คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : อารยธรรมโรมัน:การปกครองของโรม 100%
การปกครองของโรม แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ
1.สมัยสาธารณรัฐ (509-27 B.C.) เริ่มตั้งแต่ 509 ปีก่อนคริสตกาล คือดรมสามารถขจัดกษัตริย์อีทรัสกันและสถาปนาการปกครองแบบสาธารณรัฐขึ้น ระบอบสาธารณรัฐสิ้นสุดลงใน 27 ปีก่อนคริสตกาล
2.สมัยจักรวรรดิ (27 B.C.- ค.ศ. 476) เริ่มตั้งแต่สมัยจักรพรรดิออกุสตุส ได้สถาปนาเป้นจักรพรรดิองค์แรกในปี 27 ปีก่อนคริสตกาล และสิ้นสุดเมื่อจักรวรรดิโรมันทางภาคตะวันออกตกถึงแก่ความพินาศในค.ศ. 476
สมัยสาธารณรัฐ
อาจกล่าวได้ว่าเป็นปัจจัยสำคัยของชาวโรมันรับเอาการปกครองแบบสาธารณรัฐมาใช้ คือ ความบีบบังคับที่เคยได้รับครั้นเมื่ออยู่ภายใต้การปกครองพวกอีทรัสกัน ซึ่งโรมอยู่ภายใต้ระบบกษัตริย์ซึ่งเป็นประมุขทางการทหาร การปกครองและศาสนา มีอำนาจสูงสุดในการตรากฎหมาย โดยบุคคลเดียวมีสิทธิ์เด็ดขาดทุกอย่าง อาจด้วยความรังเกียจในการปกครองดังกล่าว เมื่ออิสระจึงใช้ระบบสาธารณรัฐขึ้นปกครอง
คำว่า “Republic” มาจากภาษาละติน 2 คำ res + public หมายความว่า “ประชาชน” แต่การปกครองสาธารณรัฐของโรมสมัยแรกๆ ประชาชนยังไม่มีอำนาจในการปกครองอย่างแท้จริง เพราะอำนาจยังอยู่ในมือชนชั้นสูง ต่อมาเมื่อมีการขยายอิทธิพลของโรมัน ราษฎรส่วนใหญ่จึงมีสิทธิมีเสียงในการปกครอง การปกครองแบบสาธารณรัฐจึงเริ่มตรงความหมายดังกล่าว
โดยในสมัยสาธารณรัฐประกอบไปด้วยคน 2 กลุ่ม พวกแพททรีเซียน (patrician) ซึ่งเป็นชนชั้นสูงที่มั่งคั่งและเป็นเจ้าของที่ดิน กับ พวกพลีเบียน (Plebeian) ซึ่งเป็นราษฎรส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยคนชนชั้นกลางมีฐานะ เช่น เจ้าของที่ดิน พ่อค้า ช่างฝีมือ และเจ้าของร้านค้า ชาวนารายย่อยและแรงงาน
พวกแพททรีเซียนและพวกพลีเบียนเป็นราษฎรโรมัน(Citizen) มีสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้งและมีหน้าที่ในการเสียภาษีและเป็นทหารของสาธารณรัฐโรมัน อย่างไรก็ตามพวกพลีเบียนไม่สามารถดำรงตำแหน่งต่างๆในรัฐบาลได้
องค์การปกครองสาธารณรัฐโรมัน ประกอบไปด้วย
1.กงสุล (Consul) เป็นประมุขของฝ่ายบริหาร มีจำนวน 2 คน ซึ่งเป็นพวกแพทรีเซียนที่มาจาการเลือกตั้งโดยสภาซีเนต มีอำนาจเท่าเทียมกัน อยู่ในตำแหน่งวาระละ 1 ปี กงสุลทั้งสองสามารถปรึกษาซึ่งกันและกันและสมารถหยับยั้ง (veto) ซึ่งกันและกันได้ คำว่า “veto” ในภาษาละตินแปลว่า “I forbid you” (ข้าพเจ้าขอห้ามท่าน) ในยามสงครามหรือยามฉุกเฉินจะมีการแต่งตั้งผู้เผด็จการ (Dictator) เพียงคนเดียว เป็นผู้นำในการบริหาร อยู่ตำแหน่งได้ไม่เกิด 6 เดือน
2.สภาซีเนต (Senate) ประกอบไปด้วยสมาชิก 300 คน โดยเลือกจากพวกแพททริเซียน และดำรางตำแหน่งตลอดชีพ มีหน้าที่ให้คำแนะนำปรึกษาแก่งกงสุล (Consul) พิจารณานโยบายต่างประเทศ เสนอกฎหมาย และอนุมัติงบประมาณการก่อสร้างและป้องกันสาธารณรัฐ
3.สภาราษฎร (Assembly of Citizens) ประกอบไปด้วยราษฎรโรมันทั้งแพททรีเซียนและพวกพลีเบียน มีหน้าที่แต่งตั้งกงสุลและผู้บริหารอื่นๆ รับรองกฎหมายที่เสนอโดยสภาวีเนต และทำหน้าที่ตัดสินกรณีพิพาทที่สำคัญๆ
องค์ทั้งสามทำงานอย่างคานอำนาจซึ่งกันและกัน มิให้องค์ใดมีอำนาจสูงสุด แต่เพียงฝ่ายเดียว อย่างไรก็ตาม อำนาจในการปกครองที่แท้จริงอยู่ที่สภาซีเนต สามารถยังยั้งสภามติของราษฎรควบคุมการคลัง การต่างประเทศ การประกาศสงครามและตัดสินคดี นดยบายสภาซีเนตส่วนใหญ่เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของแพทรีเซียน
การเปลี่ยนแปลงการเมืองการปกครองของโรมเริ่มขึ้นเมื่อมีความมั่งคั่งทางการค้ามีผลทำให้พวกพ่อค้า นักธุรกิจ แรงงาน เรียกร้องความเสมอภาคทางการเมืองจากพวกแพทรีเซียน การทำสงครามเพื่อขยายอาณาเขตของโรมเพิ่มอำนาจการต่อรองระหว่างพวกแพททรีเซียนและพวกพลีเบียนที่ยากจน เพราะพวกนี้ไม่ยอมเป้นทหารในกองทัพและพยามตั้งสาธารณรัฐของตนเอง นำไปสู่การต่อสู้แย่งชิงอำนาจทางการเมือง
ในที่สุดพวกพรีเบียนมีสภาของตนเองชื่อวา “สภาเผ่าพันธุ์”(Assembly of Tribes) หรือสภาประชาชน มีหน้าที่เลือกตัวแทน 2 คน เข้าไปในสภาซีเนตเพื่อรักษาผลประโยชน์ของพวกตน ในปี 451 ก่อนคริสตกาล มีการร่างกกหมายเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นครั้งแรก ระบุสิทธิและหน้าที่ของพวกแพทรีเรียนและพลิเบียนว่า “กฎหมายสิบสองโต๊ะ” (Law of Twelve table) เนือดจาดจารึกบนแผ่นสำริด 12 แผ่น นับเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ในการต่อสู้เพื่อสิทธิทางการเมืองของพวกพลีเบียน และพื้นฐานของกฎหมายดรมันในสมันต่อมา ทำให้พวกพลีเบียนสามรถดำรงตำแหน่งสำคัญๆได้ แต่มรพลีเบียนจำนวนไม่มากนักที่จะดำรงตำแหน่งเหล่านี้ได้ เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่ไม่มีเงินเดือนตอบแทนอย่างไรก็ตามนับเป็นก้าวที่สำคัญนำไปสู่สิทธิในการออกกฎหมายในสภาประชาชนในปี 287 ก่อนคริสตกาล การปกครองโรมในสมัยนี้จึงเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคนกลุ่มน้อยมาเป็นลักษณะประชาธิปไตยมากขึ้นกว่าเดิม
การปกครองรูปแบสาธารณรัฐของโรมมีความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมทางดินแดนของโรมนั้น กล่าวคือมีอาณาบริเวณและประชากรอยู่ไม่มากนัก แต่เมื่อโรมชยาดินแดนเพื่อปกครอง ซึ่งผู้คนต่างชาติ ต่างภาษา ต่างขนบธรรมเนียมประเพณี กระจายในอาณาบริเวณที่กว่างใหญ่ จึงต้องเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองในแบบจักรวรรดิโดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป้นประมุขสูงสุด สถาบันการเมืองคงทำหน้าที่แต่เพียงนามเท่านั้น
ประกอบไปด้วยการปกครองแบบประชาธิปไตยของโรมมีความเสื่อมลง ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมได้ เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน ประชาชนเสื่อมความนิยมโดในรัฐบาล หันไปสนใจพวกแม่ทัพนายกองที่มีชื่อเสียงที่นำชัยชนะมาสู่โรม การแก่งแย่งอำนาจของพวกนายทัพและความอ่อนแอของสภาซีเนตทำให้ออกเตเวียน ซีซาร์ (Octavian Caesar) ได้ขึ้นมาเป็นผู้เผด็จการแต่ผู้เดียว ในปี 27 ปีก่อนคริสตกาล
สมัยจักรวรรดิ
เมื่ออกุสตุสขึ้นเป็นจักรพรรดิ ได้ดำเนินรอยตามจูเลิส ซีซาร์ ในการปกครองคือรวบอำนาจมาอยู่ทีพระองค์ ระบอบสาธารณรัฐจึงค่อยๆสลายตัวมาเป็นระบอบกษัตริย์ จักรพรรดิที่ครองต่อออกุสตุสได้ส่งเสริมฟื้นฟูธรรมเนียมศาสนา มีการบูชาจักรพรรดิเยี่ยงเทพเจ้า
ความเจริญรุ่งเรืองของโรมันระยะที่ 2 ศตวรรษแรกในช่วง 27 ปีก่อนคริสตกาล – ค.ศ. 180 เรียกว่าสมัยสันติภาพโรมัน เป็นช่วงมีความสงบ ปราศจากสงครามใหญ่ และตามด้วยยุคทองของจักรวรรดิ โรมัน ระหว่าง ค.ศ. 96 – ค.ศ. 180 เป็นช่วงที่จักรวรรดิปกครองเป็นอย่างดีในทุกชนชาติ ทุกภาษาติดต่อกันจนถึง 5 พระองค์ ทำให้โรมมีความเจริญในด้านต่างๆ
จนถึง ค.ศ. 476 จักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลายจาการที่อานารยชนเผ่าเยอรมันโค่นล้มจักรวรรดิโรมันและครองอิตาลีทั้งหมด แต่พวกนี้ยอมรับเอาอารยธรรมของโรมันหลายอย่าง เช่น ภาษาละติน กกหมาย และคริสต์ศาสนา ขณะเดียวกันจักรวรรดิดรมันตะวันออกมีศูนยืกลางอยุ่ที่คอนสแตนติโนเบิล (Constantinople) หรือ อสตันบูล (Istanbul) ปัจจุบันไม่ถูกรุกรานจากอานารย ได้ยั่งยืนต่อมาเป็นศูนย์กลางของอารยธรรมกรีกแบบเฮเลนนิกติส ที่มีอิทธิพลเข้ามาแทนที่อารยธรรมโรมันจนสิ้นสุดยุคกลาง (Middle age) เมื่อพวกออตโตมันเนอร์ที่นับถืออืสลามรุกรานในตอนกลางคริสต์วรรษที่ 15
ความคิดเห็น