ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ปริญญาตรี
คณะพันธุ์ศาสตร์
ส่งอาจารย์
ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์พันธา พฤษา
...............................................
บทนำ
บทที่1
ส่งอาจารย์
ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์พันธา พฤษา
...............................................
บทนำ
บทที่1
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
โลกถือกำเนิดมาเมื่อหลายล้านปีที่แล้ว หลังจากที่จักวาลได้สร้างกาแลคซี่นี้ขึ้นมา มีเพียงแรงโน้มถ่วงเท่านั้น ที่หลอมรวมให้เศษฝุ่น ก้อนหิน อนุภาคเล็กๆต่างๆมากมาย ให้กลายเป็น"ดาวเคราะห์" และดาวเคราะห์จะต้องไม่มีแสงสว่างในตัวเอง ถ้ามีแสงสว่างในตัวเองเรียกว่าดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ส่วนใหญ่โคจรในรัศมีดาวฤกษ์ เช่น สุริยะจักร เป็นต้น และยังมีดาวเคราะห์ที่โคจรดาวเคราะห์ด้วยกันเอง เช่น โลก
ดาวเคราะห์และจักรวาลถูกสรรค์สร้างมาเพื่อสิ่งใดนั้นไม่มีใครรู้แน่ชัด แต่ทว่า มันมีความพิเศษในแบบของมัน อุณหภูมิ เป็นสิ่งสำคัญ อีกทั้งสภาพแวดล้อม ธาตุต่างๆถ้าอยู่ในช่วงเหมาะสมหรือพอดิบพอดี มันจะถือกำเนิดสิ่งหนึ่งขึ้นมา เรียกว่า "สิ่งมีชีวิต"
สิ่งมีชีวิต ประกอบด้วยธาตุต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคาร์บอน ออกซิเจน และอื่นๆ สิ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างมาก
เมื่อโลกมีสิ่งมีชีวิตขึ้นมา สิ่งนั้นเริ่มแรกจะประกอบด้วยเซลล์เดียว แล้วใช้เวลาพัฒนาวิวัฒนาการหลายล้านปี จากเผ่าพันธุ์เดียวกลายเป็นล้านๆเผ่าพันธุ์ และนี่เองที่เป็นจุดสนใจในการศึกษาเผ่าพันธุ์ต่างๆที่ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกใบนี้...
เมื่อเวลาผ่านไป โลกเปลี่ยนแปลงขึ้น มีสิ่งที่เรียกว่ามนุษย์ เกิดขึ้น ซึ่งวิวัฒนาการมาจากเผ่าพันธุ์ลิง พวกเขามีสมอง มีความคิดช่างสังเกต สร้างสิ่งใหม่ๆขึ้นมา กลายเป็นอาณาจักร เป็นแคว้น แต่ทว่า มนุษย์ที่มีหลากเผ่าพันธุ์จนบางครั้งเราก็แยกไม่ออกว่ามนุษย์มีพลังเหนือธรรมชาติหรือไม่? แล้วถ้ามี จะแยกไปอีกเป็นเผ่าพันธุ์หนึ่ง ซึ่งเราไม่เคยรู้มาก่อน อาจจะอยู่ที่ไหนสักแห่ง ที่ๆมีอากาศบริสุทธิ์ ที่ๆมีพลังเหนือธรรมชาติ ที่ๆมีแต่สิ่งงดงามแปลกตา แต่มันไม่ได้อยู่บนพื้นโลก อาจจะอยู่อีกโลกหนึ่งเรียกว่า "มิติ" และข้าพเจ้าก็จะไปศึกษาเผ่าพันธุ์ต่างๆที่ไม่เคยมีอยู่บนโลกมนุษย์มาก่อน อาจจะเป็นเพียงตำนาน หรือ เป็นเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้น หรืออาจจะมีอยู่จริง แต่ถูกพวกที่มีอำนาจมากกว่าล้างเผ่าพันธุ์ไปแล้วก็เป็นได้..
วัตถุประสงค์ของงานวิจัย
1.เพื่อศึกษาลักษณะเผ่าพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต
2.เพื่อศึกษาความเป็นอยู่ของสิ่งมีชีวิต
3.เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาการดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับเผ่าพันธุ์อื่นๆได้อย่างเหมาะสม
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับโลกถือกำเนิดมาเมื่อหลายล้านปีที่แล้ว หลังจากที่จักวาลได้สร้างกาแลคซี่นี้ขึ้นมา มีเพียงแรงโน้มถ่วงเท่านั้น ที่หลอมรวมให้เศษฝุ่น ก้อนหิน อนุภาคเล็กๆต่างๆมากมาย ให้กลายเป็น"ดาวเคราะห์" และดาวเคราะห์จะต้องไม่มีแสงสว่างในตัวเอง ถ้ามีแสงสว่างในตัวเองเรียกว่าดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ส่วนใหญ่โคจรในรัศมีดาวฤกษ์ เช่น สุริยะจักร เป็นต้น และยังมีดาวเคราะห์ที่โคจรดาวเคราะห์ด้วยกันเอง เช่น โลก
ดาวเคราะห์และจักรวาลถูกสรรค์สร้างมาเพื่อสิ่งใดนั้นไม่มีใครรู้แน่ชัด แต่ทว่า มันมีความพิเศษในแบบของมัน อุณหภูมิ เป็นสิ่งสำคัญ อีกทั้งสภาพแวดล้อม ธาตุต่างๆถ้าอยู่ในช่วงเหมาะสมหรือพอดิบพอดี มันจะถือกำเนิดสิ่งหนึ่งขึ้นมา เรียกว่า "สิ่งมีชีวิต"
สิ่งมีชีวิต ประกอบด้วยธาตุต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคาร์บอน ออกซิเจน และอื่นๆ สิ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างมาก
เมื่อโลกมีสิ่งมีชีวิตขึ้นมา สิ่งนั้นเริ่มแรกจะประกอบด้วยเซลล์เดียว แล้วใช้เวลาพัฒนาวิวัฒนาการหลายล้านปี จากเผ่าพันธุ์เดียวกลายเป็นล้านๆเผ่าพันธุ์ และนี่เองที่เป็นจุดสนใจในการศึกษาเผ่าพันธุ์ต่างๆที่ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกใบนี้...
เมื่อเวลาผ่านไป โลกเปลี่ยนแปลงขึ้น มีสิ่งที่เรียกว่ามนุษย์ เกิดขึ้น ซึ่งวิวัฒนาการมาจากเผ่าพันธุ์ลิง พวกเขามีสมอง มีความคิดช่างสังเกต สร้างสิ่งใหม่ๆขึ้นมา กลายเป็นอาณาจักร เป็นแคว้น แต่ทว่า มนุษย์ที่มีหลากเผ่าพันธุ์จนบางครั้งเราก็แยกไม่ออกว่ามนุษย์มีพลังเหนือธรรมชาติหรือไม่? แล้วถ้ามี จะแยกไปอีกเป็นเผ่าพันธุ์หนึ่ง ซึ่งเราไม่เคยรู้มาก่อน อาจจะอยู่ที่ไหนสักแห่ง ที่ๆมีอากาศบริสุทธิ์ ที่ๆมีพลังเหนือธรรมชาติ ที่ๆมีแต่สิ่งงดงามแปลกตา แต่มันไม่ได้อยู่บนพื้นโลก อาจจะอยู่อีกโลกหนึ่งเรียกว่า "มิติ" และข้าพเจ้าก็จะไปศึกษาเผ่าพันธุ์ต่างๆที่ไม่เคยมีอยู่บนโลกมนุษย์มาก่อน อาจจะเป็นเพียงตำนาน หรือ เป็นเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้น หรืออาจจะมีอยู่จริง แต่ถูกพวกที่มีอำนาจมากกว่าล้างเผ่าพันธุ์ไปแล้วก็เป็นได้..
วัตถุประสงค์ของงานวิจัย
1.เพื่อศึกษาลักษณะเผ่าพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต
2.เพื่อศึกษาความเป็นอยู่ของสิ่งมีชีวิต
3.เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาการดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับเผ่าพันธุ์อื่นๆได้อย่างเหมาะสม
ขอบเขตของการวิจัย
1. ขอบเขตของเนื้อหา:การศึกษาครั้งนี้มุ่งศึกษาลักษณะ วัฒนธรรม สภาพที่อยู่,ถิ่นอาศัย ของเผ่าพันธุ์
2. ตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยข้อที่ 1-2
3. ศึกษาที่แคว้นเนพีอา
3. ศึกษาที่แคว้นเนพีอา
1. ผลที่ได้รับจากการศึกษาในครั้งนี้จะทำให้ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะ วัฒนธรรม สภาพที่อยู่,ถิ่นอาศัย ของเผ่าพันธุ์ว่าเป็นอย่างไร
2. ข้อค้นพบจากงานวิจัยในครั้งนี้สามารถนำไปศึกษา บันทึกปัญหาเผ่าพันธุ์ ข้อดี ข้อด้อยต่างๆได้ และนำไปพัฒนาในการดำรงชีวิตอยู่กับเผ่าพันธุ์อื่นๆได้
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
1. เนพีอา แคว้นในตำนานที่สาบสูญ
2. วิวัฒนาการ
3. สัตว์ในเทพนิยายและตำนาน
4.ประวัติศาตร์ดาร์คแลนด์
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
1. เนพีอา แคว้นในตำนานที่สาบสูญ
2. วิวัฒนาการ
3. สัตว์ในเทพนิยายและตำนาน
4.ประวัติศาตร์ดาร์คแลนด์
..........................................................................................
บทที่2
ตอนที่1
ตำนานดาร์คแลนด์
มีตำนานปรัมปราเล่าว่า25000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช การสถาปนาดาร์คแลนด์
มหาจักรวาลเต็มไปด้วยอาณาจักรน้อยใหญ่มากมาย
ยมทูตทั้งห้าแห่งนรกได้ร่วมสร้างดินแดนเร้นรับในม่านหมอกขึ้น
ตั้งนามว่า อาณาจักรดาร์คแลนด์
เพื่อรวมศาสตร์มืด ความเร้นลับ เป็นที่อยู่อาศัยของ เทพ ภูติ ผี ปีศาจ วิญญาณ สัตว์หลากชนิด ซึ่งเป็นขบถต่อเเสงสว่าง
ยมทูตทั้งห้า ได้นำชิ้นส่วนวิญญาณของตนหล่อหลอมออกมาเป็นชายชาวดาร์คสายเลือดบริสุทธิ์คนเเรก ชื่อ อัทรา
เเละเป็นหญิงชาวดาร์คสายเลือดบริสุทธิ์คนแรกชื่อ เอรินเทรีย
จากนั้นยมทูตทั้งห้าก็ทิ้งวิญญาณหลับใหลอย่างสงบสุข
ไม่มีใครรู้ว่าวิญญาณของทั้งห้า...อยู่ที่ใด
อัทรา เเละ เอรินเทรีย สถาปนาตนเป็นแกรนด์ดยุค เเละแกรนด์ดัชเชส รับหน้าที่เป็นผู้นำ
แห่งดาร์คแลนด์ ภายใต้ธงตระกูลอันทรา ศูนย์กลางอยู่ที่เเคว้นเนพีอา ปกครองโดยสงบสุข
ถึง 197 ยุคสมัย ประชาชนทั้งหมด เรียกตัวเองว่า...ชนเผ่าดาร์ค
ทั้งหมด ล้วนมีจุดร่วมเดียวกันคือ... ชิงชังแสงสว่าง เเละมองเห็นความงดงามในความมืด
และยังมีเรื่องเล่าอื่นๆอีกมากมายที่ถูกบันทึกรวมรวมเป็นประวัติศาตร์ดาร์คแลนด์
ตอนที่2เนพีอา แคว้นในตำนานที่สาปสูญ
ประัวัติความเป็นมา
"เนพีอา"ปรากฏในตำนานดาร์คแลนด์ว่าเป็นแคว้นมายา
ไม่เคยมีใครเคยพบมาก่อน บัดนี้ คณะสำรวจเเห่งดาร์คแลนด์ได้ค้นพบแคว้นแห่งนี้
แคว้นที่่ซ่อนในไอหมอก เเละความดำมืด
เเคว้นที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพังของอารยธรรม
ที่สาบสูญไปกว่าหมื่นปี...
เื่ชื่อว่าชาวดาร์ค...เคยมีภาษาเป็นของตัวเอง
เเละมีราชวงค์ของตนเอง..
มีประวัติศาตร์ที่ยาวนาน...
ตอนที่3
ตระกูลอันทราแห่งเนพีอา
ีตระกูลอันทราแห่งเนพีอา
ตระกูลอันทรา เป็นตะกูลเก่าแก่มาก่อน "ยุคแห่งสงครามและการทรยศ" ตระกูลอันทราเคยปกครองดาร์คแลนด์มายาวนาน เชื่อว่า ทายาทแห่งอันทรา มีมนตราวิเศษที่น่าพรั่นพรึง พวกนางยังคงพยายามจะลุกขึ้นมามีอำนาจอีกหลายต่อหลายครั้ง แม้จะถูกปรามปราม และพ่ายเเพ้ไปนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ยังมีฐานกำลังไม่น้อย ที่ยังรักใคร่นับถือบูชาตระกูลอันทรา ซึ่งเชื่อกันว่ามีสายเลือดาร์คอลนด์อันบริสุทธิ์ ไม่แปดเปื้อนด้วยการแต่งงานข้ามสายเลือดฐานอำนาจของอันทรา ปัจจุบันอยู่ที่เนพีอานั่นทำให้ แคว้นเนพีอา ถูกกีดกันไม่ให้มีสิทธิในการปกครองส่วนกลาง แต่นั่นก็ทำให้เนพีอา ยังเป็นแคว้นที่คงอารยธรรมชนชั้นสูงยุดโบราณไว้อย่างครบถ้วน
สามพี่น้องตระกูลอันทรา
ลอร์ด กาโยร่า ไซโนดอน เดอะซันแลนด์ ออฟ อันทรา
ดยุคแห่งเนพีอา
ผู้นำตระกูลอันทรา
โจเซฟิน อันทรา ดัชเชสแห่งวายุตรา |
มายาโรส อันทรา ดัชเชสแห่งหิมาลัย |
ชาร์มดาร์คเนส อันทรา ดัชเชสแห่งสายฟ้า |
||||
เอรินเดีย อันทรา มาเควียเนสแห่งเภตรา บุตรีของท่านหญิงมายาโรส อันทรา |
เฟรี่ ฟาราเรีย อันทรา มาเควียเนสแห่งเพลิงพราย บุตรีของท่านหญิงชาร์ม ดาร์คเนส อันทรา |
โอเซคูล อันทรา มาเควียเนสแห่งอัทรา บุตรีของท่านหญิงโจเซฟิน อันทรา |
ตอนที่4
เริ่มสำรวจ
การบันทึกการสำรวจในครั้งนี้อาจจะเป็นสิ่งที่เคยเห็น และเพิ่งเห็นมา ตั้งแต่ที่ข้าพเจ้ามาอยู่ในอาณาจักรดาร์คแลนด์ มาครบ1ปี
เริ่มแรกที่แคว้นเนพีอานี้เป็นอาณาจักรโบราณ มีเรื่องราวประวัติศาสตร์มาหลายเรื่องยาวนานมาก จนแคว้นนี้เพิ่งค้นพบเมื่อ3ปีก่อน และได้สถาปนาแคว้นนี้อย่างเป็นทางการเมื่อ ค.ศ.2011
เมื่อเราเข้ามาในแคว้นนี้ แรกๆ เราอาจจะเห็นว่าพื้นที่นี้ยังไม่มีการค้นพบสิ่งใดๆนอกจากซากปรักหักพัง ต่อมาได้มีการให้ขุดแบบบันทึกการสำรวจขึ้นในพื้นที่ว่างรกร้างหรือไม่เคยมีใครขุดพบมาก่อน
และนี่เป็นแบบบันทึกของข้าพเจ้าที่เป็นผลงานเดียวและชิ้นแรกที่ถูกบันทึกอย่างเป็นทางการของแคว้นเนพีอา "วิหารวิญญาณทมิฬ"
และยังมีสถานที่อื่นๆที่น่าสนใจอีกมากมายให้ศึกษา และจะบันทึกเป็นเรื่องราวตามลำดับที่น่าสนใจต่อไปนี้
1.ทะเลสาปมายา(เผ่าพันธุ์ไซเรน)
ทะเลสาปนี้เป็นหนึ่งในสถานที่ๆน่าสนใจที่หนึ่ง ที่มีแต่เผ่าพันธุ์เงือก สวยงาม ผมยาว มีหางเป็นปลา มีเสียงไพเราะ หรือจะเรียกอีกชื่อว่า "ไซเรน"
ทะเลสาปนี้เป็นหนึ่งในสถานที่ๆน่าสนใจที่หนึ่ง ที่มีแต่เผ่าพันธุ์เงือก สวยงาม ผมยาว มีหางเป็นปลา มีเสียงไพเราะ หรือจะเรียกอีกชื่อว่า "ไซเรน"
ไซเรน (Siren) เป็นสัตว์ร้ายที่อาศัยอยู่ตามริมฝั่งทะเลที่เป็นชายฝั่งแบบฟยอร์ด
ไซเรนมีรูปร่างลักษณะเป็นเงือก บางตำราว่าตัวเป็นนก แต่หัวเป็นคน ไซเรนจะชอบร้องเพลง เสียงของไซเรนไพเราะเพราะพริ้งจนทำให้คนที่เดินเรือผ่านมายังบริเวณใกล้ เคียงที่ไซเรนอาศัยอยู่หลงทางเข้ามาตามเสียงเพลงของไซเรน และเรือที่เข้ามาจะหลงไหลในเสียงเพลงยิ่งขึ้นทำให้ออกตามหาแล้วจะตกเป็น เหยื่อของไซเรน
ไซเรนมีบทบาทสำคัญในตำนานกรีก เมื่อเจสันและลูกเรืออาร์โกนอทจำเป็นต้องผ่านน่านน้ำที่ไซเรนอาศัยอยู่ แต่ออร์เฟียสได้ดีดพิณเป็นทำนองเพลงที่ไพเราะยิ่งกว่าของไซเรนดึงความสนใจ ของลูกเรืออาร์โกนอทไว้จึงผ่านมาได้อย่างปลอดภัย และในเวลาต่อมาโอดิสซีสอยากรู้ว่าเสียงเพลงของไซเรนเป็นอย่างไรจึงให้ลูก เรือทุกคนใช้ขี้ผึ้งอุดหูแล้วมัดเขาไว้กับเสากระโดงเรือ
2.เอคคีเซีย อาณาจักรผู้อยู่แสงสว่าง(เผ่าพันธุ์ไลท์แลนด์)
2.เอคคีเซีย อาณาจักรผู้อยู่แสงสว่าง(เผ่าพันธุ์ไลท์แลนด์)
ปราสาทที่เชื่อว่าเป็นที่พำนักของชาวไลท์แลนด์ ซึ่งในอดีตเปนพันธมิตรที่ดี และเป็นคู่แข่งชิงดีชิงเด่นกันมานาน กับดาร์คแลนด์
ราชวงศ์ไลท์แลนด์ มักมาพำนักที่นี่บ่อยครั้ง
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเหตุุบางอย่างทำให้เกิดการแตกเเยกระหว่างสองเมือง และปราสาทแห่งนี้ก็ล่มสลายไปพร้อมกับเนพีอา
3.วิหารวิญญาณทมิฬ(เผ่าพันธุ์ภูติ,ผี,ปิศาจ)
รูปปั้นทั้งยมทูติทั้ง5
4.เผ่าอเมริส(เผ่าพันธุ์อเมริส)
3.วิหารวิญญาณทมิฬ(เผ่าพันธุ์ภูติ,ผี,ปิศาจ)
เดิมทีเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรม อันเต็มไปด้วยรูปปั้นยมทูต 5 องค์ ผู้สร้างอาณาจักรดาร์คแลนด์ขึ้นมาตามตำนานปรัมปราโบราณ เต็มไปด้วยกลุ่มพลังงานสีดำรายล้อมวนเวียน
รูปปั้นทั้งยมทูติทั้ง5
เผ่าอเรเมริสเป็นเผ่าแรก ๆ ซึ่งอยู่ใต้อำนาจของเนพีอาเดิมเป็นชนเผ่าที่ไม่มีที่มาที่ไปแน่ัชัดและไม่ปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์ชาติใด ๆ
มีเพียงเรื่องเล่าและบันทึกถึงชนเผ่านี้ว่าเดิมเป็นอมนุษย์ซึ่งมีเขาเสียดแทงงอกออกมาจากศรีษะรูปร่างของเขานั้นแปลกแตกต่างกันไปบ้างยาวแหลมและตรง บ้างงอคดเป็นก้นหอยหรือหงึกงอไม่เป็นรูปเป็นร่างรูปร่างอัปลักษณ์ครึ่งคนครึ่งสัตว์มีขนงอกยาวตั้งแต่ช่วงบั้นเอวจรด
ปลายเท้า อุปนิสัยป่าเถื่อนและไม่มความรู้สึกนึกรักดำรงค์ชีพด้วยการแย่งชิงเมล็ดอย่างหนึ่งที่เรียกว่า ไลเดนในบันทึกจากเอกสารเก่าได้กล่วถึงชนเผ่านี้เกี่ยวเนื่องกับการล่มสลายของตระกูลเรืองอำนาจในยุคนั้นมีการอวดอ้างถึงบรรพชนของเผ่าอเมเรริสเป็นมหาบุรุษผู้กล้าหาญที่สามารถพิชิตสตรีสูงศักดิ์หยิ่งทะนงโหดร้ายและคร่ำเคร่งในการบูชายัญให้ยอมรักตน แม้จะมีการอวดอ้างแต่ไม่มีหลักฐานใดที่บอกว่าการอวดอ้างนั้นคือเรื่องจริงเพราะแม้แต่ทายาทที่น่าจะได้รับการยกย่องก็ไม่เคยปรากฏตนให้เห็นแม้จะเคยมีบุคคลเห็นคนทั้งสองแอบลักลอบพบกัน
มีเพียงเรื่องเล่าและบันทึกถึงชนเผ่านี้ว่าเดิมเป็นอมนุษย์ซึ่งมีเขาเสียดแทงงอกออกมาจากศรีษะรูปร่างของเขานั้นแปลกแตกต่างกันไปบ้างยาวแหลมและตรง บ้างงอคดเป็นก้นหอยหรือหงึกงอไม่เป็นรูปเป็นร่างรูปร่างอัปลักษณ์ครึ่งคนครึ่งสัตว์มีขนงอกยาวตั้งแต่ช่วงบั้นเอวจรด
ปลายเท้า อุปนิสัยป่าเถื่อนและไม่มความรู้สึกนึกรักดำรงค์ชีพด้วยการแย่งชิงเมล็ดอย่างหนึ่งที่เรียกว่า ไลเดนในบันทึกจากเอกสารเก่าได้กล่วถึงชนเผ่านี้เกี่ยวเนื่องกับการล่มสลายของตระกูลเรืองอำนาจในยุคนั้นมีการอวดอ้างถึงบรรพชนของเผ่าอเมเรริสเป็นมหาบุรุษผู้กล้าหาญที่สามารถพิชิตสตรีสูงศักดิ์หยิ่งทะนงโหดร้ายและคร่ำเคร่งในการบูชายัญให้ยอมรักตน แม้จะมีการอวดอ้างแต่ไม่มีหลักฐานใดที่บอกว่าการอวดอ้างนั้นคือเรื่องจริงเพราะแม้แต่ทายาทที่น่าจะได้รับการยกย่องก็ไม่เคยปรากฏตนให้เห็นแม้จะเคยมีบุคคลเห็นคนทั้งสองแอบลักลอบพบกัน
ลักษณะของเผ่าอเรเมริส
5.สวนอเมเรีย(เผ่าพันธุ์อเมเรีย)
สวนอเมเรีย เป็นอุทยานโบราณ ที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่ง
ในแคว้นเนพีอา เป็นที่อยู่ของเผ่าพันธ์อเมเรีย
ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตประหลาดที่รักธรรมชาติ
มีรูปร่างหน้าตาคล้ายพืชพันธ์ดอกไม้ทั้งหลาย
อาศัยอยู่ตามต้นไม้ พงหญ้าต่างๆ
6.เผ่าแฟรี่ดาร์ค(เผ่าพันธุ์เทพ,ภูติ)
สถานที่อยู่อาศัยของชนเผ่านี้มักเป็นสถานที่อุดมสมบรูณ์และสุขสงบในป่าลึกนอกเขตแดนของเนพีอา คนในเผ่านี้
เดิมนั้นเป็นชนเผ่าภูติมิใช่ปีศาจเป็นชนเผ่าซึ่งถูกกีดกันออกจากการขึ้นทะเบียนเป็นชนเผ่าในความคุ้มครองของเนพีอาเนื่องด้วยเป็นสายชนเผ่าที่มีสายเลือดเทพไหลเวียนในร่างกายจึงมักถูกไล่ล่าฆ่าแบบไม่มีเหตุึผลอยู่เนือง ๆ กระทั่งถูกกวาดล้างครั้งหนึ่งจนต้องโยกย้ายสถานอาศัยเข้าไปในป่าลึกและตั้งหลักปักฐานใหม่หลังม่านน้ำตก จนสามารถสืบเผ่าพันธุ์และมีระบบระบอบปกครองตนเองและแม้จะหลีกเลี่ยงการประจัญหน้าต่อการรุกรานก็ยังต้องส่งบุตรและบุตรีเข้าเป็นสิ่งสังเวยให้แก่ตระกูลมหาอำนาจของยุคนั้นทุก ๆ วันที่พระจันทร์เต็มดวง
ลักษณะของชนเผ่าแฟรี่ดาร์ค
7.เผ่าจอมมารา(เผ่าพันธุ์ปิศาจ)
ประวัติความเป็นมาของชนเผ่าจอมมารานั้นไม่มีใครทราบแน่ชัด ว่ากันว่าชนเผ่าจอมมารามีชีวิตอยู่ในดาร์คแลนด์มายาวนานพอๆกับชนเผ่าเทวาตำนานปรัมปราถูกเล่าสืบทอดต่อกันมากล่าวไว้ว่าเผ่าจอมมาราถือกำเนิดจากความอ้างว้าง สิ้นหวังและความทรมานในห้วงแห่งโลกันตร์ ก่อนจะหนีขึ้นมาอยู่บนโลกมนุษย์
ความเป็นอยู่
ประวัติความเป็นมาของชนเผ่าจอมมารานั้นไม่มีใครทราบแน่ชัด ว่ากันว่าชนเผ่าจอมมารามีชีวิตอยู่ในดาร์คแลนด์มายาวนานพอๆกับชนเผ่าเทวาตำนานปรัมปราถูกเล่าสืบทอดต่อกันมากล่าวไว้ว่าเผ่าจอมมาราถือกำเนิดจากความอ้างว้าง สิ้นหวังและความทรมานในห้วงแห่งโลกันตร์ ก่อนจะหนีขึ้นมาอยู่บนโลกมนุษย์
ความเป็นอยู่
ชนเผ่าจอมมารามีสติปัญญาที่หลักแหลมและเจ้าเล่ห์เพทุบายมีความสามารถในการสร้างภาพหลอนและภาพมายา
รวมไปถึงพลังความมืดในการทำลายล้างสรรพสิ่ง แหล่งอาหารชั้นเยี่ยมของเผ่าจอมมาราคือวิญญาณของมนุษย์
ยิ่งวิญญาณนั้นสกปรกโสมมมากเท่าไร ก็จะกลายเป็นอาหารที่มีรสเยี่ยมมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นชนเผ่าจอมมาราจะล่อลวงให้มนุษย์บาปมากที่สุด ก่อนจะสังหารและสูบกินวิญญาณไป
ยิ่งวิญญาณนั้นสกปรกโสมมมากเท่าไร ก็จะกลายเป็นอาหารที่มีรสเยี่ยมมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นชนเผ่าจอมมาราจะล่อลวงให้มนุษย์บาปมากที่สุด ก่อนจะสังหารและสูบกินวิญญาณไป
ชาวเผ่าจอมมารา
ชนเผ่าจอมมารามีรูปร่างและแบ่งเพศเหมือนพวกมนุษย์เพศหญิงมีผิวสีเงินและเพศชายมีผิวสีน้ำเงินทั้งสองเพศต่างก็มีรูปลักษณ์ที่งดงาม เมื่อจ้องมองจะหลงใหลราวกับต้องมนต์สะกดลักษณะเด่นคือมีเขาหนึ่งคู่บนศีรษะและปีกค้างคาวหนึ่งคู่
อยู่กลางหลัง มีไอแห่งความมืดแผ่ออกมาจากตัวมักแต่งกายในชุดสีดำหรือโทนมืด
ดินแดนของชนเผ่าจอมมารา
8.เผ่ารมณียา(เผ่าพันธุ์เทพ)
มีถิ่นฐานที่ตั้งบนนครเทือกเขาสูงทางทิศตะวันออกของแคว้น เนพีอา เป็นแคว้นที่ซ้อนตัวอยู่ในไอหมอกและความดำมืด
ถิ่นฐานที่ตั้งของชนเผ่ารมณียาเป็นอาณาจักรที่มีความงดงามของธรรมชาติและอุดมไปด้วยพรรณไม้หลากหลาย เป็นชนเผ่าที่เปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ประสาทสัมผัสที่เฉียบแหลม และยังมีความชำชาญเฉพาะตัว มีพลังจิตที่แข็งแกร่ง พร้อมทั้งมีความอ่อนโยน เมตตาจิต และยังโดดเด่นในเรื่องของการใช้เวทย์มนตร์เป็นหลัก
เป็นเผ่าที่มีพลังอำนาจที่สามารถล่วงรู้ความลับทั้งสามโลก และเป็นผู้ที่มีพลังอำนาจในการถือให้กำเนิดสรรพสิ่ง และยังเป็นชนเผ่าที่มีพลังอำนาจที่สามารถสร้างสายฟ้า สร้างลูกไฟ และยังสามารถบังคับน้ำได้ จะมีความเป็นอยู่ที่คล้ายมนุษย์ ต้องทำงาน ทานอาหาร
มีรูปกายเหมือนมนุษย์ ไม่ว่าชายหรือหญิง มีผิวพรรณขาวผ่องเนียน สวยดุจดังพระจันทร์เพ็ญ สีผมสีทอง ทั้งมีดวงตาสีน้ำตาล อีกทั้งยังมีรูปลักษณ์กายางดงาม ดูสวยสง่า มีราศี
9.เผ่าไลท์เอลฟ์(เผ่าพันธุ์เอลฟ์,เทพ)
มีถิ่นฐานที่ตั้งบนนครเทือกเขาสูงทางทิศตะวันออกของแคว้น เนพีอา เป็นแคว้นที่ซ้อนตัวอยู่ในไอหมอกและความดำมืด
ถิ่นฐานที่ตั้งของชนเผ่ารมณียาเป็นอาณาจักรที่มีความงดงามของธรรมชาติและอุดมไปด้วยพรรณไม้หลากหลาย เป็นชนเผ่าที่เปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ประสาทสัมผัสที่เฉียบแหลม และยังมีความชำชาญเฉพาะตัว มีพลังจิตที่แข็งแกร่ง พร้อมทั้งมีความอ่อนโยน เมตตาจิต และยังโดดเด่นในเรื่องของการใช้เวทย์มนตร์เป็นหลัก
ความเป็นอยู่
เป็นเผ่าที่มีพลังอำนาจที่สามารถล่วงรู้ความลับทั้งสามโลก และเป็นผู้ที่มีพลังอำนาจในการถือให้กำเนิดสรรพสิ่ง และยังเป็นชนเผ่าที่มีพลังอำนาจที่สามารถสร้างสายฟ้า สร้างลูกไฟ และยังสามารถบังคับน้ำได้ จะมีความเป็นอยู่ที่คล้ายมนุษย์ ต้องทำงาน ทานอาหาร
ชาวเผ่ารมณียา
มีรูปกายเหมือนมนุษย์ ไม่ว่าชายหรือหญิง มีผิวพรรณขาวผ่องเนียน สวยดุจดังพระจันทร์เพ็ญ สีผมสีทอง ทั้งมีดวงตาสีน้ำตาล อีกทั้งยังมีรูปลักษณ์กายางดงาม ดูสวยสง่า มีราศี
9.เผ่าไลท์เอลฟ์(เผ่าพันธุ์เอลฟ์,เทพ)
เผ่าไลท์เอลฟ์นั้นตามบันทึกแล้วดูจะเป็นเผ่าเอลฟ์ที่ไม่เหมือนกับเผ่าเอลฟ์ที่เห็นในปัจจุบันที่รักสงบและชื่นชอบการร้องรำทำเพลง ไลท์เอลฟ์นั้นรักการรบราฆ่าฟันและมักพัฒนาอาคมเวทย์ให้เก่งกล้าพิสดารรวมถึงทรงอนุภาพการทำลายที่รุนแรง ประชากรของเผ่ามีอายุยืนนานและไม่แก่เฒ่าที่แปลกคือชนเผ่านี้น้อยนักที่จะมีเด็กเล็กโดยส่วนมากจะเห็นเพียงหนุ่มสาววัยสะคร้านเท่านั้นนอกจากนี้ไลท์เอลฟ์ยังเป็นชนเผ่าหนึ่งที่นิยมร่วมสายเลือดสมสู่กันในครอบครัวด้วยความเชื่อว่าเวทย์มนต์ซึ่งไหลเวียนในสายเลือดนั้นจะยิ่งเข้มข้น ความเกี่ยวข้องกับคนในตระกูลนั้นตามบันทึกว่าเป็นอาจารย์ผู้สอนเวทย์ให้แก่บุตรและธิดาให้แก่คนในตระกูลก่อนจะถูกปลดแล้วโอนถ่ายไปเป็นทาสและทหารเลว
ลักษณะของเผ่าพันธุ์นี้
เอลฟ์ที่ข้าพเจ้าศึกษานั้นมีหลายตำนาน ที่ข้าพเจ้าเคยเห็นทั่วไป ส่วนใหญ่จะเป็นเผ่าพันธุ์ที่สวยงวม ดำรงชีวิต มีเวทย์มนต์ด้วยต้นอิกดราซิล ต้นไม้ชนิดนี้จะเอารากโผล่ขึ้นมาบนพื้นโลกแทน บางครั้งอาจจะคนละสถานที่ แต่เผ่าพันธุ์นี้คล้ายกัน จึงเอามาเป็นอ้างอิงได้ เป็นเผ่าพันธุ์หนึ่งที่ใกล้เคียงกับเทพที่สุดและน่าสนใจเป็นอย่างมาก จิ้มๆ
เผ่าเทวามีชีวิตอยู่ในดาร์กมาเป็นเวลานาน ตั้งแต่ก่อนที่ดาร์กจะสร้างขึ้น ว่ากันว่าชนเผ่าเทวาเคยอยู่บนสรวงสวรรค์มาก่อน แต่จำต้องลงมาอยู่บนโลกมนุษย์ด้วยเหตุผลลึกลับ ชนเผ่าเทวาเป็นผู้ถือครองตำราเวทย์มนตร์โบราณเอาไว้ มีเพียงแต่ชนเผ่าเทวาเท่านั้นที่อ่านออก ชนเผ่าเทวามีพลังในการรักษาชีวิต และสิ่งแวดล้อม มีแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้รักษาบาดแผลให้หาย และมีพลังที่สามารถฟื้นคืนชีวิตให้กับธรรมชาติและยังมีพลังในการถือกำเนิดของสรรพสิ่ง เผ่าเทวามีหน้าทีค่อยปกป้องรักษาต้นไม้แห่งความรู้เอาไว้
ลักษณะเผ่าพันธุ์เทวา
ลักษณะของชนเผ่าเทวา เหมือนกันมนุษย์ มีผิวที่เปล่งประกายจาง ๆ มีผมสีเงินเงางาม มีเสียงที่ไพเราะ มีดวงตาที่ฉายแววแห่งความรู้ หน้าตางดงามไม่ว่าจะหญิงหรือชาย มีกลิ่นกายที่หอมของดอกไม้ มีปีกสีขาวแห่งแสงหนึ่งคู่อยู่กลางหลัง มีประกายสีทองส่องออกมา เครื่องแต่งกายมักจะใส่ชุดสีขาว
ยังไม่มีการขุดค้นเป็นทางการ รอให้ตรวจสอบการขุดค้น ข้อมูลให้แน่ชัดอีกที แต่ที่เห็นกันทั่วๆไปนั้น ฟินิกซ์เป็นนกที่มีชีวิตเป็นอมตะอายุยืนยาว ลักษณะเป็นนกสีแดงเพลิง เมื่อใดที่มันตาย มันจะเผาตัวเอง หลังจากนั้น ขี้เถ้าของมันก็จะมีลูกนกฟินิกซ์เกิดขึ้นมาอีกครั้ง! และยังมีข้อมูลที่เชิงลึกเข้าไปอีก จิ้มๆ
12.หุบเขามังกร(เผ่าพันธุ์มังกร)
หุบเขาแห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของมังกรชนิดต่างๆมากมายหลายชนิด เช่น มังกรไฟ มังกรน้ำ และอื่นๆ ซึ่งเป็ฯสัตว์ในตำนานที่เราคุ้นเคยที่สุด ไม่ว่าจะการ์ตูน หภาพยนต์ เกมต่างๆ ที่ได้ใช้มังกรมาเป็นตัวเกี่ยวข้องเสมอ อีกทั้งมังกรยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความกล้าหาญอีกด้วย
หุบเขาแห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของมังกรชนิดต่างๆมากมายหลายชนิด เช่น มังกรไฟ มังกรน้ำ และอื่นๆ ซึ่งเป็ฯสัตว์ในตำนานที่เราคุ้นเคยที่สุด ไม่ว่าจะการ์ตูน หภาพยนต์ เกมต่างๆ ที่ได้ใช้มังกรมาเป็นตัวเกี่ยวข้องเสมอ อีกทั้งมังกรยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความกล้าหาญอีกด้วย
13.เผ่าดาร์ค(เผ่ามนุษย์)
เผ่าดาร์ค คือเผ่าพันธุ์ดั้งเดิมของอาณาจักรดาร์คแลนด์ ผู้ที่เชื่อกันว่า ความมืดมิดมิใช่สิ่งชั่วร้าย มันคือสิ่งที่สวยงามและความสงบ ชาวดาร์คมีหลายสายเลือด มีทั้งชาวดาร์คบริสุทธิ์เช่นตระกูลอันทรา ชาวดาร์คเลือดผสม คือขาวคาร์คที่มีสายเลือดอื่นปนอยู่ด้วย อาศัยอยู่ในอาณาจักรดาร์คแลนด์ มีความทะเยอทะยานสูง ปัจจุบันทีหลากหลายเชื้อชาติเผ่าพันธุ์
มาอยู่ ณ ที่แห่งนี้...
ลักษณะ
เหมือนมนุษย์ทุกประการ แต่วัฒนธรรมโดยส่วนใหญ่จะแต่งกายสีดำหรือโทนสีดำ โดยชุดที่ใส่นั้นมีชนชั้นวรรณะแตกต่างกันไป นับว่าเป็นวัฒนธรรมของตนเองที่สืบเชื้อสายจากตระกูลเก่าแก่มานานหลายพันปี
...........................................................
บทที่3
วิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล
จากการสำรวจในครั้งนี้ ทำให้ผู้ศึกษาให้รู้ว่า นอกจากสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ ล้วนมีหลากหลายสายพันธุ์ มีทั้งที่มีอยู่จริง และมีเพียงตำนานปรัมปราที่เล่าต่อๆกันมา ซึ่งโลกแห่งนั้นอาจจะอยู่ที่ใดสักแห่ง เพียงแต่ มนุษย์ ซึ่งไม่มีพลังใดๆ นอกจากความทะเยอยาน ถ้ามนุษย์ไม่ดิ้นรนที่จะทำตามความทะเยอทะยานที่ตนเองมีนั้น จะไม่สามารถเอาชีวิตรอดดำรงเผ่าพันธุ์จวบอยู่จนปัจจุบันนี้ และอีกทั้งทุกเผ่าพันธุ์ทีวิวัฒนาการจนมีความเจริญก้าวหน้าในเทคโนโลยี บางเผ่าสามารถนำเทคโนโลยีมาบวกกับเวทยมันต์ได้ อย่างเช่นเผ่าพันธุ์ข้าพเจ้าเองชื่อว่า "เผ่าไทซ์ราเกรซเซอร์"
**เพิ่มเติม
"เผ่าพันธุ์ไทซ์ราเกรซเซอร์"
เผ่าพันธุ์นี้ อาศัยอยู่ในกาแลคซี่ราเวนเนิร์ส มีระบบสุริยะจักรคล้ายคลึงกับโลก เพียงแต่มีดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ24ดวง
มีดวงอาทิตย์สีขาว (ลำดับความร้อนของดวงอาทิตย์ ขาว>ฟ้า>เหลือง>ส้ม>แดง ตามแก๊สหุงต้ม) ระบบสุริยะนี้มีดาวเคราะห์8ดวงที่มีสิ่งมีชีวิต และดาวไทซ์วอรัส เป็นถิ่นที่อยู่เผ่าพันธุ์ที่เจริญที่สุดของระบบสุริยะ ดาวไทซ์ฯอยู่ลำดับที่12 ลำดับต่อมาเป็นชาวดาวไฟเตอร์ ซึ่งเป็นชาวดาวที่แกร่งแกร่งแต่ก็ผ่ายแพ้แก่ดาวไทซ์ฯ ชาวดาวไทซ์มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ เพียงแต่มีสีผิวส่วนใหญ่ขาวซีด สีเงิน สีเทา เหมือนปิศาจ และมีสีผมที่ไม่เหมือนมนุษย์ซึ่งมีแค่สีดำ น้ำตาล และบลอนซ์ มีสีตาหลายสี พูดง่ายๆคือ เหมือนในการ์ตูนอนิเมะมาก มีพลัง เวทมนต์ เทคโนโลยีที่เจริญก้าวหน้ามาก
สภาพแวดล้อมเทคโนโลยีที่อยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างสมบูรณ์ จัดสรรได้อย่างลงตัว
การรายงานวิทยานิพนธ์ของข้าพเจ้า จบลงแต่เพียงเท่านี้ ขอขอบคุณอาจารย์ที่อ่านจบ โปรดพิจารณาคะแนนให้ข้าพเจ้าอย่างเหมาะสมด้วย
จากการสำรวจในครั้งนี้ ทำให้ผู้ศึกษาให้รู้ว่า นอกจากสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ ล้วนมีหลากหลายสายพันธุ์ มีทั้งที่มีอยู่จริง และมีเพียงตำนานปรัมปราที่เล่าต่อๆกันมา ซึ่งโลกแห่งนั้นอาจจะอยู่ที่ใดสักแห่ง เพียงแต่ มนุษย์ ซึ่งไม่มีพลังใดๆ นอกจากความทะเยอยาน ถ้ามนุษย์ไม่ดิ้นรนที่จะทำตามความทะเยอทะยานที่ตนเองมีนั้น จะไม่สามารถเอาชีวิตรอดดำรงเผ่าพันธุ์จวบอยู่จนปัจจุบันนี้ และอีกทั้งทุกเผ่าพันธุ์ทีวิวัฒนาการจนมีความเจริญก้าวหน้าในเทคโนโลยี บางเผ่าสามารถนำเทคโนโลยีมาบวกกับเวทยมันต์ได้ อย่างเช่นเผ่าพันธุ์ข้าพเจ้าเองชื่อว่า "เผ่าไทซ์ราเกรซเซอร์"
**เพิ่มเติม
"เผ่าพันธุ์ไทซ์ราเกรซเซอร์"
เผ่าพันธุ์นี้ อาศัยอยู่ในกาแลคซี่ราเวนเนิร์ส มีระบบสุริยะจักรคล้ายคลึงกับโลก เพียงแต่มีดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ24ดวง
มีดวงอาทิตย์สีขาว (ลำดับความร้อนของดวงอาทิตย์ ขาว>ฟ้า>เหลือง>ส้ม>แดง ตามแก๊สหุงต้ม) ระบบสุริยะนี้มีดาวเคราะห์8ดวงที่มีสิ่งมีชีวิต และดาวไทซ์วอรัส เป็นถิ่นที่อยู่เผ่าพันธุ์ที่เจริญที่สุดของระบบสุริยะ ดาวไทซ์ฯอยู่ลำดับที่12 ลำดับต่อมาเป็นชาวดาวไฟเตอร์ ซึ่งเป็นชาวดาวที่แกร่งแกร่งแต่ก็ผ่ายแพ้แก่ดาวไทซ์ฯ ชาวดาวไทซ์มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ เพียงแต่มีสีผิวส่วนใหญ่ขาวซีด สีเงิน สีเทา เหมือนปิศาจ และมีสีผมที่ไม่เหมือนมนุษย์ซึ่งมีแค่สีดำ น้ำตาล และบลอนซ์ มีสีตาหลายสี พูดง่ายๆคือ เหมือนในการ์ตูนอนิเมะมาก มีพลัง เวทมนต์ เทคโนโลยีที่เจริญก้าวหน้ามาก
สภาพแวดล้อมเทคโนโลยีที่อยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างสมบูรณ์ จัดสรรได้อย่างลงตัว
การรายงานวิทยานิพนธ์ของข้าพเจ้า จบลงแต่เพียงเท่านี้ ขอขอบคุณอาจารย์ที่อ่านจบ โปรดพิจารณาคะแนนให้ข้าพเจ้าอย่างเหมาะสมด้วย
ลงชื่อ
ดรากิออน อีลิคเทรียน อินเทอร์นอลเลี่ยน
ดรากิออน อีลิคเทรียน อินเทอร์นอลเลี่ยน
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น