ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    l love youผมรักคุณ

    ลำดับตอนที่ #1 : ผู้หญิงที่นอนอยู่ใต้ผ้าห่มสีขาว

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 47
      0
      8 พ.ค. 49

    I LOVE YOU ผมรักคุณ

    ผู้หญิงที่นอนอยู่ใต้ผ้าห่มสีขาว

     

    โลกนอกหน้าต่างฝนกำลังตกปรอย ๆ

    บนเตียงสีขาวที่ไม่คุ้นเคย เขาเกลือกลูกตาดำกลิ้งไปมาใต้เปลือกตาหลังจากรู้สึกตัวตื่น เสียงฝนด้านนอกดังเปาะแปะแว่ว ๆ เข้ามากระทบรูหูเป็นระยะ เหมือนมันเพิ่งจะตก เขาขยับตัวเบา ๆ แต่ร่างกายกลับไม่รู้สึกเบาเลยสักนิด อาการแปลก ๆ ของการพึ่งตื่นนอนเช่นนี้ไม่ปกติเลยสำหรับเขา ร่างกายเขาหนักผิดปกติแปลก ๆ พิกล

                    เขาพยายามลุกขึ้นในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียง แต่ก็ไม่มีแรงขยับร่างกายได้อย่างที่ใจคิด

    วินาทีต่อมาเขาลืมตาโพรงขึ้นมาเพราะเป็นสิ่งเดียวที่สามารถทำได้ดีที่สุดในตอนนี้ เพดานเหนือหัวเป็นสีขาวสะอาดตา กลิ่นห้องที่โชยเข้าจมูกก็เป็นกลิ่นเหมือนสีที่พึ่งจะแห้ง พัดลมบนเพดานหมุนช้า ๆ อย่างเอื่อยเฉื่อย

    เมื่อสติสัมปชัญญะย้อนคืนมา เขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังไม่สบาย อาการครั่นเนื้อครั่นตัวหนาว ๆ ร้อน ๆ ที่วิ่งไปทั่วร่าง ทำให้เขารู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วตัว บริเวณขมับเริ่มปวดตุบ ๆ อยู่เป็นระยะเหมือนว่ามีใครสักคนกำลังเอาฆ้อนปอนด์ตอกขมับทั้งซ้ายและขวาเขาอยู่ตลอดเวลา

    เขาพยายามปิดร่างกายให้ลุกขึ้นจากเตียงอีกครั้งแต่มันก็ไร้ผล ร่ายกายมันไม่ตอบสนองการสั่งการของสมองเลย พอขยับมือซ้ายความรู้สึกเมื่อยล้าก็วิ่งแล่นแปลบไปทั่วร่าง พยายามจะพลิกตัวตะแคงเบา ๆ ความรู้สึกปวดเมื่อยก็พุ่งเข้าใส่จนต้องครางฮือเบา ๆ ออกมา

    การต่อสู้กับแรงโน้มถ่วงของโลกมันยากกว่าที่ควรจะเป็น เมื่อร่างกายมันอ่อนแอและไม่สบาย จนในที่สุดเขาก็ฝืนตัวเองลุกขึ้นมาในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียงได้สำเร็จ มองไปรอบ ๆ ตัวห้องสีขาวที่ไม่คุ้นเคยกำลังโอบล้อมเขาอยู่ เตียงสีขาว หมอน ผ้าปูที่นอน ตู้เสื้อผ้า โต๊ะเครื่องแป้ง พัดลมเพดาน ตู้เย็น ทีวี เก้าอี้ประตู หน้าต่าง ผ้าม่าน ทุกอย่างล้วนเป็นของใหม่หมด

    ตรงปลายเตียงมีนาฬิกากลม ๆ สีขาวแปะอยู่บนฝาผนัง เขาสังเกตอยู่นานว่าขณะนี้เวลากี่โมงแล้ว เข็มยาวอยู่ที่เลขอะไร เข็มสั้นอยู่ที่เลขอะไร ไม่นานความพยายามก็หมดไปเพราะส่วนประกอบที่อยู่ภายในนั้นนอนสงบนิ่งไม่เคลื่อนไหวเหมือนสิ่งมีชีวิตที่ไร้ลมหายใจ

    ข้างเตียงด้านซ้ายผ้าม่านสีขาวพลิ้วไหวยกตัวลอยขึ้นจากพื้นด้วยแรงลมจากด้านนอก ละอองฝนเม็ดเล็ก ๆ สาดกระเซ็นลอดเข้ามาระหว่างซี่มุ้งลวด ละอองน้ำบางส่วนปลิวมากระทบผิวหน้าเขาพอให้รู้สึกชื้น ๆ

    ผิวหน้าเขารู้สึกสดชื่นเบา ๆ แทรกขึ้นมาแต่สภาพร่างกายเขาไม่ได้รู้สึกสดชื่นเช่นนั้นเลย

    เขาลุกขึ้นจากเตียงช้า ๆ และเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก้าวแรกที่เหยียบลงบนพื้นกระเบื้องสีขาว เขารู้สึกเย็นวาบไปทั่วฝ่าเท้า เขาไม่แน่ใจว่าความรู้สึกเย็นวาบเช่นนี้เกิดขึ้นจากความเย็นของพื้นกระเบื้องหรือว่าอาการร้อนรุม ๆ ของร่างกายจึงทำให้พื้นมันเย็นกว่าที่ควรจะเป็น

    ก้าวเนือย ๆ ทีละก้าวไปยังห้องน้ำ ในห้องน้ำขนาดสองตารางเมตร สุขภัณฑ์ทุกชิ้นอยู่ในสภาพใหม่หมด ชักโครก อ่างล้างหน้า ก๊อกน้ำ ฝักบัว เขาหยุดยืนอยู่ตรงอ่างล้างหน้า หมุนก๊อกกวักน้ำสาดกระจายจนทั่วหน้า มันทำให้เขารู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย แม้ไม่มากมายอะไรแต่มันก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นกว่าเมื่อสักครู่

    เดินออกมาจากห้องน้ำ เสียงฝนข้างนอกยังไม่มีทีท่าว่าจะเงียบหายไป ตรงหน้าต่างเขารูดผ้าม่านไปรวมกันไว้ที่ด้านซ้ายมือ

    มองออกไปข้างนอก

    สภาพเมืองที่ไม่คุ้นเคย ทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังเป็นคนที่ไร้ตัวตนบนโลกนี้ ไม่มีที่มาที่ไป เป็นเหมือนวิญญาณที่กำลังล่องลอยไปในอากาศ

    แม้สภาพรอบตัวจะไม่คุ้นเคย แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขานึกสงสัยหรืออยากรู้เลย เขาเลิกสนใจไปนานแล้วว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ที่ไหน เมืองนี้ชื่อว่าเมืองอะไร ห้องสีขาวที่เขาอยู่เป็นห้องเลขที่อะไร ขณะนี้วันที่เท่าไรเดือนปีอะไร  ในองค์ประกอบที่ไม่คุ้นเคยนั้นมันมีอะไรบ้าง ตั้งอยู่ที่ไหน และสำคัญอย่างไร ตึกด้านหน้า บ้านเรือน ถนนหนทาง ต้นไม้ที่กำลังเอนลู่ไปตามลม

    เขาปล่อยตามองไปข้างหน้า แต่สายตากลับไม่ได้มองอะไรเลย ทุกสิ่งที่วางอยู่ตรงนั้นมันเป็นเพียงสิ่งที่ผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านไป เขาก็เป็นเพียงชีวิตหนึ่งที่ผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านไป

    เสียงฟ้าดังครืนครางอยู่ไกล ๆ เขาพึ่งสังเกตเห็นว่าบนท้องฟ้ามันมืดมนซะจนไม่สามารถเดาได้ว่าขณะนี้เป็นเวลากี่โมง เช้า สาย บ่ายหรือเย็น ความทรงจำเกี่ยวกับเวลาอย่างเดียวที่เขานึกออกในตอนนี้ก็คือ เขามาถึงที่นี่ประมาณตีสองเศษ สภาพร่างกายที่โรยราเหนื่อยล้าหลังจากนั่งขดตัวอยู่บนรถนานนับสิบชั่วโมงทำให้เขาสลบไสลทันทีที่หัวถึงหมอน

    ความไม่คุ้นเคยเป็นสิ่งที่คุ้นเคยสำหรับชีวิตเขา

    ฟ้าแลบที่ปลายฟ้ามาพร้อมกับอาการปวดหนึบ ๆ ที่ก่อตัวขึ้นมาอีกระลอก เขาเดินละออกจากหน้าต่างเปิดตู้เย็นหยิบน้ำขวดขึ้นมาดื่มโดยไม่เทมันลงไปในแก้ว แต่เขาเลือกที่จะเทน้ำออกจากปากขวดผ่านลงลำคอโดยตรง น้ำในขวดทำให้ร่างกายเขารู้สึกสดชื่น จนความเย็นมันแล่นจี๊ดขึ้นสมอง เขาสำลักน้ำออกมา หายใจติดขัด แม้น้ำเย็นทำให้เขาปวดหัวจี๊ดแต่มันก็ผ่อนคลายอาการปวดหนึบ ๆ ที่ขมับได้ดีในระดับหนึ่ง

    จู่ ๆ คำว่า ยา ก็โผล่ขึ้นมาในสมองเขา

    คนไม่สบายต้องกินยา เสียงหญิงสาวคนหนึ่งแว่วเข้ามาในความคิดของเขา เสียงแหลมเล็ก แต่เจือไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นและคุ้นเคย มันทำให้เขารู้สึกถึงภาพทรงจำจาง ๆ ในอดีต เขาคิดไม่ออกว่าเคยได้ยินเสียงนี้ที่ไหน ภาพเงาจาง ๆ ของผู้หญิงคนหนึ่งแวบขึ้นมาในสมอง เขาพยายามนึกหน้าเธอคนนั้น แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก ด้วยความรู้สึกที่อยากนึกให้ออก อยากเห็นภาพทีชัดเจนขึ้น อยากจำเสียงนั้นให้ได้ทำให้เขาคิดมากจนขมวดคิ้วเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว

    ยิ่งคิดมากแต่คิดไม่ออกทำให้อาการปวดหัวของเรารุนแรงกว่าที่มันควรจะเป็น เขาเอามือกุมขมับตัวเองเหงือชื้นซึมออกมาจากฝ่ามือทั้งสองข้าง และไหลลาดเต็มแผ่นหลัง

    ใครกันนะ เขายังพยายามคิดค้นหาต้นตอของเสียงในความทรงจำต่อไป แม้มันจะทำให้เขาเครียดจนปวดหัวก็ตาม และในท้ายที่สุดความทรงจำที่รางเลือนจนนึกไม่ออก ก็ทำให้เขาต้องเลิกราที่จะคิดหาต้นตอของภาพเธอคนนั้น

    เขาเดินไปนั่งข้างเตียง กะว่าจะนอนอีกสักตื่นเพื่อให้อาการปวดหัวมันบรรเทาลง พอหย่อนหัวลงบนหมอน อาการเมื่อยล้าที่สะสมทำให้เขาผล๊อยหลับไป

    เหมือนอยู่ในภวังค์

    เขาไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ในความฝันหรือความจริง ภาพจาง ๆ ของหญิงสาวคนหนึ่งกำลังป้อนยาใส่ปาก เขาค่อย ๆ กลืนมันลงคออย่างยากเย็น ไม่นานอาการปวดตุบ ๆ ในหัวที่มีก็ค่อย ๆ ทุเลาลงไปเรื่อย ๆ จนไม่รู้สึกว่ามันเคยปวดเหมือนที่เป็น เขาเริ่มรู้สึกว่าร่างกายกำลังเบาสบาย เขาหลับไปอีกครั้ง

     

    พัดลมบนเพดานหมุนอาด ๆ อย่างที่มันควรจะเป็น เขาลืมตาโพรงขึ้นมามองมันอีกครั้งเป็นหนที่สองในห้องสีขาว ฝนข้างนอกหยุดตกไปแล้ว เขาไม่แน่ใจว่าก่อนหน้าที่จะตื่นในตอนนี้นั้น  ภาพทั้งหมดมันเป็นความฝันหรือความจริง เขานึกไม่ออกแต่ก็ไม่ได้สนใจอยากรู้สักเท่าไรนัก เพราะขณะนี้อาการปวดหัวหนึบ ๆ ไม่มีให้รำคาญใจอีกต่อไปแล้ว

                    เขามองไปที่ปลายเตียง นาฬิกาสีขาวมันยังคงนอนแช่ตัวสงบนิ่งไม่เคลื่อนไหว เดินเข้าไปใกล้ ๆ แหงนหน้าขึ้นดู เข็มสีดำในตัวนาฬิกาสีขาวหยุดนิ่งบอกเวลาบ่ายสองสามสิบห้านาที เขาเอื้อมมือเคาะที่หน้าปัดแก้วเบา ๆ ไม่มีทีท่าว่าเข็มบอกเวลาจะเขยื่อน เขาดันเก้าอี้ตรงโต๊ะเครื่องแป้งมาชิดผนังเพื่อจะหนุนตัวเองขึ้นไปเอามันลงมาดูว่ามันใส่ถ่านหรือเปล่า ค่อย ๆ เอื้อมหยิบมันลงมาอย่างยากเย็น มองดูข้างหลังนาฬิกา ทุกอย่างอยู่ในสภาพเรียบร้อย สงสัยถ่านจะหมด เขานึกโทษเจ้าของตึกว่าทำไมถึงปล่อยให้ถ่านนาฬิกาหมด ทั้ง ๆ ที่ห้องมีเฟอร์นิเจอร์ใหม่ครบครันอย่างนี้ เขาเอื้อมแขวนนาฬิกาเอาเก็บไว้ที่เดิม ดันเก้าอี้เก็บไว้ตรงที่เดิม

                     ขณะที่เขาเงยหน้ากลับไปดูนาฬิกาสีขาวบนฝาผนังอีกครั้ง บริเวณหางตาต้องสะดุดหยุดกึกที่เตียงนอน บางสิ่งบางอย่างผิดแปลกไปจากที่มันควรจะเป็น เขารู้สึกว่ามีบางสิ่งนอนกองอยู่ใต้ผ้าห่มสีขาวจนทำให้มันปูดขึ้นมาคล้าย ๆ กับมีคนกำลังนอนหลับอยู่ตรงนั้น อะไร ? สิ่งที่อยู่ใต้ผ้าห่มทำให้เขาเกิดอาการไม่แน่ใจว่าในห้องนี้มีเขาอยู่คนเดียวจริงหรือเปล่า แล้วหากไม่ใช่เขาอยู่คนเดียว แล้วจะเป็นใครที่มานอนเตียงเดียวกับเขา

                    เมื่อคืนนี้เขาพาใครมานอนหรือเปล่า เขาพยายามคิดแต่ก็นึกคำตอบออกมาไม่ได้

                    เพื่อคลายความสงสัยว่าสิ่งที่อยู่ใต้ผ้าห่มเป็นหมอนที่กองรวมกันเอาไว้ หรือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่กำลังนอนขดตัวอยู่ เขาเดินตบปลายเท้าเบา ๆ ลงบนพื้นกระเบื้อง ค่อย ๆ ขยับมือไปเลิกผ้าห่มขึ้นมาว่าสิ่งที่อยู่ในนั้นคืออะไร

                    ขณะที่มือขวาค่อย ๆ เคลื่อนผ้าห่มดึงเข้าหาตัวมันก็ทำให้เขารู้สึกแปลก ๆ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ลมหายใจปั่นป่วนไม่ทั่วท้องอย่างที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน และเมื่อผ้าห่มถูกดึงเข้ามาหาตัวจนหมด สิ่งที่วางอยู่บนเตียงนอนสีขาวนั้นก็คือหญิงสาวคนหนึ่งในสภาพเปลือยเปล่า

                    เฮ้ย! ใครกันวะ ? เขาอุทานออกมาด้วยอารามตกใจ

                เสียงที่เปล่งออกมาทำให้หญิงสาวที่นอนอยู่ตรงนั้นขยับตัวเบา ๆ เขานึกว่าเธอจะตื่นขึ้นมาจากสิ่งรบกวน จึงรีบโยนผ้าห่มกลับไปคลุมกายเธอเหมือนเดิม ผ้าห่มสีขาวกลับไปปกปิดส่วนโค้งเว้าของเธอตั้งแต่หัวไหล่จนมิดปลายเท้า

                    ใบหน้าของเธอโผล่พ้นขอบผ้าห่มทำให้เขาสับสนในใจจนบอกไม่ถูก ผมเธอน่าจะยาวถึงประมาณกลางหลัง เส้นผมดำขลับ ใบหน้ารูปไข่ คิ้วที่ได้รูปเรียวงาม ริมฝีปากที่อวบอิ่ม เขานึกไม่ออกว่าคุ้นเคยกับใบหน้าเช่นนี้ที่ไหน เขานึกไม่ออกว่าเธอคนนี้เป็นใคร เขาตอบคำถามตัวเองไม่ได้ว่าเธอคนนี้มานอนอยู่บนเตียงในห้องของเขาได้อย่างไร และทำไมเธอถึงนอนอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าเช่นนี้ เขาพยายามนึกย้อนไปว่าเมื่อคืนก่อนนอนเขาได้ทำอะไรลงไปบ้าง เขากับเธอได้มีสัมพันธ์อะไรกันหรือเปล่า มีหรือไม่มี ถ้ามีแล้วทำไมเขาถึงจำอะไรไม่ได้เลย ถ้าไม่มีแล้วเหตุผลใดทำไมเธอถึงมานอนหลับใหลอยู่ตรงนี้

                    สมองเขาในตอนนี้มีแต่คำว่าไม่รู้เต็มไปหมด บางทีเธอคนนี้อาจจะเป็นหมอนวดทางโทรศัพท์ที่เขาโทรเรียกมานวดให้ก่อนนอน เขาคิดถึงความเป็นไปได้ เธออาจจะมีฝีมือการนวดที่ดีจนกระทั่งทำให้เขาหลับไปและตื่นขึ้นก็จำเธอไม่ได้

                    จำไม่ได้ ความจำเสื่อม

                    อาการที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเขาอย่างนี้ทำให้เขาต้องนึกย้อนไปทั้งชีวิตว่า ที่ผ่านมาเขาเคยความจำเสื่อมเช่นนี้บ้างหรือเปล่า เวลาที่ตื่นขึ้นมาเขาเคยจำผู้หญิงที่นอนด้วยกับเขาไม่ได้หรือเปล่า นึกเท่าไรคำตอบที่ได้ก็คือไม่ เขานวดขมับตัวเองเบา ๆ ท่องสูตรคูณแม่สิบสอง นึกถึงชื่อเพื่อนสนิท นึกถึงชื่อพ่อแม่มัน นึกถึงเพลงที่ชอบฟัง ความทรงจำสติปัญญายังอยู่ครบถ้วน เขาไม่ได้บ้าหรือว่าความจำเสื่อมอย่างที่คิด แต่สิ่งที่ขัดกันในตอนนี้ก็คือเธอที่นอนอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้คือใคร

                เขานึกย้อนเหตุการณ์อีกครั้ง เมื่อคืนนี้ตั่งแต่เขาก้าวลงจากรถ ก้าวแรกที่เหยียบลงบนเมืองนี้ ห้องพักที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้ อาการเหนื่อยล้าจากการเดินทางมาตลอดทั้งวัน ห้องสีขาว กลิ่นจาง ๆ ของไอฝน จนกระทั่งถึงตอนนี้ที่เธอนอนอยู่บนเตียงตรงหน้า ก่อนหน้านั้นไม่มีความทรงภาพของเธอเข้ามาในสมองเลยแม้แต่นิดเดียว

                    เขาจำเธอไม่ได้ เขาไม่รู้จักเธอ เขาไม่รู้จักชื่อเธอ แต่เขารู้สึกคุ้นหน้าเธออย่างบอกไม่ถูก สายตาที่มองกระทบใบหน้าเธอทำให้เขาคุ้นเคยกับภาพตรงหน้าอย่างบอกไม่ถูก

    ขณะมองเธอเขารู้สึกว่าอยากเรียกชื่อเธอขึ้นมา แต่เขาไม่รู้จะพูดอย่างไรให้เสียง ๆ นั้นเปล่งออกมา คำบางคำถูกกั้นไว้ตรงลำคอ  คำบางคำที่เขาเคยพูดแต่นึกไม่ออกว่าต้องพูดอย่างไร ไม่ใช่ว่าจำไม่ได้ แต่เป็นเพราะว่าเขาไม่รู้วิธีเปล่งเสียงออกมาให้เป็นคำ ๆ นั้นต้องทำอย่างไร จนในท้ายที่สุดคำทุกคำก็ถูกกลืนลงในลำคอ

                     เขาพูดว่า คุณ เบา ๆ ด้วยเสียงแหบแห้งในลำคอ

                    เกือบหนึ่งนาทีที่คำนั้นหลุดจากปากไป ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใด ๆ ตอบกลับมากจากคำว่า  คุณ ที่เขาเรียก เขาพยายามจะเรียกเธออีกครั้ง แต่ก็เม้มปากไว้จนมิดถอนหายใจเบายาว แล้วหันหลังให้กับเธอ เดินบนปลายเท้าเข้าห้องน้ำเพื่อปลดปล่อยอะไรบางอย่างที่เขาสามารถปลดปล่อยได้ สิ่งที่เขาสามารถระบายได้ตามใจได้ง่ายกว่าคำสั้น ๆ ที่เขาพยายามพูดเท่าไรก็พูดไม่ออก

                    ประตูห้องน้ำสีขาวถูกปิดอย่างไร้เสียง เขามองภาพเธอบนเตียงจนประตูบานประกบกันสนิท

                ภายในห้องน้ำสีขาวในห้องสีขาว เขาปลดปล่อยสายน้ำสีขาวขุ่นออกจากร่างกายไปลงยังสุขภัณฑ์สีขาว เสียงสายน้ำกระทบกันดังก้องสะท้อนไปมาในห้องสีเหลี่ยมเล็ก หลังจากสลัดน้ำหยดสุดท้ายออกจากปลายช่อ เขากดปุ่มให้น้ำสีขุ่นที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ให้หมุนลงหายไปในกระแสน้ำวน ความอัดอั้นได้ถูกปลดปล่อยออกไปจนหมดสิ้น แวบหนึ่งในความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจคิด ชื่อ ๆ หนึ่งผุดขึ้นมาในหัวเหมือนไฟดวงน้อยที่ส่องสว่างในความมืด

                    เขาผละร่างออกจากห้องน้ำมองไปที่เตียงสีขาว ผ้าห่มยังกองวางไว้ตรงจุดเดิม เพียงแต่ร่างกายรวมทั้งใบหน้าของเธอซุกหายไปในกองผ้าห่มสีขาว เดินเข้าไปตรงจุด ๆ นั้นอีกครั้งเหมือนหนังที่ฉายภาพวนซ้ำ เลิกผ้าห่มขึ้นช้า ๆ เพื่ออยากจะดูใบหน้าเธอใกล้ ๆ อีกครั้ง แล้วเขาจะเรียกชื่อที่ถูกผลักออกมาจนติดริมฝีปากจนมันเกือบจะเผยอแยกจากกัน

                    ผ้าสีขาวเคลื่อนตัวหลุดจากเตียงช้า ๆ เขาดึงผ้าจนหล่นกองมาอยู่บนพื้นทั้งหมด

                    ว่างเปล่า

    เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นตรงนั้น

                    ด้านหน้า บนเตียงมีแต่ความว่างเปล่าบรรจุอยู่ตรงนั้น เธอคนนั้นหายไปไหนเขาคิดในใจ เดินวนไปรอบ ๆ ห้องเผื่อเธออาจจะแอบเขาเพราะรู้สึกเขินอาย ที่ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองอยู่ในห้องใครก็ไม่รู้ แถมยังอยู่ในสภาพที่ไม่มีอาภรณ์สวมกายเลยแม้แต่ชิ้นเดียว เขาก้มดูใต้เตียง ในตู้เสื้อผ้า เดินเข้าไปดูในห้องน้ำทั้ง ๆ ที่เขาเพิ่งเดินออกมา เดินไปดูตรงหน้าต่าง

                ว่างเปล่า

                    เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นตรงนั้น ทั้งที่จริงเมื่อสักครู่เธอยังนอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม

                    เขาเลิกผ้าปูที่นอนออกอย่างไม่มีเหตุผล เผื่อบางทีเธออาจจะแอบอยู่ใต้ผ้าปูที่นอนก็เป็นได้ แต่ใต้ผ้าปูที่นอนนั้นมีแต่เตียงเปลือยเปล่าสีขาว ไม่มีแม้แต่เงาของเธอ เหมือนเธอไม่เคยมีตัวตนอยู่จริงในห้องนี้

                    เกาหัวแกรก ๆ ด้วยความสงสัยและมึนงง ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งจะหายไปไหนได้รวดเร็วขนาดนี้ เสื้อผ้าก็ไม่สวมใส่ ช่วงเวลาที่เขาเข้าห้องน้ำเธอจะสวมเสื้อผ้าได้รวดเร็วขนาดนั้นเลยหรอ แล้วอีกทั้งถ้าเธอออกไปทางประตูยังไงมันก็ต้องมีเสียงกระทบกระแทกของลูกบิดประตูบ้าง แต่มันก็ไม่มีเสียงใด ๆ เกิดขึ้นเลยแม้แต่แกร๊กเดียว

                    เขาเดินไปที่ประตูห้อง บานประตูเป็นลักษณะดึงเข้าหาตัวหากเปิดจากด้านใน ชะโงกหน้าออกไปดูทั้ง ๆ ที่ลำตัวและขาทั้งสองยังเหยียบอยู่ในห้อง ตรงทางเดิน เขาเพิ่งรู้ว่าห้องที่เขานอนอยู่เป็นห้องสุดท้ายสุดทางเดิน ด้านซ้ายมือเขาเป็นผนังตัน ด้านขวามือเป็นทางเดินเล็ก ๆ ที่ปูไว้ด้วยพรมสีแดง สองข้างทางมีประตูห้องขนาบอยู่จนสุดทางเดิน ป้ายไฟสีขาวตัวอักษรสีแดงเล็ก ๆ เขียนว่า ทางออก อยู่ไกลจนสุดปลายตา เขามองไปจนสุดทาง ไม่มีแม้แต่เงาของสิ่งมีชีวิตแม้แต่มดตัวเล็ก ๆ

                    คุณ เขาพูดเสียงแหบในลำคอ ขณะที่ชะโงกหน้ามองไปจนสุดขอบพรมสีแดง

     

    ประตูปิดและถูกล๊อคจากด้านใน เขายืนหันหลังพิงประตูด้วยความรู้สึกที่ยังสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ไม่หาย คำถามที่ว่า ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร  เธอชื่ออะไร หายไปไหน ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวเหมือนยากล่อมประสาทที่ยังไม่หมดฤทธิ์ และเขาเริ่มอึดอัดมากกว่าเดิมเมื่อคิดได้ว่า เขาลืมชื่อที่เพิ่งนึกออกในห้องน้ำเมื่อกี้ไปแล้ว ความรู้สึกเหมือนจะรู้แต่กลับไม่รู้ทำให้เขาเกลียดตัวเองอย่างบอกไม่ถูก

                    เพื่อปลดปล่อยความรู้สึกอยากรู้ให้หายไป ทำให้เขาตัดสินใจกดโทรศัพท์ภายในห้อง โทรไปที่โอเปอร์เรเตอร์เพื่อจะถามว่าเห็นผู้หญิงผมยาวปะบ่าสักคนที่เพิ่งเดินออกไปบ้างหรือเปล่า  (บางทีเธออาจจะไม่ได้สวมใส่อะไรเลย คำพูดประโยคนี้เขาคิดในใจคงไม่กล้าพูดออกไป)

                    กดหมายเลขศูนย์เพื่อติดต่อโอเปอร์เรเตอร์ ข้อความที่แปะอยู่ข้าง ๆ เครื่องโทรศัพท์เขียนไว้อย่างนั้น เขายกหูโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู และในนาทีนั้นเขาเพิ่งสังเกตได้ว่าโทรศัพท์ตรงหน้าเขานั้นสีลักษณะเป็นสีขาวไม่ต่างจากทุกสิ่งทุกอย่างในห้องนี้เลย

                    นิ้วชี้จิ้มไปตรงเลขศูนย์ที่อยู่ด้านล่างสุดบนแป้นโทรศัพท์สีขาว

                    เงียบ

                    ไม่มีเสียงใด ๆ เล็ดลอดออกมาจากหูโทรศัพท์ เขาลองวางโทรศัพท์และกดหมายเลขศูนย์อีกที แต่มันก็ไม่ต่างจากครั้งแรก เสียงในนั้นยังคงเงียบอยู่เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เหมือนเขาไม่เคยกดนิ้วสัมผัสลงบนเลขศูนย์

                เขาวางหูโทรศัพท์กลับลงที่เดิม คิดว่าเดินออกไปถามเองคงจะได้เรื่องกว่า เขาบิดประตูดึงเข้าหาตัวแล้วชะโงกหน้าออกไปภายนอก พรมสีแดงยังคงนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นไม่ต่างจากเมื่อครู่ เขามองไปจนสุดทางเดินที่สิ้นสุดตรงป้ายทางออก ตรงนั้นคงเป็นทางออกหรือทางลงอะไรสักอย่าง ถ้าเขาจำไม่ผิดและเมื่อคืนเขาคงเดินขึ้นมาจากทางนั้น

                    เขานึกภาพตัวเองเดินขึ้นบันไดมาจากตรงนั้น แม้จะเป็นเพียงความทรงจำรางเลือนเหมือนคิดไปเอง แต่เขาก็แน่ใจว่าเขาไม่ได้เดินขึ้นมากับผู้หญิงคนนั้น เขาก้าวสองเท้าเปลือยเปล่าพ้นพื้นกระเบื้องสีขาวออกมาเหยียบพื้นนุ่ม ๆ ของผืนพรมสีแดง

                    เขาไม่ได้ลืมใส่รองเท้า เพียงแต่เขาหามันไม่เจอ

                    ก่อนดึงปิดประตูเข้าหาตัวเพื่อทำการปิดมันอีกครั้ง เขาชะโงกหน้าเข้าไปในห้อง พูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งเหมือนคนกำลังถามหาใครสักคนว่าอยู่หรือเปล่า คุณ สักครู่หนึ่งหลังสิ้นเสียง เมื่อความเงียบคือคำตอบที่ได้รับ เขาปิดประตู เสียงลูกปิดลงกลอนดัง แกร๊ก เบา ๆ แต่มันก็ดังพอที่จะทำให้เขาได้ยิน

                แรงสัมผัสของรอยเท้าที่เหยียบผ่านบนพื้นพรมสีแดง ทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่ากำลังเดินอยู่บนทรายหยาบ แม้จะเป็นความรู้สึกเดียวกันแต่พรมไม่สามารถสร้างรอยเท้าได้เหมือนกับทราย รอยเท้าบนพรมทำให้เขาคิดถึงหาดทรายที่ไหนสักแห่ง ผืนน้ำท้องทะเลกลิ่นชื้น ๆ ของอากาศและรสเค็มของมัน เขาเหลือบเห็นพระอาทิตย์ตกดินในจินตนาการ แต่ก็นึกไม่ออกว่าเขาเคยไปที่นั้นตั้งแต่เมื่อไร เป็นอีกครั้งที่เขานึกอะไรบางสิ่งบางอย่างออก แต่ตอบตัวเองไม่ได้ว่ามันคืออะไร เหตุการณ์นั้นมันมีชื่อว่าอะไร เขารู้สึกเกลียดตัวเองอีกครั้งที่มีความทรงจำครึ่ง ๆ กลาง ๆ มันทำให้เขาเริ่มรู้สึกหงุดหงิดไม่แพ้จากการที่เขาพยายามนึกชื่อสักชื่อแต่นึกไม่ออก

                    ป้ายทางออกแขวนไว้อยู่เหนือหัวตรงสุดทางเดิน ลูกศรสีแดงที่อยู่ที่ต่อท้ายคำว่าทางออกชี้ไปทางขวามือเขาหันไปตามตัวอักษร ด้านหน้าเป็นบันไดทางลงไปข้างล่าง ขณะที่กำลังก้าวเหยียบบันไดขั้นแรกลงไป เสียงเพลงเบา ๆ ลอยวนขึ้นมาจากข้างล่าง-ที่ไหนสักแห่ง เขาได้ยินเสียงไม่ชัดเท่าไรนัก แต่เมื่อเดินวนลงไปเรื่อย ๆ เสียงนั้นก็ชัดเจนขึ้นทุกทีทุกทีจนปากเขาพลางขยับร้องตามทำนองโดยไม่รู้ตัว              

                    เขากำลังรู้สึกดีกับความทรงจำ เขารู้สึกดีที่จำเนื้อเพลง ๆ นี้ได้ เขารู้สึกว่ามีความสุขที่ได้ร้องเพลง แต่ท่วงทำนองและเนื้อเพลง ๆ นี้มันเศร้า ๆ ยังไงพิกล เขาพยายามนึกชื่อเพลง-อีกครั้งที่เขาค้นความทรงจำออกมาไม่ได้ว่า เพลงที่เขากำลังร้องคลอตามเสียงดนตรีนั้นมันชื่อว่าอะไร

                    เสียงเพลงหายไปขณะที่เขากำลังก้าวพ้นบันได้ขั้นสุดท้าย

                    ชั้นล่างของห้องพักมีร้านมินิมาร์ทเล็ก ๆ ซ่อนตัวอยู่ ตรงกันข้ามมีเคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ด้านหลังเคาท์เตอร์มีตู้รับจดหมายเรียงรายแปะผนังซ้อน ๆ กันอยู่

                    ไม่มีใครนั่งอยู่ตรงนั้นทั้ง ๆ ที่เขาคิดว่าควรน่าจะมีใครสักคนนั่งประจำการอยู่ เจ้าหน้าที่ของตึกหรือว่าใครก็ได้สักคน

                    ระหว่างที่เขากำลังยืนคิดอะไรไม่ออกอยู่ตรงเคาท์เตอร์ โทรศัพท์ที่วางอยู่ตรงนั้นก็ส่งดังขึ้น เขามองที่มันแล้วกวาดตามองไปรอบ ๆ ตัว ตอนนี้ไม่มีใครอยู่สักคน ไม่มีแม้กระทั่งคนเดินผ่านมา เขาเดินไปตรงร้านมินิมาร์ท เปิดประตูเดินเข้าข้างในเพื่อมองหาใครสักคนแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา

                    เสียงโทรศัพท์ยังดังอย่างไม่ลดละ   ไม่มีใครสักคนที่จะคิดไปรับมัน อาจจะเป็นเพราะว่าไม่มันไม่มีคนอยู่แถว ๆ นั้น แต่หากจะมีใครสักคนในตอนนี้ก็คงมีเพียงแต่เขาเท่านั้น

                    เขาเดินไปรับโทรศัพท์-มันมีรูปทรงและสีอย่างเดียวกับโทรศัพท์ในห้อง

                    ครับ เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดเริ่มต้นอย่างไร

                    ทำอะไรอยู่ ตื่นหรือยังเนี่ย เสียงผู้หญิงสาวคนหนึ่งโต้ตอบมา

                    เอ่อ...

                    รอนานแล้วนะ ลุกจากเตียงสักทีสิ นัดทีไรเป็นอย่างนี้ทุกทีเลยเสียงนั้นเหมือนกำลังออกคำสั่ง แต่เขารู้สึกว่ามันเป็นคำสั่งที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและนุ่มนวล

                    เอ่อ ไม่ใช่ครับคุณ...เขารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้คงเข้าใจอะไรผิดสักอย่าง อาจจะเป็นการต่อเบอร์ผิด หรือไม่ก็คงเป็นความผิดของเขาเองที่ดันรับโทรศัพท์ของคนอื่น

                    อาบน้ำแปรงฟันแต่งตัว แล้วรีบออกมาเลยนะ รอนานแล้ว

                    คุณครับ...คือว่า... เหมือนเธอจะไม่ได้ฟังเสียงเขาเสียง หรือบางทีเสียงเขาคงจะเบาเกินไปทำให้เธอไม่ได้ยิน

                แล้วก่อนออกจากห้องโทรหาด้วยนะ จะได้รู้ว่าไม่ได้แอบหลับต่อ

                    เอ่อ...

                    เขากำลังจะอธิบายความเข้าใจผิด แต่สัญญาณโทรศัพท์ก็ขาดหายไป เขาถือหูโทรศัพท์แนบหูนึกสงสัยว่า ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกัน แล้วเธอโทรมาหาใครและหลังจากที่ชายคนนั้นทำตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก่อนออกจากห้องชายคนนั้นต้องโทรไปที่เบอร์ใด

                    เขาวางหูโทรศัพท์แนบกลับไปบนตัวเครื่อง บางทีเขาก็ไม่ควรให้ความสนใจเรื่องของคนอื่นมากไปกว่าเรื่องของตัวเอง

                เขารู้สึกว่าตอนนี้เขารู้เรื่องของตนเองน้อยเหลือเกิน

                    ก้าวเท้าเปล่าเดินออกไปภายนอกอาคาร บรรยากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนขมุกขมัวด้านนอก ทำให้ยากที่จะเดาได้ว่าขณะนี้กี่โมงกี่ยามแล้ว ถนนภายนอกว่างเปล่าไร้ความเคลื่อนไหวจากสิ่งมีชีวิตใด ๆ แม้กระทั่งหมาสักตัวก็ไม่มี เหมือนขณะนี้ทุกคนบนโลกกำลังหลบอยู่ในห้องส่วนตัว โดยมีเขาเพียงคนเดียวที่เดินออกมาข้างนอก-โลก

                    พอเริ่มรู้สึกถึงความเหงา เสียงบางอย่างก็ดังโครมหล่นอยู่ข้าง ๆ เสียงที่เหมือนกับบางสิ่งได้ตกลงสู่พื้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาหันมองไปยังต้นเสียง สิ่งมีชีวิตกำลังเคลื่อนไหวอยู่ตรงนั้น

                    ยาม กำลังลุกขึ้นปัดฝุ่นที่เกาะตามเสื้อผ้าแล้วจัดเก้าอี้ให้ทรงตัวคืนดังเดิม

                    ยามยิ้มเขิน ๆ ใส่เขา จัดหมวกวางไว้บนหัวให้เข้าที่เข้าทาง แล้วนั่งตัวตรงหลังตึงบนเก้าอี้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขื้น

                    เขาเดินตรงเข้าไปหาสิ่งมีชิวิตเดียวที่นั่งอยู่ตรงนั้น

                    สวัสดีครับ เขาทักทายยามที่นั่งหลังตรง แต่กลับเงยหน้ามองท้องฟ้า

    ยามลุกขึ้นยืนตัวตรงเหมือนมีสปริงดันออกมาจากก้น นิ้วทั้งห้าของมือซ้ายแบบชิดกันปลายนิ้วกลางจรดที่หางคิ้ว

    เมื่อสักครู่พอจะเห็นผู้หญิงผมยาว ๆ เดินออกมาจากตึกบ้างหรือเปล่าครับ

    ยามทำหน้าสงสัยเหมือนกับเขากำลังถามหามนุษย์ต่างดาวสักตัว ไม่มีหรอกครับ ผมนั่งอยู่ตรงนี้ตลอดเวลา ยังไม่เห็นใครเดินออกมาจากตึกเลย...” ยามหยุดกึกคำพูดไว้ตรงนี้เหมือนรู้ตัวว่าเขาอาจจะไม่เห็นใครสักคนเดินผ่านเข้าออกเมื่อสักครู่ก็ได้ เพราะเขากำลังหลับอยู่จนกระทั่งล่วงหล่นจากเก้าอี้ จนกระทั่งเจอชายผู้นี้ ...แต่ก็...เอ่อ...คงไม่มีใครหรอกครับ เช้าขนาดนี้คงยังไม่มีใครตื่นหรอกครับ เขาพยายามกลบเกลือนความผิดตัวเองเท่าที่จะทำได้ เงยหน้าขึ้นไปมองเมฆสีเทา ๆ บนท้องฟ้า อีกทั้งอากาศดี ๆ อย่างนี้เป็นใคร เขาก็คงนอนอยู่ในห้องไม่ออกไปไหนหรอกครับ

    ไม่เห็นผู้หญิงสักคนเลยหรอครับ เขาพยายามถามย้ำ

    ไม่เห็นครับ ยามยืนยันคำตอบเดิม ทั้ง ๆ ที่สีหน้า แววตาและน้ำเสียงของเขานั้นไม่ได้มั่นใจอย่างนั้นเลยสักนิดเดียว

    ขอบคุณครับ เขาพยักหน้าลงเบา ๆ พูดคำขอบคุณในลำคอแล้วเดินหันหลังจากมา พอเดินออกมาได้สองก้าว เสียงเพลงคุ้นหูก็แว่วดังมาจากด้านหลังทำให้เขาหยุดฝ่าเท้าไว้ตรงนั้น

    หันหลังกลับไปยังต้นเสียง

    ยามคนนั้นหายไปแล้ว

    เขากวาดตามองไปรอบ ๆ เหมือนในตอนนี้บนโลกมีเพียงเขายืนอยู่ลำพังคนเดียวอีกครั้ง

    ยามไม่ได้นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนั้น แต่มีบางอย่างวางอยู่บนเก้าอี้ตัวนั้น กล่องพลาสติกสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีดำเล็ก ๆ เสียงที่เขาได้ยินมันออกมาจากกล่อง ๆ นั้น เขาเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ ก็เห็นเป็นเครื่องเล่นเทปขนาดพกพา รุ่นเก่ายี่ห้อหนึ่งซึ่งสามารถอัดเสียงได้ เขารู้สึกว่าเขาก็เคยซื้อเครื่องรุ่นนี้มาใช้เหมือนกัน เสียงที่เทปกำลังเล่นอยู่นั้นเป็นเสียงร้องที่ถูกอัดลงไปสด ๆ บนเนื้อเทป เขาคิดว่าคงเป็นเสียงของยามคนเมื่อกี้ พยายามหมุนไปรอบ ๆ ตัวเพื่อมองหายามคนนั้นว่าหายตัวไปไหน แต่ก็ไม่พบ บางทีเขาอาจจะเดินไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้า หรือบางทีอาจจะไปแอบหลับอยู่ที่ไหนสักแห่งก็ได้

    เขาวางเครื่องเล่นเทปไว้ที่เดิม นึกถึงสมัยก่อน ครั้งหนึ่งเขาก็เคยนั่งอัดเสียงเสียงตัวเองลงบนเนื้อเทปเช่นนี้เหมือนกัน เสียงเปล่า ๆ โดยที่ไม่ต้องมีดนตรีประกอบ เสียง ๆ หนึ่งไหลออกมาจากลูกคอของเขา มันเป็นเพลงที่เขาคุ้นเคย เพลงเมื่อสักครู่ที่เสียงหายไปตรงบันไดขั้นสุดท้าย  

    เขามองออกไปภายนอกอาคาร ตรงถนน ซ้าย ขวา เดินออกไปยืนกลางถนนไม่มีวี่แววของรถสักคันที่จะแล่นผ่านถนนเส้นนี้ เมืองนี้ช่างเป็นเมืองที่เงียบจริง ๆ

    มองย้อนกลับไปในตัวตึกที่เขาทิ้งตัวลงนอนเมื่อคืน ตึกสีขาวตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า มันเป็นแท่งคอนกรีตสีขาวที่ดูเงียบสงบ เขามองไล่ขึ้นไปทีละชั้น ๆ หน้าต่างแต่ละห้องเหมือนว่าไม่เคยผ่านการใช้งานเลย หน้าต่างทุกบานบนตึกถูกปิดสนิททุกห้อง เขาใช้สายตานับขึ้นไปทีละชั้น ๆ จนถึงชั้นบนสุด ห้องสุดท้ายไม่ได้ปิดหน้าต่าง ผ้าม่านสีขาวพลิ้วชายออกมานอกหน้าต่าง

    อาจจะเป็นห้องของเขา เขาคงลืมปิดหน้าต่างตอนลงมา

    น้ำหยดหนึ่งหล่นลงใส่หัว เขาแหงนหน้าขึ้นไปมอง หยดน้ำเม็ดที่สอง สาม สี่ กำลังทยอยล่วงหล่นลงมาจนกลายเป็นสายฝน ร่างกายที่แห้งกำลังเปียกชื้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เขากึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปหลบฝนตัวอาคาร

    ฝนตกกำลังตกหนัก

                    เขาเดินย้อนบันไดขึ้นไปบนห้อง เพราะกังวลว่าฝนจะสาดห้องที่ไม่ได้ปิดหน้าต่างห้องนั้น และมันอาจจะเป็นห้องของเขา

    กว่าจะถึงบันไดขั้นแรก เขารู้สึกว่าตัวเองใช้เวลาเดินวนบันไดนานเหลือเกิน ขาก้าวได้ช้ากว่าที่สมองคิดสั่งการ ร่างกายกับสมองดูเหมือนจะไม่สามัคคีกันเลยสักนิดเดียว

    เมื่อพ้นบันไดขั้นแรกจนมาสู่พรมสีแดง ตรงสุดทางเดิน ตรงหน้าประตูห้องสุดท้าย มีเงาเทา ๆ ของผู้หญิงคนหนึ่งยืนหันหน้าเข้าหาประตู เหมือนเธอกำลังรออะไรสักอย่าง ในระยะไกลทำให้เขามองหน้าเธอไม่ชัด เห็นเพียงแค่เธอตัวเล็กน่าจะสูงประมาณบ่าเขาได้ ไว้ผมยาวถึงกลางหลัง เขารู้สึกว่าเธออาจจะเป็นคนเดียวกันกับผู้หญิงที่อยู่ในห้องเขาเมื่อสักครู่

    เขาพยายามเรียกเธอจากตรงนั้น แต่เสียงทั้งหมดมันก็สลายหายไปในอากาศ มีแต่ความเงียบเท่านั้นที่ถูกขับออกมาจากปากที่พูดว่า คุณ สองเท้าเขาพยายามสาวเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อจะเข้าไปใกล้เธอให้เร็วที่สุด แต่ความเร็วของจังหวะก้าวกับการสั่งการของสมองของเขานั้นมันก็ทำงานสวนทางกันอีกครั้ง

    เขารู้สึกเหมือนกับว่าไม่มีทางที่จะมีวันเดินไปถึงเธอที่ยืนอยู่ตรงนั้นเลย  

    คุณ ๆ เขาพยายามเรียกเธออีกครั้ง แต่ผลที่ออกมาก็ไม่ต่างกัน ความเงียบยังห่อหุ้มทุกเส้นเสียงของเขาที่ไหลออกจากลำคอ เหมือนกับว่าอากาศไม่ยอมให้เสียงของเขาเดินทางผ่านไปถึงตรงจุด ๆ นั้น

    เธอคนนั้นหันมองมาทางเขา แต่เหมือนว่าเธอไม่เห็นเขาเลย สายตาเธอดูเหมือนได้ทะลุผ่านร่างกายเขาไปจนสุดขอบพื้นพรมสีแดง

    แสงสว่างลอดออกมาจากห้อง เหมือนประตูถูกเปิดออกจากด้านใน

    เธอเดินเข้าไปในห้อง

    เขาเดินตามไปจนถึงหน้าประตูห้อง

    ในที่สุดเขาก็เดินมาถึงจุดที่เธอเคยยืนอยู่ ตรงหน้า-ประตูห้องเขาเอื้อมมือบิดลูกบิดเบา ๆ มันไม่ได้ล๊อคจากด้านใน

                    เขาค่อย ๆ แง้มประตูเปิดเข้าไปภายในห้อง แสงสีขาวค่อย ๆ ลอดผ่านออกมาจนกระทั่งเป็นแสงขาวจ้า จนเขาต้องหรี่ตาปรับรับแสงที่กระจายออกมา

                    ภายในเป็นห้องสีขาวโล่ง มีโซฟาสีขาวตั้งอยู่ตรงมุมห้องหนึ่งชุด มีชุดโต๊ะกระจกเตี้ย ๆ ตั้งอยู่ตรงหน้าโซฟาสีขาว เขาค่อย ๆ ก้าวเดินเข้าไปในห้อง ไม่มีเธอคนนั้นอยู่ในห้อง เธอหายไปไหน หายไปได้อย่างไร เธอชื่ออะไร เธอคนที่เดินเข้าประตูมาเมื่อกี้เป็นคน ๆ เดียวกันกับ คุณ คนที่เขากำลังตามหาอยู่หรือเปล่า

    ความสงสัยในสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นพุ่งขึ้นมา แต่มันก็แวบหายไปอย่างรวดเร็ว

                    เขารู้สึกคุ้นเคยในที่ ๆ ไม่คุ้นเคยอีกครั้ง

                    เดินไปจนถึงโซฟาสีขาว เขารู้สึกคุ้นเคยกับโซฟาตัวนี้อย่างแปลกประหลาด เขาหย่อนก้นลงไปนั่งมันยวบตัวลงไปตามแรงกดอย่างแขกที่กำลังต้อนรับผู้มาเยือน เขาเอนหลังลงไปด้วยท่าที่ผ่อนคลาย มองขึ้นไปบนเพดาน ลดตามองไปรอบ ๆ ห้อง

                    ไม่มีหน้าต่างสักบาน

                    สายตาเขามาหยุดตรงโต๊ะกระจกด้านหน้า ไมด์ลอยสีดำอันหนึ่งวางอยู่ตรงนั้น มันวางทับกระดาษสีขาวสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีกว้างสองนิ้วยาวหนึ่งไม้บรรทัด บนกระดาษมีตัวหนังสือสีดำเขียนไว้ยาวพรืดตั้งแต่หัวกระดาษจนท้ายกระดาษ

                    เขาเคลื่อนแท่งสีดำออกไปข้าง ๆ หยิบแผ่นกระดาษเข้ามาดูใกล้ ๆ ตา ตั้งแต่คำแรกจนคำสุดท้าย เขารู้ได้ทันทีเลยว่าเป็นมันชื่อเพลงที่ถูกเขียนด้วยปากกาเมจิกสีดำ เขารู้จักชื่อเพลงเหล่านี้และร้องมันได้ทุกเพลง

                    ตุ๊บ ไมด์กลิ้งหล่นจากโต๊ะโดยที่เขาไม่รู้ตัว ทันทีที่เขาก้มตัวลงไปเก็บเสียงเพลง ๆ หนึ่งดึงกระหึ่มมาจากข้างนอก เขารู้จักเพลง ๆ นี้และร้องมันได้ ดูในกระดาษที่จดรายชื่อเพลง มันเป็นเพลงที่อยู่ในลำดับสุดท้าย

                    ท่อนอินโทรกำลังบรรเลง เสียงกลอง เบส กีตาร์กำลังกรีดร้อง เหมือนกำลังรออีกหนึ่งเสียงที่ขาดหายไป เขากระชับไมด์ไว้ในมือ เดินตามเสียงดนตรีนั้นไป

                    มันดังทะลุมาจากหลังประตู  

                    ขณะที่จับลูกบิดประตูเพื่อตามออกไปยังต้นเสียง เขารู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง มันคือความรู้สึกไม่ต่างจากการตื่นเต้นประหม่าและกังวลเกี่ยวกับความผิดอะไรสักอย่างที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น เขาหมุนลูกบิดประตูช้า ๆ ดึงมันเข้าหาตัวอีกครั้ง

                    เสียงดังอยู่ในความมืด ไม่มีพรมสีแดงวางอยู่บนพื้น

                    เขาเดินตามเสียงไปในทางมืด ๆ เล็ก ๆ ที่ปลายตามีแสงสว่างวาบทะลุความมืดเข้ามา เดินไปตรงนั้น เมื่อร่างหลุดจากความมืด เขาพบว่าที่ ๆ กำลังยืนอยู่เป็นที่โล่ง บนเวทีแห่งหนึ่ง แสงไฟหลากสีพุ่งส่องมาทางเขา ด้านหน้ามีผู้คนมากมายนั่งหันหน้ามองมาทางเขาในความมืดสลัว

                    เขามองไปรอบ ๆ ตัวที่ใกล้ที่สุด นักดนตรีกำลังปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง เหมือนมีแรงกระตุ้นหรือสัญชาติญาณอะไรสักอย่าง สองขาของเขาก้าวไปด้านหน้าเวทีอย่างอัติโนมัติ

                    กระชับไมด์ขึ้นมาจ่อที่ริมฝีปาก

                    เขาเริ่มร้องเพลง

                    แวบหนึ่งที่เขามองลงไปข้างล่างเวที

                    คุณ นั่งอยู่บนเก้าอี้สูง กำลังจ้องมองมาทางเขา

    แสงบนเวทีดับไปเมื่อเสียงเพลงจบลง เมื่อแสงไฟสว่างขึ้นอีกครั้งเขาพบว่าตัวเองไม่ได้อยู่บนเวทีแล้ว เขายืนอยู่ตรงข้างล่างเวที ตรงโต๊ะ ๆ หนึ่ง ไมด์ในมือหายไปกลายเป็นดอกกุหลาบสีขาวหนึ่งดอก ด้านหน้าเขา หญิงสาวสองคนกำลังจ้องมองเขาอยู่ คนหนึ่งคือ คุณ อีกคนหนึ่งหนึ่งชื่อ มีน เขาอธิบายกับตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมถึงรู้จักหญิงสาวที่ชื่อมีน แต่ไม่รู้จักชื่อคุณ ทั้ง ๆ ที่นี่อาจจะเป็นการพบกันครั้งแรก

                    ไม่รู้จักหรือจำไม่ได้เขาเริ่มสงสัยในความทรงจำของตัวเองอีกครั้ง

                    มีนยิ้มให้เขาก่อน ส่วนคุณนั้นอยู่ในอาการปกติสีหน้าเรียบเฉย มีนยื่นแก้วเหล้าส่งให้ เขาวางดอกกุหลาบสีขาวไว้บนโต๊ะ รับแก้วเหล้าและกรอกมันเข้าปากพรวดเดียวเกือบหมดแก้ว เขาชอบความรู้สึกแบบนี้เวลาที่น้ำสีเหลืองร้อน ๆ ไหลผ่านลำคอลงสู่กระเพาะ

                    ดื่มเก่งจังเลยนะคะ มีนพูดกับเขาเป็นคำแรก

                    เขายิ้มอย่างมีเสน่ห์ มากันสองคนหรอครับ คำพูดไหลออกมาจากปากโดยที่เขาไม่ได้ตั้งใจ หลาย ๆ อย่างในตอนนี้เหมือนเป็นหนังที่ฉายซ้ำสำหรับเขา เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกเหมือนกับเคยเจอภาพเหตุการณ์เหล่านี้ในความฝัน มันเหมือนกับสิ่งทีเรียกว่า เดจาวู

                    เขาปล่อยให้เรื่องทั้งหมดดำเนินต่อไปโดยไม่คิดจะฝืน

                    ค่ะ มากันสองคน

                    ขอบคุณครับสำหรับดอกไม้

                    ค่ะ ชอบไหมคะ มีนพูด พลางจีบเหล้าในแก้วเบา ๆ

                    ชอบครับ แล้วมากันนานหรือยังครับเมื่อสิ้นคำถามสายตาเขาไปบรรจบลงที่คุณ

                    พึ่งมาค่ะ มีนตอบ

                    อ๊อครับ

                    มาร้องเพลงที่นี่เป็นวันแรกหรอคะ ไม่เคยเห็นหน้า

                    ครับคืนนี้เป็นคืนแรก

                    แก้วเหล้าตรงหน้าถูกเติมเต็มอีกครั้ง มีนยกแก้วเหล้าขึ้นมาชนกับเขาพร้อมกับรอยยิ้ม เขายกแก้วขึ้นเสียงแก้วกระทบกัน แต่คุณกลับไม่มีทีท่าว่าจะมีส่วนร่วมกับกิจกรรมนี้เลยสักนิด เธอยังนั่งนิ่งเฉยราวกับไร้ตัวตนอยู่ในโลกแห่งนี้

                    อย่าไปสนใจคุณเลยคะ มีนพูดเหมือนรู้ว่าเขากำลังจ้องมองเธออย่างคนที่เก็บคำถามอะไรสักอย่างไว้ในสายตา เรามาดื่มของเรากันดีกว่า เธอยกแก้วขึ้นอีกครั้ง ขอฉลองให้นักร้องคนใหม่หน่อย

                เขารู้สึกแปลกใจกับสิ่งที่มีพูดออกมา อย่าไปสนใจ คุณ เลยค่ะ หรือว่าเธอคนนี้จะชื่อคุณอย่างที่เขาเรียกจริง ๆ

                    เขายิ้มเบา ๆ ให้มีน ภายในหัวเริ่มเต็มไปด้วยความสงสัยกับสิ่งที่เกิดขึ้น เหตุการณ์ตรงหน้าดำเนินต่อไปอย่างที่มันควรจะเป็น เขาไม่สามารถฝืนหรือขัดขืนอะไรได้เลย เขากลายเป็นเพียงนักแสดงคนหนึ่งที่กำลังเล่นตามบทบาทที่ถูกวางเอาไว้โดยผู้กำกับ หรือใครสักคน หรืออาจจะเป็นตัวเขาเอง

                    เหล้าแก้วแล้วแก้วเล่าถูกยกกระดกรินลงกระเพาะ เขาและมีนเหมือนชายหญิงสองคนที่อยู่กลางทะเลทราย กระหายน้ำอย่างไม่รู้จักจบสิ้น

                    ทุก ๆ แก้วที่เขายกประกบริมฝีปาก เขาอยากจะถามคุณเหลือเกินว่า ผู้หญิงที่อยู่ในห้องเขาคนนั้นกับคุณเป็นคน ๆ เดียวกันหรือเปล่า คุณมีชื่อเรียกว่า คุณ จริง ๆ หรือถ้าใช่มันคงเป็นชื่อเรียกที่แปลกดีสำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง และเขาคงจะถามคุณว่า เขาและเธอเคยเจอกันหรือเปล่า เคยรู้จักกันหรือเปล่า ทำไมเขารู้สึกคุ้นเคยกับคุณขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่เขาจำไม่ได้ว่าความคุ้นเคยนี้มันเริ่มเกิดขึ้นตั่งแต่เมื่อไร

                    หรือมันเพิ่งเริ่มต้น ณ จุดนี้

                    ไม่ทันที่เขาจะถามอะไรคุณอย่างความคิดที่วางไว้ แสงไฟในร้านสว่างวาบเป็นสีขาวสว่างจนแสบตา เขาหรี่ตาหยีเอามือป้องแสงจากความสว่าง

                    หนึ่งวูบเพียงเศษลมหายใจความมืดกลับเข้ามาปกคลุมอีกครั้ง เขาเหมือนกำลังล่องลอยอยู่ในอากาศ ไร้ทิศทาง ไร้กาลเวลา

                ความพร่าเลือน

    เขาวางแก้วน้ำในมือลงบนโต๊ะเตี้ย ๆ ใกล้มือ

    ร่างกายเขานอนแนบอยู่บนพื้นเตียง

    ความรู้สึกบางอย่างเริ่มไหลซึมเข้ามาช้า ๆ  

    เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังมีความสุข ร่างกายเบาสบายเหมือนขนนกที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ ภาพทุกอย่างรอบตัวพร่าเลือน มันเป็นภาพไม่ชัดเจนท่ามกลางมืดสลัวภายในห้องที่มีแสงสีส้มจาง ๆ มีนนอนอยู่ข้าง ๆ

    เขาและเธอนอนอยู่บนเตียง

    โต๊ะเตี้ยข้างเตียงมีแก้วน้ำสองใบ มียาเม็ดเล็กวางอยู่ข้าง ๆ สองเม็ด

                    สบายยยยย...จังเลย มีนพูดเสียงยาน ตาลอยอยู่ในอากาศ

                    เขาแหงนหน้ามองขึ้นไปบนเพดาน ความสูงของมันถอยระยะห่างไปเรื่อย ๆ เหมือนไม่มีวันสิ้นสุด ไม่นานมันก็ลอยหายไปกลายเป็นท้องฟ้าสีดำที่มีดวงดาวเรียงรายระยับเต็มไปหมด

    สวย เขาเอ่ยเบา ๆ

    ใค ๆ ก็ชมว่ามีนสวยยยยยย ลูกค้าทุกคนติดใจมีนกันท้างงงงน้านนนน

    เขาได้ยินเสียงที่เธอพูด แต่เหมือนไม่ได้สนใจอะไรกับคำพูดเหล่านั้น สายตามองขึ้นไปบนเพดานที่มันกลายเป็นทะเลดาว

    มีนเบียดตัวเข้ามาชิด มือและขาโน้มเข้ามาก่ายอยู่บนตัวเขา นาทีนี้เองเขาเพิ่งค้นพบว่าร่างกายของเขาไม่สามารถบังคับให้มันเคลื่อนไหวได้อย่างที่ใจคิด

    ริมฝีปากมีนและเขาประกบกัน

    ตรงข้างเตียง คุณ นั่งมองเขาและมีนอย่างเงียบ ๆ สายตาเธอเหมือนกำลังบอกอะไรสักอย่างกับเขา แต่ด้วยความพร่าเลือนทำให้เขาไม่เข้าใจ และมองเห็นไม่ชัดเจนเท่าไรนัก

    คุณลุกจากเก้าอี้มุมห้องและตรงไปที่ประตูห้อง เธอเปิดประตูแล้วเดินออกไป

    เขาคิดจะลุกเดินตามเธอออกไป แต่ก็ทำได้เพียงแค่คิด เพราะร่างกายยังคงนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง

    สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ทำให้เขารู้สึกตัวว่ากำลังทำความผิดอะไรสักอย่าง ความผิดที่ผ่านพ้นไปแล้ว ความผิดที่ไม่สามารถแก้ สิ่งที่ผ่านไปแล้วไม่สามารถย้อนคืนมาได้

    ในมุมสูงบนดวงดาว

    เขากำลังมองเขาและมีนนอนกอดก่ายกันอยู่บนเตียง แก้วน้ำบนโต๊ะข้างเตียงแห้งเหือดไปแล้ว ไม่มียาเม็ดเล็กวางอยู่บนนั้น

                    แสงสีดำลบความพร่าเลือนจนดับหายไป

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×