[OS] See you again {ChanBaek}
19 กันยายน ทุกอย่างเกิดขึ้นวันนั้น... วันที่เปลี่ยนทุกอย่างไปตลอดกาล...
ผู้เข้าชมรวม
400
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
See You Again
....19 กันยายน.....
ทุกอย่างเกิดขึ้นวันนั้น
“แบคฮยอนคงดีใจนะถ้ารู้ว่านายไปหา”
“แบคฮยอน ฉันมาหาแล้วนะ”
#ฟิคสิบเก้ากันยา
Story by magnate_
Twitter : @mo_oming
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
See You Again
เสียงดังแหลมของนาฬิกาปลุกในช่วงเช้าโลดแล่นเข้าสู่โสตประสาท รบเร้าปลุกผมให้ตื่นจากภวังค์ที่ผมใช้เวลาร่วมกับมันมาราว 8 ชั่วโมงกว่าๆ ดึงความคิดที่ถูกควบคุมโดยจิตใต้สำนึกกลับมาสู่โลกแห่งความจริงที่ผมหรือไม่ว่าใครก็ต้องดำเนินชีวิตไปตามจุดหมายต่อไปเรื่อยๆบนโลกๆนี้
...แต่สำหรับคนบางคนเขาอาจจะมีชีวิตที่ดีบนโลกอื่นมากกว่าคนบนโลกใบนี้ก็ได้...
ผมได้ยินเสียงดังกรอบๆจากช่วงเอวเบาๆหลังจากที่บิดขี้เกียจไปประมาณสองสามที คนเราเมื่อแก่ตัวลงมันก็เป็นซะแบบนี้ ผมได้แต่คิดแบบนี้ในใจแต่ก็คงทำอะไรไม่ได้ ในเมื่อพระเจ้ากำหนดร่างกายของเราให้เป็นไปตามกลไกและอายุไขของมัน มนุษย์ปุถุชนธรรมดาอย่างผมก็มิอาจฝืนสิ่งที่พระเจ้าประทานมาให้ อายุการใช้งานของร่ายกายผมมันก็จะ 31 ปีมาแล้ว คงกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนกระบวนการของมันไปอีกรูปแบบหนึ่งตามระบบกลไกที่คงจะมีประสิทธิภาพต่างจากเมื่อก่อน
อ่า....แต่นี่ผมกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ สามนาทีผ่านไปท่านั่งของผมก็ยังเป็นท่าขัดสมาธิอยู่บนเตียงเหมือนเดิมไม่ต่างไปจากตอนที่เพิ่งตื่นเมื่อครู่ ผมสะบัดหัวไล่ความคิดเรื่อยเปื่อยนั้นให้ออกจากหัวจนเหลือแต่สิ่งที่ผมควรจะต้องทำตอนนี้ ก่อนจะยันร่างโย่งๆของตัวเองออกไปหยิบผ้าขนหนูแล้วลุกขึ้นไปทำภารกิจต่างๆในห้องน้ำต่อ
ผมปล่อยให้สายน้ำไหลผ่านร่างของผมไปเรื่อยๆเป็นสายสุดท้ายก่อนที่ผมจะหมุนปิดมัน ใช้ผ้าขนหนูเช็ดหยดน้ำที่เกาะอยู่ตามร่างกายแล้วเดินไปยังหน้ากระจก ใบหน้าและร่างที่เปียกหมาดๆปรากฏขึ้นสะท้อนกับร่างจริงที่ยืนอยู่ตรงกันข้าม มันทำให้ผมได้สังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวเองจากเมื่อปีก่อนๆ ชัดว่ามันดูโทรมลงนิดหน่อย แต่ก็เป็นไปตามช่วงอายุและสภาวะจิตใจที่ไม่ได้ดูแย่อะไรมาก
ก้าวออกจากห้องน้ำด้วยความรู้สึกที่ดีขึ้นกว่าเมื่อ 20 นาทีก่อน พาลสายตาของผมก็กวาดไปเห็นปฏิทินที่วางไว้ข้างๆหัวเตียง ที่มีเลขๆหนึ่งถูกแต้มด้วยปากกาสีแดงเป็นวงกลมอยู่รอบๆ
......19 กันยายน 2014.....
..........วันนี้ .........
ผมฉุกคิดอยู่ครู่หนึ่ง เพราะแน่นอนว่าถ้าวันใดวันหนึ่งถูกวงบนปฏิทินสำหรับผมแล้ว วันๆนั้นก็ต้องเป็นวันพิเศษ อันที่จริงผมก็ไม่ได้ลืมหรอกว่าวันนี้เป็นวันอะไร เพราะมันเป็นวันสำคัญ
วันสำคัญของผมและของเขา
ดังนั้นวันนี้ผมจึงเลือกชุดที่เขาบอกว่าผมดูดีที่สุดเวลาใส่มัน เพื่อไปพบเขา แม้แต่กลิ่นยาสระผม กลิ่นสบู่ หรือกระทั่งกลิ่นน้ำหอมของผมก็ใช้แต่กลิ่นที่เขาเลือกให้ มันทำให้ผมนึกถึงความพิถีพิถันเอาใจใส่ที่เขามอบให้กับผมเสมอ และนั่นเป็นเสน่ห์ที่ทำให้ปาร์คชานยอลตกหลุมรักแบคฮยอนเมื่อ 6 ปีก่อน
ผมจัดการกับร่างกาย เสื้อผ้า สิ่งของสัมภาระจำเป็นต่างๆให้เรียบร้อยก่อนออกมาจากห้องคอนโดของผม สำหรับแบคฮยอนแล้วเขาไม่ได้ชอบความหวือหวาที่จะต้องทำตัวหรืออะไรอลังการงานสร้างในวันสำคัญต่างๆ แค่ผมที่เป็นผมสบายๆเขาก็มีความสุขมากพอแล้ว นั่นคือสิ่งที่เขาเคยบอกกับผม แต่ผมก็อยากทำให้เขาได้เห็นสิ่งที่เขาพอใจในแบบที่เขาชอบ และผมก็ยินดีที่จะทำไม่ว่าจะเป็นวันพิเศษหรือไม่ก็ตาม
ขาของผมก้าวเข้าไปในร้านดอกไม้เล็กๆไม่ใกล้ไม่ไกลจากคอนโดของผมนัก ผมมักจะมาซื้อดอกไม้ที่นี่อยู่เป็นประจำ จนสนิทสนมกับพี่ลู่หานเจ้าของร้านดอกไม้นี้ และได้คุยกันบ่อยๆ
“อ่าว วันนี้เถ้าแก่มาลงงานเองเลยหรอครับ” นั่นคือคำทักทายที่ผมแอบกระเซ้าเจ้าของร้านดอกไม้นี่นิดหน่อย
“ใช่ ลูกน้องมันหยุดงานน่ะ”
“ถ้างั้นผมรบกวนเถ้าแก่จัดช่อดอกลิ....”
“จัดช่อดอกลิลลี่สีขาวแซมดอกสแตติสให้หน่อย” ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรพี่ลู่หานเขาก็พูดทุกอย่างที่ผมกำลังจะบอกพอดี
“ใช่ครับ พี่จำได้ด้วยหรอ”
“จำได้สิ แค่นายพะงาบปาก ฉันก็รู้แล้วว่านายจะเอาดอกอะไรบ้าง นายมาร้านพี่ตั้งกี่รอบแล้วชานยอล” พี่ลู่หานพูดแล้วมองมาทางผมพร้อมขมวดคิ้วทำหน้ายุ่งใส่ผมนิดๆ
“นั่นสิ งั้นขอสวยๆเลยนะครับพี่”
“เออ รู้แล้วน่า แต่อาจไม่สวยเท่าลูกน้องมันจัดนะ”
“เถ้าแก่มาลงมือทำให้ขนาดนี้ ผมไม่ห่วงหรอก”
“โอเค งั้นรอแป๊บนึง” พอพูดจบร่างบางๆก็ฟุบหายเข้าไปหลังร้าน พริบตาเดียวพี่ลู่หานก็ออกมาพร้อมอุปกรณ์จัดช่อดอกไม้ต่างๆรวมทั้งดอกลิลลี่สีขาวและดอกสแตสติสด้วย
ดอกลิลลี่สีขาวและดอกสแตสติสเป็นดอกไม้ที่แบคฮยอนชอบ แบคฮยอนเคยบอกผมว่าดอกลิลลี่สีขาวเป็นตัวแทนของรักบริสุทธิ์ รักที่อ่อนหวานและจริงใจ ส่วนดอกสแตนติสคือตัวแทนของรักที่มั่นคงและยั่งยืน ผมจึงอยากมอบช่อดอกไม้ทั้งสองดอกนี้แก่แบคฮยอนเพื่อหวังให้เขารับรู้ถึงสิ่งที่ผมพร่ำมอบให้แก่เขาเสมอนั่นก็คือ รัก รักของผมอาจจะไม่ใช่รักที่หวือหวา รักของผมอาจจะไม่ใช่รักที่ตื่นเต้น แต่รักของผมคือสิ่งที่ผู้ชายคนนึงจะสามารถมอบให้คนรักของเขาได้ รักที่เป็นรักบริสุทธิ์ รักที่จริงใจ และเป็นสิ่งที่ผมอยากจะมอบให้กับแบคฮยอนตลอดไป
ใช้เวลาเพียงห้านาทีนิดๆ พี่ลู่หานก็สามารถสามารถสรรค์สร้างช่อดอกไม้ที่ผมคิดว่าสวยที่สุดช่อนึงที่ผมเคยใช้บริการจากร้านนี้ แล้วส่งมอบมันต่อมาให้ผม
“อ่ะนี่ เสร็จแล้ว หวังว่าจะสวยถูกใจนะ”
“ขอบคุณมากครับพี่” ผมรับมันมาจากพี่ลู่หานและพยายามทะนุถนอมมันที่สุด
“แล้วนี่จะไปหาแบคยอนใช่มั้ย”
“ครับ” ผมไม่ค่อยตกใจคำถามนั้นจากพี่ลู่หานเท่าไหร่ ว่าทำไมพี่ลู่หานถึงรู้ว่าผมจะไปหาแบคฮยอน เพราะพี่ลู่หานเองก็พอจะรู้ว่าช่อดอกไม้นี้เป็นของใคร พี่เขาจึงทำให้ผมเป็นแบบพิเศษเสมอ เพราะเขาเองก็รู้จักแบคฮยอนและนับว่าแบคฮยอนเป็นน้องชายคนหนึ่งเหมือนกัน
“แบคฮยอนคงดีใจนะถ้ารู้ว่านายไปหา”
ได้ยินแบบนั้น ผมก็ไม่ได้ตอบอะไรพี่ลู่หานกลับเป็นคำพูด เพียงแต่ส่งยิ้มจางๆเป็นการตอบกลับไปแทน พร้อมจ่ายเงินค่าดอกไม้ก่อนออกจากร้านไป
ผมกำลังขับรถไปยังจุดหมายที่ผมจะไปเจอกับแบคฮยอน บนถนนเล็กๆที่มีรถราวิ่งแล่นไม่มากนัก วันนี้เป็นเหมือนวันๆหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน
เป็นวันเดิมที่ไม่เหมือนเดิม
19 กันยายน 2010
“ตุบๆๆๆ” ผมกำมือทุบบนหน้าอกด้านซ้ายของตัวเองพร้อมกับลูบมันไปมา ปล่อยลมหายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อลดอาการตื่นเต้นจนได้ยินเสียงหัวใจให้ผ่อนคลายลง ตอนนี้ผมยืนโดดเดี่ยวอยู่ชั้นบนสุดของโรงแรมที่มองจากตรงนี้แล้วสามารถเห็นโซลที่ประดับไปด้วยแสงไฟยามค่ำคืนได้ทั้งเมือง
แต่อีกสักพักผมจะไม่โดดเดี่ยวอีกแล้ว เพราะผมมีนัดสำคัญกับใครบางคน
คนที่จะทำให้ผมไม่โดดเดี่ยวตลอดไป
ผมจัดคอปกเสื้อและจับเข็มขัดกางเกงให้เข้าที่ ชุดนี้เป็นชุดที่เขาบอกว่าผมดูดีที่สุดเวลาใส่มันด้วยล่ะ วันนี้ผมเลยตั้งใจแต่งมันออกมาพบเขา น้ำหอมผมก็ใช้กลิ่นที่เขาเลือกให้ ตอนนี้ผมรู้สึกประหม่ามากๆแต่พยายามจะกดมันไว้ไม่ให้แสดงอาการออกมาเท่าที่ควร ทั้งที่ผมพบเขาออกจะบ่อยเหลือเกิน อาการแบบนี้มันก็เคยมีตอนที่เจอเขาแรกๆนั่นแหละ แต่ก็นะเพราะวันนี้คือวันพิเศษไง เป็นวันที่ผมจะทำให้มันเป็นวันที่วิเศษสุดๆสำหรับผมและเขาเลยแหละ
ผมมองช่อดอกลิลลี่และสแตติสในมือด้วยสายตาเดียวกันกับเวลาที่ผมใช้มองแบคฮยอน แบคฮยอนเคยบอกว่าชอบดอกไม้ทั้งสองดอกนี้มากๆ และความหมายของมันยังดีอีกด้วย
“โอ๊ะ ชานยอล มาแล้วหรอ” เสียงเรียกนั้นทำให้ผมหันหลังกลับไปยังที่มาของมัน ร่างเล็กๆที่แสนจะคุ้นเคยของใครบางคนปรากฏขึ้นต่อหน้า เรียกรอยยิ้มของผมให้มาป้ายอยู่บนใบหน้าอย่างไม่รู้ตัว
“อือ”
“ขอโทษนะที่มาสาย” ร่างเล็กส่งยิ้มแหยๆกลับมาพร้อมกับเกาหัวเกาคออย่างเก้อๆ ภาพแบบนี้ช่างเป็นภาพที่ผมชอบจริงๆเวลาเขาเขินอายเนี่ย
“อืม ไม่เป็นไรหรอก ฉันก็มาก่อนนายแป๊บเดียวเอง” ผมส่งยิ้มที่เป็นยิ้มที่กว้างกว่าเดิมไปให้เขา จนเขาก็ยิ้มออกมาจนตาหยีเหมือนกัน
“แล้วนี่นัดฉันออกมาที่นี่ทำไมหรอ”
ไม่ได้ตอบอะไรกับคำถามของเขาแต่เอื้อมมือไปจับข้อมือเล็กๆนั้นแทน ผมพาเขาไปยังจุดที่สามารถมองเห็นวิวของโซลในค่ำคืนนี้ได้ชัดที่สุด
เป็นค่ำคืนที่ผมสามารถเห็นความงดงามของแสงสว่างส่องประกายรอบๆตัวผมได้อย่างไม่มีที่ติ รวมถึงแสงที่เปล่งประกายที่สุดข้างๆผมด้วย
“นายเคยบอกฉันว่าอยากมาที่นี่ใช่มั้ย” ผมถามออกไปทั้งๆที่ยังมองไปข้างหน้า ตอนนี้ความรู้สึกประหม่าเริ่มกลับมาอีกแล้ว ใจของผมเริ่มเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง แต่พยายามควมคุมให้เป็นปกติ ไม่ให้แบคฮยอนสังเกตเห็นอาการเหล่านั้นเข้า
ดูเหมือนว่าแบคฮยอนจะตื่นตาตื่นใจกับวิวของโซลมากจนไม่ได้สังเกตเสียงสั่นๆของผมเมื่อครู่ ตอนนี้ตาเล็กๆสองดวงนั่นเบิกกว้างและเป็นประกายวิบวับกว่าครั้งไหนๆ
“ใช่ ฉันอยากมาที่นี่” แบคฮยอนตอบพร้อมพยักหน้ารัวๆเหมือนเด็กที่เจอของเล่นถูกใจ
“วันนี้ได้มาแล้วนะ” หันไปหาคนตัวเล็กที่ยังคงตื่นตาตื่นใจกับสิ่งต่างๆโดยไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้ผมกำลังขยับเข้าไปใกล้จนช่องว่างระหว่างเราทั้งคู่เหลือเพียงไม่ถึงคืบ
“ขอบคุณมากนะชานยอ..” เสียงของแบคฮยอนขาดหายไปช่วงนึงตอนที่เขากำลังจะหันมาขอบคุณผม แต่จมูกของเราดันชนกัน
ทั้งจมูกและหน้าผากของเราทั้งสองแนบชิบติดกันจนแทบหาพื้นที่ให้อากาศเข้าไปแทรกไม่ได้ เหลือเพียงริมฝีปากที่ยังคงห่างกันอยู่ไม่ถึงสิบเซ็นติเมตร
พวกเราทั้งคู่ต่างนิ่งกันไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ผมจะผละออกจากเขา ผมแอบเห็นหน้าเหวอๆและท่าทางลนลาน จนแก้มขึ้นฝาดของอีกฝ่าย
“อ่า..ฉันก็เคยอยากมาที่นี่นะ” ผมพูดออกมาทำลายความเงียบและบรรยากาศแหม่งๆระหว่างเราทั้งสองคน พลันสายตาก็มองออกไปยังวิวข้างล่างเหมือนเดิม
“จริงหรอ นายไม่เคยเห็นบอกฉันเลยนิ” เขาถามออกมาด้วยสีหน้าตื่นๆจากเมื่อครู่
“อืมใช่ ฉันไม่เคยได้บอกนาย”
“....”
“เพราะเมื่อก่อนฉันเคยคิดว่าที่นี่มันวิเศษมาก วิเศษเกินไปสำหรับผู้ชายธรรมดาๆอย่างฉัน ก็เลยไม่มีโอกาสได้ขึ้นมาที่นี่”
“....”
“แต่ตอนนี้ฉันคิดว่าไม่แล้วล่ะ” ผมพูดพลางหันไปให้ผมได้สบตากับเขาแบบจังๆ
“เพราะสิ่งที่วิเศษที่สุดกว่าการมายืนบนนี้ คือการได้ยืนข้างนาย”
“ฉันรักนายนะแบคฮยอน”
“ฉันก็รักนายชานยอล”
หลังจากเอ่ยคำพูดเหล่านั้นพวกเราก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก ผมมอบช่อดอกลิลลี่และดอกสแตติสที่เขาเคยบอกว่าชอบให้กับเขา ก่อนปล่อยให้ความเงียบ สายลม และแสงไฟนำพาพวกเราไปในแบบที่มันควรจะเป็น ให้ความเงียบทำให้เราได้รำลึก ให้สายลมพัดพาจนเราได้ซึมซับ ให้แสงไฟสาดส่องจนเราอบอุ่น ให้บรรยากาศและความรู้สึกภายในค่ำคืนนี้อยู่เหนือทุกสิ่ง
เราใช้เวลาอยู่ด้านบนนั้นด้วยกันประมาณชั่วโมงกว่าๆ ก่อนจะลงมายังด้านล่างเพื่อไปส่งแบคฮยอน ตอนนี้เราเดินออกมาจากตัวโรงแรมแล้ว แต่จู่ๆคนตัวเล็กก็หยุดชะงักตอนที่เราข้ามถนนไปยังอีกฝั่งของตัวอาคารและกำลังจะขึ้นรถ ผมเลิกคิ้วข้างนึงขึ้นเป็นการถาม พลางมองสำรวจแบคฮยอนไปด้วยจึงเข้าใจ
“ขอโทษนะชานยอล ฉันลืมดอกไม้นายไว้ข้างบนน่ะ” แบคฮยอนพูดด้วยท่าทางลนลานและทำหน้าเหมือนจะร้องไห้มาทางผม
“ฉันขอกลับไปเอาก่อนนะ” ผมพยักหน้าให้เป็นคำตอบ จากนั้นร่างเล็กๆก็วิ่งหายเข้าไปยังตัวอาคารอีกครั้ง
นิ้วมือยาวๆของผมกำลังปัดป่ายหน้าจอโทรศัพท์ไปเรื่อยๆอยู่ในรถเพื่อรอให้แบคฮยอนกลับลงมาหลังจากไปเอาช่อดอกไม้ทางด้านบน ผ่านไปประมาณห้านาทีแล้วแบคฮยอนก็ยังไม่ลงมา เป็นอะไรไปเข้ารึเปล่านะ หรืออาจจะแวะเข้าห้องน้ำด้วย
ครู่หนึ่งผมได้ยินเสียงดังวุ่นวายจากทางด้านนอก ผมจึงละสายตาจากวัตถุทรงแบนนั่นแล้วเงยหน้าขึ้นเพื่อดูสถานการณ์ สิ่งที่ปรากฏให้ผมเห็นอยู่ตรงหน้านี้ เหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหนัง คนจำนวนมากพากันวิ่งกรูออกมาจากโรงแรม ต่างคนต่างวิ่งกันแบบไม่คิดชีวิต ทุกคนมีสีหน้าตื่นตระหนก เกิดความโกลาหลวุ่นวายอยู่ทางด้านล่าง มีทั้งคนล้ม คนเจ็บ แต่ไม่มีใครคิดจะใส่ใจ ทุกคนวิ่งเพื่อแย่งกันออกจากตัวตึก สภาพเหมือนซอมบี้วิ่งไล่ล่ากับมนุษย์ในภาพยนตร์ แม้กระทั่งคนที่ใส่ชุดพนักงานของที่นี่ก็พากันหนีออกมาไม่ต่างจากลูกค้า ผมสับสนไปหมดว่าสิ่งที่ผมเห็นตรงหน้านี้มันคืออะไร มันเกิดอะไรขึ้น แล้วตอนนี้แบคฮยอนอยู่ที่ไหน
แต่กลุ่มเขม่าควันดำๆกลุ่มใหญ่ เปลวไฟที่ลุกโชนทางด้านบน รวมถึงเสียงหวอของรถดับเพลิงเป็นคำตอบให้กับผม
โรงแรมกำลังไฟไหม้!!!!
เมื่อผมเรียบเรียงเหตุการณ์ได้ ใจของผมก็หล่นวูบ สติที่กำลังพยายามจะควบคุมก็แตกกระเจิง รู้สึกจุกจนหายใจไม่ออก เหมือนกำลังถูกดูดเข้าไปในหลุมดำ ทุกอย่างมืดมิดไปหมด แบคฮยอนอยู่ในนั้น!! สิ่งที่ผมต้องทำคือไปช่วยเขาออกมา
ผมรีบก้าวลงจากรถ แล้ววิ่งไปยังด้านหน้าของโรงแรม พยายามจะเข้าไปในตัวตึก แต่ตอนนี้พนักงานดับเพลิงได้กั้นประตูทุกประตูไว้หมดแล้ว
“เข้าไม่ได้นะครับคุณ!!”
“แบคฮยอน!!แบคฮยอนอยู่ไหนนั้น!!ผมจะไปช่วยแบคฮยอน” ตอนนี้สิ่งเดียวที่อยู่ในหัวผมคือแบคฮยอน ผมจะไปช่วยเขา
“ไม่ได้นะครับ” ผมพยายามจะเข้าไปในประตูของโรงแรมแต่พนักงานดับเพลิงจำนวนมากก็เข้ามาดึงตัวผม ผมออกแรงสะบัดทุกอย่างที่เข้ามาขวางผมตอนนี้ให้หลุดให้หมด ผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ตอนนี้ผมจะเข้าไปช่วยแบคฮยอน อะไรก็เข้ามาขวางผมไม่ได้
“ไม่ ผมจะเข้าไป!! ผมจะเข้าไป!!” ร่างกายของผมถูกแรงบีบเค้นจากนักดับเพลิงที่เข้ามาห้ามจนระบมไปทั้งร่าง ผมออกแรงสะบัดจนสุดก็ไม่สามารถหลุดพ้นพันธนาการจากพวกเขาได้
“แบคฮยอนอยู่ในนั้น!! ไม่ได้ยินรึไง!! แบคฮยอนอยู่ไหนนั้น!!” ตะวาดเสียงออกไปดังลั่นอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้
“แต่ยังไงคุณก็เข้าไปไม่ได้!!”
“ผมจะไปช่วยแบคฮยอน ปล่อยผม!! ปล่อย!!”
“ตอนนี้ทางเรากำลังดับเพลิงด้านบนอยู่ และกำลังจะช่วยคนออกมา คุณช่วยมีสติหน่อยครับคุณ!!” คำพูดเหล่านั้นเหมือน้ำเย็นๆที่สาดมาใส่ผม ผมรู้สึกชาไปทั้งร่าง เรี่ยวแรงที่ผมมีกลับหายไปจนไม่เหลือให้แม้แต่ทรงตัว
เข่าทั้งสองข้างของผมทรุดปักลงกับพื้น น้ำตาที่คลออยู่ที่เบ้าเอ่อล้นปะทุออกมาอย่างหยุดไม่อยู่ ความรู้สึกของผมตอนนี้เหมือนกำลังมอดไหม้ไปกับเปลวไฟทางด้านบน ผมร้องไห้ออกมามากจนสะอื้นอย่างไม่รู้ตัว
“แบคฮยอน..ฮึก..เขาอยู่ข้างใน..ฮึก..แบคฮยอน” เสียงสะอื้นที่ดังอยู่ในหัวทำให้ผมรู้สึกสมเพชตัวเองที่ผมไม่สามารถทำอะไรได้ ได้แต่ร้องไห้ออกมาอย่างคนขี้ขลาด เป็นเพราะผมแบคฮยอนถึงต้องเข้าไปในนั้น เป็นเพราะผม มันคือความผิดของผม
ทั้งๆที่วันนี้ผมจะทำให้มันเป็นวันที่ดีที่สุดสำหรับผมและเขา แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันกลับตาลปัตรไปหมด
“แบคฮยอน..ฮึก..แบคฮยอน..นายต้องรอด..กลับมาหาฉันเถอะนะ” ผมนั่งร้องไห้ตรงนั้นอยู่ที่เดิม ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาพักหายใจ เอาแต่เรียกชื่อของแบคฮยอนอยู่ซ้ำๆ บอกให้เค้าต้องรอดเป็นร้อยหน จนทุกอย่างเข้าสู่ความมืดแบบที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว
ผมลืมตาขึ้นรู้สึกหนักหัวและปวดที่ตาไปหมด ภาพที่ผมเห็นเป็นเพดานของห้องๆหนึ่งที่ผมไม่คุ้นชิน ผมจึงกวาดสายตาไปรอบๆจึงพบกับคำตอบ ว่าตอนนี้ผมกำลังนอนอยู่ที่โรงพยาบาล และได้มารับรู้ข่าวที่หลังว่าผมร้องไห้หนักจนหมดสติไปตอนนั้น
กับอีกข่าวนึงที่จะฝังอยู่ในใจผมตลอดไป
ช่อดอกลิลลี่สีขาวแซมด้วยดอกสแตติสค่อยๆถูกวางลงด้านหน้ารูปภาพของแบคฮยอน
บยอนแบคฮยอน
06/05/1983-19/09/2010
“แบคฮยอน ฉันมาหาแล้วนะ”
-END-
#ฟิคสิบเก้ากันยา
TALK :
โฮรรรร ในที่สุดเราก็สามารถแต่งฟิคจบได้เป็นเรื่องแรกค่ะ TT.TT ถึงจะเป็น OS ก็เถอะ - - สิบเก้ากันยาเป็น OS เรื่องแรกของเราเลย แล้วก็เป็นเรื่องแรกที่เราให้ตัวละครเป็นคนเล่าเรื่องด้วย เพราะฉะนั้นภาษาอาจจะแปลกๆหน่อยนะคะ แต่เราพยายามปรับให้สมูทสุดความสามารถเท่าที่แม็กเนทจะทำได้ค่ะ และจะพยายามพัฒนางานไปเรื่อยๆในเรื่องถัดๆไปนะคะ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมากๆเลยนะคะ ขอบคุณมากจริงๆค่ะ กราบบบ ยังไงก็เป็นกำลังใจเล็กๆน้อยๆให้เราด้วยการเม้นหรือที่แท็ก #ฟิคสิบเก้ากันยา ได้เลยน้า ขอบคุณค่ะ
-แม็กเนท-
ผลงานอื่นๆ ของ magnate_ ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ magnate_
ความคิดเห็น