ยมทูตโทรศัพท์สายมรณะ (Rewrite) - ยมทูตโทรศัพท์สายมรณะ (Rewrite) นิยาย ยมทูตโทรศัพท์สายมรณะ (Rewrite) : Dek-D.com - Writer

    ยมทูตโทรศัพท์สายมรณะ (Rewrite)

    ถ้าอยากจะร้องไห้ก็ร้องมันออกมาเถอะ เดี๋ยวความมืดแห่งรัตติกาลจะช่วยบดบังใบหน้าที่ไม่สวยงามของเจ้าเอง

    ผู้เข้าชมรวม

    339

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    339

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  24 มิ.ย. 56 / 02:07 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    “เอ๋? พี่ชายอัศวินเหรอคะ” กานต์แก้วเรียกเขาด้วยความดีใจ

    “อือ  ถ้าเป็นไปได้  พี่ก็อยากจะเป็นแบบนั้นไปตลอดเหมือนกัน แต่พี่กลับไม่สามารถเป็นแบบนั้นให้เราได้เลย...ขอโทษด้วยนะ ที่ต้องบอกเราว่ามัน...มันถึงเวลาแล้วที่...”

    “มันถึงเวลาแล้วที่หนูจะต้องไปกับพี่สินะคะ” เมื่อเห็นว่าทางปลายสายเริ่มจะเอ่ยทุกอย่างออกมาด้วยความยากลำบากมากขึ้นเธอจึงเอ่ยมันออกไปแทนเขา และทันทีที่เอ่ยจบเด็กน้อยก็ได้เห็นว่าพี่ชายอัศวินของเธอกำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ตรงหน้าเธอนี่เอง

    ดวงตาสีแดงของยมทูตมองหลุบต่ำ เป็นครั้งแรกที่เขาไม่กล้าสู้สายตาของดวงวิญญาณที่มารับตัวไป  ศิลามีเพียงรอยยิ้มเศร้า ๆ ที่ปรากฏออกมา เมื่อเผชิญหน้ากับเธอตรง ๆ ในฐานะยมทูต

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ครืดดดด  ครืดดดด ครืดดดด

      เสียงเรียกเข้าจากเบอร์โทรศัพท์ที่ลงท้ายด้วยเบอร์ตองจำนวนสี่ตัว  หญิงเจ้าเนื้อวัยกลางคน ผิวสีขาวเหลือง เจ้าของโทรศัพท์เดินจ้ำมากดรับสายด้วยความเร่งรีบ ด้วยงานร้านที่เธอต้องดูอยู่ขณะนี้ลูกค้ามาค่อนข้างมาก

      “สวัสดีค่ะ” เธอเพิ่งเอ่ยกับปลายสายได้แค่นั้นก็มีเสียงนิ่งเย็นของผู้ชายดังมาก่อน

      “สวัสดีครับ  คุณดวงเดือน แสงอ่อนใช่มั้ยครับ”

      “อ่ะ...ค่ะ” เธอตอบรับเขาไปแบบงง ๆ

      “ตอนนี้เวลา13นาฬิกา 39นาที...มันถึงเวลาของคุณแล้วนะครับที่จะต้องไปกับผม” ทันทีที่สิ้นเสียงผู้ชายประหลาดคนนั้นสายก็ถูกตัดไปโดยไม่มีโอกาสให้เธอได้ถามอะไรต่อ 

      ดวงเดือนมองมือถือด้วยสีหน้างุนงง ตามมาด้วยความหงุดหงิดที่ถูกทำให้เสียเวลาทำมาหากิน  แต่ในจังหวะที่เธอกำลังก้าวออกไปอยู่ ๆ ร่างของหญิงวัยกลางคนก็ทรุดฮวบล้มลงไปกองที่พื้นแบบไม่ทันตั้งตัว  จนคนที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วยต่างร้องขึ้นด้วยความตกใจ  คนที่อยู่ใกล้ที่สุดรีบถลาเข้ามาประคองศีรษะเธอขึ้น  ในตอนนั้นคนจำนวนสามสี่คนที่เข้ามาดูต้องตกตะลึงกับภาพที่เห็น

      เลือดสีแดงสดค่อย ๆ  ไหลออกมาจากหู ตา จมูก และปากของดวงเดือน

       

      ที่โรงเรียนอาทิตย์อุทัย แผนกประถม

      “นี่ ๆ ได้ยินเรื่องยมทูตโทรศัพท์สายมรณะมั้ย”

      “ยมทูตโทรศัพท์สายมรณะเหรอ  เขาเป็นใครกันน่ะ”

      “ฉันได้ยินพวกคุณแม่คุยกันว่าถ้าเขาโทรไปหาใครคนนั้นจะตายล่ะ!”

      “ใช่ ๆ เมื่อวานเราได้ยินว่าป้าที่อยู่ในซอยเดียวกันก็ตายหลังจากได้รับโทรศัพท์จากเขาแหละ”

      เสียงพวกเด็ก ๆ นักเรียนชั้นป.4 ห้อง A กำลังจับกลุ่มคุยกันระหว่างรอคุณครูเข้ามาสอนในชั่งโมงแรก

      กานต์แก้วนักเรียนหญิงหนึ่งในสมาชิกของห้องนั่งอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง  เธอกำลังเบื่อหน่ายและหมดหวังกับการที่จะต้องมาเรียนเลขแต่เช้าแบบนี้  พอได้ยินเรื่องที่เพื่อน ๆ คุยกันก็เริ่มสนใจจึงได้คอยนั่งฟังอยู่เงียบ ๆ เป็นการแก้เบื่อ

      “แม่บอกว่ายมทูตน่ะมีหน้าตาดุร้ายและน่ากลัวมากเลยนะ  ถ้าเขาอยู่ที่ไหนแสดงที่นั่นจะมีคนตาย”

      “เราเคยเห็นในละครนะ  เขาเป็นผู้ชายผมหยิกหย็อง  ผิวสีเข้มตัวใหญ่ ใส่โจงกระเบนสีแดง หน้าตาทมึงทึง และบนหัวก็มีเขาด้วย”

      “น่ากลัวจังเลยนะ” เพื่อน ๆ ผู้หญิงกลุ่มนั้นเอ่ยขึ้นแทบจะพร้อมกันโดยอัตโนมัติ

       

      “นายฤทธา พรประทาน อายุ 65 ปี  เสียชีวิตเพราะหัวใจวาย ตอนอยู่ที่โลกมนุษย์ทำธุรกิจหลายอย่าง  มีทั้งธุรกิจสีขาวและธุรกิจสีเทา  ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นอย่างหลัง  และมีหลายครั้งที่มีการกดขี่และเอาเปรียบผู้คนไว้อย่างมากมาย  จนสร้างความคับแค้นให้ผู้คนเหล่านั้นไม่น้อย  ในด้านดีของนายฤทธาคือ  มีใจเอื่อเฟื้อเผื่อแผ่ญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง  จะทำบุญบ้างตามโอกาส  แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นการทำบุญเอาหน้าเสียมากกว่า  เมื่อนำบุญกับบาปมาเทียบกันแล้ว  บาปกรรมก็ยังมีมากกว่าอยู่ดี”

      น้ำเสียงนิ่งเย็นดังขึ้นในห้องอันมืดสลัว  ที่แสงสว่างลอดผ่านมาเข้ามาได้พอรำไร เงาร่างสูงโปร่งในชุดสูทของผู้ชายคนหนึ่งกำลังมองจับจ้องไปยังจอข้อมูลสามสี่จอที่ลอยอยู่กลางอากาศเรียงกันอยู่ในระดับสายตา  

      แสงจากจอนั้นเผยให้เห็นใบหน้านิ่งและเยือกเย็นของเขา  ดวงตาคมที่กำลังไล่อ่านข้อมูลคนตายก็ดูไร้ความรู้สึกใด ๆ ราวกับว่าเรื่องราวการตายของผู้คนนั้นจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก

      และมันก็คงจะเป็นอย่างนั้นจริงสำหรับยมทูตอย่างศิลา  การตายของพวกมนุษย์เกิดขึ้นทุกวันและแทบจะทุกชั่งโมงจนดูเป็นเรื่องปกติไปแล้ว  จากงานรับดวงวิญญาณที่เขาทำมาตลอดหลายปี  รายชื่อดวงวิญญาณที่เขาต้องไปรับมาส่วนใหญ่ก็มักจะมีแต่พวกวิญญาณบาป  นั่นเลยทำให้เขาเห็นว่าพวกมนุษย์นั้นช่างน่ารังเกียจที่ปล่อยให้จิตใจตกเป็นทาสของกิเลสและความหยาบช้าเหล่านั้น

      เขายกนาฬิกาขึ้นมาดูเป็นเวลา 23:45 น.

      “ได้เวลาแล้วสินะ” แล้วศิลาก็กดปุ่มเครื่องมือบนโทรศัพท์หน้าจอสไลด์ที่เรียงกันอยู่กลางอากาศก็เข้าซ้อนกันจนเหลือหน้าเดียวก่อนหายวับเข้าไปในมือถืออย่างรวดเร็ว  แล้วเขาก็กดโทรออก

      และทุกคนที่เขาโทรหาจะต้องตายทันทีหลังจากที่ได้รับโทรศัพท์จากเขา!

       

      “มันถึงเวลาแล้วครับที่คุณจะต้องไปกับผม” ศิลาบอกกับดวงวิญญาณของนายฤทธาที่กำลังยืนตกตะลึงมองร่างของผู้ชายอีกคนซึ่งมีหน้าตาเหมือนกับตัวเองกำลังนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง  หน้าตานั้นบิดเบี้ยว ดวงเบิกตาค้าง ร่างกายเปลือยเปล่า ในมือยังถือโทรศัพท์ค้างไว้ ผู้หญิงที่พาด้วยก่อนหน้านี้ก็ตกใจกลัวจนรีบเก็บของแล้ววิ่งหนีออกจากห้องไปแล้ว

      “กะ...แกเป็นใครน่ะ” วิญญาณนายฤทธาต้องตกใจซ้ำอีกรอบที่อยู่ ๆ คนคนนี้ก็มาอยู่ในห้องของเขาได้ เขารีบถอยหนีจนเสียหลักล้มก้นจ้ำเบ้าแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังพยายามกระถดกระถอยหนีด้วยความหวาดกลัว  เมื่อสบเข้ากับดวงตาสีแดงเลือดของชายหนุ่มผู้มาใหม่  ดวงตาคู่นั้นมันทั้งน่ากลัวและเต็มไปด้วยพลังอำนาจที่เหนือกว่าเขาเข้ามากดดันจนน่าพรั่นพรึง

      “ผมชื่อศิลา เป็นยมทูตและมารับตัวคุณไปตามที่ได้บอกเอาไว้ครับ” ทันทีที่ศิลาพูดจบ  อีกฝ่ายก็ร้องโวยวายเสียงดังลั่นปฏิเสธเขาท่าเดียว  และยังมีความพยายามที่จะดิ้นรนหนีไป

       “ไม่! ฉันไม่ไป!  ฉันไม่ไป!  เฮ้ย!  ใครก็ได้ที่อยู่ข้างนอกเข้าช่วยฉันที!” วิญญาณของนายฤทธาพยายามร้องเรียกให้คนช่วยอย่างสุดเสียง  แต่ก็ไม่มีใครจะเข้ามาช่วยเขาสักคน

      “ในช่วงเวลานี้ไม่มีใครช่วยคุณได้ทั้งนั้นแหละครับ”

      “ไม่จริง!  ฉันมีเงิน!  ฉันมีอำนาจ” เขาไม่ยอมรับและร้องปฏิเสธเสียงกร้าว  แต่เมื่อเห็นผู้ชายตรงหน้านี้ดูไม่ได้สะทกสะท้านใด ๆ จึงได้เปลี่ยนมาต่อรอง “นี่ถ้าแกยอมปล่อยฉันไปนะ ฉันแบ่งเงินทองและอำนาจพวกนั้นให้แกได้นะ รับรองว่าแกไม่ต้องทำอะไรก็จะสุขสบายไปทั้งชาติแน่นอน” 

      ศิลาเห็นท่าทางของนายฤทธาแล้วก็ได้แต่ยิ้มดูแคลน มองเจ้ามนุษย์ผู้โง่เขลาด้วยความสมเพช ทั้งหมดที่นายฤทธาพูดมาเมื่อครู่นั้นมันไม่มีอะไรที่จะสามารถเอามาด้วยได้เลยสักอย่างในโลกหลังความตายนี้

      “เสียใจด้วยนะครับ ที่ของพวกนั้นมันจะเป็นประโยชน์กับคุณก็แค่ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่หลังจากนี้มันใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้วละครับ  เลิกดื้อรั้นแล้วไปกับผมแต่โดยดีเถอะครับคุณฤทธา”

      “ไม่!  ฉันไม่ไป!” นายฤทธาเริ่มต่อต้านพยายามวิ่งหนีล้มลุกคุกคลานไป

      ศิลายังนิ่งมองดวงวิญญาณที่วิ่งไปไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านอะไรนัก  ก่อนที่ใบหน้าที่แสนเย็นชาราวกับภูเขาน้ำแข็งจะค่อย ๆ เหยียดยิ้มออกมา

      “หึ ถ้าคุณอยากจะหนี  ผมก็จะให้คุณได้หนี  แต่ไม่ว่าจะหนีสักเท่าไหร่ผลลัพธ์ของมันก็คงจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปหรอกนะครับ เพราะในสังสารวัฏนี้ความตายนั้นมันไม่มีใครหนีพ้นไปได้”

                  

      ไม่รู้ว่าเป็นเวลานานเท่าไหร่แล้วที่วิญญาณนายฤทธาได้พยายามวิ่งหนียมทูต  รู้แต่ทุกวินาทีที่วิ่งหนีมานั้นมีแต่ความรู้สึกหวาดกลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะหันหลังกลับไป เขาอยากจะไปให้ไกลจากผู้ชายคนนั้นให้มากที่สุด  ในแต่ละวินาทีของการดิ้นรนหนีจากยมทูตนั้นมันช่างยาวนานและทรมานจนใจจะขาด  แต่แล้วในที่สุดเขาก็เริ่มหมดแรงวิ่งต่อไปอีกไม่ไหว  จนต้องหลบเข้าไปในซอยเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง  เขาทรุดตัวนั่งลงเอาหลังพิงกำแพงเก่า ๆ อย่างหมดสิ้นเรี่ยวแรง

      แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้รู้สึกสบายขึ้นก็ต้องสะดุ้งเฮือกขึ้นมาอีก  เมื่อเห็นเงาร่างของคนผู้หนึ่งนั่งชันเข่าข้างหนึ่งอยู่บนกำแพงฝั่งตรงข้ามดวงตาสีแดงเลือดมองมาทางเขาพร้อมกับรอยยิ้มเย็นยะเยือก

      แล้วห่วงโซ่สีแดงเพลิงที่ไม่รู้มาจากไหนก็ได้พุ่งตรงเข้ามารัดรึงลำคอของวิญญาณนายฤทธาไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้อีก

      “มันถึงเวลาแล้วครับที่คุณจะต้องไปกับผม”

      “ไม่!!!  ฉันไม่ไป!!!!”

       

      ยมโลกดินแดนที่อยู่ต่ำกว่าพื้นพิภพลงมาไกลหลายโยชน์จนแสงอาทิตย์สาดส่องมาไม่ถึง  แสงที่ช่วยให้ความสว่างแก่ดินแดนแห่งนี้นอกจากแสงไฟในคบเพลิงตามจุดต่าง ๆ แล้ว  ก็ยังมีดวงแก้วมณีคู่บารมีของท่านยมราชองค์ปัจจุบันที่พอจะช่วยทำให้ดินแดนหลังความตายแห่งนี้ไม่ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมากจนเกินไป  แต่ความสว่างนั้นก็ยังมีไม่มากเท่าแสงอาทิตย์จึงทำให้เห็นบรรยากาศของยมโลกดูครึ้ม ๆ อึมครึม

      นอกจากบรรยากาศที่นี่จะไม่ได้สดใสแล้ว  ก็ยังคับครั่งไปด้วยวิญญาณที่กำลังรอการตัดสินจากท่านยมราชว่าหลังความตายพวกเขาจะได้ไปอยู่ในภพภูมิใด 

      “ตอนมีชีวิตเจ้าเคยทำความดีอะไรไว้มั้ย” น้ำเสียงอันหน้าเกรงขามดังก้องมาจากบัลลังก์ที่ท่านยมราชนั่งอยู่

      “ความดีหรือ ฮึก ๆ ผม ผมเสียใจ  ผมไม่เคยได้ทำอะไรดี ๆ ไว้ ฮือๆๆ” 

      ท่านยมราชผู้ทำหน้าที่ไต่สวนเห็นสภาพร่ำไห้อันน่าเวทนาของวิญญาณเบื้องล่างก็ได้แต่ถอนหายใจปลง ๆ หลังจากที่เขาพยายามตั้งถามเพื่อช่วยให้วิญญาณดวงนี้ได้นึกถึงบุญกุศลให้ออก  แต่ดูจากสภาพแล้วก็ดูจะไม่เป็นผลเอาเสียเลย

      “สุวรรณเลขา” เขาเอ่ยกับเลขาผู้ทำหน้าที่ดูแลบันทึกบุญของวิญญาณคนตายเป็นทีว่าพอจะมีกำลังบุญส่วนใดที่จะช่วยให้เขาได้รอดพ้นจากขุมนรกนี้ได้บ้าง

      “เรียนท่านธรนิน เขาเคยทำความดีมาบ้างแต่ก็ยังเป็นส่วนน้อยและมันก็เป็นเมื่อนานมาแล้วค่ะ  แต่นั่นมันก็ยังไม่เลวร้ายเท่ากับจิตใจของเขาในระยะหลายปีมานี้คุ้นชินอยู่กับการทำผิดบาปจนนึกถึงเรื่องราวดี ๆ เหล่านั้นไม่ออก  ส่งผลบุญกุศลที่ทำมายังไม่มีกำลังพอที่จะช่วยอะไรเขาได้ค่ะ” สุวรรณเลขารายงานไปตามข้อมูลที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอไม่ถึงสามหน้าสไลด์  ผิดกับบันทึกบาปของสุวาฬเลขาที่มีข้อมูลแน่นเอี้ยดจนเต็มทุกแผ่นสไลด์และดูเหมือนว่าอันที่แสดงอยู่บนหน้าจอก็ดูจะยังไม่หมดเสียด้วยซ้ำ

      “ดูท่าว่านรกจะต้องแออัดเข้าไปทุกวันแล้วสินะ” พญายมราชเหมือนจะพึมพำกับตัวเองเสียมากกว่า ก่อนจะเริ่มตัดสินโทษต่อไป

      เมื่อเข้าเขตยมโลกมาแล้วศิลาก็เข้าไปรายงานตัวกับทางเจ้าหน้าที่พร้อมกับดวงวิญญาณที่ไปรับตัวมา  ระหว่างที่กำลังพากันกลับออกมาก็มีดวงวิญญาณของชายชราคนหนึ่งเซถลาเข้ามาชนศิลาเข้าอย่างจัง  แต่ก่อนที่วิญญาณดวงนั้นจะล้มลงไปเขาก็ได้ช่วยคว้าร่างนั้นไว้ได้ก่อน

      “ไม่เป็นไรนะ” เขาถามเสียงเรียบ ๆ 

      แต่ยังไม่ทันที่ดวงวิญญาณที่กำลังตัวสั่นงันงกด้วยความกลัวจะได้ตอบอะไร ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาก่อน

      “อย่ายุ่งกับดวงวิญญาณที่อยู่ในการควบคุมของข้า!” ตามมาด้วยเจ้าของเสียงที่เป็นชายหนุ่มวัยเดียวกันกับศิลาเดินอาจ ๆ เข้ามาด้วยสีหน้าไม่พอใจเมื่อเห็นว่ามียมทูตตนใดมายุ่งกับดวงวิญญาณที่อยู่ในความรับผิดชอบของเขา และยิ่งไม่พอใจเข้าไปใหญ่เมื่อเห็นว่ายมทูตนั้นทำตัวเหมือนจะเห็นใจเจ้าพวกวิญญาณที่น่ารังเกียจเหล่านี้  โดยเฉพาะศิลาผู้ที่ตนพยายามทำทุกทางเพื่อที่จะเอาชนะเขาให้ได้

      วิญญาณนายฤทธาเห็นยมทูตที่มาใหม่อีกตนดูดุร้ายและน่ากลังกว่าผู้ที่พาเขามาที่นี่เป็นไหน ๆ ก็เกิดความกลัวรีบวิ่งเข้าหลบหลังศิลาทันที

      ศิลาหันมองผู้ที่กล่าวบริภาสตนด้วยสายตาที่ไม่ได้มีแววหวั่นเกรงแม้แต่น้อยแล้วก่อนจะเอ่ยขึ้นบ้างว่า

      “หึ ยุ่งเหรอ  ข้าว่ามันเป็นเพราะการกระทำอันเกินขอบเขตของเจ้าซะมากกว่านะอาธาร ที่ไปเกะกะรบกวนผู้อื่นเขาน่ะ”

      “เกินขอบเขต? พวกนี้ล้วนแต่เป็นพวกวิญญาณบาปที่กระทำความผิดไว้มากมาย  มันก็สมควรได้รับโทษอย่างสาสมแล้ว  ไม่ทราบว่าข้าทำเกินขอบเขตไปตรงไหน” เขาถามเสียงกร้าว มองศิลาตาขวาง

      “พวกเขาเป็นวิญญาณบาปที่ทำผิดมามากมายก็จริง  แต่ผู้ที่มีหน้าที่ตัดสินว่าเขาสมควรจะได้รับการลงโทษแบบไหนก็คือท่านยมราช ไม่ใช่หน้าที่เจ้ามาทำตัวเป็นศาลเตี้ยตัดสินความเอาเองตามอำเภอใจ” ศิลาว่ากลับจนอีกฝ่ายสะอึก  ก่อนจะพาดวงวิญญาณของตนไปพบพญายมราช  ปล่อยให้เจ้ายมทูตผู้กร้าวกระด้างที่เถียงอะไรไม่ออกยืนกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจที่ศิลาทำเหมือนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา

      “หน็อย  เจ้าบ้านั่น สักวันข้าจะต้องเอาชนะเจ้าให้ได้”

       

      โรงเรียนอาทิตย์อุทัยแผนกประถม

      ตอนนี้เป็นเวลาเลิกเรียนของพวกเด็ก ๆ ที่หน้าโรงเรียนจึงเต็มไปด้วยพวกเด็ก ๆ กำลังเดินทางกลับบ้านพร้อมผู้ปกครองที่มารับ

      “กลับบ้านก่อนนะคะคุณครู”

      “จ้า เดินทางปลอดภัยนะจ๊ะ

      แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีเด็กบางคนหรือบางกลุ่มที่บ้านอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนมากสามารถเดินกลับกันเองได้โดยไม่ได้รอให้ผู้ปกครองมารับ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ...

      “กานต์แก้วจ๊ะ” เด็กหญิงตัวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มในวัยกำลังน่ารักหันกลับมาตามเสียงเรียกของคุณครู

      “คะ คุณครู” เธอตอบรับอย่างไม่ค่อยดีใจนัก

      คุณครูสาวส่งยิ้มใจดีให้ก่อนจะบอกว่า “อย่าลืมทบทวนวิชาเลขเยอะ ๆ นะจ๊ะ”

      เด็กหญิงทำแก้มป่องขึ้นมาโดยอัตโนมัติ “ไม่ชอบเลยจริง ๆ วิชาเลขน่ะค่ะ” เธอบ่นอุบ

      คุณครูยังคงยิ้มให้อย่างเอ็นดู  อาการนี้ของกานต์แก้วดูจะไม่ได้ผิดไปจากที่เธอคาดนัก “ครูรู้จ้ะ  แต่ยังไงก็ต้องพยายามเข้านะ”

      “เข้าใจแล้วค่ะ” เด็กหญิงตอบรับเสียงอ่อย ๆ ก่อนจะเดินกลับไปตามทางฟุตบาท  นี่มันคือฝันร้ายของเด็กอย่างเธอชัดเลย กานต์แก้วนึกอย่างอนาถใจ

      หลังจากเดินมาได้สักพักกานต์แก้วก็เห็นลูกแมวน้อยสีดำตัวหนึ่งกำลังเดินข้ามถนนมาทางเธอ  กานต์แก้วเห็นจึงได้หยุดพิจารณาดูก็เห็นว่าหน้าตาของเจ้าลูกแมวตัวนั้นออกจะดูดุร้ายไปสักหน่อยแถมสายตาก็ไม่ค่อยจะเป็นมิตรสักเท่าไหร่ แต่ท่าทางของมันฉายแววเก่งกล้าตั้งแต่ยังตัวแค่นี้  ถ้าเจ้าหนูนี่โตขึ้นมันจะต้องได้เป็นเจ้าเหมียวยอดนักสู้ที่สง่างามมากแน่  คิดได้ดังนั้นแม่หนูน้อยก็เริ่มจะชื่นชอบและเห็นความน่ารักในตัวของลูกแมวตัวนั้นขึ้นมาซะแล้วสิ

      ในระหว่างที่กานต์แก้วยังคอยลุ้นเอาใจช่วยให้เจ้าแมวน้อยข้ามทางมาด้วยความราบรื่นนั้น  อยู่ ๆ ก็มีรถกระบะคนหนึ่งกำลังวิ่งมาตามทางด้วยเร็วที่ไม่ได้มีท่าทีว่าจะหยุดชะรอลงเลยแต่อย่างใด ด้วยความเป็นห่วงเจ้าเหมียวที่มีอนาคตที่จะได้เป็นถึงยอดนักสู้(อันนี้เธอเอาคิดเองนะ)  ก็เลยไม่รอช้าที่จะรีบวิ่งเข้าไปคว้าร่างน้อย ๆ ของมันขึ้นมา  แต่พอเธอมองไปทางที่รถกำลังวิ่งมา  ก็ปรากฏว่ารถกระบะคันนั้นกำลังขับเข้ามาใกล้เธอเรื่อย ๆ และเรื่อย ๆ

      กานต์แก้วรู้สึกใจเต้นระรัว หน้าซีดเผือดและบังเกิดความกลัวขึ้นมาเมื่อเห็นว่ารถเข้ามาใกล้เธอเร็วกว่าที่คิด

      นาทีนั้นเด็กน้อยราวกับเห็นมือของยมทูตกำลังจะเอื้อมมาเอาตัวเธอไป  ร่างของกานต์แก้วยืนแข็งเกร็งราวกับถูกตรึงไว้  สองแขนกอดร่างเจ้าเหมียวไว้แน่น  หลับดวงตาทั้งสองข้างแน่นปี๋ด้วยความสิ้นหวัง 

      เอี๊ยด!!!!

      ทั้งแตรรถ  และล้อยางรถยนต์กำลังส่งเสียงกรีดร้องประสานกันดังระงม  นาทีที่ไม่สามารถจะคาดเดาอะไรได้เธอรู้สึกถึงแรงกระชากและแรงของวัตถุบางอย่างเคลื่อนผ่านไปอย่างเร็วแรงในระยะเฉียดฉิว

      “เฮ้!  หนูเป็นอะไรมั้ย!” เมื่อมีเสียงดังมาถามกานต์แก้วถึงได้เริ่มรู้สึกตัว  แต่สติยังไม่ไวพอที่จะมีปฏิกิริยาโต้ตอบกลับไปได้ในทันที

      “เธอปลอดภัยดีครับ  ไม่ได้รับอันตรายอะไร”  มีเสียงนิ่งเย็นของใครบางคนตอบให้แทน เมื่อหันไปตามที่มาของเสียงก็เห็นว่าผู้ชายในชุดเครื่องแบบนักเรียนม.ปลายโรงเรียนเดียวกัน  ท่าทางของเขานิ่ง ๆ เคร่งขรึมอยู่สักหน่อย

      “ถ้างั้นก็ค่อยยังชั่วหน่อยนะ  คราวหลังหนุ่มก็คอยดูแลน้องให้ดีกว่านี้ด้วยละ  อย่าให้วิ่งออกไปขวางทางรถแบบนี้อีกมันอันตราย”

      อาจเห็นว่าเพราะใส่เครื่องแบบนักเรียนโรงเรียนเดียวกันและกำลังอยู่ด้วยกันเลยทำให้ลุงคนนั้นเข้าใจว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกันก็ได้  เมื่อบอกกล่าวจบแล้วลุงเจ้าของรถจึงได้ขับออกไป

      “นี่หนูยังไม่ตายเหรอคะ” กานต์แก้วถามเสียงสั่น ๆ และเริ่มได้สติมากขึ้นเมื่อเจ้าเหมียวในอ้อมแขนกำลังพยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการ  แล้วเธอจึงได้ปล่อยให้มันได้เป็นอิสระ

      “อือ” ศิลาตอบเรียบ ๆ ในใจก็นึกสมเพชในความไม่รู้จักประมาณตนของมนุษย์น้อยผู้นี้ก่อนจะบอกอีกว่า “คราวหลังจะทำอะไรก็หัดดูกำลังตัวเองดีด้วย ๆ ไม่ใช่ผลีผลามวิ่งเข้าไปแบบวันนี้อีก”

      “ก็หนูไม่อยากให้มันตายนี่นา” กานต์แก้วที่กลับมาได้สติแล้วบอกไปตามที่คิด อีกใจก็รู้สึกผิดตามที่พี่ชายคนนี้ว่าให้เธอด้วย

      ได้ยินเด็กน้อยบอกแบบนั้นเขาก็อดชายตามองเธออย่างดูแคลนไม่ได้ “ถ้าเมื่อกี้นี้ถ้าฉันมาไม่ทัน ก็ไม่เห็นว่ามันจะรอดตรงไหน  แถมยังมีการตายเพิ่มขึ้นมาอีกโดยใช่เหตุ”

      กานต์แก้วโดนว่าแบบนั้นก็หน้าจ๋อยไป “หนู...หนูผิดไปแล้ว  คราวหลังจะระวังให้มากกว่านี้ค่ะ”

      “รู้ก็ดีแล้ว  งั้นก็ขอให้เป็นเด็กดีแล้วกัน” เขาบอกพยายามรักษาระยะห่างกับพวกมนุษย์ เพราะหากไปสนิทชิดเชื้อกับพวกมนุษย์เกินไปจนเกิดผูกพันกับคนพวกนี้คงไม่เป็นการดีสักเท่าไหร่ 

      ผู้ที่มีหน้าที่นำความตายไปสู่ชีวิตของผู้อื่นไม่ควรให้ใจไปผูกพันกับใครทั้ง

      “ค่ะ” กานต์แก้วพยักหน้ารับด้วยสีหน้าที่ดูสดใสขึ้นที่เขาไม่ว่าเธอแล้ว เด็กน้อยยื่นมือเล็ก ๆ เข้ามากุมมือเขาไว้อย่างไม่กลัว “ขอบคุณพี่ชายมากเลยนะคะที่ช่วยหนูไว้น่ะ  ดู ๆ แล้วพี่ชายก็เป็นคนที่ใจดีมาก ๆ เลยนี่นา  แบบนี้ก็ดีแล้วนะคะหนูจะได้ไม่ต้องเข้าใจยากเหมือนวิชาเลข”

      “เอ๊ะ?” ศิลาเริ่มไม่ค่อยจะเข้าใจเป็นครั้งแรก “เกี่ยวอะไรกับวิชาเลยอย่างนั้นเหรอ”

      แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้รับคำตอบให้หายสงสัย ก็มีเสียงเรียกของใครบางคนดังมาแต่ไกล “กานต์แก้ว!”

      เด็กน้อยหันไปทางต้นเสียงทันทีด้วยท่าทางดีใจ “แม่คะ” เด็กน้อยโบกมือให้แม่ที่กำลังเดินมาหา แล้วตัวเองก็เป็นฝ่ายวิ่งเข้าไปหาแม่ด้วย

      “ทำอะไรอยู่จ๊ะ ทำไมไม่รีบกลับบ้าน” แม่ถามลูกสาวตัวน้อยด้วยความเป็นห่วงทันทีที่เดินมาถึง

      “มีอุบัติเหตุน่ะค่ะแล้วพี่ชาย...” เธอหันกลับไปทางที่ศิลายืนอยู่ก็พบแต่ความว่างเปล่าพี่ชายคนนั้นหายไปแล้ว “อ้าว ทำไมหายไปเร็วจังเลยล่ะ”

      “เรื่องนั้นช่างเถอะนะ หนูไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วรีบกลับบ้านกันเถอะนะลูก” คุณแม่วัยสามสิบปลายๆจูงมือลูกสาวกลับบ้าน

      “แต่เมื่อกี้มีพี่ชายมาช่วยหนูจริง ๆ นะคะแม่” กานต์แก้วยังคงยืนยันเรื่องนี้ให้แม่ฟัง

      “งั้นหรือจ๊ะ แล้วพี่ชายเขาเป็นคนแบบไหนเหรอ” หล่อนถามลูกสาวอย่างเอาใจใส่

      “เป็นเหมือนอัศวินที่มาช่วยหนูให้รอดพ้นจากอันตราย เหมือนในนิทานที่แม่อ่านให้ฟังก่อนนอนเลย” เสียงของสองแม่ลูกค่อยๆจางลงตามระยะที่ห่างออกไปเรื่อย ๆ

      “อัศวินงั้นเหรอ” ศิลาที่ไม่ได้หายไปไหน  แต่เขายังอยู่ที่เดิม  แค่ตอนนี้ไม่ได้ให้ใครมองเห็นเขาได้ก็เท่านั้น เขาทวนคำของเด็กน้อย  รู้สึกแปลก ๆ อยู่ภายในใจ “บุคคลที่เต็มไปด้วยเรื่องราวอันสวยงามแบบนั้นฉันคงเป็นแบบนั้นไม่ได้หรอก เป็นได้แค่ยมทูตที่มีหน้าที่พรากชีวิตผู้อื่นเท่านั้นแหละ”

      “ก็แค่คำพูดไร้ค่าของพวกมนุษย์  คิดจะเก็บเอามาใส่ใจก็มีแต่เสียเวลาเปล่า” เสียงดูถูกของอาธารดังแทรกขึ้นมา “หากเผลอไปใส่ใจเมื่อไหร่คือผูกพันเมื่อนั้น แล้วอายุขัยที่แสนสั้นของเจ้าพวกนั้นมันจะย้อนกลับมาทำให้เจ้าต้องเจ็บปวด อย่าได้ลืมเรื่องนี้ซะละศิลา”

      “เรื่องนั้นไม่ต้องให้เจ้าบอกข้าก็รู้ดีอยู่แล้วล่ะ  เรื่องภายในใจของข้า ข้าหาทางจัดการเองได้  เอาเวลาที่มาห่วงเรื่องของข้าไปดูแลใจของเจ้าเถิด  จะได้ลดความกร้าวกระด้างลงไปบ้าง”พูดจบศิลาก็เดินไปจากตรงนั้นทิ้งคำพูดไว้ให้อาธารต้องเจ็บใจอีกครั้ง

      อาธารมองตามหลังศิลาด้วยความไม่พอใจ เขาไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมทั้งที่เขารับผิดชอบหน้าที่ควบคุมดวงวิญญาณในการควบคุมอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด ในขณะที่ศิลาเอาแต่ชอบใจอ่อนให้กับพวกวิญญาณเหล่านั้นแต่ทำไมเขาถึงไม่เคยชนะศิลาได้เลยสักครั้งเดียว

      ..... เจ้าดูถูกข้าเกินไปแล้วศิลา ข้าก็เป็นยมทูตเหมือนเจ้า เจ้ากล้ามาพูดกับข้าอย่างนี้เลยหรือ.....

       

      ในตอนเช้าขณะที่พวกเด็ก ๆ กำลังไปโรงเรียนยังคงมีเสียงเล่าลือเกี่ยวกับยมทูตโทรศัพท์สายมรณะอยู่อย่างต่อเนื่อง  ครั้งนี้ผู้ตายไม่ใช่คนเดียวกันกับคนที่ถูกพูดถึงเมื่อวาน  นั่นก็หมายเมื่อวานมีคนตายเพราะเขาคนนั้นอีกแล้วเหรอ  แถมคนที่ตายบ้านก็อยู่แถว ๆ นี้ด้วย!

      “น่ากลัวมากเลยนะ  นี่ฉันไม่กล้าแม้แต่จะรับโทรศัพท์แล้ว”

      “ใช่ ๆ แม่ที่อยู่กรุงเทพฯเองก็รีบโทรมาเตือนฉันว่าถ้าเห็นเบอร์แปลก ๆ โทรมาอย่าได้รับเด็ดขาดน่ะ”

      “ส่วนน้องฉัน  แค่ได้ยินเสียงโทรศัพท์มันกลัวจนวิ่งหนีไปคลุมโปงนอนตัวสั่นมาหลายวันแล้ว”

      เสียงนักเรียนหญิงม.ต้นกลุ่มหนึ่งเดินคุยกันไประหว่างทาง

      กานต์แก้วที่เดินตามหลังห่างจากพวกเธอไม่มากนักก็พลอยได้ยินเรื่องที่ทั้งน่ากลัวนี้ไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้

      ทำไมนะ  ยมทูตถึงได้ใจร้ายจังเลย เด็กน้อยได้แต่นึกอย่างหดหู่ใจ

      พวกเธอเดินต่อไปอีกสักพักก็ถึงบริเวณสวนสาธารณะของหมู่บ้าน ที่อยู่ก่อนถึงโรงเรียน ตรงนั้นเธอเห็นร่างคุ้นตาของใครบางคนกำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่

      “เอ๊ะ! พี่ชายอัศวิน” กานต์แก้วอุทานขึ้นด้วยความดีใจสุดขีด  ลืมเรื่องน่ากลัวเมื่อครู่นี้ไปหมดสิ้น วิ่งเข้าไปหาศิลาพลางร้องเรียก “พี่อัศวิน! พี่อัศวินคะ”

      ศิลาเมื่อวางโทรศัพท์เรียบร้อยแล้วต้องหันไปทางต้นเสียงที่เขารู้สึกว่าเจ้าของเสียงนั้นกำลังร้องเรียกตน  และก็เห็นเป็นเด็กผู้หญิงที่เขาเจอเมื่อวานนี้กำลังวิ่งเข้ามาหาอย่างไม่มีท่าทีว่าจะหวาดกลัวแม้แต่น้อย

      “เมื่อกี้นี้เรียกฉันเหรอ” เขาถามเรียบ ๆ เมื่อเด็กน้อยเดินมาถึง 

      “ค่ะ” กานต์แก้วตอบแทบจะทันทีด้วยรอยยิ้มสดใส แล้วบอกไปอย่างซื่อ ๆ ว่า “ดีใจจังเลยที่ได้เจอพี่อีกน่ะ”

      “วิ่งเข้าหาคนแปลกหน้าอย่างนี้น่ะมันอันตรายนะ  คุณครูที่โรงเรียนไม่ได้บอกเหรอว่าห้ามคุยกับคนแปลกหน้าน่ะ” เขาว่าเหมือนจะตำหนิแต่ก็ไม่ได้มีท่าทีแบบนั้นซะทีเดียวก่อนจะย่อตัวนั่งลงตรงหน้าเด็กน้อย

      “บอกค่ะ แต่พี่ไม่แปลกหน้าแล้วนี่นา” กานต์แก้วว่า “เมื่อวานก็เจอกันแล้ว แล้วอีกอย่างพี่ก็เป็นอัศวินมาช่วยชีวิตหนูไว้ด้วย คงไม่ใช่คนไม่ดีหรอกใช่มั้ยคะ”

      “เธอเนี่ยน้า” เขารู้สึกอ่อนใจกับเด็กคนนี้จริง ๆ “คงไม่รู้ละสิว่าฉันน่ากลัวกว่าคนไม่ดีพวกนั้นมากแค่ไหน  และฉันก็ไม่ใช่อัศวินอะไรนั่นด้วย” เขาตั้งใจจะเตือนเธอไว้ด้วยไม่อยากให้มาทำตัวสนิทอะไรกับเขาให้มากนัก

      “นี่หนูทำเข็มกลัดอัศวินมามอบให้อัศวินเป็นการขอบคุณด้วยนะ” กานต์แก้วบอกอย่างภาคภูมิใจในฝีมือของตนพร้อมถือวิสาสะเดินเข้าไปกลัดเข็มกลัดใส่เสื้อนักเรียนให้เขา

       “...” เหมือนเด็กคนนี้จะไม่ได้ฟังที่เขาพูดเลยใช่มั้ย 

      “เรียบร้อยแล้วค่ะ” กานต์แก้วเผยยิ้มดีใจออกมาตามประสาเด็ก เมื่อเห็นความตั้งใจของตนเป็นผลแล้วจึงขอตัวกลับไป “งั้นหนูไปโรงเรียนก่อนนะคะ บ๊ายบาย” 

      “นี่เธอ...” ศิลากำลังจะเรียกเธอไว้แต่ก็ไม่ทัน  เด็กคนนั้นได้วิ่งจากไปซะแล้ว เฮ้อ...เอาเถอะ ยังไงก็คงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว

      เขามองตามหลังเธอไปแล้วหันกลับมามองที่เข็มกลัดอัศวินที่เสื้อของตน ซึ่งตัวเข็มกัดก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากไปกว่าการเอาสติ๊กเกอร์มาแปะทับเหรียญโลหะแล้วเอาไปติดกับเข็มกลัดอีกทีเท่านั้น

      อาจจะเป็นเพราะความแปลกคนของเด็กคนนั้นก็ได้  มันทำให้เขาเผลอยิ้มออกมาเล็กน้อย แต่สิ่งที่ศิลายังไม่รู้ตัวนั่นก็คือความผูกพันที่เขาไม่เคยคิดที่จะมีมันได้ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นภายในใจอันแสนเยือกเย็นของเขาซะแล้ว  

      ศิลาเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาตรวจดูรายชื่อดวงวิญญาณที่จะต้องไปรับตัวนำส่งยมโลกก็พบว่าในบัญชีรายชื่อไฟล์นี้ก็เหลือเพียงสองรายชื่อสุดท้ายแล้ว  และทั้งสองรายชื่อก็อยู่ในตารางงานของเขาวันนี้และคนที่เขาจะไปรับตัวนั้นยังเป็นเพียงเด็กผู้ชายม.ต้นกับม.ปลาย ซึ่งเวลารับตัวไปก็ห่างกันแค่  5 นาทีเท่านั้น หลังจากตรวจสอบรายชื่อเรียบร้อยแล้วจึงได้ปิดหน้าจอลง  ภาพบนหน้าจอสีดำสนิทสะท้อนให้เห็นถึงใบหน้าไร้ความรู้สึกและสายตาที่ดูเย็นชาขึ้นของเขา

      ในวันนั้นมีข่าวว่ามีเด็กนักเรียนยกพวกตีกัน  มีเด็กสองคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตลงในเวลาต่อมาระหว่างนำตัวส่งโรงพยาบาล  หลังจากที่พวกเขาได้รับโทรศัพท์ที่โทรเข้ามาจากเบอร์เดียวกัน  เหตุการณ์นั้นยิ่งทำให้ผู้คนยิ่งหวาดผวาต่อเรื่องของยมทูตโทรศัพท์สายมรณะมากขึ้น

       

      ศิลานำไฟล์งานที่ไปรับดวงวิญญาณมาจนหมดเรียบร้อยแล้วมาส่งเขาคลังข้อมูลของทางยมโลก  พร้อมกับเบิกเอาไฟล์บัญชีอันใหม่จากเจ้าหน้าที่กองคลังข้อมูลไปทำงานต่อ

      หลังจากรับไฟล์งานใหม่มาเรียบร้อยแล้วก็เป็นเวลาพักของเขาพอดี  ยมทูตหนุ่มจึงไปอยู่ที่ห้องทำงานของเขาพลางเอางานใหม่ที่เพิ่งได้มาตรวจสอบระหว่างรอเวลาไปทำงาน  ระหว่างที่เขากำลังดูรายชื่อไปเรื่อย ๆ อยู่นั้น  มีอยู่ชื่อหนึ่งที่เขาเห็นแล้วรู้สึกสะดุดตาเป็นพิเศษ

      ชื่อนั้นก็คือ...

      “เด็กหญิงกานต์แก้ว   ประกายพรรณ อายุ 10 ปี...” เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ศิลาจึงได้หยุดครุ่นคิดว่าเคยได้ยินชื่อนี้จากที่ไหนอยู่สักพัก

      ‘กานต์แก้ว!’  และเขาก็ต้องตกใจ เมื่อเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่ร้องเรียกลูกสาวตัวน้อยได้ดังก้องขึ้นในห้วงแห่งความทรงจำ

      ภาพของเด็กผู้หญิงหน้าตาจิ้มลิ้มที่กำลังส่งยิ้มที่เต็มไปด้วยความรู้สึกเชื่อใจมาให้เขากำลังย้อนกลับเข้ามาในความทรงจำของเขา เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าใจเขามันเต้นผิดจังหวะไป เป็นครั้งแรกที่เขาเริ่มรู้สึกว่ามันสั่นไหว  และเป็นครั้งแรกที่รู้สึกหนักหน่วงอยู่ข้างใน

      “เป็นเขาเองอย่างนั้นหรือเนี่ย ทะ...ทำไมละ” เขาพึมพำกับตัวเองเสียงสั่น ๆ

      นี่เขาเป็นอะไรไป  ความรู้สึกเหล่านี้มันคืออะไร  ปกติเรื่องการตายของพวกมนุษย์มันก็เป็นของมันอย่างนี้ทุกวันนี่  แล้ววันนี้มันมีอะไรที่ต่างออกไป  ทำไมเขาถึงได้มีความรู้สึกแปลก ๆ และหาคำตอบไม่ได้อย่างนี้นะ

      ศิลาที่พยายามปฏิเสธว่าตัวเองไม่ได้ตกอยู่ในความหม่นเศร้าอันเกิดจากความผูกพันที่มีต่อมนุษย์  เพื่อที่จะได้หลีกเลี่ยงไม่ต้องคิดถึงเรื่องนี้หลายวันมานี้เขาจึงเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างหนักจนแทบจะลืมวันลืมคืน

      ระหว่างที่ต้องไปที่โลกมนุษย์เขาก็จะพยายามหลบหน้าไม่เจอกานต์แก้วตรง ๆ อีก แต่ก็มีบางครั้งที่หลบเธอไม่พ้น ทันทีที่เธอเห็นเขาไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ก็จะละจากสิ่งนั้นแล้ววิ่งเข้ามาหาเขาด้วยท่าทางดีใจ  ยิ่งเห็นเด็กน้อยแสดงออกว่าชื่นชอบเขาจากใจจริงขนาดนั้น  และไม่ได้มีท่าทางระแวงระวังอะไรในตัวเขา  ความรู้สึกผิดก็ยิ่งเข้ามาเกาะกุมหัวใจของเขามากขึ้นเรื่อย

      “พี่อัศวิน  พี่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมวันนี้ท่าทางเหมือนกำลังมีเรื่องไม่สบายใจอยู่เลยละ” เมื่อเข้ามาใกล้กานต์แก้วก็สัมผัสได้ว่าเขาดูต่างไปจากที่เจอครั้งก่อน  เด็กน้อยนั่งลงที่ม้านั่งข้าง ๆ เขามองตาแป๋ว

      “เป็นเด็กตัวแค่นี้  รู้ด้วยเหรอว่าอะไรคือเรื่องไม่สบายใจน่ะ” เขาถามกลับ

      “รู้สิคะ  ก็วิชาเลขคือเรื่องหนักใจที่สุดของหนูเลย และแทบทุกวันหนูต้องเจอกับมัน” เด็กน้อยผู้ไม่รู้ว่ายังมีเรื่องที่เลวร้ายกว่าวิชาเลขกำลังจะมาเยือนเธอในอีกไม่นาน  ออกปากคุยจ้อบ่นให้เขาฟัง

      “แต่ทุกวันฉันก็ยังเห็นเธอใช้ชีวิตและมีความสุขได้อยู่เลยนี่” เขาว่า ในขณะที่กานต์แก้วเอาแต่มองสำรวจเขาแปลก ๆ เด็กคนนี้คงกำลังหาอยู่ละสิว่าอะไรที่ทำให้เขาหนักใจ

      “เมื่อไหร่ที่จะแทนตัวเองว่าพี่กับหนูสักทีนะ  เราก็เจอกันออกบ่อย” เด็กน้อยหันมาบ่นตัดพ้อกับเขาเล็กน้อย แล้วอธิบายต่อว่า “ก็พอมันผ่านไปแล้วเดี๋ยวก็จะหายเองแหละ”

      “อย่างนั้นเหรอ  เป็นเด็กนี่ก็ดีเหมือนกันนะ  เรื่องแย่ ๆ ทุกอย่างหายไปได้ไวดี” 

      “เห?  ทำไมเหรอคะ  เรื่องแย่ ๆ ของผู้ใหญ่มันหายช้ากว่าเหรอคะ” กานต์แก้วทำหน้าสงสัยมองเขาไม่ค่อยจะเข้าใจความหมาย

      “หึ เปล่าหรอก” เขามองเธอด้วยรอยยิ้มบาง  กานต์แก้วนาน ๆ จะได้เห็นพี่ชายอัศวินยิ้มออกมาสักเธอจึงยิ้มรับด้วยความรอยยิ้มสดใสตามประสาเด็ก

      “ถ้าเกิดว่าวันหนึ่งฉัน...พี่ไม่ได้เป็นอัศวินอย่างที่เราคิด  เราจะเสียใจมั้ย” เขาลังเลอยู่ก่อนเล็กน้อย แต่เมื่อคิดว่านี่คงจะเป็นสิ่งที่เขาพอจะทำให้เธอได้จึงได้เปลี่ยนคำแทนตัวเองใหม่เป็นคำว่า ‘พี่’

      กานต์แก้วเห็นเขายอมแทนตัวเองว่าพี่กับเธอแล้วก็รู้สึกดีใจมาก  แล้วบอกอย่างไม่ลังเลว่า “ทำไมจะไม่ใช่ละคะ  สำหรับหนูไม่ว่าวันไหน ๆ พี่ก็คืออัศวินผู้ที่เก่งกาจและใจดีที่สุดค่ะ” 

      “อย่างนั้นเหรอ  ขอบใจเรามากนะ” ศิลาบอกและต้องอดทนต่อความรู้สึกมากมายที่กำลังเข้าบีบคั้นจนใจเจ็บร้าว จนรู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมา แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะยากเกินไปสำหรับเขาเสียแล้ว

      ถ้าฉันไม่ได้เป็นยมทูตก็คงดีกว่านี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเริ่มคิดแบบนี้

       

      แสงดวงประทีปสีส้มสองดวงส่องสว่างอยู่เบื้องหน้าองค์พระปฏิมา  และศิลากำลังนั่งคุกเข้าอยู่ที่นั่น นัยน์ตาหม่นเศร้าของเขามองไปยังองค์พระปฏิมาราวกับอยากร้องขอให้พระพุทธองค์ได้ช่วยชี้ทางดับทุกข์ในใจครั้งนี้ให้เขาด้วย

      วันนี้มันถึงเวลาแล้วที่ยมทูตอย่างเขาต้องยอมรับเรื่องนี้ให้ได้  ในตอนนั้นก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่ยมราชได้ขึ้นมาจากยมโลกเพื่อมากราบพระพุทธรูปนี้ด้วยเช่นกัน เขานำดวงประทีปไปตั้งไว้บนแท่นบูชาก่อนจะประนมมือไหว้พระและหลับตาภาวนาอยู่เงียบ ๆ สักพัก

      “เจ้ากำลังเป็นทุกข์อยู่อย่างนั้นหรือศิลา” หลังจากไหว้พระเสร็จท่านธรณินก็ถามเสียงเคร่งขรึม หลายวันมานี้ท่านยมราชเห็นท่าทางที่แปลก ๆ ไปของลูกน้องในการปกครองของตนก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่าศิลาคงกำลังมีปัญหาอยู่ในใจ

      “ครับ” ศิลาตอบไปตามตรงด้วยน้ำเสียงต่ำเศร้า แล้วถามต่อด้วยความไม่เข้าใจว่า “ท่านธรณินครับ ก็ในเมื่อข้าพ้นสถานะของการเป็นมนุษย์แล้ว แต่ทำไมข้ายังรู้สึกเป็นทุกข์เพราะเด็กคนนั้นอยู่อีกละครับ” 

      ยมราชได้ฟังดังนั้นก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของลูกน้อง ด้วยยมทูตทั้งหลายมักจะตั้งแง่ดูถูกดูแคลนมนุษย์ว่าเป็นผู้มีจิตใจอ่อนแอ  ตกเป็นทาสของกิเลสตัณหาและความหยาบช้าต่าง ๆ  โดยลืมไปว่า แท้จริงยมทูตเองก็ยังคงมีกิเลสเหล่านั้นอยู่ด้วยเหมือนกัน แค่กิเลสในใจของพวกเขามันบางเบากว่าของมนุษย์ก็เท่านั้นเอง

      “ศิลาเอ๋ยสรรพสัตว์ที่ยังวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏนี้ ก็ล้วนได้ชื่อว่ายังไม่สิ้นกิเลสด้วยกันทั้งสิ้น ตราบใดที่กิเลสเหล่านั้นยังไม่สิ้นไปจากใจของพวกเรา  ความทุกข์อันเกิดจากรัก โลก โกรธ หลง นั้นมันก็ย่อมมีอยู่ และมันมักจะบีบคั้นให้ใจต้องเจ็บปวดและทรมานอย่างนั้นเป็นธรรมดา”

      “แล้วข้าควรจะทำอย่างไรดี  ที่จะให้ความทุกข์เหล่านี้หายไปขอรับ” 

      “หนทางดับทุกข์  พระพุทธองค์ได้ชี้แนะแก่สรรพสัตว์ทั้งหลายเอาไว้แล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ใจเจ้าจะพร้อมที่จะเปิดรับและปฏิบัติตามคำสอนของท่านได้หรือไม่”

      “เรื่องนั้นข้า...” ศิลากำมือทั้งสองข้างที่ว่างอยู่ตรงหัวเข่าแน่น นัยน์ตาสีแดงที่เคยฉายแววหยิ่งทะนงและเยือกเย็นบัดนี้มันได้เต็มไปด้วยความหม่นหมองและเศร้าใจอย่างยิ่ง เขาเองก็อยากจะคิดและทำให้ได้อย่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้าสอน แต่ทำไมตอนนี้ถึงได้รู้สึกว่ามันยากเหลือเกิน

      ในเวลานี้เขาเริ่มคิดว่าที่อาธารพูดมานั้นมันก็ไม่ได้ผิดที่จริงเขาควรจะเชื่อที่อาธารพูดบ้าง แม้ยมทูตผู้นั้นจะมีจิตใจที่แข็งกระด้างไปหน่อยก็ตาม

      “ถ้าอยากจะร้องไห้ก็ร้องมันออกมาเถอะนะ เดี๋ยวความมืดแห่งรัตติกาลจะช่วยบดบังใบหน้าที่ไม่สวยงามของเจ้าเอง” ว่าแล้วท่านธรณินก็เดินไปจากตรงนั้นปล่อยให้ลูกน้องได้อยู่กับตัวเองไป

      หลังจากที่ท่านยมราชได้จากไป น้ำตาที่พยายามอดกลั้นไว้มาโดยตลอดของยมทูตหนุ่มก็เอ่อล้นออกมาอาบลงใบหน้านิ่งเย็นของเขา 

      ขณะเดียวกันอาธารที่ยืนอยู่อีกด้านก็ได้ยินทุกอย่างที่ท่านธรณินพูด หัวใจที่แข็งกระด้างก็เริ่มจะเข้าแล้วว่าที่ศิลาบอกให้เยียวยาจิตใจนั้นมันหมายถึงอะไร

      ...เพราะอย่างนี้สินะข้าถึงได้พ่ายแพ้ ยิ่งข้าอยากจะเอาชนะอยู่ตลอดเวลาข้ายิ่งพ่ายแพ้และไม่มีวันชนะ ข้าน่ะไม่ควรจะไปยุ่งกับเรื่องของเจ้าเลยจริง ๆ นั่นแหละ...

       

      นาฬิกาที่ตั้งอยู่บนชั้นวางในบ้านบอกเวลา 20 นาฬิกา 47 นาที มีสายเรียกเข้าดังขึ้นจากมือถือถูกวางไว้ตรงหน้าทีวี กานต์แก้วที่กำลังนั่งทำการบ้านอยู่ในห้องนั่งเล่นจึงลุกขึ้นมารับโทรศัพท์

      “สวัสดีค่ะ บ้านประกายพรรณค่ะ” เด็กน้อยกรอกเสียงบอกปลายสาย

      “กานต์แก้ว” เสียงที่คุ้นหูดังกลับมาจากปลายสาย 

      “เอ๋? พี่ชายอัศวินเหรอคะ” กานต์แก้วเรียกเขาด้วยความดีใจ

      “อือ  และถ้าเป็นไปได้  พี่ก็อยากจะเป็นแบบนั้นไปตลอดเหมือนกัน แต่พี่กลับไม่สามารถเป็นแบบนั้นให้เราได้เลย...ขอโทษด้วยนะ ที่ต้องบอกเราว่ามัน...มันถึงเวลาแล้วที่...”

      “มันถึงเวลาแล้วที่หนูจะต้องไปกับพี่สินะคะ” เมื่อเห็นว่าทางปลายสายเริ่มจะเอ่ยทุกอย่างออกมาด้วยความยากลำบากมากขึ้นเธอจึงเอ่ยมันออกไปแทนเขา และทันทีที่เอ่ยจบเด็กน้อยก็ได้เห็นว่าพี่ชายอัศวินของเธอกำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ตรงหน้าเธอนี่เอง

      ดวงตาสีแดงของยมทูตมองหลุบต่ำ เป็นครั้งแรกที่เขาไม่กล้าสู้สายตาของดวงวิญญาณที่มารับตัวไป  ศิลามีเพียงรอยยิ้มเศร้า ๆ ที่ปรากฏออกมา เมื่อเผชิญหน้ากับเธอตรง ๆ ในฐานะยมทูต

      “พี่ชายสินะคะที่เป็นยมทูตโทรศัพท์สายมรณะน่ะ”กานต์แก้วเอ่ยขึ้นดูไม่ได้แปลกใจนัก  จากที่ฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับเขาคนนั้น เธอก็เพิ่งได้เริ่มมาสังเกตได้เมื่อไม่นานมานี้ว่า  มักจะมีคนตายอยู่ใกล้ ๆ บริเวณที่พี่อัศวินของเธอปรากฏตัวอยู่เสมอ แต่ที่ต่างออกไปจากเรื่องเล่าคือรูปลักษณ์ภายนอกที่ไม่ได้ดุร้ายและน่ากลัวอย่างที่คิด  แต่ถึงจะสงสัยในตัวเขายังไง  เธอก็ยังทำใจหวาดกลัวเขาไม่ลง ยิ่งในวันที่ได้เห็นว่าเขาต้องพยายามฝืนตัวเองแสดงออกมาว่าไม่เป็นอะไร  ทั้งที่ในสายตาคู่นั้นมันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดขนาดนั้น

      “อือ ขอโทษด้วยนะ” ศิลาบอกขอโทษกานต์แก้วอีกครั้ง “ถ้าเป็นไปได้พี่ก็อยากจะเจอกับเราในสถานการณ์อื่นที่มันดีกว่านี้”

      “แต่สถานการณ์แบบนี้ก็ไม่ได้แย่นี่นา ขอแค่มีมือพี่ชายคอยจับมือหนูไว้หนูก็จะไม่รู้สึกกลัวอะไรแล้วล่ะค่ะ ก็อัศวินอยู่ตรงนี้ทั้งคน” กานต์แก้วยื่นมือไปจับมือเขาไว้พร้อมกับยิ้มให้เขาเหมือนเดิม 

      ศิลายิ้มตอบเล็กน้อยด้วยความรู้สึกเต็มตื้น ก่อนจะนำพาดวงวิญญาณของกานต์แก้วเดินไปตามของคนตาย มือทั้งสองจับจูงกันไว้แน่นและยังคงเชื่อใจกันและกันดังเดิม

      ศิลาพากานต์แก้วมาหยุดอยู่เบื้องหน้าประตูบานใหญ่ของห้องไต่สวนของยมโลก ตรงสองข้างประตูมียมทูตเฝ้าอยู่คนละข้างพากันยืนนิ่งด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม

      “ถึงแล้วห้องนี้แหละ เดี๋ยวพี่จะพาเข้าไปนะ” ศิลาบอกเด็กน้อยด้วยรอยยิ้มฝืน ๆ ก่อนจะพาเธอเดินเข้าไป แต่ก็โดนมือน้อย ๆ ของกานต์แก้วรั้งไว้ก่อน

      “ส่งหนูแค่นี้ก็พอแล้วค่ะ” 

      “เอ๋!? แต่ว่า...” ศิลาทำท่าลังเล

      “ไม่ต้องเป็นห่วงหนูแล้วนะคะ หนูไปเองได้จริงๆค่ะ”กานต์แก้วยืนยันแน่วแน่ก่อนจะบอกกับเขาอีกว่า “พี่ต้องลำบากใจเพราะหนูมามากแล้ว

      ลำบากเพราะหนูแค่ตรงนี้ก็พอแล้วล่ะค่ะ”

      ศิลานั่งลงแล้วบอกขอโทษเธอ “ขอโทษด้วยนะที่พี่ไม่สามารถช่วยอะไรเราได้กว่านี้”

      “ขอโทษทำไมคะ พี่ทำได้ดีที่สุดแล้ว ทุกอย่างมันคือโชคชะตาของหนูไม่ใช่ความผิดของพี่ พี่อย่าได้เสียใจอีกเลยนะคะ” กานต์แก้วเดินเข้าไปกอดปลอบโยนพี่ชายอัศวินของเธอให้ใจหายเศร้า

      ศิลายอมรับการปลอบโยนนั้นด้วยสีหน้านิ่งเรียบ  แต่ขอบตากลับรู้สึกร้อน ๆ  เหมือนน้ำตากำลังจะไหลออกมาอีกครั้ง

      หลังจากผละออกจากตัวเขาแล้วกานต์แก้วมองดูเขาเต็ม ๆ ตาอีกครั้งแล้วถามว่า “มีอีกเรื่องหนึ่งที่หนูอยากจะรู้ไว้ก่อนไป...พี่ชื่ออะไรหรือคะ”

      “ชื่อของพี่ก็คือ ‘ศิลา’” 

      “เป็นชื่อที่ฟังดูแข็งแกร่งดีจังเลยนะคะ” กานต์แก้วเอ่ยชมด้วยรอยยิ้ม  และรอยยิ้มของเด็กคนนี้ไม่ว่าจะช่องเวลาไหนก็ยังคงเป็นรอยยิ้มที่สดใสอยู่ทุกครั้งที่เขาได้เห็นจริง ๆ “คงได้เวลาที่หนูต้องไปแล้ว จากนี้ถ้าพี่ศิลาไปแล้วไม่ต้องหันกลับมาอีกนะคะ” เธอตัดใจพร้อมส่งยิ้มให้เขาอย่างเข้มแข็งเป็นครั้งสุดท้าย  ก่อนจะจากไปตามทางของเธอ

      “โชคดีนะกานต์แก้ว” ศิลาบอกตามหลังเธอไป

      กานต์แก้วหันมาโบกมือให้ “พี่ชายก็ด้วยนะคะ”

      แล้วทั้งคู่ก็ได้เวลาที่จะต้องแยกจากไปตามทางของตน ยมบาลที่เฝ้าประตูสองคนเปิดประตูบานใหญ่ของห้องออกให้กานต์แก้วผ่านเข้าไป   ส่วนศิลาที่เดินกลับออกมาแล้ว  แม้จะรู้สึกอาลัยผู้ที่อยู่ข้างหลังมากแค่ไหนก็ตาม  แต่ก็ไม่ได้หันกลับไปทางกานต์แก้วอีกเลย

       

       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×