แด่รักและสายฝน
ความรักก็เหมือนกับสายฝนที่โปรยปรายลงมาจากฟ้ากว้าง บางทีก็ชุ่มฉ่ำ บางทีก็พัดโหมกระหน่ำแรง ฉันจึงเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา แด่เธอทุกคนผู้มีความรัก ความรักที่เราออกแบบเอง แด่เธอทุกคน "แด่รักและสายฝน"
ผู้เข้าชมรวม
89
ผู้เข้าชมเดือนนี้
6
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ตอนที่ ๑
สายฝนโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า เมฆแต่ละก้อนที่ล่องลอยอยู่นั้นดูตั้งใจทำหน้าที่อย่างร่าเริง แม้แต่ ใบไม้ที่เมื่อครู่เพิ่งทะเลาะกับสายลมก็เต้นระบำไปมา สายน้ำอันชุ่มชื่นเย็นส่งให้ดอกไม้กลีบบางสวยมอบรอยยิ้มอ่อนใสให้กับผู้คนและรถราที่สัญจรอยู่ในมหาวิทยาลัย ช่วงเวลาหลังเลิกเรียนแบบนี้ปกติแล้วรถจะแน่นกว่าช่วงเวลาอื่น ทว่าก็ยังน้อยกว่าในตัวกรุงเทพฯอยู่ดี หญิงสาวในชุดยูนิฟอร์มวิ่งอยู่ท่ามกลางสายฝนอย่างเงอะงะ นอกจากรองเท้าสนสูงที่เป็นอุปสรรคในการวิ่งแล้ว กระโปรงทรงสอบยาว ๑๗ นิ้วที่นาน ๆ เธอจะสวมสักทีหนึ่งยังเป็นอีกหนึ่งอุปสรรคที่ทำให้เธอวิ่งได้ไม่สะดวก ปรกติเธอจะชินกับการใส่กางเกงขายาวหรือกระโปรงพลิ้ว ๆ เสียมากกว่า
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงจะเดินเล่นน้ำฝนไปตามทาง อ้าปากรับน้ำฝน วิ่งไล่จับใบไม้ที่ร่วงหล่นตามแรงลมพัดหรือไม่ก็เดินเตะน้ำที่เจิ่งนองอยู่ตามพื้น แต่ว่าบัดนี้ไม่ใช่ เธอเกลียดฤดูฝน เกลียดทุกวันที่มีฝนตก เกลียดเวลาเมฆตั้งเค้า เกลียดที่กรมอุตุฯพยากรณ์ว่าฝนจะตก เกลียดลมกรรโชก เกลียดทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับฝน!
‘เกลียด หงุดหงิด!’ เสียงในใจเธอตะโกนดังก้องอยู่ตลอดเส้นทางครึ่งกิโลเมตร เมื่อเธอมาถึงหอสมุดก็เปียกมะลอกมะแลกเหมือนลูกหมาตกน้ำมิหนำซ้ำ เครื่องปรับอากาศในหอสมุดยังทำให้เธอหนาวสั่น สั่นไปทั้งตัว
เธอรูดบัตรตรงทางเข้าแล้วรีบสาวเท้าเดินเลยเข้าไปข้างในโซนเงียบโดยไม่ได้ใส่ใจกับผู้คนมากมายที่นั่งกันคุยกันเสียงดังโขมงโฉงเฉงอยู่ชั้น 1 ใกล้สอบแบบนี้คนในหอสมุดจะมากเป็นพิเศษ ทั้งที่มานั่งอ่านหนังสือ มานั่งติวให้เพื่อนและทั้งที่มาปั่นงานส่งอาจารย์
“รอนานมั้ย?” นภมนแอบย่องไปข้างหลังใครคนหนึ่งที่กำลังนั่งคุยโทรศัพท์อยู่โต๊ะมุมซ้ายสุด เนื่องจากที่แห่งนี้คือโซนเงียบ ถึงแม้จะเงียบบ้างไม่เงียบบ้างตามแต่สถานการณ์ แต่เธอก็ระวังให้เสียงที่เปล่งออกมาเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถึงแม้จะเบาเพียงใดแต่คนที่นั่งอยู่ก็ถึงกับสะดุ้ง
“เฮ้ย!” เสียงนั้นบอกว่าเขาตกใจอยู่ไม่น้อย สายตาที่มองมามีแววตำหนิอย่างชัดเจน แต่เมื่อรู้ว่าเสียงนั้นมาจากใคร ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที
“อ้าว น้ำมนต์มาถึงตั้งแต่เมื่อไร เราตกใจหมด”
“เมื่อกี้นี่เอง ไปกันเลยมั้ยที เราหิวจะแย่แล้ว” นภมนหรือน้ำมนต์บอกพลางปัดเผ้าผมออกจากหน้า แววตาขี้เล่นหากก็คมกล้าภายในดวงหน้ากลมมนบอกว่าเธอเป็นคนสดใสร่าเริงและกล้าหาญอีกด้วย
นทียืนเก็บหนังสือและข้าวของทั้งหมดอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาไม่ถึง ๕ นาที ทั้งคู่ก็ออกมายืนรอรถ NGV ของมหาวิทยาลัย
“ทีเป็นไงมั่ง สอบเสร็จแล้วนี่” ฝนหยุดตกไปแล้วแต่ท้องฟ้าก็ยังเป็นสีหม่น ๆ ไม่ใสสว่าง น้ำมนต์เริ่มบทสนทนาเพื่อทำลายบรรยากาศขมุกขมัวนี้
“อืม ก็ดี” ทีตอบพร้อมเบนหน้าหนีไปอีกทาง “นั่นไง รถมาแล้ว” ตอนแรกน้ำมนต์ก็แอบน้อยใจนิดนึงที่เขาตอบคำถามของเธอสั้นไป แถมหันหน้าหนีไปทางอื่น แต่สุดท้ายเธอก็เบาใจเพราะคิดว่าเขาคงกำลังใช้สมาธิกับการรอรถอยู่นั่นเอง ถึงแม้ว่าข้ออ้างที่เธอใช้ให้ตัวเองรู้สึกดีจะไม่ค่อยสมเหตุสมผลก็เถอะ
ทั้งคู่มาถึงร้านอาหารบุฟเฟต์ใกล้กับทางเข้ามหาวิทยาลัย เมื่อรถ NGV มาจอดตรงท่ารถหน้ามหาวิทยาลัยทั้งคู่ก็ลงจากรถเดินไปอีก 5 นาที ก็ถึงที่หมายแล้ว
ขณะที่เดินดูเหมือนจะมีเพียงนภมนที่แสดงออกความดีอกดีใจที่ได้ออกมารับประทานอาหารร่วมกันในวันนี้ เธอชวนนทีคุยเรื่องนี้บ้างเรื่องนู้นบางตามประสาคนพูดเก่ง และพูดได้ทั้งวันโดยไม่ซ้ำเรื่อง ด้วยความกลัวว่านทีจะเบื่อเพราะบรรยากาศค่อนข้างมืดครึ้มและอากาศก็ชวนอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก เธอก็ยิ่งชี้นกชี้ตึกให้เขาดูแล้ววิพากย์วิจารณ์ไปตามประสาเธอเผื่อว่าบางทีจะช่วยให้เขาเพลิดเพลินขึ้นมาบ้าง ที่นทีแอบเบือนหน้าหนีในบางครั้ง ลอบถอนหายใจอยู่บ่อยๆ ตั้งแต่ออกมาจากหอสมุดด้วยกันแล้วก็ใช่ว่านภมนจะไม่ทราบ ทั้งเธอยังจับสีหน้าเบื่อหน่ายของเขาได้อีกด้วย เพียงแต่เธอคิดว่าเขาคงเหนื่อยจากสอบกลางภาคและหิวข้าวเท่านั้นเอง พอได้รับประทานอาหารอาการเหล่านี้ก็คงจะหายไปเอง แต่ความจริงที่อยู่ในใจนทีมานานก็ยังคงเป็นความจริงอยู่เช่นนั้นเอง ความจริงที่เขาจะต้องบอกให้ได้ในสักวันก่อนที่ทุกอย่างบานปลายไปมากกว่านี้
ที่ผ่านมาก็ใช่ว่านภมนจะไม่ดี ไม่น่ารักหรือบกพร่องที่ตรงไหน แต่มีอยู่ข้อหนึ่งที่เขาทำใจยอมรับได้ยากเหลือเกิน ทั้งๆ ที่เขาก็พยายามมาหลายต่อหลายครั้ง พยายามนึกถึงความสดใสน่ารักของเธอ พยายามนึกถึงความดีทั้งมวลที่เธอได้ทำเพื่อเขาตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่คบกัน เธอก็ดีอยู่หรอก ทั้งนิสัยก็น่ารัก บางคราวก็น่าชื่นชม กล้าหาญ ตรงไปตรงมา มีปัญหาอะไรก็รีบสะสางไม่ปล่อยให้ค้างคาในใจ การเรียนก็เก่งเป็นคนมุ่งมั่น ตั้งใจเรียน ถึงแม้ว่าการเรียนในชั้นอุดมศึกษาจะค่อนข้างเป็นอิสระ แต่เธอก็ไม่เคยโดดเรียนเลยสักครั้ง นอกจากจะมีธุระจำเป็นจริงๆ ก็จะมีจดหมายลาอาจารย์ประจำวิชาอย่างเป็นทางการ ปีนี้เป็นปีสุดท้ายของทั้งสองแล้วพอเรียนจบเขาก็จะเดินทางไปเรียนที่ประเทศเยอรมันเพราะตรงกับสายการเรียนที่เขาเรียนมาตั้งแต่มัธยมปลายรวมถึงในชั้นอุดมศึกษาด้วย ส่วนนภมนเธอก็คงจะทำงานในสำนักพิมพ์ดังที่เธอใฝ่ฝัน เขาและเธอก็คงจะได้แยกจากกันแต่เพียงเท่านี้ ทุกอย่างก็จะเป็นไปด้วยดี ถึงแม้ว่าการตัดสินใจในครั้งนี้ของเขาอาจจะทำให้เธอต้องเจ็บปวดอยู่สักระยะแต่พอเวลาผ่านไปเนิ่นนานเธอก็คงจะลืมได้เอง นทีหันมองหน้านภมนก็ยังเห็นเธอชี้ชวนให้เขาดูเครื่องบินอยู่ เขาได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ หันหน้ากลับทันก่อนที่นภมนจะหันมาเห็นกิริยาอาการนั้นของเขา
“ที ดูเครื่องบินลำนั้นดิ แอร์ที่อยู่ข้างบนคงกำลังมองเราอยู่แน่เลย สวัสดีค่านางฟ้า” นภมนพูดเสียงสดใสร่าเริง หน้าตาแจ่มใสพร้อมกับโบกไม้โบกมือให้เครื่องบิน
“เดินกลับเถอะนะ เราอยากมีเวลาอยู่กับน้ำมนต์นานๆหน่อย” นทีบอกหลังจากที่ทั้งสองรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว
“อืม ได้สิ” นภมนตอบเสียงใส ฉีกยิ้มไปถึงใบหู นานแล้วที่เธอกับเขาห่างเหินกันไม่ค่อยได้ทำอะไรร่วมกันเหมือนช่วงแรกที่เพิ่งเริ่มคบกัน ตอนนั้นเธอจำได้ว่า..
‘น้ำมนต์ ไปค่ายสร้างวัดด้วยกันมั้ย เราสองคนจะได้ทำบุญร่วมชาติกันไง ชาติหน้าจะได้เกิดมาคู่กันอีก’ พูดจบนทีก็หัวเราะเสียงดัง นภมนเขินอายจนหน้าแดงทำอะไรไม่ถูกจึงหัวเราะตามไปด้วย ก่อนจะตอบตกลงกับเขา
ด้วยความหล่อเหลาเกินผู้ชายจนเกือบจะเป็นสวยของนทีทำให้เพื่อนๆ ของเธอต่างก็อิจฉาที่ผู้หญิงหน้าตาธรรมดาๆ อย่างได้คู่รักที่หน้าตาดี เธอเองก็ชอบเขาอยู่มาก ชอบที่เขาสะอาดสะอ้านไม่สกปรกเหมือนผู้ชายทั่วๆไป เสื้อก็ต้องรีดให้เรียบจีบคมกริบจนแทบจะบาดมือได้ ผมก็หวีเรียบร้อยจนสังเกตได้อย่างง่ายดาย น้ำหอมอีกล่ะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่รวมเป็นเขาดูดี เรียบร้อย อีกทั้งบุคลิกภาพก็ดี สง่างามและโดยเฉพาะความสุภาพของเขาที่ทำให้เธอตกหลุมรักเขาจนถอนตัวไม่ขึ้น
ในครั้งที่ 2 ที่เขาและเธอไปทำกิจกรรมร่วมกันก็คือ ไปสอนหนังสือให้เด็กที่ด้อยโอกาสตามดอยในจังหวัดทางภาคเหนือ และอีกหลายๆ ครั้งที่ทั้งสองมีโอกาสได้มีประสบการณ์อันน่าประทับใจร่วมกัน ทุกครั้งก็เป็นนทีที่เป็นฝ่ายชวนทั้งสิ้น
“น้ำมนต์ น้ำมนต์ ” เสียงเขาเรียกเธออยูใกล้จากเสียงที่เธอไม่ได้ยินกลายเป็นเสียงที่ดังขึ้นจนเธอสะดุ้ง
“ฮะ ว่าไง อะ อะไรนะ ” เธอตกใจจนพูดสะดุด
“เรียกอยู่ตั้งนาน ไม่ได้ยินหรอ ไปกันเถอะมัวแต่ยืนโอ้เอ้เดี๋ยวก็มืดค่ำไปกว่าหรอก” นทีบอกเธอด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์นัก
เดินมาได้สักระยะนทีก็เริ่มยิงคำถามที่เธอคุ้นเคยและไม่รู้สึกรู้สมอะไรกับมันอีกแล้ว ทั้งที่แต่ก่อนคำถามนี้จะนำความตื่นเต้นมาสู่หัวใจเธอทุกครั้งแต่ไม่ใช่ครั้งนี้
“น้ำมนต์รักเรามั้ย”
“อื้ม” เธอตอบแบบไม่ใคร่จะสนใจสักเท่าไร เพราะตั้งแต่ออกจากหอสมุดแล้วเขาก็อารมณ์บูดใส่เธอ ตอนแรกเธอก็นึกว่าเป็นเพราะความหิวจึงทำให้เขาเป็นอย่างนั้น แต่พอรับประทานอาหารเสร็จเขากลับอาการไม่ดีขึ้นแถมก่อนออกเดินยังตะคอกเธออีก ถึงตอนนี้ความรู้สึกที่อยากทำให้เขารู้สึกดี อารมณ์เบิกบานก็ได้มลายหายสิ้นไปหมดแล้ว เธอไม่ได้มีหน้าที่ไปคอยเอาใจใครถึงแม้คนคนนั้นจะเป็นคู่รักของเธอแต่ทุกอย่างก็ย่อมมีขอบเขตของมันเธอจะหยุดการเอาใจเขาแต่เพียงเท่านี้เขาจะรู้สึกอย่างไรก็ช่างเพราะวันนี้เธอเหนื่อยเต็มทีแล้ว
“ถ้าเราเลิกกัน น้ำมนต์จะ..” นทีพูดยังไม่จบประโยคนภมนก็หันขวับมามองหน้าเขาในทันที ความรู้สึกเหนื่อยหน่ายในใจเมื่อครู่หายไปเป็นปลิดทิ้งไม่เหลือเค้าแม้แต่น้อย
“อะไรนะ นี่คือขอเลิกกับเราหรอ” ตอนแรกพอนทีเห็นสีหน้าเหนื่อยหน่ายของนภมนเริ่มถอดสีก็นึกว่าเธอจะต้องร้องไห้ เสียใจแต่ไม่เป็นตามคาด อารมณ์ของเธอตอนนี้ต้องใช้คำว่าเดือดดาลถึงจะถูกต้อง
“ปะ เปล่า เราไม่ได้หมายถึงแบบนั้น คือเราอธิบายได้ ไม่ใช่ว่าน้ำมนต์ไม่ดีนะ แต่มันมีบางอย่างที่เรายังทำใจไม่ได้ เรายอมรับข้อนั้นไม่ได้จริงๆ เข้าใจเรามั้ย”เขารีบบอกเธอรวดเร็วก่อนที่เธอจะโมโหไปมากกว่านี้
“อะไร อะไรที่รับไม่ได้” เธอขึ้นเสียงดัง นักศึกษาสองสามคนที่อยู่ใกล้ๆ กับบริเวณนั้นหันมองเป็นตาเดียวก่อนจะรีบจ้ำอ้าวเดินหนีไป
“คือ..น้ำมนต์ก็เป็นคนดีนะแต่..”
“แต่ อาร๊าย” เสียงเธออยู่ในระดับที่สูงปรี๊ด ก่อนที่เธอจะพุ่งเข้าชกที่แขนเขา ร้องไห้อย่างบ้าคลั้ง ทรุดตัวนั่งลงตรงนั้นนั่นเอง
นทีพยุงนภมนที่ร้องไห้โฮๆ เสียงดังไปนั่งที่ม้านั่งใกล้ๆ เขานึกเสียใจที่ได้พูดแบบนั้นถึงแม้จะไม่ได้บอกว่าจะเลิกกันชัดเจนแต่เธอก็รู้ทัน ตั้งคำถามจนเขาต้องพูดออกมาในที่สุด จริงๆ เขาควรจะรอให้เธอพร้อมก่อนน่าจะดีกว่า ควรจะแสดงเค้าลางของอะไรบางอย่างให้เธอพอจะทำใจได้ ไม่ใช่หักดิบจนต้องเกิดเหตุการณ์วุ่นวายดังที่เป็นอยู่ ณ ขณะนี้
ทั้งคู่ต่างคนต่างก็เงียบไม่มีใครปริปากพูดอะไรเลย นภมนยังไม่ยอมหยุดร้องไห้ ส่วนนทีก็ลอบถอนหายใจอยู่บ่อยๆ เข็มนาฬิกาข้อมือเคลื่อนมาที่เลข ๑๐ หากปล่อยให้เสียเวลาไปโดยปราศจากการทำความเข้าใจกันแบบนี้ ก็มีแต่จะเสียเวลาอีกทั้งปัญหาก็ไม่ได้รับการแก้ไขตามที่ควรจะเป็น นทีจึงเป็นฝ่ายเริ่มต้นพูดก่อนเพราะเขาเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้เกิดสถานการณ์เลวร้ายนี้ขึ้น
“น้ำมนต์..” เขาเรียกเธอเสียงอ่อนโยน นภมนปรายตามองเขาด้วยสายตาตัดพ้อต่อว่า
“น้ำมนต์ฟังเรานะ เราอยากให้ตั้งใจฟังดีๆ เพื่อทางออกที่ดีสำหรับเราทั้งสองคน” ถ้าเป็นในยามปกตินภมนคนเดิมคงจะเถียงเขาฉอดๆ แต่ในยามนี้เธอทั้งอ่อนล้าร่างกายจากการร้องไห้ติดต่อกันมานานหลายชั่วโมงอีกทั้งก็เริ่มดึกร่างกายอ่อนเพลียต้องการการพักผ่อน ส่วนหัวใจของเธอไม่ต้องพูดถึงเพราะตอนนี้ระบมไปหมดทั้งหัวใจ เจ็บปวดเกินจะบรรยาย เธอจึงทำได้เพียงนั่งนิ่งๆ ฟังเขาพูด
“เรื่องนี้เราเก็บเป็นความลับมานานแล้ว ไม่เคยบอกให้น้ำมนต์รู้ แต่วันนี้เป็นตายร้ายดียังไงเราก็ต้องบอกให้ได้ เราไม่อยากทำตัวเป็นคนเห็นแก่ตัวแบบนี้อีกต่อไป เรารู้ว่าน้ำมนต์รักเรา และเราก็รักน้ำมนต์ แต่เรารักกันไม่ได้ โธ่..อย่ามองเราแบบนั้นสิ ”
-----------------------------
ติดตามอ่านตอนต่อไปได้เร็วๆนี้นะค้าาาาา ^O^
สามารถติ-ชม ได้เลย เม้นกันได้เลยน้าา หรือใครอยากจะส่งอีเมล์มาคุยกันก็ได้ที่ manplu2013@hotmail.com
ปล.เราขอใช้เลขไทยนะคะ เพราะว่าใช้โน้ตบุคพิมพ์จะได้ไม่ต้องเปลี่ยนภาษา
ผลงานอื่นๆ ของ ม่านพลุ ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ม่านพลุ
ความคิดเห็น