ยมทูตโทรศัพท์สายมรณะ (Rewrite)
ถ้าอยากจะร้องไห้ก็ร้องมันออกมาเถอะ เดี๋ยวความมืดแห่งรัตติกาลจะช่วยบดบังใบหน้าที่ไม่สวยงามของเจ้าเอง
ผู้เข้าชมรวม
339
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
“เอ๋? พี่ชายอัศวินเหรอคะ” กานต์แก้วเรียกเขาด้วยความดีใจ
“อือ ถ้าเป็นไปได้ พี่ก็อยากจะเป็นแบบนั้นไปตลอดเหมือนกัน แต่พี่กลับไม่สามารถเป็นแบบนั้นให้เราได้เลย...ขอโทษด้วยนะ ที่ต้องบอกเราว่ามัน...มันถึงเวลาแล้วที่...”
“มันถึงเวลาแล้วที่หนูจะต้องไปกับพี่สินะคะ” เมื่อเห็นว่าทางปลายสายเริ่มจะเอ่ยทุกอย่างออกมาด้วยความยากลำบากมากขึ้นเธอจึงเอ่ยมันออกไปแทนเขา และทันทีที่เอ่ยจบเด็กน้อยก็ได้เห็นว่าพี่ชายอัศวินของเธอกำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ตรงหน้าเธอนี่เอง
ดวงตาสีแดงของยมทูตมองหลุบต่ำ เป็นครั้งแรกที่เขาไม่กล้าสู้สายตาของดวงวิญญาณที่มารับตัวไป ศิลามีเพียงรอยยิ้มเศร้า ๆ ที่ปรากฏออกมา เมื่อเผชิญหน้ากับเธอตรง ๆ ในฐานะยมทูต
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ครืดดดด ครืดดดด ครืดดดด
เสียงเรียกเข้าจากเบอร์โทรศัพท์ที่ลงท้ายด้วยเบอร์ตองจำนวนสี่ตัว หญิงเจ้าเนื้อวัยกลางคน ผิวสีขาวเหลือง เจ้าของโทรศัพท์เดินจ้ำมากดรับสายด้วยความเร่งรีบ ด้วยงานร้านที่เธอต้องดูอยู่ขณะนี้ลูกค้ามาค่อนข้างมาก
“สวัสดีค่ะ” เธอเพิ่งเอ่ยกับปลายสายได้แค่นั้นก็มีเสียงนิ่งเย็นของผู้ชายดังมาก่อน
“สวัสดีครับ คุณดวงเดือน แสงอ่อนใช่มั้ยครับ”
“อ่ะ...ค่ะ” เธอตอบรับเขาไปแบบงง ๆ
“ตอนนี้เวลา13นาฬิกา 39นาที...มันถึงเวลาของคุณแล้วนะครับที่จะต้องไปกับผม” ทันทีที่สิ้นเสียงผู้ชายประหลาดคนนั้นสายก็ถูกตัดไปโดยไม่มีโอกาสให้เธอได้ถามอะไรต่อ
ดวงเดือนมองมือถือด้วยสีหน้างุนงง ตามมาด้วยความหงุดหงิดที่ถูกทำให้เสียเวลาทำมาหากิน แต่ในจังหวะที่เธอกำลังก้าวออกไปอยู่ ๆ ร่างของหญิงวัยกลางคนก็ทรุดฮวบล้มลงไปกองที่พื้นแบบไม่ทันตั้งตัว จนคนที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วยต่างร้องขึ้นด้วยความตกใจ คนที่อยู่ใกล้ที่สุดรีบถลาเข้ามาประคองศีรษะเธอขึ้น ในตอนนั้นคนจำนวนสามสี่คนที่เข้ามาดูต้องตกตะลึงกับภาพที่เห็น
เลือดสีแดงสดค่อย ๆ ไหลออกมาจากหู ตา จมูก และปากของดวงเดือน
ที่โรงเรียนอาทิตย์อุทัย แผนกประถม
“นี่ ๆ ได้ยินเรื่องยมทูตโทรศัพท์สายมรณะมั้ย”
“ยมทูตโทรศัพท์สายมรณะเหรอ เขาเป็นใครกันน่ะ”
“ฉันได้ยินพวกคุณแม่คุยกันว่าถ้าเขาโทรไปหาใครคนนั้นจะตายล่ะ!”
“ใช่ ๆ เมื่อวานเราได้ยินว่าป้าที่อยู่ในซอยเดียวกันก็ตายหลังจากได้รับโทรศัพท์จากเขาแหละ”
เสียงพวกเด็ก ๆ นักเรียนชั้นป.4 ห้อง A กำลังจับกลุ่มคุยกันระหว่างรอคุณครูเข้ามาสอนในชั่งโมงแรก
กานต์แก้วนักเรียนหญิงหนึ่งในสมาชิกของห้องนั่งอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง เธอกำลังเบื่อหน่ายและหมดหวังกับการที่จะต้องมาเรียนเลขแต่เช้าแบบนี้ พอได้ยินเรื่องที่เพื่อน ๆ คุยกันก็เริ่มสนใจจึงได้คอยนั่งฟังอยู่เงียบ ๆ เป็นการแก้เบื่อ
“แม่บอกว่ายมทูตน่ะมีหน้าตาดุร้ายและน่ากลัวมากเลยนะ ถ้าเขาอยู่ที่ไหนแสดงที่นั่นจะมีคนตาย”
“เราเคยเห็นในละครนะ เขาเป็นผู้ชายผมหยิกหย็อง ผิวสีเข้มตัวใหญ่ ใส่โจงกระเบนสีแดง หน้าตาทมึงทึง และบนหัวก็มีเขาด้วย”
“น่ากลัวจังเลยนะ” เพื่อน ๆ ผู้หญิงกลุ่มนั้นเอ่ยขึ้นแทบจะพร้อมกันโดยอัตโนมัติ
“นายฤทธา พรประทาน อายุ 65 ปี เสียชีวิตเพราะหัวใจวาย ตอนอยู่ที่โลกมนุษย์ทำธุรกิจหลายอย่าง มีทั้งธุรกิจสีขาวและธุรกิจสีเทา ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นอย่างหลัง และมีหลายครั้งที่มีการกดขี่และเอาเปรียบผู้คนไว้อย่างมากมาย จนสร้างความคับแค้นให้ผู้คนเหล่านั้นไม่น้อย ในด้านดีของนายฤทธาคือ มีใจเอื่อเฟื้อเผื่อแผ่ญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง จะทำบุญบ้างตามโอกาส แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นการทำบุญเอาหน้าเสียมากกว่า เมื่อนำบุญกับบาปมาเทียบกันแล้ว บาปกรรมก็ยังมีมากกว่าอยู่ดี”
น้ำเสียงนิ่งเย็นดังขึ้นในห้องอันมืดสลัว ที่แสงสว่างลอดผ่านมาเข้ามาได้พอรำไร เงาร่างสูงโปร่งในชุดสูทของผู้ชายคนหนึ่งกำลังมองจับจ้องไปยังจอข้อมูลสามสี่จอที่ลอยอยู่กลางอากาศเรียงกันอยู่ในระดับสายตา
แสงจากจอนั้นเผยให้เห็นใบหน้านิ่งและเยือกเย็นของเขา ดวงตาคมที่กำลังไล่อ่านข้อมูลคนตายก็ดูไร้ความรู้สึกใด ๆ ราวกับว่าเรื่องราวการตายของผู้คนนั้นจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก
และมันก็คงจะเป็นอย่างนั้นจริงสำหรับยมทูตอย่างศิลา การตายของพวกมนุษย์เกิดขึ้นทุกวันและแทบจะทุกชั่งโมงจนดูเป็นเรื่องปกติไปแล้ว จากงานรับดวงวิญญาณที่เขาทำมาตลอดหลายปี รายชื่อดวงวิญญาณที่เขาต้องไปรับมาส่วนใหญ่ก็มักจะมีแต่พวกวิญญาณบาป นั่นเลยทำให้เขาเห็นว่าพวกมนุษย์นั้นช่างน่ารังเกียจที่ปล่อยให้จิตใจตกเป็นทาสของกิเลสและความหยาบช้าเหล่านั้น
เขายกนาฬิกาขึ้นมาดูเป็นเวลา 23:45 น.
“ได้เวลาแล้วสินะ” แล้วศิลาก็กดปุ่มเครื่องมือบนโทรศัพท์หน้าจอสไลด์ที่เรียงกันอยู่กลางอากาศก็เข้าซ้อนกันจนเหลือหน้าเดียวก่อนหายวับเข้าไปในมือถืออย่างรวดเร็ว แล้วเขาก็กดโทรออก
และทุกคนที่เขาโทรหาจะต้องตายทันทีหลังจากที่ได้รับโทรศัพท์จากเขา!
“มันถึงเวลาแล้วครับที่คุณจะต้องไปกับผม” ศิลาบอกกับดวงวิญญาณของนายฤทธาที่กำลังยืนตกตะลึงมองร่างของผู้ชายอีกคนซึ่งมีหน้าตาเหมือนกับตัวเองกำลังนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง หน้าตานั้นบิดเบี้ยว ดวงเบิกตาค้าง ร่างกายเปลือยเปล่า ในมือยังถือโทรศัพท์ค้างไว้ ผู้หญิงที่พาด้วยก่อนหน้านี้ก็ตกใจกลัวจนรีบเก็บของแล้ววิ่งหนีออกจากห้องไปแล้ว
“กะ...แกเป็นใครน่ะ” วิญญาณนายฤทธาต้องตกใจซ้ำอีกรอบที่อยู่ ๆ คนคนนี้ก็มาอยู่ในห้องของเขาได้ เขารีบถอยหนีจนเสียหลักล้มก้นจ้ำเบ้าแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังพยายามกระถดกระถอยหนีด้วยความหวาดกลัว เมื่อสบเข้ากับดวงตาสีแดงเลือดของชายหนุ่มผู้มาใหม่ ดวงตาคู่นั้นมันทั้งน่ากลัวและเต็มไปด้วยพลังอำนาจที่เหนือกว่าเขาเข้ามากดดันจนน่าพรั่นพรึง
“ผมชื่อศิลา เป็นยมทูตและมารับตัวคุณไปตามที่ได้บอกเอาไว้ครับ” ทันทีที่ศิลาพูดจบ อีกฝ่ายก็ร้องโวยวายเสียงดังลั่นปฏิเสธเขาท่าเดียว และยังมีความพยายามที่จะดิ้นรนหนีไป
“ไม่! ฉันไม่ไป! ฉันไม่ไป! เฮ้ย! ใครก็ได้ที่อยู่ข้างนอกเข้าช่วยฉันที!” วิญญาณของนายฤทธาพยายามร้องเรียกให้คนช่วยอย่างสุดเสียง แต่ก็ไม่มีใครจะเข้ามาช่วยเขาสักคน
“ในช่วงเวลานี้ไม่มีใครช่วยคุณได้ทั้งนั้นแหละครับ”
“ไม่จริง! ฉันมีเงิน! ฉันมีอำนาจ” เขาไม่ยอมรับและร้องปฏิเสธเสียงกร้าว แต่เมื่อเห็นผู้ชายตรงหน้านี้ดูไม่ได้สะทกสะท้านใด ๆ จึงได้เปลี่ยนมาต่อรอง “นี่ถ้าแกยอมปล่อยฉันไปนะ ฉันแบ่งเงินทองและอำนาจพวกนั้นให้แกได้นะ รับรองว่าแกไม่ต้องทำอะไรก็จะสุขสบายไปทั้งชาติแน่นอน”
ศิลาเห็นท่าทางของนายฤทธาแล้วก็ได้แต่ยิ้มดูแคลน มองเจ้ามนุษย์ผู้โง่เขลาด้วยความสมเพช ทั้งหมดที่นายฤทธาพูดมาเมื่อครู่นั้นมันไม่มีอะไรที่จะสามารถเอามาด้วยได้เลยสักอย่างในโลกหลังความตายนี้
“เสียใจด้วยนะครับ ที่ของพวกนั้นมันจะเป็นประโยชน์กับคุณก็แค่ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่หลังจากนี้มันใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้วละครับ เลิกดื้อรั้นแล้วไปกับผมแต่โดยดีเถอะครับคุณฤทธา”
“ไม่! ฉันไม่ไป!” นายฤทธาเริ่มต่อต้านพยายามวิ่งหนีล้มลุกคุกคลานไป
ศิลายังนิ่งมองดวงวิญญาณที่วิ่งไปไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านอะไรนัก ก่อนที่ใบหน้าที่แสนเย็นชาราวกับภูเขาน้ำแข็งจะค่อย ๆ เหยียดยิ้มออกมา
“หึ ถ้าคุณอยากจะหนี ผมก็จะให้คุณได้หนี แต่ไม่ว่าจะหนีสักเท่าไหร่ผลลัพธ์ของมันก็คงจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปหรอกนะครับ เพราะในสังสารวัฏนี้ความตายนั้นมันไม่มีใครหนีพ้นไปได้”
ไม่รู้ว่าเป็นเวลานานเท่าไหร่แล้วที่วิญญาณนายฤทธาได้พยายามวิ่งหนียมทูต รู้แต่ทุกวินาทีที่วิ่งหนีมานั้นมีแต่ความรู้สึกหวาดกลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะหันหลังกลับไป เขาอยากจะไปให้ไกลจากผู้ชายคนนั้นให้มากที่สุด ในแต่ละวินาทีของการดิ้นรนหนีจากยมทูตนั้นมันช่างยาวนานและทรมานจนใจจะขาด แต่แล้วในที่สุดเขาก็เริ่มหมดแรงวิ่งต่อไปอีกไม่ไหว จนต้องหลบเข้าไปในซอยเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เขาทรุดตัวนั่งลงเอาหลังพิงกำแพงเก่า ๆ อย่างหมดสิ้นเรี่ยวแรง
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้รู้สึกสบายขึ้นก็ต้องสะดุ้งเฮือกขึ้นมาอีก เมื่อเห็นเงาร่างของคนผู้หนึ่งนั่งชันเข่าข้างหนึ่งอยู่บนกำแพงฝั่งตรงข้ามดวงตาสีแดงเลือดมองมาทางเขาพร้อมกับรอยยิ้มเย็นยะเยือก
แล้วห่วงโซ่สีแดงเพลิงที่ไม่รู้มาจากไหนก็ได้พุ่งตรงเข้ามารัดรึงลำคอของวิญญาณนายฤทธาไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้อีก
“มันถึงเวลาแล้วครับที่คุณจะต้องไปกับผม”
“ไม่!!! ฉันไม่ไป!!!!”
ยมโลกดินแดนที่อยู่ต่ำกว่าพื้นพิภพลงมาไกลหลายโยชน์จนแสงอาทิตย์สาดส่องมาไม่ถึง แสงที่ช่วยให้ความสว่างแก่ดินแดนแห่งนี้นอกจากแสงไฟในคบเพลิงตามจุดต่าง ๆ แล้ว ก็ยังมีดวงแก้วมณีคู่บารมีของท่านยมราชองค์ปัจจุบันที่พอจะช่วยทำให้ดินแดนหลังความตายแห่งนี้ไม่ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมากจนเกินไป แต่ความสว่างนั้นก็ยังมีไม่มากเท่าแสงอาทิตย์จึงทำให้เห็นบรรยากาศของยมโลกดูครึ้ม ๆ อึมครึม
นอกจากบรรยากาศที่นี่จะไม่ได้สดใสแล้ว ก็ยังคับครั่งไปด้วยวิญญาณที่กำลังรอการตัดสินจากท่านยมราชว่าหลังความตายพวกเขาจะได้ไปอยู่ในภพภูมิใด
“ตอนมีชีวิตเจ้าเคยทำความดีอะไรไว้มั้ย” น้ำเสียงอันหน้าเกรงขามดังก้องมาจากบัลลังก์ที่ท่านยมราชนั่งอยู่
“ความดีหรือ ฮึก ๆ ผม ผมเสียใจ ผมไม่เคยได้ทำอะไรดี ๆ ไว้ ฮือๆๆ”
ท่านยมราชผู้ทำหน้าที่ไต่สวนเห็นสภาพร่ำไห้อันน่าเวทนาของวิญญาณเบื้องล่างก็ได้แต่ถอนหายใจปลง ๆ หลังจากที่เขาพยายามตั้งถามเพื่อช่วยให้วิญญาณดวงนี้ได้นึกถึงบุญกุศลให้ออก แต่ดูจากสภาพแล้วก็ดูจะไม่เป็นผลเอาเสียเลย
“สุวรรณเลขา” เขาเอ่ยกับเลขาผู้ทำหน้าที่ดูแลบันทึกบุญของวิญญาณคนตายเป็นทีว่าพอจะมีกำลังบุญส่วนใดที่จะช่วยให้เขาได้รอดพ้นจากขุมนรกนี้ได้บ้าง
“เรียนท่านธรนิน เขาเคยทำความดีมาบ้างแต่ก็ยังเป็นส่วนน้อยและมันก็เป็นเมื่อนานมาแล้วค่ะ แต่นั่นมันก็ยังไม่เลวร้ายเท่ากับจิตใจของเขาในระยะหลายปีมานี้คุ้นชินอยู่กับการทำผิดบาปจนนึกถึงเรื่องราวดี ๆ เหล่านั้นไม่ออก ส่งผลบุญกุศลที่ทำมายังไม่มีกำลังพอที่จะช่วยอะไรเขาได้ค่ะ” สุวรรณเลขารายงานไปตามข้อมูลที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอไม่ถึงสามหน้าสไลด์ ผิดกับบันทึกบาปของสุวาฬเลขาที่มีข้อมูลแน่นเอี้ยดจนเต็มทุกแผ่นสไลด์และดูเหมือนว่าอันที่แสดงอยู่บนหน้าจอก็ดูจะยังไม่หมดเสียด้วยซ้ำ
“ดูท่าว่านรกจะต้องแออัดเข้าไปทุกวันแล้วสินะ” พญายมราชเหมือนจะพึมพำกับตัวเองเสียมากกว่า ก่อนจะเริ่มตัดสินโทษต่อไป
เมื่อเข้าเขตยมโลกมาแล้วศิลาก็เข้าไปรายงานตัวกับทางเจ้าหน้าที่พร้อมกับดวงวิญญาณที่ไปรับตัวมา ระหว่างที่กำลังพากันกลับออกมาก็มีดวงวิญญาณของชายชราคนหนึ่งเซถลาเข้ามาชนศิลาเข้าอย่างจัง แต่ก่อนที่วิญญาณดวงนั้นจะล้มลงไปเขาก็ได้ช่วยคว้าร่างนั้นไว้ได้ก่อน
“ไม่เป็นไรนะ” เขาถามเสียงเรียบ ๆ
แต่ยังไม่ทันที่ดวงวิญญาณที่กำลังตัวสั่นงันงกด้วยความกลัวจะได้ตอบอะไร ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาก่อน
“อย่ายุ่งกับดวงวิญญาณที่อยู่ในการควบคุมของข้า!” ตามมาด้วยเจ้าของเสียงที่เป็นชายหนุ่มวัยเดียวกันกับศิลาเดินอาจ ๆ เข้ามาด้วยสีหน้าไม่พอใจเมื่อเห็นว่ามียมทูตตนใดมายุ่งกับดวงวิญญาณที่อยู่ในความรับผิดชอบของเขา และยิ่งไม่พอใจเข้าไปใหญ่เมื่อเห็นว่ายมทูตนั้นทำตัวเหมือนจะเห็นใจเจ้าพวกวิญญาณที่น่ารังเกียจเหล่านี้ โดยเฉพาะศิลาผู้ที่ตนพยายามทำทุกทางเพื่อที่จะเอาชนะเขาให้ได้
วิญญาณนายฤทธาเห็นยมทูตที่มาใหม่อีกตนดูดุร้ายและน่ากลังกว่าผู้ที่พาเขามาที่นี่เป็นไหน ๆ ก็เกิดความกลัวรีบวิ่งเข้าหลบหลังศิลาทันที
ศิลาหันมองผู้ที่กล่าวบริภาสตนด้วยสายตาที่ไม่ได้มีแววหวั่นเกรงแม้แต่น้อยแล้วก่อนจะเอ่ยขึ้นบ้างว่า
“หึ ยุ่งเหรอ ข้าว่ามันเป็นเพราะการกระทำอันเกินขอบเขตของเจ้าซะมากกว่านะอาธาร ที่ไปเกะกะรบกวนผู้อื่นเขาน่ะ”
“เกินขอบเขต? พวกนี้ล้วนแต่เป็นพวกวิญญาณบาปที่กระทำความผิดไว้มากมาย มันก็สมควรได้รับโทษอย่างสาสมแล้ว ไม่ทราบว่าข้าทำเกินขอบเขตไปตรงไหน” เขาถามเสียงกร้าว มองศิลาตาขวาง
“พวกเขาเป็นวิญญาณบาปที่ทำผิดมามากมายก็จริง แต่ผู้ที่มีหน้าที่ตัดสินว่าเขาสมควรจะได้รับการลงโทษแบบไหนก็คือท่านยมราช ไม่ใช่หน้าที่เจ้ามาทำตัวเป็นศาลเตี้ยตัดสินความเอาเองตามอำเภอใจ” ศิลาว่ากลับจนอีกฝ่ายสะอึก ก่อนจะพาดวงวิญญาณของตนไปพบพญายมราช ปล่อยให้เจ้ายมทูตผู้กร้าวกระด้างที่เถียงอะไรไม่ออกยืนกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจที่ศิลาทำเหมือนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา
“หน็อย เจ้าบ้านั่น สักวันข้าจะต้องเอาชนะเจ้าให้ได้”
โรงเรียนอาทิตย์อุทัยแผนกประถม
ตอนนี้เป็นเวลาเลิกเรียนของพวกเด็ก ๆ ที่หน้าโรงเรียนจึงเต็มไปด้วยพวกเด็ก ๆ กำลังเดินทางกลับบ้านพร้อมผู้ปกครองที่มารับ
“กลับบ้านก่อนนะคะคุณครู”
“จ้า เดินทางปลอดภัยนะจ๊ะ
แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีเด็กบางคนหรือบางกลุ่มที่บ้านอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนมากสามารถเดินกลับกันเองได้โดยไม่ได้รอให้ผู้ปกครองมารับ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ...
“กานต์แก้วจ๊ะ” เด็กหญิงตัวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มในวัยกำลังน่ารักหันกลับมาตามเสียงเรียกของคุณครู
“คะ คุณครู” เธอตอบรับอย่างไม่ค่อยดีใจนัก
คุณครูสาวส่งยิ้มใจดีให้ก่อนจะบอกว่า “อย่าลืมทบทวนวิชาเลขเยอะ ๆ นะจ๊ะ”
เด็กหญิงทำแก้มป่องขึ้นมาโดยอัตโนมัติ “ไม่ชอบเลยจริง ๆ วิชาเลขน่ะค่ะ” เธอบ่นอุบ
คุณครูยังคงยิ้มให้อย่างเอ็นดู อาการนี้ของกานต์แก้วดูจะไม่ได้ผิดไปจากที่เธอคาดนัก “ครูรู้จ้ะ แต่ยังไงก็ต้องพยายามเข้านะ”
“เข้าใจแล้วค่ะ” เด็กหญิงตอบรับเสียงอ่อย ๆ ก่อนจะเดินกลับไปตามทางฟุตบาท นี่มันคือฝันร้ายของเด็กอย่างเธอชัดเลย กานต์แก้วนึกอย่างอนาถใจ
หลังจากเดินมาได้สักพักกานต์แก้วก็เห็นลูกแมวน้อยสีดำตัวหนึ่งกำลังเดินข้ามถนนมาทางเธอ กานต์แก้วเห็นจึงได้หยุดพิจารณาดูก็เห็นว่าหน้าตาของเจ้าลูกแมวตัวนั้นออกจะดูดุร้ายไปสักหน่อยแถมสายตาก็ไม่ค่อยจะเป็นมิตรสักเท่าไหร่ แต่ท่าทางของมันฉายแววเก่งกล้าตั้งแต่ยังตัวแค่นี้ ถ้าเจ้าหนูนี่โตขึ้นมันจะต้องได้เป็นเจ้าเหมียวยอดนักสู้ที่สง่างามมากแน่ คิดได้ดังนั้นแม่หนูน้อยก็เริ่มจะชื่นชอบและเห็นความน่ารักในตัวของลูกแมวตัวนั้นขึ้นมาซะแล้วสิ
ในระหว่างที่กานต์แก้วยังคอยลุ้นเอาใจช่วยให้เจ้าแมวน้อยข้ามทางมาด้วยความราบรื่นนั้น อยู่ ๆ ก็มีรถกระบะคนหนึ่งกำลังวิ่งมาตามทางด้วยเร็วที่ไม่ได้มีท่าทีว่าจะหยุดชะรอลงเลยแต่อย่างใด ด้วยความเป็นห่วงเจ้าเหมียวที่มีอนาคตที่จะได้เป็นถึงยอดนักสู้(อันนี้เธอเอาคิดเองนะ) ก็เลยไม่รอช้าที่จะรีบวิ่งเข้าไปคว้าร่างน้อย ๆ ของมันขึ้นมา แต่พอเธอมองไปทางที่รถกำลังวิ่งมา ก็ปรากฏว่ารถกระบะคันนั้นกำลังขับเข้ามาใกล้เธอเรื่อย ๆ และเรื่อย ๆ
กานต์แก้วรู้สึกใจเต้นระรัว หน้าซีดเผือดและบังเกิดความกลัวขึ้นมาเมื่อเห็นว่ารถเข้ามาใกล้เธอเร็วกว่าที่คิด
นาทีนั้นเด็กน้อยราวกับเห็นมือของยมทูตกำลังจะเอื้อมมาเอาตัวเธอไป ร่างของกานต์แก้วยืนแข็งเกร็งราวกับถูกตรึงไว้ สองแขนกอดร่างเจ้าเหมียวไว้แน่น หลับดวงตาทั้งสองข้างแน่นปี๋ด้วยความสิ้นหวัง
เอี๊ยด!!!!
ทั้งแตรรถ และล้อยางรถยนต์กำลังส่งเสียงกรีดร้องประสานกันดังระงม นาทีที่ไม่สามารถจะคาดเดาอะไรได้เธอรู้สึกถึงแรงกระชากและแรงของวัตถุบางอย่างเคลื่อนผ่านไปอย่างเร็วแรงในระยะเฉียดฉิว
“เฮ้! หนูเป็นอะไรมั้ย!” เมื่อมีเสียงดังมาถามกานต์แก้วถึงได้เริ่มรู้สึกตัว แต่สติยังไม่ไวพอที่จะมีปฏิกิริยาโต้ตอบกลับไปได้ในทันที
“เธอปลอดภัยดีครับ ไม่ได้รับอันตรายอะไร” มีเสียงนิ่งเย็นของใครบางคนตอบให้แทน เมื่อหันไปตามที่มาของเสียงก็เห็นว่าผู้ชายในชุดเครื่องแบบนักเรียนม.ปลายโรงเรียนเดียวกัน ท่าทางของเขานิ่ง ๆ เคร่งขรึมอยู่สักหน่อย
“ถ้างั้นก็ค่อยยังชั่วหน่อยนะ คราวหลังหนุ่มก็คอยดูแลน้องให้ดีกว่านี้ด้วยละ อย่าให้วิ่งออกไปขวางทางรถแบบนี้อีกมันอันตราย”
อาจเห็นว่าเพราะใส่เครื่องแบบนักเรียนโรงเรียนเดียวกันและกำลังอยู่ด้วยกันเลยทำให้ลุงคนนั้นเข้าใจว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกันก็ได้ เมื่อบอกกล่าวจบแล้วลุงเจ้าของรถจึงได้ขับออกไป
“นี่หนูยังไม่ตายเหรอคะ” กานต์แก้วถามเสียงสั่น ๆ และเริ่มได้สติมากขึ้นเมื่อเจ้าเหมียวในอ้อมแขนกำลังพยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการ แล้วเธอจึงได้ปล่อยให้มันได้เป็นอิสระ
“อือ” ศิลาตอบเรียบ ๆ ในใจก็นึกสมเพชในความไม่รู้จักประมาณตนของมนุษย์น้อยผู้นี้ก่อนจะบอกอีกว่า “คราวหลังจะทำอะไรก็หัดดูกำลังตัวเองดีด้วย ๆ ไม่ใช่ผลีผลามวิ่งเข้าไปแบบวันนี้อีก”
“ก็หนูไม่อยากให้มันตายนี่นา” กานต์แก้วที่กลับมาได้สติแล้วบอกไปตามที่คิด อีกใจก็รู้สึกผิดตามที่พี่ชายคนนี้ว่าให้เธอด้วย
ได้ยินเด็กน้อยบอกแบบนั้นเขาก็อดชายตามองเธออย่างดูแคลนไม่ได้ “ถ้าเมื่อกี้นี้ถ้าฉันมาไม่ทัน ก็ไม่เห็นว่ามันจะรอดตรงไหน แถมยังมีการตายเพิ่มขึ้นมาอีกโดยใช่เหตุ”
กานต์แก้วโดนว่าแบบนั้นก็หน้าจ๋อยไป “หนู...หนูผิดไปแล้ว คราวหลังจะระวังให้มากกว่านี้ค่ะ”
“รู้ก็ดีแล้ว งั้นก็ขอให้เป็นเด็กดีแล้วกัน” เขาบอกพยายามรักษาระยะห่างกับพวกมนุษย์ เพราะหากไปสนิทชิดเชื้อกับพวกมนุษย์เกินไปจนเกิดผูกพันกับคนพวกนี้คงไม่เป็นการดีสักเท่าไหร่
ผู้ที่มีหน้าที่นำความตายไปสู่ชีวิตของผู้อื่นไม่ควรให้ใจไปผูกพันกับใครทั้ง
“ค่ะ” กานต์แก้วพยักหน้ารับด้วยสีหน้าที่ดูสดใสขึ้นที่เขาไม่ว่าเธอแล้ว เด็กน้อยยื่นมือเล็ก ๆ เข้ามากุมมือเขาไว้อย่างไม่กลัว “ขอบคุณพี่ชายมากเลยนะคะที่ช่วยหนูไว้น่ะ ดู ๆ แล้วพี่ชายก็เป็นคนที่ใจดีมาก ๆ เลยนี่นา แบบนี้ก็ดีแล้วนะคะหนูจะได้ไม่ต้องเข้าใจยากเหมือนวิชาเลข”
“เอ๊ะ?” ศิลาเริ่มไม่ค่อยจะเข้าใจเป็นครั้งแรก “เกี่ยวอะไรกับวิชาเลยอย่างนั้นเหรอ”
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้รับคำตอบให้หายสงสัย ก็มีเสียงเรียกของใครบางคนดังมาแต่ไกล “กานต์แก้ว!”
เด็กน้อยหันไปทางต้นเสียงทันทีด้วยท่าทางดีใจ “แม่คะ” เด็กน้อยโบกมือให้แม่ที่กำลังเดินมาหา แล้วตัวเองก็เป็นฝ่ายวิ่งเข้าไปหาแม่ด้วย
“ทำอะไรอยู่จ๊ะ ทำไมไม่รีบกลับบ้าน” แม่ถามลูกสาวตัวน้อยด้วยความเป็นห่วงทันทีที่เดินมาถึง
“มีอุบัติเหตุน่ะค่ะแล้วพี่ชาย...” เธอหันกลับไปทางที่ศิลายืนอยู่ก็พบแต่ความว่างเปล่าพี่ชายคนนั้นหายไปแล้ว “อ้าว ทำไมหายไปเร็วจังเลยล่ะ”
“เรื่องนั้นช่างเถอะนะ หนูไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วรีบกลับบ้านกันเถอะนะลูก” คุณแม่วัยสามสิบปลายๆจูงมือลูกสาวกลับบ้าน
“แต่เมื่อกี้มีพี่ชายมาช่วยหนูจริง ๆ นะคะแม่” กานต์แก้วยังคงยืนยันเรื่องนี้ให้แม่ฟัง
“งั้นหรือจ๊ะ แล้วพี่ชายเขาเป็นคนแบบไหนเหรอ” หล่อนถามลูกสาวอย่างเอาใจใส่
“เป็นเหมือนอัศวินที่มาช่วยหนูให้รอดพ้นจากอันตราย เหมือนในนิทานที่แม่อ่านให้ฟังก่อนนอนเลย” เสียงของสองแม่ลูกค่อยๆจางลงตามระยะที่ห่างออกไปเรื่อย ๆ
“อัศวินงั้นเหรอ” ศิลาที่ไม่ได้หายไปไหน แต่เขายังอยู่ที่เดิม แค่ตอนนี้ไม่ได้ให้ใครมองเห็นเขาได้ก็เท่านั้น เขาทวนคำของเด็กน้อย รู้สึกแปลก ๆ อยู่ภายในใจ “บุคคลที่เต็มไปด้วยเรื่องราวอันสวยงามแบบนั้นฉันคงเป็นแบบนั้นไม่ได้หรอก เป็นได้แค่ยมทูตที่มีหน้าที่พรากชีวิตผู้อื่นเท่านั้นแหละ”
“ก็แค่คำพูดไร้ค่าของพวกมนุษย์ คิดจะเก็บเอามาใส่ใจก็มีแต่เสียเวลาเปล่า” เสียงดูถูกของอาธารดังแทรกขึ้นมา “หากเผลอไปใส่ใจเมื่อไหร่คือผูกพันเมื่อนั้น แล้วอายุขัยที่แสนสั้นของเจ้าพวกนั้นมันจะย้อนกลับมาทำให้เจ้าต้องเจ็บปวด อย่าได้ลืมเรื่องนี้ซะละศิลา”
“เรื่องนั้นไม่ต้องให้เจ้าบอกข้าก็รู้ดีอยู่แล้วล่ะ เรื่องภายในใจของข้า ข้าหาทางจัดการเองได้ เอาเวลาที่มาห่วงเรื่องของข้าไปดูแลใจของเจ้าเถิด จะได้ลดความกร้าวกระด้างลงไปบ้าง”พูดจบศิลาก็เดินไปจากตรงนั้นทิ้งคำพูดไว้ให้อาธารต้องเจ็บใจอีกครั้ง
อาธารมองตามหลังศิลาด้วยความไม่พอใจ เขาไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมทั้งที่เขารับผิดชอบหน้าที่ควบคุมดวงวิญญาณในการควบคุมอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด ในขณะที่ศิลาเอาแต่ชอบใจอ่อนให้กับพวกวิญญาณเหล่านั้นแต่ทำไมเขาถึงไม่เคยชนะศิลาได้เลยสักครั้งเดียว
..... เจ้าดูถูกข้าเกินไปแล้วศิลา ข้าก็เป็นยมทูตเหมือนเจ้า เจ้ากล้ามาพูดกับข้าอย่างนี้เลยหรือ.....
ในตอนเช้าขณะที่พวกเด็ก ๆ กำลังไปโรงเรียนยังคงมีเสียงเล่าลือเกี่ยวกับยมทูตโทรศัพท์สายมรณะอยู่อย่างต่อเนื่อง ครั้งนี้ผู้ตายไม่ใช่คนเดียวกันกับคนที่ถูกพูดถึงเมื่อวาน นั่นก็หมายเมื่อวานมีคนตายเพราะเขาคนนั้นอีกแล้วเหรอ แถมคนที่ตายบ้านก็อยู่แถว ๆ นี้ด้วย!
“น่ากลัวมากเลยนะ นี่ฉันไม่กล้าแม้แต่จะรับโทรศัพท์แล้ว”
“ใช่ ๆ แม่ที่อยู่กรุงเทพฯเองก็รีบโทรมาเตือนฉันว่าถ้าเห็นเบอร์แปลก ๆ โทรมาอย่าได้รับเด็ดขาดน่ะ”
“ส่วนน้องฉัน แค่ได้ยินเสียงโทรศัพท์มันกลัวจนวิ่งหนีไปคลุมโปงนอนตัวสั่นมาหลายวันแล้ว”
เสียงนักเรียนหญิงม.ต้นกลุ่มหนึ่งเดินคุยกันไประหว่างทาง
กานต์แก้วที่เดินตามหลังห่างจากพวกเธอไม่มากนักก็พลอยได้ยินเรื่องที่ทั้งน่ากลัวนี้ไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้
ทำไมนะ ยมทูตถึงได้ใจร้ายจังเลย เด็กน้อยได้แต่นึกอย่างหดหู่ใจ
พวกเธอเดินต่อไปอีกสักพักก็ถึงบริเวณสวนสาธารณะของหมู่บ้าน ที่อยู่ก่อนถึงโรงเรียน ตรงนั้นเธอเห็นร่างคุ้นตาของใครบางคนกำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่
“เอ๊ะ! พี่ชายอัศวิน” กานต์แก้วอุทานขึ้นด้วยความดีใจสุดขีด ลืมเรื่องน่ากลัวเมื่อครู่นี้ไปหมดสิ้น วิ่งเข้าไปหาศิลาพลางร้องเรียก “พี่อัศวิน! พี่อัศวินคะ”
ศิลาเมื่อวางโทรศัพท์เรียบร้อยแล้วต้องหันไปทางต้นเสียงที่เขารู้สึกว่าเจ้าของเสียงนั้นกำลังร้องเรียกตน และก็เห็นเป็นเด็กผู้หญิงที่เขาเจอเมื่อวานนี้กำลังวิ่งเข้ามาหาอย่างไม่มีท่าทีว่าจะหวาดกลัวแม้แต่น้อย
“เมื่อกี้นี้เรียกฉันเหรอ” เขาถามเรียบ ๆ เมื่อเด็กน้อยเดินมาถึง
“ค่ะ” กานต์แก้วตอบแทบจะทันทีด้วยรอยยิ้มสดใส แล้วบอกไปอย่างซื่อ ๆ ว่า “ดีใจจังเลยที่ได้เจอพี่อีกน่ะ”
“วิ่งเข้าหาคนแปลกหน้าอย่างนี้น่ะมันอันตรายนะ คุณครูที่โรงเรียนไม่ได้บอกเหรอว่าห้ามคุยกับคนแปลกหน้าน่ะ” เขาว่าเหมือนจะตำหนิแต่ก็ไม่ได้มีท่าทีแบบนั้นซะทีเดียวก่อนจะย่อตัวนั่งลงตรงหน้าเด็กน้อย
“บอกค่ะ แต่พี่ไม่แปลกหน้าแล้วนี่นา” กานต์แก้วว่า “เมื่อวานก็เจอกันแล้ว แล้วอีกอย่างพี่ก็เป็นอัศวินมาช่วยชีวิตหนูไว้ด้วย คงไม่ใช่คนไม่ดีหรอกใช่มั้ยคะ”
“เธอเนี่ยน้า” เขารู้สึกอ่อนใจกับเด็กคนนี้จริง ๆ “คงไม่รู้ละสิว่าฉันน่ากลัวกว่าคนไม่ดีพวกนั้นมากแค่ไหน และฉันก็ไม่ใช่อัศวินอะไรนั่นด้วย” เขาตั้งใจจะเตือนเธอไว้ด้วยไม่อยากให้มาทำตัวสนิทอะไรกับเขาให้มากนัก
“นี่หนูทำเข็มกลัดอัศวินมามอบให้อัศวินเป็นการขอบคุณด้วยนะ” กานต์แก้วบอกอย่างภาคภูมิใจในฝีมือของตนพร้อมถือวิสาสะเดินเข้าไปกลัดเข็มกลัดใส่เสื้อนักเรียนให้เขา
“...” เหมือนเด็กคนนี้จะไม่ได้ฟังที่เขาพูดเลยใช่มั้ย
“เรียบร้อยแล้วค่ะ” กานต์แก้วเผยยิ้มดีใจออกมาตามประสาเด็ก เมื่อเห็นความตั้งใจของตนเป็นผลแล้วจึงขอตัวกลับไป “งั้นหนูไปโรงเรียนก่อนนะคะ บ๊ายบาย”
“นี่เธอ...” ศิลากำลังจะเรียกเธอไว้แต่ก็ไม่ทัน เด็กคนนั้นได้วิ่งจากไปซะแล้ว เฮ้อ...เอาเถอะ ยังไงก็คงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว
เขามองตามหลังเธอไปแล้วหันกลับมามองที่เข็มกลัดอัศวินที่เสื้อของตน ซึ่งตัวเข็มกัดก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากไปกว่าการเอาสติ๊กเกอร์มาแปะทับเหรียญโลหะแล้วเอาไปติดกับเข็มกลัดอีกทีเท่านั้น
อาจจะเป็นเพราะความแปลกคนของเด็กคนนั้นก็ได้ มันทำให้เขาเผลอยิ้มออกมาเล็กน้อย แต่สิ่งที่ศิลายังไม่รู้ตัวนั่นก็คือความผูกพันที่เขาไม่เคยคิดที่จะมีมันได้ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นภายในใจอันแสนเยือกเย็นของเขาซะแล้ว
ศิลาเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาตรวจดูรายชื่อดวงวิญญาณที่จะต้องไปรับตัวนำส่งยมโลกก็พบว่าในบัญชีรายชื่อไฟล์นี้ก็เหลือเพียงสองรายชื่อสุดท้ายแล้ว และทั้งสองรายชื่อก็อยู่ในตารางงานของเขาวันนี้และคนที่เขาจะไปรับตัวนั้นยังเป็นเพียงเด็กผู้ชายม.ต้นกับม.ปลาย ซึ่งเวลารับตัวไปก็ห่างกันแค่ 5 นาทีเท่านั้น หลังจากตรวจสอบรายชื่อเรียบร้อยแล้วจึงได้ปิดหน้าจอลง ภาพบนหน้าจอสีดำสนิทสะท้อนให้เห็นถึงใบหน้าไร้ความรู้สึกและสายตาที่ดูเย็นชาขึ้นของเขา
ในวันนั้นมีข่าวว่ามีเด็กนักเรียนยกพวกตีกัน มีเด็กสองคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตลงในเวลาต่อมาระหว่างนำตัวส่งโรงพยาบาล หลังจากที่พวกเขาได้รับโทรศัพท์ที่โทรเข้ามาจากเบอร์เดียวกัน เหตุการณ์นั้นยิ่งทำให้ผู้คนยิ่งหวาดผวาต่อเรื่องของยมทูตโทรศัพท์สายมรณะมากขึ้น
ศิลานำไฟล์งานที่ไปรับดวงวิญญาณมาจนหมดเรียบร้อยแล้วมาส่งเขาคลังข้อมูลของทางยมโลก พร้อมกับเบิกเอาไฟล์บัญชีอันใหม่จากเจ้าหน้าที่กองคลังข้อมูลไปทำงานต่อ
หลังจากรับไฟล์งานใหม่มาเรียบร้อยแล้วก็เป็นเวลาพักของเขาพอดี ยมทูตหนุ่มจึงไปอยู่ที่ห้องทำงานของเขาพลางเอางานใหม่ที่เพิ่งได้มาตรวจสอบระหว่างรอเวลาไปทำงาน ระหว่างที่เขากำลังดูรายชื่อไปเรื่อย ๆ อยู่นั้น มีอยู่ชื่อหนึ่งที่เขาเห็นแล้วรู้สึกสะดุดตาเป็นพิเศษ
ชื่อนั้นก็คือ...
“เด็กหญิงกานต์แก้ว ประกายพรรณ อายุ 10 ปี...” เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ศิลาจึงได้หยุดครุ่นคิดว่าเคยได้ยินชื่อนี้จากที่ไหนอยู่สักพัก
‘กานต์แก้ว!’ และเขาก็ต้องตกใจ เมื่อเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่ร้องเรียกลูกสาวตัวน้อยได้ดังก้องขึ้นในห้วงแห่งความทรงจำ
ภาพของเด็กผู้หญิงหน้าตาจิ้มลิ้มที่กำลังส่งยิ้มที่เต็มไปด้วยความรู้สึกเชื่อใจมาให้เขากำลังย้อนกลับเข้ามาในความทรงจำของเขา เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าใจเขามันเต้นผิดจังหวะไป เป็นครั้งแรกที่เขาเริ่มรู้สึกว่ามันสั่นไหว และเป็นครั้งแรกที่รู้สึกหนักหน่วงอยู่ข้างใน
“เป็นเขาเองอย่างนั้นหรือเนี่ย ทะ...ทำไมละ” เขาพึมพำกับตัวเองเสียงสั่น ๆ
นี่เขาเป็นอะไรไป ความรู้สึกเหล่านี้มันคืออะไร ปกติเรื่องการตายของพวกมนุษย์มันก็เป็นของมันอย่างนี้ทุกวันนี่ แล้ววันนี้มันมีอะไรที่ต่างออกไป ทำไมเขาถึงได้มีความรู้สึกแปลก ๆ และหาคำตอบไม่ได้อย่างนี้นะ
ศิลาที่พยายามปฏิเสธว่าตัวเองไม่ได้ตกอยู่ในความหม่นเศร้าอันเกิดจากความผูกพันที่มีต่อมนุษย์ เพื่อที่จะได้หลีกเลี่ยงไม่ต้องคิดถึงเรื่องนี้หลายวันมานี้เขาจึงเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างหนักจนแทบจะลืมวันลืมคืน
ระหว่างที่ต้องไปที่โลกมนุษย์เขาก็จะพยายามหลบหน้าไม่เจอกานต์แก้วตรง ๆ อีก แต่ก็มีบางครั้งที่หลบเธอไม่พ้น ทันทีที่เธอเห็นเขาไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ก็จะละจากสิ่งนั้นแล้ววิ่งเข้ามาหาเขาด้วยท่าทางดีใจ ยิ่งเห็นเด็กน้อยแสดงออกว่าชื่นชอบเขาจากใจจริงขนาดนั้น และไม่ได้มีท่าทางระแวงระวังอะไรในตัวเขา ความรู้สึกผิดก็ยิ่งเข้ามาเกาะกุมหัวใจของเขามากขึ้นเรื่อย
“พี่อัศวิน พี่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมวันนี้ท่าทางเหมือนกำลังมีเรื่องไม่สบายใจอยู่เลยละ” เมื่อเข้ามาใกล้กานต์แก้วก็สัมผัสได้ว่าเขาดูต่างไปจากที่เจอครั้งก่อน เด็กน้อยนั่งลงที่ม้านั่งข้าง ๆ เขามองตาแป๋ว
“เป็นเด็กตัวแค่นี้ รู้ด้วยเหรอว่าอะไรคือเรื่องไม่สบายใจน่ะ” เขาถามกลับ
“รู้สิคะ ก็วิชาเลขคือเรื่องหนักใจที่สุดของหนูเลย และแทบทุกวันหนูต้องเจอกับมัน” เด็กน้อยผู้ไม่รู้ว่ายังมีเรื่องที่เลวร้ายกว่าวิชาเลขกำลังจะมาเยือนเธอในอีกไม่นาน ออกปากคุยจ้อบ่นให้เขาฟัง
“แต่ทุกวันฉันก็ยังเห็นเธอใช้ชีวิตและมีความสุขได้อยู่เลยนี่” เขาว่า ในขณะที่กานต์แก้วเอาแต่มองสำรวจเขาแปลก ๆ เด็กคนนี้คงกำลังหาอยู่ละสิว่าอะไรที่ทำให้เขาหนักใจ
“เมื่อไหร่ที่จะแทนตัวเองว่าพี่กับหนูสักทีนะ เราก็เจอกันออกบ่อย” เด็กน้อยหันมาบ่นตัดพ้อกับเขาเล็กน้อย แล้วอธิบายต่อว่า “ก็พอมันผ่านไปแล้วเดี๋ยวก็จะหายเองแหละ”
“อย่างนั้นเหรอ เป็นเด็กนี่ก็ดีเหมือนกันนะ เรื่องแย่ ๆ ทุกอย่างหายไปได้ไวดี”
“เห? ทำไมเหรอคะ เรื่องแย่ ๆ ของผู้ใหญ่มันหายช้ากว่าเหรอคะ” กานต์แก้วทำหน้าสงสัยมองเขาไม่ค่อยจะเข้าใจความหมาย
“หึ เปล่าหรอก” เขามองเธอด้วยรอยยิ้มบาง กานต์แก้วนาน ๆ จะได้เห็นพี่ชายอัศวินยิ้มออกมาสักเธอจึงยิ้มรับด้วยความรอยยิ้มสดใสตามประสาเด็ก
“ถ้าเกิดว่าวันหนึ่งฉัน...พี่ไม่ได้เป็นอัศวินอย่างที่เราคิด เราจะเสียใจมั้ย” เขาลังเลอยู่ก่อนเล็กน้อย แต่เมื่อคิดว่านี่คงจะเป็นสิ่งที่เขาพอจะทำให้เธอได้จึงได้เปลี่ยนคำแทนตัวเองใหม่เป็นคำว่า ‘พี่’
กานต์แก้วเห็นเขายอมแทนตัวเองว่าพี่กับเธอแล้วก็รู้สึกดีใจมาก แล้วบอกอย่างไม่ลังเลว่า “ทำไมจะไม่ใช่ละคะ สำหรับหนูไม่ว่าวันไหน ๆ พี่ก็คืออัศวินผู้ที่เก่งกาจและใจดีที่สุดค่ะ”
“อย่างนั้นเหรอ ขอบใจเรามากนะ” ศิลาบอกและต้องอดทนต่อความรู้สึกมากมายที่กำลังเข้าบีบคั้นจนใจเจ็บร้าว จนรู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมา แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะยากเกินไปสำหรับเขาเสียแล้ว
ถ้าฉันไม่ได้เป็นยมทูตก็คงดีกว่านี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเริ่มคิดแบบนี้
แสงดวงประทีปสีส้มสองดวงส่องสว่างอยู่เบื้องหน้าองค์พระปฏิมา และศิลากำลังนั่งคุกเข้าอยู่ที่นั่น นัยน์ตาหม่นเศร้าของเขามองไปยังองค์พระปฏิมาราวกับอยากร้องขอให้พระพุทธองค์ได้ช่วยชี้ทางดับทุกข์ในใจครั้งนี้ให้เขาด้วย
วันนี้มันถึงเวลาแล้วที่ยมทูตอย่างเขาต้องยอมรับเรื่องนี้ให้ได้ ในตอนนั้นก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่ยมราชได้ขึ้นมาจากยมโลกเพื่อมากราบพระพุทธรูปนี้ด้วยเช่นกัน เขานำดวงประทีปไปตั้งไว้บนแท่นบูชาก่อนจะประนมมือไหว้พระและหลับตาภาวนาอยู่เงียบ ๆ สักพัก
“เจ้ากำลังเป็นทุกข์อยู่อย่างนั้นหรือศิลา” หลังจากไหว้พระเสร็จท่านธรณินก็ถามเสียงเคร่งขรึม หลายวันมานี้ท่านยมราชเห็นท่าทางที่แปลก ๆ ไปของลูกน้องในการปกครองของตนก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่าศิลาคงกำลังมีปัญหาอยู่ในใจ
“ครับ” ศิลาตอบไปตามตรงด้วยน้ำเสียงต่ำเศร้า แล้วถามต่อด้วยความไม่เข้าใจว่า “ท่านธรณินครับ ก็ในเมื่อข้าพ้นสถานะของการเป็นมนุษย์แล้ว แต่ทำไมข้ายังรู้สึกเป็นทุกข์เพราะเด็กคนนั้นอยู่อีกละครับ”
ยมราชได้ฟังดังนั้นก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของลูกน้อง ด้วยยมทูตทั้งหลายมักจะตั้งแง่ดูถูกดูแคลนมนุษย์ว่าเป็นผู้มีจิตใจอ่อนแอ ตกเป็นทาสของกิเลสตัณหาและความหยาบช้าต่าง ๆ โดยลืมไปว่า แท้จริงยมทูตเองก็ยังคงมีกิเลสเหล่านั้นอยู่ด้วยเหมือนกัน แค่กิเลสในใจของพวกเขามันบางเบากว่าของมนุษย์ก็เท่านั้นเอง
“ศิลาเอ๋ยสรรพสัตว์ที่ยังวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏนี้ ก็ล้วนได้ชื่อว่ายังไม่สิ้นกิเลสด้วยกันทั้งสิ้น ตราบใดที่กิเลสเหล่านั้นยังไม่สิ้นไปจากใจของพวกเรา ความทุกข์อันเกิดจากรัก โลก โกรธ หลง นั้นมันก็ย่อมมีอยู่ และมันมักจะบีบคั้นให้ใจต้องเจ็บปวดและทรมานอย่างนั้นเป็นธรรมดา”
“แล้วข้าควรจะทำอย่างไรดี ที่จะให้ความทุกข์เหล่านี้หายไปขอรับ”
“หนทางดับทุกข์ พระพุทธองค์ได้ชี้แนะแก่สรรพสัตว์ทั้งหลายเอาไว้แล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ใจเจ้าจะพร้อมที่จะเปิดรับและปฏิบัติตามคำสอนของท่านได้หรือไม่”
“เรื่องนั้นข้า...” ศิลากำมือทั้งสองข้างที่ว่างอยู่ตรงหัวเข่าแน่น นัยน์ตาสีแดงที่เคยฉายแววหยิ่งทะนงและเยือกเย็นบัดนี้มันได้เต็มไปด้วยความหม่นหมองและเศร้าใจอย่างยิ่ง เขาเองก็อยากจะคิดและทำให้ได้อย่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้าสอน แต่ทำไมตอนนี้ถึงได้รู้สึกว่ามันยากเหลือเกิน
ในเวลานี้เขาเริ่มคิดว่าที่อาธารพูดมานั้นมันก็ไม่ได้ผิดที่จริงเขาควรจะเชื่อที่อาธารพูดบ้าง แม้ยมทูตผู้นั้นจะมีจิตใจที่แข็งกระด้างไปหน่อยก็ตาม
“ถ้าอยากจะร้องไห้ก็ร้องมันออกมาเถอะนะ เดี๋ยวความมืดแห่งรัตติกาลจะช่วยบดบังใบหน้าที่ไม่สวยงามของเจ้าเอง” ว่าแล้วท่านธรณินก็เดินไปจากตรงนั้นปล่อยให้ลูกน้องได้อยู่กับตัวเองไป
หลังจากที่ท่านยมราชได้จากไป น้ำตาที่พยายามอดกลั้นไว้มาโดยตลอดของยมทูตหนุ่มก็เอ่อล้นออกมาอาบลงใบหน้านิ่งเย็นของเขา
ขณะเดียวกันอาธารที่ยืนอยู่อีกด้านก็ได้ยินทุกอย่างที่ท่านธรณินพูด หัวใจที่แข็งกระด้างก็เริ่มจะเข้าแล้วว่าที่ศิลาบอกให้เยียวยาจิตใจนั้นมันหมายถึงอะไร
...เพราะอย่างนี้สินะข้าถึงได้พ่ายแพ้ ยิ่งข้าอยากจะเอาชนะอยู่ตลอดเวลาข้ายิ่งพ่ายแพ้และไม่มีวันชนะ ข้าน่ะไม่ควรจะไปยุ่งกับเรื่องของเจ้าเลยจริง ๆ นั่นแหละ...
นาฬิกาที่ตั้งอยู่บนชั้นวางในบ้านบอกเวลา 20 นาฬิกา 47 นาที มีสายเรียกเข้าดังขึ้นจากมือถือถูกวางไว้ตรงหน้าทีวี กานต์แก้วที่กำลังนั่งทำการบ้านอยู่ในห้องนั่งเล่นจึงลุกขึ้นมารับโทรศัพท์
“สวัสดีค่ะ บ้านประกายพรรณค่ะ” เด็กน้อยกรอกเสียงบอกปลายสาย
“กานต์แก้ว” เสียงที่คุ้นหูดังกลับมาจากปลายสาย
“เอ๋? พี่ชายอัศวินเหรอคะ” กานต์แก้วเรียกเขาด้วยความดีใจ
“อือ และถ้าเป็นไปได้ พี่ก็อยากจะเป็นแบบนั้นไปตลอดเหมือนกัน แต่พี่กลับไม่สามารถเป็นแบบนั้นให้เราได้เลย...ขอโทษด้วยนะ ที่ต้องบอกเราว่ามัน...มันถึงเวลาแล้วที่...”
“มันถึงเวลาแล้วที่หนูจะต้องไปกับพี่สินะคะ” เมื่อเห็นว่าทางปลายสายเริ่มจะเอ่ยทุกอย่างออกมาด้วยความยากลำบากมากขึ้นเธอจึงเอ่ยมันออกไปแทนเขา และทันทีที่เอ่ยจบเด็กน้อยก็ได้เห็นว่าพี่ชายอัศวินของเธอกำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ตรงหน้าเธอนี่เอง
ดวงตาสีแดงของยมทูตมองหลุบต่ำ เป็นครั้งแรกที่เขาไม่กล้าสู้สายตาของดวงวิญญาณที่มารับตัวไป ศิลามีเพียงรอยยิ้มเศร้า ๆ ที่ปรากฏออกมา เมื่อเผชิญหน้ากับเธอตรง ๆ ในฐานะยมทูต
“พี่ชายสินะคะที่เป็นยมทูตโทรศัพท์สายมรณะน่ะ”กานต์แก้วเอ่ยขึ้นดูไม่ได้แปลกใจนัก จากที่ฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับเขาคนนั้น เธอก็เพิ่งได้เริ่มมาสังเกตได้เมื่อไม่นานมานี้ว่า มักจะมีคนตายอยู่ใกล้ ๆ บริเวณที่พี่อัศวินของเธอปรากฏตัวอยู่เสมอ แต่ที่ต่างออกไปจากเรื่องเล่าคือรูปลักษณ์ภายนอกที่ไม่ได้ดุร้ายและน่ากลัวอย่างที่คิด แต่ถึงจะสงสัยในตัวเขายังไง เธอก็ยังทำใจหวาดกลัวเขาไม่ลง ยิ่งในวันที่ได้เห็นว่าเขาต้องพยายามฝืนตัวเองแสดงออกมาว่าไม่เป็นอะไร ทั้งที่ในสายตาคู่นั้นมันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดขนาดนั้น
“อือ ขอโทษด้วยนะ” ศิลาบอกขอโทษกานต์แก้วอีกครั้ง “ถ้าเป็นไปได้พี่ก็อยากจะเจอกับเราในสถานการณ์อื่นที่มันดีกว่านี้”
“แต่สถานการณ์แบบนี้ก็ไม่ได้แย่นี่นา ขอแค่มีมือพี่ชายคอยจับมือหนูไว้หนูก็จะไม่รู้สึกกลัวอะไรแล้วล่ะค่ะ ก็อัศวินอยู่ตรงนี้ทั้งคน” กานต์แก้วยื่นมือไปจับมือเขาไว้พร้อมกับยิ้มให้เขาเหมือนเดิม
ศิลายิ้มตอบเล็กน้อยด้วยความรู้สึกเต็มตื้น ก่อนจะนำพาดวงวิญญาณของกานต์แก้วเดินไปตามของคนตาย มือทั้งสองจับจูงกันไว้แน่นและยังคงเชื่อใจกันและกันดังเดิม
ศิลาพากานต์แก้วมาหยุดอยู่เบื้องหน้าประตูบานใหญ่ของห้องไต่สวนของยมโลก ตรงสองข้างประตูมียมทูตเฝ้าอยู่คนละข้างพากันยืนนิ่งด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม
“ถึงแล้วห้องนี้แหละ เดี๋ยวพี่จะพาเข้าไปนะ” ศิลาบอกเด็กน้อยด้วยรอยยิ้มฝืน ๆ ก่อนจะพาเธอเดินเข้าไป แต่ก็โดนมือน้อย ๆ ของกานต์แก้วรั้งไว้ก่อน
“ส่งหนูแค่นี้ก็พอแล้วค่ะ”
“เอ๋!? แต่ว่า...” ศิลาทำท่าลังเล
“ไม่ต้องเป็นห่วงหนูแล้วนะคะ หนูไปเองได้จริงๆค่ะ”กานต์แก้วยืนยันแน่วแน่ก่อนจะบอกกับเขาอีกว่า “พี่ต้องลำบากใจเพราะหนูมามากแล้ว
ลำบากเพราะหนูแค่ตรงนี้ก็พอแล้วล่ะค่ะ”
ศิลานั่งลงแล้วบอกขอโทษเธอ “ขอโทษด้วยนะที่พี่ไม่สามารถช่วยอะไรเราได้กว่านี้”
“ขอโทษทำไมคะ พี่ทำได้ดีที่สุดแล้ว ทุกอย่างมันคือโชคชะตาของหนูไม่ใช่ความผิดของพี่ พี่อย่าได้เสียใจอีกเลยนะคะ” กานต์แก้วเดินเข้าไปกอดปลอบโยนพี่ชายอัศวินของเธอให้ใจหายเศร้า
ศิลายอมรับการปลอบโยนนั้นด้วยสีหน้านิ่งเรียบ แต่ขอบตากลับรู้สึกร้อน ๆ เหมือนน้ำตากำลังจะไหลออกมาอีกครั้ง
หลังจากผละออกจากตัวเขาแล้วกานต์แก้วมองดูเขาเต็ม ๆ ตาอีกครั้งแล้วถามว่า “มีอีกเรื่องหนึ่งที่หนูอยากจะรู้ไว้ก่อนไป...พี่ชื่ออะไรหรือคะ”
“ชื่อของพี่ก็คือ ‘ศิลา’”
“เป็นชื่อที่ฟังดูแข็งแกร่งดีจังเลยนะคะ” กานต์แก้วเอ่ยชมด้วยรอยยิ้ม และรอยยิ้มของเด็กคนนี้ไม่ว่าจะช่องเวลาไหนก็ยังคงเป็นรอยยิ้มที่สดใสอยู่ทุกครั้งที่เขาได้เห็นจริง ๆ “คงได้เวลาที่หนูต้องไปแล้ว จากนี้ถ้าพี่ศิลาไปแล้วไม่ต้องหันกลับมาอีกนะคะ” เธอตัดใจพร้อมส่งยิ้มให้เขาอย่างเข้มแข็งเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะจากไปตามทางของเธอ
“โชคดีนะกานต์แก้ว” ศิลาบอกตามหลังเธอไป
กานต์แก้วหันมาโบกมือให้ “พี่ชายก็ด้วยนะคะ”
แล้วทั้งคู่ก็ได้เวลาที่จะต้องแยกจากไปตามทางของตน ยมบาลที่เฝ้าประตูสองคนเปิดประตูบานใหญ่ของห้องออกให้กานต์แก้วผ่านเข้าไป ส่วนศิลาที่เดินกลับออกมาแล้ว แม้จะรู้สึกอาลัยผู้ที่อยู่ข้างหลังมากแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หันกลับไปทางกานต์แก้วอีกเลย
ผลงานอื่นๆ ของ เจ้าแก้วเจ้าคำ ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ เจ้าแก้วเจ้าคำ
ความคิดเห็น