ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ประสบการณ์ลดน้ำหนักด้วยตัวเอง เดือนละ 10 กิโลฯ

    ลำดับตอนที่ #6 : เบเกอรี่ที่รัก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 9.65K
      4
      24 มี.ค. 48



                                                  หมายเหตุ เขียนวันที่ 24 มี.ค. 48     หนัก 88.5 กิโลกรัม





                                                  ก่อนที่จะเข้าเรื่องของวันนี้ ขอผมให้ข้อสังเกตอะไรบางอย่างก่อน ผมเคยบอกไปบ้างแล้วว่า การลดน้ำหนักของผม จาก 107-96 ค่อนข้างไปได้สวยแต่มาคาตรง 96 อยู่นานหลายวัน และตอนนี้เองผมก็กลับมาเจอปัญหาเดิมอีกแล้ว เพราะตอนที่ลดจาก 96-88 มันก็ค่อนข้างทำได้ดีเหมือนกัน แต่ผมก็มาคาอยู่ที่ 88.5 นี่หลายวันแล้วนะครับ ถ้าใครติดตามมาตั้งแต่วันแรกคงจะสังเกตได้ ถ้าจะให้ตั้งสมมติฐานมันก็อาจจะมีได้แค่ 2 ข้อครับ เอาเท่าที่ผมคิดออกในตอนนี้คือ

                                                

                                                  1. พอเราลดมาเรื่อยๆ ยิ่งน้ำหนักน้อยลงก็จะยิ่งลดยากขึ้น

                                                  2. ช่วงที่น้ำหนักคาอยู่ 96 นานหลายวันตอนนั้น กับที่คาอยู่ 88 มา2-3 วันแล้วในตอนนี้ พฤติกรรมของผมมันน่าที่จะมีอะไรที่เหมือนกันสักอย่างที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น



                                                  ผมว่าสมมติฐานข้อที่สองนี้น่าสนใจครับ แล้วพอมาคิดทบทวนและเปรียบเทียบแล้ว น่าจะเป็นว่า ช่วงนั้นกับช่วงนี้ผมสามารถที่จะตื่นสายได้และสามารถเข้าออฟฟิตในตอนบ่ายได้ เพราะช่วงที่ผมลดได้ดีคือผมจะตื่นแต่เช้าและกินทุกมื้อหรือไม่ก็งดมื้อเย็น แต่ทั้ง 2 ช่วงที่ทำให้น้ำหนักตัวคงที่ถึงแม้ว่าจะยังอยู่ในโปรแกรมก็ตาม  น่าจะมาจากการที่ผมตื่นสายได้ คือผมตื่นประมาณ 10 โมงและเข้าออฟฟิตประมาณเที่ยง แล้วก็มากินมื้อเที่ยงที่ทำงานเลย มันก็ดูเหมือนกับว่าไม่ได้กินมื้อเช้า แล้วทำไมน้ำหนักตัวถึงไม่ลด แต่ผมก็ลืมคิดไปว่า ช่วงเช้าตั้งแต่ 8 โมงถึงเที่ยง เป็นเวลาตั้ง 4 ชั่วโมงที่ผมนอนและนั่งอยู่บนรถ ถ้ามาที่ทำงานแต่เช้าผมยังได้ออกกำลังกายอย่างอื่นบ้างและมันก็จะทำให้เราใช้พลังงานได้มากขึ้น แล้วถ้ามาคิดให้ละเอียดอีกที ถ้าผมเข้าออฟฟิต 8 โมงผมก็ต้องตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่งแล้วออกจากบ้าน 6 โมงเช้า แสดงว่าเวลาที่หายไปไม่ใช่ 4 ชั่วโมงแล้วล่ะครับ แต่มันตั้ง 6 ชั่วโมง มันก็น่าจะมีผลอยู่บ้าง น้ำหนักตัวของผมจึงไม่ลด แต่ในขณะเดียวกันน้ำหนักก็ไม่เพิ่มเพราะผมยังเข้าโปรแกรมอยู่ เมื่อสรุปผลดังนี้พรุ่งนี้ผมคงต้องตื่นแต่เช้าแล้วก็ลองชั่งน้ำหนักในช่วงเย็นดูว่าผลจะเป็นอย่างไร ได้เรื่องยังไง พรุ่งนี้ผมจะมารายงานให้ทราบอีกทีครับ



                                                   ส่วนตอนนี้ผมจะมาย้อนอดีตในวันที่ 11 ก.พ. 48  ตอนที่ผมหนัก 102 กิโล แล้วเกิดอาการแปลกๆ ลืมบอกไปว่าก่อนที่ผมจะเข้าโปรแกรม ช่วงเวลาระหว่างมื้อเที่ยงกับมื้อเย็น ผมจะมีมื้ออาหารว่างสุดโปรดก็คือเบเกอรี่นานาชนิด ที่ผมกินอยู่เป็นประจำก็คือ เอแคลร์ 5 ลูก ครัวซอง 1 ชิ้นและเค้กฝอยทองอีก 2 ชิ้น ตั้งแต่ผมเข้าโปรแกรมมาตลอด 10 วันนี้ ผมไม่ได้แตะเบเกอรี่เลยสักชิ้น พอถึงวันนี้เลยต้องใช้คำว่า\"ของขึ้น\"ครับ และมันก็ขึ้นแบบชนิดที่เรียกว่าผมเองก็คาดไม่ถึง พอผมเดินผ่านร้านเบเกอรี่ ผมก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปในร้านและก็เดินดูเบเกอรี่แสนอร่อยนานาชนิด



                                                   มันน่ากินไปหมดเลยเนี่ย จะทำยังไงดี ยิ่งเห็นก็ยิ่งอยากกิน ก็น่าแปลกที่ 10 วันแรกผมไม่มีความรู้สึกแบบนี้ มามีเอาวันที่ 11 นี่แหละ แล้วผมก็ยืนคิดอยู่นานว่าผมจะทำยังไงดี หลายคนที่เห็นพฤติกรรมของผมในวันนั้น เขาคงแปลกใจว่าหมอนี่มายืนเก้ๆกังๆทำไม แต่ตอนนั้นกำลังชั่งใจอยู่ครับว่าจะซื้อดีรึเปล่า เห็นหลายๆคนเขาก็ซื้อกันเยอะแยะด้วยความเอร็ดอร่อย แล้วทำไมเราจะซื้อไม่ได้ล่ะ พอคิดแบบนี้เหตุผลก็มีเข้ามาอีกว่า ตอนนี้เราอยู่ในโปรกแกรมนะ กินไม่ได้หรอก แต่ไปๆมาๆก็คิดเหตุผลตามประสาคนอยากกินได้ขึ้นมาอีกว่า อยู่ในโปรแกรมแล้วก็ออกจากโปรแกรมได้นี่หว่า ไม่ได้ผิดกฎหมายอะไรสักหน่อย ถึงซื้อกินก็คงไม่มีใครว่าอะไร ชีวิตนี้มันก็ชีวิตของเราเอง มันไม่น่าจะเสียหายอะไรเลยนี่นา



                                                   แต่ความคิดหนึ่งที่ผุดขึ้นมาและทำให้ผมยับยั้งชั่งใจไม่ซื้อเบเกอรี่ได้ ก็คือการที่คิดว่า ถ้าเราจะสวาปามเหมือนเดิม แล้วสิ่งที่ทำ 10 วันที่ผ่านมามันจะทำไปทำไมล่ะ ถ้า\"ผม\"ในวันที่ 11 นี้ อยากจะมีพฤติกรรมการกินเหมือนเดิม \"ผม\"ที่ใช้ชีวิตในช่วง 10 วันที่ผ่านมาก็จะหายไปเหมือนกับว่าผมไม่เคยเข้าโปรแกรมลดน้ำหนักมาก่อน ถ้าปล่อยให้ตัวเองทำแบบนั้น ถ้าจะหันกลับมาเข้าโปรแกรมใหม่ มันจะทำได้เหรอ พอคิดได้ดังนี้แล้วผมก็เลยเดินออกจากร้านเบเกอรี่ไปเลย จากวันนั้นถึงวันนี้ ผมยังไม่เคยนึกอยากกินเบเกอรี่อีกเลย ก็นับว่าผ่านพ้นมันมาได้ บางท่านอาจจะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องที่หนักหนาสาหัสอะไรเลยนี่ แต่ถ้าท่านไปถามคนที่เป็นแฟนตัวจริงของร้านเบเกอรี่แล้ว ท่านจะได้คำตอบว่าเวลาอยากกินแล้วต้องมานั่งคิดหักห้ามใจตัวเองนั้น มันยากขนาดไหน แต่จะยากยังไงผมก็ผ่านพ้นมันมาได้



                                                   ผลจากการเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยเป็นเวลา 10 วัน นอกจากน้ำหนักจะหายไป 5 กิโลแล้ว สิ่งที่เห็นชัดเจนที่สุดสำหรับตัวผมนั้นคือ ระบบขับถ่ายที่ดีขึ้น เพราะถ้าเป็นเมื่อก่อนผมจะท้องเดินบ่อย ถ้าท้องไม่เสียก็จะท้องผูกไปเลย มันไม่ค่อยจะอยู่ในภาวะปรกติสักเท่าไหร่ บางครั้งก็จะถ่ายบ่อย บางครั้งก็จะนานๆถ่ายที เวลาถ่ายบางครั้งจะมีกลิ่นที่ทนแทบไม่ได้ แต่พอถึงวันนี้ ปัญหาเรื่องการขับถ่ายต่างๆหายไปแทบทั้งหมด



                                                  หลังจากยับยั้งไม่ให้ตัวเองกินเบเกอรี่ได้ในวันที่ 11 ผมก็อยู่ในโปรแกรมมาได้เรื่อยๆจนครบ 20 วัน คือพอครบวันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 48 ผมหนัก 97 กิโลกรัมพอดี ซึ่งหลายคนลงความเห็นว่าเป็นการเห็นผลที่เร็วเกินคาด แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ลดได้คือความต่อเนื่อง การลดน้ำหนักนั้นต่างจากการอ่านหนังสือเตรียมสอบตรงที่ว่า ถ้าเราวางแผนว่าจะอ่านหนังสือเตรียมสอบ 2 เดือนแต่พอเอาเข้าจริงๆ ดันไม่อ่านเลย แต่ดันมาทุ่มเทเอา 3 วันก่อนสอบแบบไม่หลับไม่นอนซึ่งก็อาจจะทำคะแนนได้บ้างหรืออาจจะทำได้แค่สอบผ่าน แต่สำหรับการลดน้ำหนักนั้นโดยแก่นแท้ของมันเองแล้ว มันจะทำแบบเตรียมอ่านหนังสือสอบไม่ได้เลยครับ การเข้าโปรแกรมลดน้ำหนักนั้น พฤติกรรมที่เราทำทุกวันมันมีค่าและมีความหมายเสมอ ถ้าวันไหนเราเกิดแหกคอกขึ้นมา น้ำหนักมันก็จะไม่ลดหรืออาจเพิ่มขึ้นไปตามพฤติกรรมที่เราทำ และถ้าเราทำต่อเนื่องได้ทุกวันมันจะทำให้สุขภาพโดยรวมของเราดีขึ้นด้วย ที่สำคัญคือไม่มีผลข้างเคียงใดๆทั้งสิ้น นั่นแหละครับคือสิ่งที่ผมได้



                                                  แต่อุปสรรคก็ยังมีอยู่นะครับ และก็เป็นอุปสรรคที่มาจากข้างในตัวเราเองอีกเหมือนกัน คือตอนที่น้ำหนัก 97 กิโลกรัม วันที่ 21 ก.พ. 48 อารมณ์คิดถึงข้าวมันแล่นเข้ามาอย่างกับคลื่นสึนามิแน่ะ แล้วมันก็มีอารมณ์อยากอย่างมากทีเดียว ทำไมมันถึงมาอยากเอาตอนนี้ก็ไม่รู้ สิ่งที่ผมนึกได้คืออาจเป็นที่สิ่งแวดล้อม เพราะ 20 วันที่ผ่านมาผมไม่ได้ย่างกรายเข้าไปที่ศูนย์อาหารของห้างฯเลย แต่บังเอิญวันที่ 21 ก.พ. 48 เพื่อนของผมนัดคุยธุระที่ศูนย์อาหารของห้างฯแห่งหนึ่ง คงเป็นบรรยากาศภายในศูนย์อาหารที่สัมผัสได้ทั้งภาพและกลิ่น และที่สำคัญคือหลายๆคนก็ซื้อข้าวกินกัน บรรยากาศของศูนย์อาหารที่นี่มันดีกว่าที่โรงอาหารของที่ทำงานผมเยอะเลย ประกอบกับผมไม่ได้กินข้าวมาแล้วตั้ง 20 วัน อาการอยากกินข้าวเลยประเดประดังเข้ามา ผมก็เลยต้องมาแก้ปัญหาเรื่องของขึ้นอีก แต่การแก้ปัญหาในวันนั้นทำให้ผมได้รับความรู้บางอย่างเกี่ยวกับตัวผมมากขึ้นตามไปด้วย







                                                  
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×