เที่ยวบิน KLO877 มุ่งหน้าสู่ประเทศไต้หว้น (Intern.) - เที่ยวบิน KLO877 มุ่งหน้าสู่ประเทศไต้หว้น (Intern.) นิยาย เที่ยวบิน KLO877 มุ่งหน้าสู่ประเทศไต้หว้น (Intern.) : Dek-D.com - Writer

    เที่ยวบิน KLO877 มุ่งหน้าสู่ประเทศไต้หว้น (Intern.)

    เที่ยวบิน KLO877 มุ่งหน้าสู่ประเทศไต้หว้น (Intern.) Written By : Mynameismed Med

    ผู้เข้าชมรวม

    762

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    762

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  24 ส.ค. 54 / 19:59 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
             อรุณสวัสดิ์ยามเช้า ณ เมืองไทเป ประเทศไต้หวัน ครับ  

             
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ



                     
                

       



      Part I - เที่ยวบิน KLO877 มุ่งหน้าสู่ประเทศไต้หว้น
       

      จริงๆแล้ว ผมขอออกตัวก่อนว่าการไปฝึกงานต่างประเทศครั้งนี้้ ผมขอใช้คำว่า “บังเอิญ”  บังเอิญที่ว่านี้คือการที่ไม่ได้ฝึกงานในไทย คือตอนแรกตั้งใจไว้ที่จะหาสถานที่ฝึกงานเฉยๆ และก็อยากพัฒนาตัวเอง เพราะรู้สึกเริ่มโตแล้ว เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแล้ว ก็อยากที่จะพัฒนาตัวเองบ้าง ตอนนั้นก็คิดแค่นั้น แล้วก็ไปกรอกใบสมัครต่างๆเรียบร้อยแล้ว หนึ่งในสาขาที่ที่จะไปฝึกงาน คือ ฝึกด้านการตลาดดนตรี (เป็นความชอบส่วนตัวด้วย และไม่อยากอยู่ว่างๆเฉยๆในช่วงซัมเมอร์)  จึงมีอยู่วันหนึ่ง ได้รับเสียงโทรศัพท์จากปลายทางว่า “เป็นเลขาส่วนตัวของคุณบัณฑิต อึ่งรังษี (วาทยกรชาวไทยระดับโลก) ว่าให้ไปสัมภัษณ์งานกับคุณบัณฑิต อึ่งรังษีโดยตรง”  ซึ่งผมก็รตอบรับและไปตามนัด เพราะจะได้เรียนรู้งานจากผู้มีประสบการณ์ด้านดนตรีโดยตรง แล้วในที่สุดผมก็เจอคุณบัณฑิต อึ่งรังษี (วาทยกรชาวไทยระดับโลก) อย่างจังครับ พอเดินเข้าไปที่ห้องทำงานของคุณบัณฑิต ผมก็ออกแนวเขินๆเพราะทำอะไรไม่ถูก ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะอะไรหรอกครับ เพราะพี่บัณฑิตเค้าเป้นไอดอลในใจของผมครับ เคยได้ดูในรายการสัมภาษณ์ทางทีวี รู้สึกว่าพี่คนนี้เป็นนักดนตรีที่เก่งมากและก็สามารถสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆให้กับคนไทยที่ว่า “คนไทย ไม่แพ้ชาติใดในโลก”   แต่ฟ้าฝนไม่เป็นใจ เพราะการเดินทางค่อนข้างไกล แถมรถติดมากเสียด้วย ผมจึงต้องตัดสินใจเปลี่ยนที่ฝึกงานใหม่  ครั้งนั้นที่ผมเข้าไปสัมภาษณ์กับคุณบัฑฑิต   ก็คิดไม่ผิดเลยทีเดียวครับ เพราะเค้าก็ได้ให้คำแนะนำต่างๆในการทำงานเกี่ยวกับด้านดนตรี รวมทั้งการใช้ชีวิต ได้ข้อคิดดีมากๆเลยทีเดียวครับ 
                  วกกลับมาเข้าเรื่อง ผมจึงเล็งหาที่ฝึกงานใหม่  และมีอยู่วันหนึ่งได้พบกับเพื่อนชื่อ “ แป้ง”Charmy Dolly เป็น Member Committee President ขององค์กรสโมสรหนึ่ง “ไอเซค” หรือ “สมาคมฝึกงานระหว่างประเทศ” โดยองค์กรนี้ไม่แสวงหาผลประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น และฝึกงานในต่างประเทศโดยเฉพาะ  สิ่งที่โชคดียิ่งกว่านั้น คือ แป้ง เคยเรียนหนังสือร่วมโรงเรียนเดียวกันกับผม (ตอนนั้นแอบดีใจและเขินด้วย ฮ่าๆๆ ) คงเห็นผมตอนที่ทำกิจกรรมหรือไม่ก็เรียนหนังสือในโรงเรียนนั่นแหล่ะ เป็นไง วัยมัธยมของผมฮฮตใช่มั้ยหล่ะ 555++  ซึ่งตอนนั้นผมก็ยังไม่รู้จักแป้งและ ขณะเดียวกันแป้งก็เข้ามาทักทายระหว่างที่อยู่บนรถบัส เพื่อมาเข้าค่าย Spark Conference ที่ทางไอเซค (ประเทศไทย) ได้จัดขึ้นด้วยกัน และก็มีเพื่อนอีกหลายๆมหาวิทยาลัยเข้าร่วมอยู่ด้วย   หลังจากนั้นผมก็ตัดสินใจแน่แล้วว่าจะไปฝึกงานกับสมาคมนี้ ซึ่งผมก็ต้องไปสอบการคัดเลือกกับทางสมาคมไอแซค AIESEC หรือองค์กรนักศึกษานานาชาติ สอบ 2 ครั้งถึงผ่าน คือสอบสัมภาษณ์ที่ไทย และสอบสัมภาษณ์ใน Skype กับประเทศที่เราเลือก ซึ่งผมก็เลือกไปฝึกงานที่ไต้หวัน (ช่วงเดือนมีนา เมษา และพฤษภา) มีหลายกิจกรรมก็เลือกดู ทั้งงานด้านสอนหนังสือ ด้านช่วยสังคม หรือด้านจัดกิจกรรมรณรงค์เรื่องภาวะโลกร้อน ผมก็ดูสิ่งที่สนใจและถนัดมาก นั่นก็คือการสอนของผม จากนั้นก็ทำตามขั้นตอนต่างๆ จนถึงวันเดินทางไปที่ประเทศไต้หวัน วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม เที่ยวบืน KLO877 เวลา 14.40 ถึงไต้หวันเวลา 20.00 น (ตามเวลานาฬิกาไต้หวัน) ช่วงเวลาที่บินอยู่ก็มีนักธุรกิจท่านหนึ่ง นั่งอยู่ข้างๆ ผมก็เลยเริ่มทำความรู้จัก เป็นชาวไต้หวัน และเป็นนักธุรกิจดูแลกิจการ 5 ประเทศ ต้องบินไปบินมาบ่อยๆ ผมก็คุยเรื่องราวที่ผมสนใจนั่นคือเรื่องธุรกิจ คุยกันจนถึงสิ้นสุดปลายทาง นั่คือประเทศไต้หวัน หลังจากนั้นก็ลงมาจากเครื่องบิน พอลงเครื่องปุ๊ปก็มีคนมารอรับเราเลย และก็ได้พบกับ TN MANAGER ส่วนตัวของผม ชื่อ stacy และ nicole สังกัดองค์กรไอเซค  AIESEC SOOCHOW UNIVERISTY หรือ SCLC ซึ่ง 2 คนนี้เป็นคนที่ดูแลผมตั้งแต่ต้นจนถึงวันสิ้นสุดการอยู่ที่ไต้หวัน ต้องบอกก่อนนับว่าเป็นความโชคดีของผมที่ได้มีโอกาสเดินทางมาประเทศไต้หวันและยังมีคนคอยช่วยเหลือตลอดระยะเวลาที่อาศัยอยู่ที่ในไต้ไต้หวันอีกด้วย



      Part II - ตามติดชีวิตการสอนนักเรียนไต้หวัน (ระดับมัธยม)

             พอวันรุ่งขึ้นคือวันแรกของการฝึกงาน ก็ได้ไปโรงเรียน WANLI JUNIOR HIGH SCHOOL ซึ่งอยู่นอกเมืองไทเปไม่ไกลนัก เรียกเขตนี้ว่า New Taipei City   ด้วยความที่ผมเพิ่งมาใหม่บวกกับเพิ่งมาประเทศนี้เป็นครั้งแรก  สัปดาห์แรกจึงยังต้องมีคนไปรับไปส่งตลอด ผมพักอยู่ในหอพักอาจารย์ ซึ่งใช้ระยะเวลาการเดินทาง 5 นาที จากหอพักถึงโรงเรียน  โรงเรียนนี้มีชื่อเต็มว่า "วันลี จูเนียร์ ไฮสคูล" ตรงกับภาษาอังกฤษ Wanli Junior High School เป็นโรงเรียนรัฐบาล  Publish มีจำนวนนักเรียนทั้งสิ้น 180 กว่่าคน กับอาจารย์ราวๆ 20 ท่าน เป็นโรงเรียนไม่ใหญ่นัก ซึ่งห่างจากฝ่ายประถมศึกษาเป้นโรงเรียนเดียวกันห่างกันอยู่ 15 นาที จำนวนนักเรียนฝ่ายประถมศึกษาราวๆกว่า 400 คน ผมได้อยู่ในส่วนมัธยมศึกษาตอนต้น เกรด 7 เกรด 8 และเกรด  9 อายุราวๆ 12-15 ปี  ซึ่งมีนักเรียนมาเรียนกับผมอยู่ 150 กว่าคนพอไปถึง ก็เข้าพบกับอาจารย์ใหญ่ Qing-Zhen Shih ซึ่งก็ได้ต้อนรับผมอย่างดี คุยกันสักพักก็พาไปแนะนำอาจารย์ โรงเรียน และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ และให้เวลาทำแผนการเรียนการสอน 1 สัปดาห์ เพราะเพิ่งมาใหม่ๆต้องปรับตัวสภาพอากาศที่เย็น (อุณหภูมิประมาณ 12-15 องศา)และการฝึกงานในฐานะอาจารย์ วิชาที่ผมสอนคือ วิชาลูกเสือ วิชาการแสดง วิชาภาษาอังกฤษ และหลักภาษาอังกฤษ(แกรมม่า) แต่ทางโรงเรียนบอกว่า วิชาลูกเสือ คือวิชาวัฒนธรรมไทยของคุณ อยากให้คุณสอนวัฒธรรมให้แก่เด็กนักเรียนของเรา ส่วนวิชาอื่นๆคุณสามารถปรับเปลี่ยนไปตามความเหมาะสม ตั้งแต่ตอนนั้นมาผมจึงสอน 4 วิชา ซั่งมีดังนี้ วิชาการแนะนำวิถึชีวิตคนไทยและวัฒนธรรมไทย ( วิชาลูกเสือ) วิชาดนตรี (วิชาการแสดง) วิชาการพูดในที่สาธารณะ (วิชาภาษาอังกฤษ) และวิชาเทคนิคการนำเสนองานหน้าชั้น (วิชาหลักภาษาอังกฤษ) ทั้ง 4 วิชาสอนเป็นภาคภาษาอังกฤษและมีอาจารย์ช่วยแปลเป็นภาษาไต้หวันอยู่ข้างๆ ทำให้การเรียนการสอนของผมกึ่ง biligua 2 ภาษา งานนี้ต้องขอขอบคุณอาจารย์ Yu-Ying Chien ที่ช่วยแปลภาษาให้กับทางเราและนักเรียน 

      ในชั่วโมงวิชาดนตรี เด็กมักจะชอบร้องเพลง ชอบเต้น ซึ่งก็เป็นผลดีต่อสภาพจิตใจของเด็ก ถ้าร่างกายแจ่มใส ร่าเริง อ่อ่นโยน จะทำให้เด็กรับรู้สิ่งต่างๆได้รวดเร็ว หลายคนอยากเรียนดนตรี แต่ไม่มีสตางค์เรียน เพราะค่าเรียนที่นี่แพงเหลือเกิน ไม่เหมือนประเทศไทย และประเทศไต้หวันไม่มีสถาบันสอนดนตรีหลายๆที่เหมือนบ้านเรา เด็กหลายคนก็มัวเมากับเสียงดนตรี เสียงร้องเพลง รู้แต่ว่าชอบร้องเพลงชอบเต้น แต่ไม่รู้วิธีการฝึก และไม่มีเวลาไปเรียนดนตรีด้วย พอเด็กเค้าเรียนหนังสือจบจากโรงเรียน ต้องไปเรียนกวดวิชาต่อจนถึง 3 ทุ่ม หลังจากกลับบ้านยังต้องทำการบ้านและอ่านหนังสืออีก จุดตรงนี้ก็เลยเป็นจุดที่ทำให้ผมต้องเป็นครูดนตรี เด็กอยากเรียนอะไรก็จะสอนให้ ต้องทำให้เค้ารู้สึกว่าเค้าเป็นคนคนหนึ่งที่มีความสามารถทางด้านดนตรี พยายามที่จะให้เค้าเข้าใจในเรื่องของดนตรีอย่างหยั่งลึก เพราะดนตรีคือสิ่งที่ละเอียดอ่อนในการเข้าใจ ต้องทำให้เค้าเข้าใจความเป็นธรรมชาติของดนตรี  เด็กต้องเข้าใจวิธีการฝึกก่อนแล้วจึงจะต่อยอดไปทางที่ตนเองถนัดได้ คือ มันเป็นพื้นฐานทางดนตรีที่เด็กควรรู้ และตัวผมเอง ก็พอมีพื้นฐานอยู่บ้าง จึงสอนได้ไม่ค่อยยากเท่าไหร่นัก

      หลังจากที่ผมสอนมาได้สักระยะหนึ่ง ซึ่งก็ผ่านไป 1 เดือน ทาง TN MANAGER ส่วนตัวของผม ก็เรียกตัวไปงาน PARTY ดินเนอร์ร่วมกันกับเพื่อนๆชาวไอเซคและนักฝึกหัดงานที่ทำงานเหมือนกัน แต่อยู่คนละโรงเรียน อยู่อีก 3 คน ( ชาวโปแลนด์ 2 คน ชาวมาเลเซีย 1 คน) รวมผมเป็นอีก 1 ทั้งหมด 4 คน เค้ามากันช่วงนั้นพอดี ประมาณ 8 สัปดาห์  (มีแต่ผมนี่แหล่ะ 12 สัปดาห์ ถือว่ากำไรนะ ฮ่าๆๆ) ช่วงเวลานั้นมาถึง ก็มีคนมาต้อนรับอย่างดี และเข้าไปในร้านอาหารยุโรป ร้านใม่ใหญ่มาก พอดีกับคนจำนวนประมาณ 20 คนได้  พอมาถึงก็ทักทาย พูดคุยกับเพื่อนๆที่ฝึกหัดงานด้วยกัน และก็สั่งอาหาร จำได้ว่า วันนั้นสั่งแฮมเบอร์เกอร์หมูไปจานใหญ่ ช่วงเวลาที่รอ ก็แนะนำตัวเองต่อหน้าเพื่อนๆอย่างเป็นกันเอง แล้วก็เล่นเกมส์กัน เกมส์มีชื่อว่า “ทายความจำ” เล่นไปจนกระทั่งอาหารมาและก็เล่นต่อจนกระทั่งจากลับ ก็ถือว่า มาครั้งนี้ไม่เสียเที่ยว ได้รู้จักเพื่อนใหม่เยอะเลยหล่ะครับ   ช่วงเวลาที่ผมได้หยุดวันเสาร์-อาทิตย์  เป็นช่วงเวลาที่ผมได้พักจากการงาน บางสัปดาห์ก็ไปเที่ยวคนเดียวบ้าง  บางสัปดาห์ก็ไปร่วมกิจกรรมกับเพื่อนๆในไอเซคอื่นบ้าง  เป็นแบบนี้จนผ่านไป 2 เดือนครึ่ง มีเสียงโทรศัพท์ดังเข้ามาอีกเป็นช่วงๆ แต่คราวนี้เป็นของ TN MANAGER ส่วนตัวของผมอีกนั่นเองครับ โทรมาบอกว่า อาทิตย์หน้าว่างมั้ย จะให้ไปสอนเด็กประถม ประมาณ 1 คาบในไทเป  สอนวิชาวัฒนธรรมไทย ซึ่งผมก็ตอบรับไปทันที สรุปว่าการมาไต้หวันครั้งนี้ก็ได้สอนเด็กๆด้วยแหล่ะครับ ฮ่าๆ

      สอนไปสักพักก็ใกล้ถึงวันจบการสอนที่โรงเรียน  Wanli Junior ด้วยความที่เดินทางในต่างประเทศไม่ค่อยบ่อยนัก จึงหาเรื่องที่จะอยู่ต่อโดยการไปร่วมกับเพื่อนๆที่ทำงานอยู่ในไอเซค แต่คนละสังกัดที่ดูแลเรา ซึ่งผมก็สนิทกับเพื่อนๆที่โน่นประมาณนึง จึงทำงานหรือขออะไรก็ไม่ค่อยมีปัญหา โครงการใหม่ของผมนี้ก็คือการสอนเหมือนเดิม แต่คราวนี้สอนมัธยมปลาย และเวลาไปที่ใหม่ก็ต้องมี TN MANAGER คนใหม่มาด้วย คนใหม่ของผมชื่อ Leo เป็น TN MANAGER ส่วนตัวคนที่ 2 (สังกัดไอเซค Chiao Tung อยู่ในอีกจังหวัดนึง)  ซึ่งเข้ามาดูแลเรื่องการจัดตารางการทัวร์การสอนและความเป็นอยู่  ทำให้ต้องเดินทางจากเมืองNew Taipei City มาที่ Hsinchu และก็พักอาศัยที่เมืองนี้จนกลับประเทศไทย เพื่อนที่นั่นก็ให้การต้อนรับอย่างดี และก็ได้นอนพักอยู่ในอพาตเมนต์เดียวกันกับนักฝึกหัดต่างชาติอื่นๆ มีอินเดีย มาเลเซีย แคนนาดา และตอนหลังเพิ่มมาอีก 2 คือ ชาวอเมริกา (Washington DC) และอังกฤษ (London) สองคนที่มาหลังนี้เป็นผู้ชายเหมือนกัน ก็เลยได้พักห้องเดียวกันกับผม  (แหม อะไรจาดีขนาดนั้นเนี่ย ฮ่าๆ)   และผมก็ไม่พลาดที่จะตีเพื่อนซี้ทั้งสอง  คนที่มาจากอเมริกา พ่อแม่เค้าเป็นระดับศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยเชียวนะ ส่วนคนอังกฤษพ่อแม่เค้าเป็นนักธุรกิจนะนั่น (ว้าว !` เจ๋งมากๆครับ ฮ่าๆๆ)
       

      Part III - การเดินทาง ทำงาน และท่องเที่ยว

      พอวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันแรกของการทำงาน TN MANAGER ก็ไปส่งผมเข้าโรงเรียนแต่เช้า(ทำเหมือนเราเป็นนักเรียนเลยแหะ ฮ่าๆ )  ลักษณะการทำงานของผมคล้ายๆการทัวร์คอนเสริต์เลย แต่มาทัวร์การสอนหนังสือแทน ฮ่าๆๆ  ทาง TN MANAGER ก็ให้ตารางการสอนเรามา  เราก็ไปตามตารางที่เค้าจัดให้มาครับ เช่น วันนี้สอนโรงเรียนนี้ อีกวันสอนอีกโรงเรียนนึง  อีกวันกลับมาสอนโรงเรียนเดิมครับ มีโรงเรียนต่างๆก็หมุนเวียนกันไปครับ โรงเรียนที่ไปสอนก็มี  National Hsinchu senior high school , National Experimental High School At Hsinchu Science Park  ,  Chien-Kung Senior High School  และ National Girl’s senior high school     ทางโรงเรียนต่างๆได้เปิดคลาสให้เราสอนเป็นกลุ่มเล็กๆ คล้ายๆคราบเรียนชุมนุมในบ้านเรานั่นแหล่ะครับ วิชาที่ผมทัวร์การสอนก็คือวิชาวัฒนธรรมไทยและการพูดในที่สาธารณะครับ ก็สอนไปเรื่อยๆ จนถึงอาทิตย์สุดท้ายก่อนกลับครับ

      อาทิตย์สุดท้ายก่อนกลับ ช่วงนั้นเป็นวันหยุดเสาร์-อาทิตย์พอดี ผมจึงโทรไปหาคนที่ผมรู้จักกันในเครืองบิน (เป็นนักธุรกิจทำงาน 5 ประเทศ ต้องเดินทางไปมาบ่อยๆ) เพราะเค้าบอกว่าอย่าลืมโทรหานะ จะพาเที่ยว ฮ่าๆ    เค้าดีใจมากที่ผมโทรไปและอยากจะพบผมอีกครั้ง ด้วยความที่เค้าเป็นนักธุรกิจ ค่อนข้างจะยุ่ง เมื่อเค้าว่าง ผมก็เลยต้องรีบตกลงไปเสียก่อนครับ (ไม่งั้นพลาดหล่ะงานนี้ ฮ่าๆ)  เมื่อเจอหน้ากัน เค้าทำท่าดีใจมาก และก็ชวนผมไปเล่นกีฬาขี่จักรยานครับ  พาไปตลาดตอนกลางคืน Night Market พาไปชมพิพิธภัณฑ์ และพาไปทานข้าว ไปกับลูกๆเค้านะครับ เค้าแต่งงานมีลูกมีเมิยแล้ว อายุราวๆ40กว่าครับ ส่วนลูกๆน่าจะอายุประมาณ 8-9 ขวบ และก็นอนพักที่บ้านเค้า บ้านเค้าเป็นคอนโดค่อนข้างธรรมดา ไม่น่าเชื่อนะครับ คนที่มีพร้อมทุกอย่าง จะใช้ชีวิตเรียบร้อย อยู่อย่างสมฐะ  และผมก็ได้พักห้องของน้องคืนนึงครับ ช่วงที่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันก็ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวเกี่ยวกับการทำงานของเค้านะครับ  และเค้าก็สอนผมหลายๆอย่างในเรื่องการใช้ชีวิต การเดินทางไปทำงานในประเทศต่างๆ การทำงาน และครอบครัว ซึ่งถือได้ว่าเป็นประสบการณ์ที่ยากจะหาได้ที่มีนักธุรกิจทำงานในต่างประเทศ จะมาให้ข้อคิดและสอนแบบเป็นกันเอง ไม่ถือตัวด้วย  ละคืนนั้นผมจึงหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า ผมต้องขอบคุณเค้าด้วยใจจริงๆครับ

      12 สัปดาห์ที่ผ่านมา ถึงแม่จะเป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ก็ต้องบอกแหล่ะครับว่า “ประสบการณ์ล้วนๆ” ได้ทั้งเจอเพื่อนๆชาวไต้หวัน ได้เจอนักฝึกหัดต่างชาติ (จีน,มาเลเซีย,อินเดีย,โปแลนต์,แคนนาดา,อเมริกา,อังกฤษ) ได้เจอนักธุรกิจนานาชาติ  ได้เจอเพื่อนเก่า(ออสเตรเลีย)  ได้ทำงานกับครู-อาจารย์  ได้ทำงานกับเพื่อนๆนักศึกษามหาวิทยาลัย  ได้สอนหนังสือเด็กๆ  ได้มีโอกาสเรียนรู้วัฒนธรรมที่หลากหลาย

      การเดินทางที่สิ้นสุดในครั้งนี้ นับว่าเป็นความโชคดีของผม  แต่ความโชคดีของผมนี้แลกมาจากการหาโอกาสให้กับตัวเองและการไคว่คว้าโอกาสเอาไว้ เพื่อเปิดมุมมองให้กับตัวเอง และหาความท้าทายที่รอเราอยู้ในวันข้างหน้าครับ
               สุดท้ายนี้ เอาวีดีโอที่ไปฝึกงานสอนหนังสือ ประเทศไต้หวัน มาให้ชมกันครับ คลิกที่นี่เลยครับ......

      http://www.youtube.com/watch?v=J5e-deewi1U


       นี่แหล่ะครับ….ชีวิตจริง (ในไต้หวัน) ไม่เหมือนในนิยาย 55+ !!

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×