คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : CHAPTER I : Again...อีกครั้ง (Upload 90 %)
หลังจากแยกกับชายนี่แล้ว
พีระก็เดินนำกีรติไปยังห้องอาหารสุดหรูของโรงแรมก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ให้เธอนั่งอย่างสุภาพ
“เชิญตามสบายนะครับ” ชายหนุ่มบอกพลางยื่นเมนูอาหารให้
หญิงสาวรับมันมาแบบเก้อๆ แล้วยิ้มให้เขาอย่างไม่รู้จะทำอะไรดี
นึกโมโหตัวเองอยู่เหมือนกัน ไม่รู้จะเขินอะไรเขานักหนา คงเป็นเพราะว่าเธอเป็นคนที่รู้ความลับของเขาเลยวางตัวไม่ค่อยจะถูกเสียเท่าไหร่
“ขอสปาเก็ตตี้คาโบนาร่ากับน้ำส้มคั้นค่ะ” เธอหันไปสั่งพนักงานพลางพับเมนูส่งคืน
“เท่านี้เหรอครับ ดูท่าทางคุณจะหิวนะ
ตอนพรีเซนต์งานผมได้ยินเสียท้องคุณร้องด้วย” เขาพูดขำๆ
“จริงเหรอคะ!” เธอทำหน้าตื่นก่อนจะสารภาพความจริงกับเขา
“กีร์ไม่ได้ทานข้าวเช้ามาน่ะค่ะ กลัวมาไม่ทันนัด”
“อาหารเช้าสำคัญนะครับ คราวหน้าทานข้าวมาด้วยล่ะ
ถ้าผมได้ยินเสียงท้องคุณร้องอีกล่ะก็ ผมทำโทษแน่” เขาชี้หน้าเธออย่างคาดโทษแต่ก็ยังมีรอยยิ้มให้เห็นจนคนฟังไม่นึกกลัว
“เล่นแบบนี้กีร์ก็แย่สิคะ กีร์ทำงานเช้าทุกวัน
บางทีก็ต้องหิ้วท้องไปฝากที่บริษัทฯ โชคดีที่มีชายนี่คอยดูแล
ไม่อย่างนั้นกระเพาะกีร์คงแย่” เธอเล่าให้เขาฟังเหมือนเล่าบอกเพื่อนคนนึง
ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกสบายใจเวลาอยู่กับเขาก็ไม่รู้
“คุณสองคนดูสนิทกันจังเลยนะครับ ถึงว่าสิ
เราเลยเข้ากันง่าย” เขาบออย่างเป็นนัย
“ทำไมล่ะคะ?” หญิงสาวถามเขาอย่างไม่เข้าใจ
เพราะเธอสนิทกับชายนี่ก็เพราะรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนจนชักชวนมาทำงานด้วยกัน แต่กับพีระไม่มีอะไรใกล้เคียงสักนิด
“ก็ผมกับคุณชายนี่เราเป็นพวกเดียวกันนี่ครับ แปลกจัง
ทำไมผมถึงกล้าบอกเรื่องนี้กับคุณ คุณเป็นผู้หญิงคนแรกเลยนะครับที่รู้ความลับของผม”
เขาหัวเราะขำ แปลกใจตัวเองเหมือนกันที่ไว้ใจคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่นานขนาดนี้
“จริงเหรอคะ? รู้สึกเป็นเกียรติจังเลย”
เธอก็พูดติดตลกไปกับเขาด้วย ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนตรงหน้ากำลังมองเธอไม่วางตา
หากแต่ว่าสายตานั้นไม่ได้สื่ออะไรมากนักเพราะความรู้สึกที่ขัดแย้งอยู่ในใจ
ทั้งสองคนนั่งรับประทานอาหารเคล้าเสียงหัวเราะอย่างความสุขกับมิตรภาพใหม่
ต่างคนต่างก็แลกเปลี่ยนทัศนคติในเรื่องของการทำงานรวมถึงการใช้ชีวิต ทำให้กีรติได้รู้ว่าพีระยังไม่ได้แกรนด์โอเพ่นนิ่งกับคนรักอย่างที่เธอเข้าใจในตอนแรกเพราะทางบ้านของเขาคาดหวังให้ลูกชายคนโตของบ้านเป็นฝั่งเป็นฝาเช่นเดียวกันกันเธอ
และตอนนี้อายุอานามของเธอก็ปาเข้าไป 30
ปีแล้ว ส่วนพีระเองก็ย่าง 36 ปลายๆ ซึ่งน่าจะเป็นเวลาเหมาะสมที่จะสร้างครอบครัวกับใครสักคน
ถ้าไม่ติดที่ว่า...
“ครอบครัวคุณยังไม่รู้เหรอคะว่าคุณ...” หญิงสาวช่างใจที่จะถามออกไปเนื่องจากตรงนี้เป็นที่สาธารณะและเธอกับเขาก็ไม่ได้อยู่กันแค่สองคน
“ครับ ผมเลยหนักใจอยู่ทุกวันนี้
วันดีคืนดีคุณพ่อของผมอาจจับผมแต่งงานกับผู้หญิงสักคนก็ได้ และนั่นเป็นสิ่งที่ผมกลัวมากที่สุด”
ความจริงพีระไม่ต้องเล่าเรื่องพวกนี้ให้กีรติฟังก็ได้
แต่ไม่รู้ทำไมถึงยอมเปิดอกพูดกับเธอจนหมดเปลือก คงเป็นเพราะเธอทำให้เขาสบายใจเวลาได้พูดคุยกัน
ซึ่งมันอาจเป็นความสามารถพิเศษของครีเอทีฟส่วนใหญ่ที่มีความคิดแตกต่างจากคนอื่นก็ได้
“แต่คุณดูไม่ใช่คนที่จะยอมทำตามคนอื่นง่ายๆ เลยนะคะ
ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ได้แสดงออกว่าชอบหรือไม่ชอบในสิ่งที่คนอื่นเลือกให้ก็ตาม”
เธอคาดเดา เพราะจากการพรีเซนต์งานเมื่อครู่พีระกล้าที่จะติติงในส่วนที่คิดว่ามันจะเป็นผลดีกับงาน
และยังมีศิลปะในการพูดที่ทำให้รู้สึกว่าการทำงานกับเขาไม่ได้น่าอึดอัดเมื่อเทียบกับผู้บริหารคนอื่นๆ
ที่เธอเคยเจอ บางครั้งดูเหมือนเขาจะเป็นคนที่ยอมอะไรง่ายๆ แต่สุดท้ายก็ตะล่อมให้คนฟังคิดตามและเห็นไปในทางเดียวกันกับเขาในที่สุด
“คุณกีร์จะบอกว่าผมดื้อเงียบใช่ไหมครับ” เขาหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อสิ่งที่หญิงสาวเดาถูกเผง
น้อยคนที่จะมองเขาออกได้แบบนี้
“แล้วจริงไหมล่ะคะ?” เธอยิ้มอย่างรู้ทัน
“เดี๋ยวคุณกีร์ก็รู้เองละครับถ้าอยู่กับผมนานๆ เข้า”
ชายหนุ่มไม่บอก แถมยังยอกย้อนกลับ ทำให้หญิงสาวค่อนข้างมั่นใจว่าสิ่งที่เธอคิดคงไม่ผิดไปจากนี้นัก
แต่เธอไม่แน่ใจว่าคำว่าอยู่กับเขาไปนานๆ นั่นเขาหมายความว่ายังไง
หมายถึงนอกจากเรื่องงานแล้ว เราก็ยังคงคบหากันเป็นเพื่อนต่อไปอย่างนั้นหรือ
หญิงสาวยิ้มบางๆ กลับไปก่อนจะทำท่าเหมือนนึกบางอย่างขึ้นได้
“เห็นคุณพีระบอกว่ามีประชุมต่อที่โรงแรม
นี่ก็จะบ่ายโมงแล้ว คุณไม่ต้องรีบไปเหรอคะ?” หญิงสาวถามขึ้นเมื่อมองนาฬิกาที่ตอนนี้บอกเวลาเที่ยงห้าสิบนาทีแล้ว
“จริงด้วย! ผมลืมไปสนิทเลย มัวแต่คุยกับคุณเพลินไปหน่อย”
ชายหนุ่มก้มมองนาฬิกาข้อมือด้วยความตกใจ “งั้นเดี๋ยวผมเดินไปส่งนะครับ”
บอกพลางลุกขึ้นแล้วเดินไปเลื่อนก้าวอี้ให้กีรติก่อนจะหันไปจ่ายค่าอาหารให้กับพนักงานด้วยแบงค์สีเทาสองใบโดยไม่คิดรอเงินทอน
“ไม่เป็นไรค่ะ
เดี๋ยวกีร์เดินไปเรียกแท็กซี่หน้าโรงแรมตรงนี้เองก็ได้” หญิงสาวชี้ไปที่หน้าโรงแรมสื่อความหมายว่ามันอยู่ใกล้แค่นิดเดียวและเขาก็ไม่จำเป็นต้องไปส่งเธอก็ได้
“คุณพีระรีบไปเถอะค่ะ เข้าประชุมสายจะดูไม่ดีนะคะ”
“เอางั้นก็ได้ครับ” เขาพยักหน้าเข้าใจก่อนจะกล่าวลา
“ผมต้องไปก่อน แล้วเจอกันนะครับ”
หญิงสาวยืนยิ้มตามหลังชายหนุ่มที่เพิ่งเดินจากไปครู่หนึ่งก่อนจะเดินออกจากห้องอาหารหรูของโรงแรมแห่งนี้ตาม
ในใจก็อดเสียดายไม่ได้ที่คนหน้าตาดีและเป็นสุภาพบุรุษทุกกระเบียดนิ้วอย่างเขาจะรักผู้ชายด้วยกัน
แต่ก็ต้องขอบคุณความบังเอิญด้วยที่ทำให้เธอกับเขาได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง
เพราะมันทำให้หญิงสาวเหมือนได้รู้จักเพื่อนที่คุยกันถูกคอและได้เข้าใจผู้ชายแบบพีระมากขึ้น
ขณะเดินมาหยุดอยู่หน้าโรงแรม
ฝนก็เริ่มตั้งเค้าและเทลงมาอย่างหนักทั้งที่ก่อนหน้านั้นแดดยังแรงอย่างกับทะเลทรายซาฮาร่าอยู่เลย
กีรติจึงรีบวิ่งเข้าไปหลบใต้ที่จอดรถชั่วคราวหน้าโรงแรม และด้วยรองเท้าส้นสูงของเธอที่เปียกน้ำฝนมาเมื่อวานนี้ทำให้ส้นของมันหักลงอย่างง่ายดาย
“โอ๊ย!” หญิงสาวร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเมื่อข้อเท้าของเธอพลิกอย่างกะทันหันก่อนจะมองไปที่รองเท้าคู่สาวยอย่างเวทนา
“โถ่ลูกแม่ พังซะแล้วเหรอเนี่ย”
คนก้มลงถอดมันอย่างเสียไม่ได้
ตอนนี้ข้อเท้าของเธอเริ่มบวมและมีรอยแดงจางๆ จากการอักเสบแล้ว
อีกไม่นานมันคงกลายเป็นสีม่วงคล้ำจนดูน่ากลัว
กีรติยืนรอรถแท็กซี่อยู่บริเวณที่จอดรถชั่วคราวหน้าโรงแรมท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างไม่ปรานีปราศรัย โดยมือข้างหนึ่งของเธอหิ้วรองเท้าคู่โปรดที่เพิ่งพังจากการวิ่งหลบฝนเมื่อครู่จนไม่สามารถใส่มันได้อีกต่อไป
กว่าหนึ่งชั่วโมงแล้วที่หญิงสาวยืนรอรถตรงนี้ด้วยเท้าเปล่า ทั้งปวดข้อเท้า
ทั้งอายผู้คนที่เดินเข้าออกโรงแรมซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจกันทั้งนั้น
ครั้นจะเดินไปเรียกแท็กซี่ตรงทางเข้าโรงแรมฝนก็ตกหนัก แถมข้อเท้าเธอยังมาเจ็บอีก ตอนนี้จึงทำได้แค่ภาวนาขอให้มีคนที่เธอรู้จักผ่านมาแถวนี้สักคน
จะได้ขอติดรถออกไปด้วยหรือไม่ก็ขอให้ฝนหยุดตกไปก่อนสักประเดี๋ยว แต่ดูท่าแล้วฝนเจ้ากรรมคงไม่ยอมหยุดเอาง่ายๆ
เสียด้วย
ขณะที่หญิงสาวกำลังเหม่อลอยมองไปยังสายฝนเบื้องหน้า
แสงไฟจากรถยนต์คนนึงก็สาดเข้ามา
ก่อนที่ยานพาหนะสมรรถนะสูงจะแล่นมาจอดนิ่งสนิทพร้อมกับกระจกด้านหลังคนขับที่เลื่อนลงอย่างช้าๆ
ปรากฏให้เห็นใบหน้าคนที่นั่งอยู่ภายใน
ความคิดเห็น