันนี้ล่ะ เสื้อเชิ้ตแบบฝรั่ง เนกไท กางเกงสแล็กขายาว รองเท้าหนัง นาฬิกาข้อมือ เข็มขัด น้ำหอม กางเกงใน รถที่ขับ รูปทรงบ้านที่อยู่ มันเป็นของฝรั่งทั้งหมดหรือบางครั้งอาจจะมาจากฝรั่งเลยด้วยใช่มั้ยล่ะ ก่อนหน้านั้นไม่ใช่เราไม่มีเสื้อผ้าใส่ เราก็มีเสื้อผ้าฝ้ายพื้นเมือง มีน้ำอบ มีผ้าขาวม้า มีบ้านเรือนไทยบ้านทรงไทยอาศัยอยู่ แต่พวกเราทุกวันนี้กลับยอมรับว่าของฝรั่งดีกว่าไทยทุกอย่าง และยังเอามันมาเป็นนายชีวิตของตัวเอง ภาษาที่แกพูดที่แกเขียน เพลงที่แกฟัง เสื้อผ้าที่แกใส่ บ้านที่แกอยู่มันลอกแบบฝรั่งมาทุกอย่าง นี่ยังไม่นับพวกเกาหลีญี่ปุ่นด้วยนะ เมืองเราไม่ใช่แค่กาขาวบินมาหากินเท่านั้น แต่ยังเป็นถิ่นที่กาพื้นเมืองย้อมสีตัวเองทำทุกอย่างเพื่อจะเป็นกาขาวอีกด้วย”
“มันก็จริงอย่างที่พี่ว่า” ผมหลบสายตาลงต่ำไม่กล้าสู้หน้า
“เชอะ” พี่ไพฑูรย์สะบัดมือออกแล้วนั่งเอนตัวลงเงียบถอนหายใจอยู่คนเดียว
“แก...เคยได้ยินคำว่าถิ่นกาขาวมั้ย”
ผมคงตอบพี่ไพฑูรย์ไม่ได้ว่ามันหมายถึงอะไร แต่ที่แน่ๆ ผมคิดว่าผมได้สัมผัสมันมากับตัวเองแล้ว...
ผลงานอื่นๆ ของ มาร์คเมฆา ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ มาร์คเมฆา
ความคิดเห็น