ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Antho The Avengers] Thor*Loki [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #2 : Redeem the sin :: Deleted Scene :: Take II - Tears -

    • อัปเดตล่าสุด 20 มิ.ย. 57


     

     Redeem the sin

     

     

    Deleted Scene :: Take II

    -Tears-

     

     

     

    ข้าพรางกายเอาไว้ด้วยเวท ซึ่ง...อันนี้ไม่ได้จะอวดนะ แต่ต่อให้เป็นพระบิดาก็ยังจับข้าไม่ได้เลย เมื่อเดินเข้าไปในวาลฮาลลา สิ่งแรกที่ข้าได้ยินไม่ใช่เสียงสรวลสดใสหรือเสียงชนแก้วเมรัย หากกลับเป็นเสียงตวาดด้วยความพิโรธจนท้องพระโรงสั่นสะเทือน “ทำไมแค่คนคนเดียวยังตามหาไม่เจอ!!! ไหนว่าพวกเจ้าเป็นนักทำนายที่เก่งกาจที่สุดในนพโลกอย่างไร!!!”

     

    สิ่งที่ทำให้ข้าสะดุ้งหาใช่เสียงตวาดนั้น แต่กลับเป็นสภาพของชายบนบัลลังก์

     

    ...นั่นท่านหรือธอร์?...

     

    ข้าเอ่ยคำถามขึ้นในใจ ทั้งๆ ที่ดวงตากำลังมอบคำตอบแก่ตน ผมสีทองเป็นประกายเจิดจ้าราวดวงอาทิตย์ ดวงตาสีฟ้าสดดั่งท้องนภา ร่างสูงใหญ่สง่างามทรงอาภรณ์กษัตริย์ผ้าคลุมแดง และข้างกายคือมิโอลนิร์...[1] 

     

    แต่กษัตริย์พระองค์นั้นช่างเหนื่อยล้า แม้จะยังคงดุดันเข้มแข็ง หากข้าที่รู้จักเขาดีไม่มีทางมองผิดไปได้ พระเชษฐาที่ถึกทือยิ่งกว่าบิลสไลม์กลับมีท่าทางเหมือนพร้อมจะล้มลงไปได้ทุกวินาที

     

    เกิดสงครามขึ้นหรือ? ...ไม่ ไม่ใช่ ข้าใช้เวลานานนักในการสืบข่าวและดูลาดเลา หลายเดือนมานี้แอสการ์ดสงบสุขยิ่งกว่าสวนสวรรค์ของราชินี

     

    ข้าเฝ้าครุ่นคิดว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงทำให้ธอร์มีสภาพเช่นนี้...แต่รู้อะไรไหม มันไม่จำเป็นเลย

     

    ข้ารู้คำตอบดี รู้ดีอยู่แก่ใจ

     

    ข้าเฝ้ามอง ยืนนิ่ง เงียบสงบ ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของกำแพง เช้าจรดเย็น ธอร์สั่งการคนมากมาย เขาตามหาบางสิ่งบางอย่างอย่างเอาเป็นเอาตาย ราวกับคนตาบอดที่คลำหาโอเอซิสท่ามกลางผืนทราย ทุรนทุรายแทบขาดใจ แต่ถึงกระนั้น...กลับไม่ยอมจำนนต่อความจริงเสียที

     

    ไม่ยอมจำนนต่อความจริง -- บางที...นั่นอาจจะหมายรวมถึงข้าด้วยเช่นกัน

     

    จวบจนกระทั่งหมดวัน ข้าราชบริพารถูกไล่ออกไปจากท้องพระโรงจนสิ้น บนบัลลังก์สูงใหญ่มีเพียงร่างของกษัตริย์ที่ทอดกายนั่งด้วยแผ่นหลังเหยียดตรง หากข้ากลับมองเห็นความอ่อนล้า ระโหยโรยแรง สิ้นหวัง และทรมาน

     

    แต่มองไม่เห็นวี่แววของการยอมแพ้ถอดใจ

     

    ท้องพระโรงอันกว้างใหญ่ช่างเหน็บหนาวนัก ทั้งๆ ที่ไต้ไฟอยู่เพียงข้างกาย หากร่างของข้ากลับสั่นเทา

     

    ท่ามกลางความเงียบสงัดจนไร้แม้กระทั่งเสียงลมหายใจ หูของข้าได้ยินเสียงทุ้มอันคุ้นเคยชัดเจน

     

    “โลกิ...” หนแรก ข้าสะดุ้งด้วยนึกว่าถูกจับได้ หากทว่าเสียงที่อ่อนล้าสุดแสนนั้นกลับเอ่ยราวกับละเมอเพ้อพกต่อว่า “...เจ้าอยู่ไหน...”

     

    ...เขายังหาข้าไม่เจอ...

     

    ข้าอยู่นี่อย่างไรเล่าพี่ชายผู้โง่เขลา อยู่ต่อหน้าท่าน ใกล้เพียงเอื้อมเท่านี้เอง

     

    แน่นอนว่าข้าไม่ได้เอ่ยออกไป ริมฝีปากข้ายังคงปิดสนิท บิดเป็นรอยยิ้มเยาะหยัน...คิดว่านะ ลิ้นค้างแข็งจนรู้สึกชา ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งเสด็จแม่มาตามให้โอรสของตนไปพักผ่อน เสวยพระกระยาหารและปิดเนตรบรรทม

     

    ...เสด็จแม่เปลี่ยนไปมาก ในความทรงจำของข้า พระองค์เป็นสตรีผู้งามสง่าทั้งกาย วาจาและใจ เป็นสตรีผู้คู่ควรกับตำแหน่งราชินียิ่งกว่าใครที่ข้าเคยรู้จัก หากบัดนี้สตรีที่อยู่ตรงหน้าข้ากลับเป็นเพียง...เพียง...

     

    ...เป็นเพียง...มารดาที่เศร้าโศกจากการสูญเสียบุตรชายของตน...

     

    แม้ใบหน้านั้นจะยังคงงดงาม หากทว่ากลับไม่อาจปิดบังรอยชอกช้ำในแววตาและหยาดน้ำที่เอ่อคลอราวกับพร้อมจะหลั่งรินได้ทุกวินาที

     

    ธอร์พยุงเสด็จแม่เข้าไปในห้องอาหาร โดยที่ข้ายังคงยืนอยู่ที่เดิม ข้านึกว่าตัวเองถูกสาปให้กลายเป็นรูปปั้น ด้วยเหตุว่าแม้จะพยายามแค่ไหนก็กลับไม่อาจขยับกายได้เลย แต่ข้ารู้ดีว่าไม่ใช่ เพราะรูปสลักซึ่งก่อจากหินนั้นไม่อาจสั่นสะท้านด้วยแรงสะอื้น

     

    ...และคงไม่อาจหลั่งน้ำตาได้...

     

     

    --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † ---

     

     

    ข้าดำรงตนประหนึ่งเงาแห่งท้องพระโรงวาลฮาลลา เฝ้ามองกษัตริย์แห่งแอสการ์ดทรงงานด้วยความเงียบ เสร็จสิ้นราชกิจส่วนกษัตริย์ ธอร์กลับไม่ยินยอมให้ตนได้พักผ่อน เพราะทันทีที่มีเวลาพักหายใจ เขาจะออกไปตามหา...บางสิ่ง

     

    บางทีข้าควรยอมรับได้แล้วว่าบางสิ่งนั้นคือข้าเอง

     

    ธอร์ไม่เคยยอมหยุดพัก ราวกับมีอะไรบางอย่างผลักดันตลอดเวลา เขาทำราวกับว่าถ้ายอมถอดใจแม้เพียงเสี้ยววินาที สิ่งนั้นจะหลุดลอยหายไปจากตนตลอดกาล

     

    ท่านจะตามหาผู้ที่ไม่รู้แน่ว่ายังอยู่หรือตายไปเพื่ออะไร...

     

    สหายทั้งสี่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาคอยเตือนเขาให้พักผ่อน หากไม่มีแม้สักครึ่งคำที่จะบอกให้ธอร์ถอดใจ ข้าสงสัย...ว่าคงเคยมีคนพยายามแล้วพบว่าเศียรของกษัตริย์แข็งและหนาหนักยิ่งกว่ามิโอลนิร์

     

    วิธีข้ามมิตินั้นมีอยู่ แน่ล่ะ ไม่เช่นนั้นข้าจะมาถึงแอสการ์ดได้อย่างไร ธอร์ค้นพบมันด้วยวิธีการบางอย่าง จะด้วยค้นหาเอาเองหรือบังคับหักคอเอากับจอมเวทในแอสการ์ดก็สุดจะรู้ เมื่อเขาลุกจากบัลลังก์ สิ่งแรกที่เขาทำคือข้ามมิติไปยังสถานที่อันห่างไกล

     

    พระเชษฐาผู้โง่เขลา ท่านคิดว่าทั้งนพโลกนี้มีดวงดาวอยู่กี่ดวงกัน...

     

    “โลกิ!!! โลกิ เจ้าอยู่ไหน!! โลกิ!!!” เสียงตะโกนแหบห้าวนั้นกระทบโสตประสาท ข้ายืนเงียบจ้องมองเขาประหนึ่งวิญญาณตามติด ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด...ที่ข้าไม่กล้ามองสบเข้าไปในดวงตาสีฟ้าของธอร์

     

    ...หากเผลอจ้องมอง ข้าอาจกระทำเรื่องโง่เขลาเช่นการเปิดเผยตัวตน...

     

    เป็นอีกหนึ่งวันที่ผ่านไปอย่างทรมานสำหรับธอร์ แต่ทรมานยิ่งกว่าสำหรับตัวข้าเอง

     

    ทั้งๆ ที่ข้าควรยินดีต่อความทุกข์ทรมานของพี่ชายผู้ไร้สายโลหิตเดียวกัน หากทว่าทุกครั้งที่เสียงของธอร์ดัง ใจข้ากลับสั่นคลอน

     

    นานวัน...ข้าพบว่าการควบคุมตัวเองทำได้ยากขึ้นทุกที เสียงระโหยเอ่ยเรียกนาม “โลกิ” ของข้า ไม่ว่าจะจากธอร์หรือเสด็จแม่ มักจะทำให้ข้าเผลอเผยอริมฝีปากขึ้น แทบจะส่งเสียงขานรับ...แต่โชคดีที่มันยังไม่เคยเกิดขึ้นจริง

     

    ข้ารู้...รู้ดี หากตัวเองยังปรารถนาความบ้าคลั่งต่อไป การอยู่เช่นนี้รังแต่จะทำให้หมดสิ้นเรี่ยวแรง ควรจากไปเสีย จากไปให้ไกล วาดฝันถึงวันเวลาอันแสนสงบสุขในแอสการ์ด จินตนาการถึงความหลอกลวงและเย้ยหยัน หันหลังให้กับความเป็นจริง

     

    ...สมองรู้ดี หากใจข้ากลับถูกพันธนาการ...

     

    นับวัน...นับเดือน...ที่ข้าดำรงตนประหนึ่งเงาของธอร์ -- เงา...ที่ข้าเคยคิดว่าตัวเองเป็น แต่มาบัดนี้ข้าจึงได้รู้ ธอร์ไม่เคยหันมองเงาของตน เพราะเขาไม่เคยก้มหน้าคอตกด้วยความท้อแท้สิ้นหวัง หากพี่ชายไม่เคยละสายตาจากข้าแม้สักวินาที แม้ในยามที่เขามองไม่เห็นแม้เพียงปลายผมของข้าก็ตาม

     

    นานวัน...ข้าพบว่าหัวใจของข้าสั่นคลอนเกินกว่าจะบังคับให้ตัวเองคิดเรื่องจากไป เมื่อเห็นพระมารดาร่ำไห้อย่างเงียบๆ เพียงลำพังในสวนอันเปล่าดาย บ่อยครั้งที่ข้าเผลอยื่นมือออกไป...เกือบจะสัมผัสร่างผ่ายผอม แล้วโอบกอดเอาไว้ กระซิบว่าข้ากลับมาแล้ว

     

    ...หากมันก็ยังเป็นเพียงแค่คำว่า ‘เกือบ’

     

    บางสิ่งบางอย่างในใจข้ายังฉุดรั้งไม่ให้กระทำการอันอุกอาจเอาไว้ สิ่งนั้น...ข้าเรียกมันว่าสติยั้งคิด หากมนุษย์กลับเรียกมันว่าความหวาดกลัว

     

    ขณะเดียวกัน...เสียงตะโกนของธอร์กลับแทรกซึมลึกลงในใจข้ามากขึ้นอย่างมิอาจต้านทาน ไม่ต่างจากพิษร้ายที่กัดกินวิญญาณให้หมดสิ้นเรี่ยวแรงจะขัดขืนดิ้นรน ใจหนึ่งร้องตะโกนให้ยอมจำนน หากอีกใจกลับร้องระงมให้รีบหนีไป

     

    ...ข้าเคยบอก...ข้าไม่อาจหนีได้ ข้าไม่อาจทนต่อความอัปยศอดสูที่ต้องหันหลังให้ศัตรู วิ่งหนีหากจุกตูดไม่ต่างจากเดรัจฉานยามเผชิญหน้าต่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตน -- ธอร์มีคุณสมบัติตรงตามที่ว่าทุกประการ หนึ่งคือเป็น...ศัตรู และสองคือ...ยิ่งใหญ่กว่าข้ามากมาย

     

    ธอร์ดำรงหน้าที่เป็นทั้งกษัตริย์และพี่ชาย หากไม่ว่าจะในฐานะใด ทั้งเขาและข้าก็รู้มากพอกันว่าภารกิจนั้นจะไม่มีวันสิ้นสุดลง ตราบจนวันสุดท้าย...ของลมหายใจ

     

    นับวัน เสียงร้องเตือนให้หนีไปเริ่มจางหาย และถูกแทนที่ด้วยเสียง...ซึ่งข้าจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นเสียงของ...ข้าเอง

     

    แรกเริ่มมันแผ่วเบามากจนข้าไม่ได้สังเกตเห็น เมื่อรู้ตัวอีกครั้ง...ในหัวของข้าก็มีแต่เสียงนั้นดังประโคมจนทำให้หูอื้อตาลาย

     

    ท่ามกลางความขัดแย้งสับสนนั้น สัมผัสในฐานะจอมเวทของข้าไม่ได้ด้อยลง ข้าสะดุ้งเฮือก รู้สึกราวกับว่ามีกระแสไฟฟ้าแล่นปราดผ่านแผ่นหลัง เสี้ยววินาทีที่สัมผัสถึงบางสิ่งบางอย่างได้นั้นทำให้เหงื่อออกโทรมกาย

     

    ข้าค่อยๆ ผินหน้าไปมอง

     

    สถานที่แห่งนั้นคือมิดการ์ด

     

    ดินแดนที่ไม่เคยรู้จักคำว่าสงบสุขและหยุดอยู่เพียงแค่ที่ตนเอื้อมถึง

     

    พวกมนุษย์พยายามปลุกเทซเซอแรคต์ ข้าเขม้นมองผ่านห้วงมิติเพื่อยืนยันให้แน่ใจ

     

    ใช่...และสิ่งที่ข้ารู้สึกนั้นก็ได้รับการยืนยันด้วยสองตาของข้าเอง

     

    ข้าผละกายออกมาจากนิวาสสถานอันเป็นถิ่นฐานแห่งตน เดินทางจากไปไกลแสนไกลด้วยเวทมนต์ที่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ ข้าปรากฏตัวต่อหน้านักวิทยาศาสตร์ชาวมนุษย์ และแน่นอน...เขาไม่เห็นข้า

     

    ดวงตาของมนุษย์ตรงหน้าแฝงความกลัดกลุ้มกังวล ข้าแทรกซึมเข้าไปในจิตใจของเขาได้อย่างง่ายดาย นี่ล่ะหนามนุษย์ หัวใจช่างเต็มไปด้วยช่องโหว่มากมายยิ่งกว่ารังผึ้ง ดำมืดยิ่งกว่าห้วงอนธการ ซับซ้อนยิ่งกว่าทางวงกต และกว้างใหญ่ไพศาลไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่ง...ไม่ว่าจะถมความพอใจลงไปมากเพียงใดก็ไม่มีวันเต็ม

     

    จะมีอะไรชักจูงง่ายไปกว่ามนุษย์อีกหรือ...ข้ามิเคยพบพาน

     

    ไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งมาเชิญตัวชายผู้นั้นไป ผ่านทางเดินซับซ้อน มืดมิด และเต็มไปด้วยห้องหับซึ่งบรรจุวิทยาการมากมาย

     

    “ด็อกเตอร์เซลวิก?”

     

    เสียงเรียกนามของชายชราทำให้เขาชะงักก่อนหันไปมอง เซลวิกนิ่งงันไปชั่วครู่หนึ่งก่อนเอ่ยปากทักทายชายผู้นั้นด้วยคำถาม “คุณอยู่เบื้องหลังทั้งหมดนี้เหรอ?”

     

    เบื้องหน้าคือร่างสูงใหญ่ของชายชาวมนุษย์ผู้ปกปิดดวงตาข้างซ้ายด้วยผืนผ้าสีดำ

     

    “ผมได้ข่าวสถานการณ์ที่นิวแม็กซิโกแล้ว ผลงานคุณประทับใจคนมากมายที่ฉลาดกว่าผม”

     

    “ผมมีงานต้องทำอีกเยอะ ทฤษฏีฟอสเตอร์ ประตูข้ามมิติ ยังไม่มีใครทำมาก่อน”  ชายผิวดำขยับเปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อย หากนั่นก็มากเพียงพอที่จะทำให้นักดาราศาสตร์รู้สึกไม่ใคร่แน่ใจ “ใช่รึเปล่า?”

     

    ชายตรงหน้าไม่เอ่ยตอบคำถามนั้น หากกลับผินหลังแล้วเดินนำไปยังโต๊ะตัวหนึ่งพลางกล่าวถึงเรื่องที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวอะไรกับบทสนทนาก่อนหน้า “ตำนานเล่าอย่าง ประวัติศาสตร์เล่าไปอีกอย่าง แต่นานๆ ครั้งเราจึงพบสิ่งที่...ถูกต้องตรงกันทั้งสองทาง”

     

    คำเอ่ยของชายเบื้องหน้าทำให้ข้านึกขำ มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่คิดบิดเบือนประวัติศาสตร์ไปจากความเป็นจริง ปกปิดสิ่งเน่าเหม็นและโสมมไม่ให้ชนรุ่นหลังได้รับรู้เพราะเกรงความอับอาย แทนที่จะสอนสั่งและอบรมไม่ให้ก้าวเดินไปในทางที่นำพาไปสู่หายนะ กลับน้อมนำชักจูงให้ก้าวเดินเป็นวงกลม ด้วยเหตุนั้นมนุษย์จึงทำผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดมา

     

    เช่นนั้นจะให้ประวัติศาสตร์ที่ถูกเขียนขึ้นโดยมนุษย์และตำนานถูกต้องตรงกันได้อย่างไร

     

    เขายื่นมือไปเปิดกระเป๋าสีเงินออก เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ในนั้น มันคือลูกบาศก์สีน้ำเงินที่บรรจุไปด้วยพลังงาน...มันคือเทซเซอแรคต์นั่นเอง

     

    “มันคืออะไร”

     

    “พลังอำนาจ ด็อกเตอร์ หากเราพบวิธีเข้าถึงมันได้ มันอาจเป็นพลังที่ไร้ขีดจำกัด”

     

    ข้าผินหน้ามองกระจกที่สะท้อนเงาซึ่งไม่มีผู้ใดมองเห็น ชักสายตาหลบจากขุมอำนาจทรงลูกบาศก์ แล้วจึงขยับยิ้มอย่างไร้ความหมาย หรือบางทีมันอาจจะมีเหตุผลมากมายเกินไปจนข้าไม่รู้จะเลือกข้อไหนมาอธิบาย

     

    “เช่นนั้น...ก็น่าลองดู”

     

     

    --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † ---

     

     

    ยามเมื่อข้ากลับมายังแอสการ์ด ราตรีก็ได้ปกคลุมทั่วผืนฟ้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ข้าไม่คิดว่าระยะเวลาเพียงไม่กี่วันที่ละสายตาไปจะก่อให้เกิดอะไรขึ้นได้ หากทว่ามันก็กลับเกิดขึ้น

     

    ดูเหมือนจะมีเรื่องอะไรบางอย่าง

     

    ข้าเดินผ่านห้องบรรทมของพระบิดาและพระมารดา ได้ยินเสียงโต้เถียงกันอย่างรุนแรง ...มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน พระบิดานั้นพระทัยหินกว่าธอร์และเสด็จแม่มากมายนัก แต่...ก็ใช่ว่าข้าจะไม่เห็นยามพระองค์ทรงเหม่อลอยทอดพระเนตรไปยังสุดขอบฟ้าอันกว้างใหญ่ ข้าไม่รู้หรอกว่าพระองค์กำลังดำริสิ่งใด หากทว่าถ้าไม่เป็นการเข้าข้างตัวเองจนเกินไปข้าก็อดคิดไม่ได้ว่าพระองค์คงหวนรำลึกถึงลูกชายจอมปลอมผู้นี้กระมัง

     

    “ท่านไม่คิดจะช่วยธอร์ออกตามหาโลกิบ้างหรืออย่างไร!!!” สุรเสียงของเสด็จแม่เกรี้ยวกราดรุนแรงอย่างไม่เคยเป็น แฝงด้วยรอยสะอื้น “ข้าเสียลูกชายไปคนหนึ่งแล้ว และตอนนี้ข้าก็รู้สึกเหมือนกำลังจะสูญเสียอีกคน!! ท่านเป็นพ่อเขานะ โอดิน ท่านไม่คิดจะทำอะไรเลยหรืออย่างไร!!”

     

    “นี่เป็นเรื่องที่ธอร์เลือกเอง!” น้ำเสียงของเสด็จพ่อแฝงแววดุดันแข็งกร้าว “ธอร์เลือกจะตามหาโลกิมากกว่าจะปล่อยวางให้เขาจากไป จดจำไว้เพียงน้องชายในความทรงจำ เขารับตำแหน่งกษัตริย์แล้ว ฟริกก้า! เขาควรใส่ใจในประชาชน ควรให้ความสำคัญกับแอสการ์ดยิ่งกว่าอะไร!!”

     

    “ยิ่งกว่าน้องชายของตัวเอง?”

     

    ข้ายืนอยู่หน้าประตู ไม่กล้าก้าวเข้าไปด้วยมิอาจทนเห็นใบหน้างดงามนั้นต้องหม่นหมอง เพราะเพียงแค่น้ำเสียงสั่นพร่า...ข้ายังจินตนาการออกถึงสีหน้าแสนรวดร้าวขององค์ราชินี  

     

    “น้องชายที่กลายเป็นทรราช”

     

    “ทรราชที่เป็นบุตรของเรา”

     

    หลังจากประโยคนั้นคือความเงียบอันแสนเนิ่นนาน ข้ารู้สึกได้ว่าตนเองกำลังกลั้นหายใจ บางที...ข้าอาจจะกำลังเฝ้าหวัง หวังจนแทบเป็นความปรารถนาอ้อนวอนให้โอดินเอ่ยประโยคนั้นออกมา ประโยคที่จะตัดสายใยทั้งมวลให้ขาดสะบั้น ประโยคที่จะทำให้ข้าเลิกลังเลจนต้องเจ็บปวดอย่างไม่รู้จบสิ้น ประโยคที่ว่า...ข้าไม่ใช่ลูกของพระองค์

     

    หากทว่าสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้เอ่ยประโยคนั้นออกมา

     

    “โลกิเลือกเส้นทางของตนเอง” สุรเสียงอันพร่าแผ่วนั้นแฝงด้วยอารมณ์อันหลากหลาย ข้าแทบจะมองเห็นภาพของชายชราที่นั่งคุดคู้เอาฝ่ามือปิดใบหน้าด้วยความสิ้นหวัง ข้าไม่รู้หรอกว่าชายชราผู้นั้นกรรแสงหรือไม่ เพราะเขาก้มพระพักต์ต่ำเกินไป อีกทั้งยังนิ่งงันไร้การขยับเขยื้อนราวกับรูปสลักก็มิปาน

     

    “อย่ากล่าวโทษสิ่งใดเลยโอดิน” น้ำเสียงอ่อนหวานนั้นเย็นชายิ่ง ถ้อยคำที่เอ่ยทิ่มแทงจนทุกผู้ล้วนแล้วแต่เจ็บปวด...ไม่ว่าจะเป็นผู้ตรัส หรือผู้สดับรับฟัง...

     

    “คนที่บีบให้โลกิเป็นเช่นนั้นคือท่านเอง”

     

     

    --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † ---

     

     

    ข้าไม่รู้ว่าสองขาพาตัวเองกลับมาที่ห้องได้อย่างไร ห้อง...ที่แม้เจ้าของจะจากไปเนิ่นนานแล้วหากทว่ากลับยังคงได้รับการดูแลอย่างสม่ำเสมอ

     

    และถูกใช้อย่างสม่ำเสมอเช่นกัน

     

    ธอร์ใช้คงเข้าใจอะไรผิดสักอย่างว่านี่คือห้องของเขาไปแล้ว หรือบางทีเจ้าตัวอาจจะลืมไปแล้วก็ได้ว่าตัวเองมีห้องส่วนพระองค์อยู่เช่นกัน

     

    ข้าเดินเข้าไปในห้อง ถอนหายใจอย่างระอาเมื่อเห็นร่างสูงแกร่งนอนกางแข้งกางขาอยู่บนเตียงของตน ข้าสาวเท้าเข้าไปใกล้ ก่อนทรุดตัวลงนั่งบนขอบเตียงโดยพยายามระมัดระวังไม่ให้อีกฝ่ายตื่นขึ้นมา ข้าได้กลิ่นเหล้า...นานแล้วที่ข้าไม่ได้เห็นธอร์ดื่ม แต่เมื่อเห็นร่องรอยของความอ่อนล้าบนใบหน้าคร้ามคมนั้นข้าก็เข้าใจได้ไม่ยาก

     

    ข้าถอนหายใจอีกครา “พี่ข้า เมื่อไหร่ท่านจะตื่นจากความฝันเสียที” เสียงที่เอ่ยไม่ได้ดังไปกว่าเสียงลมหายใจของตน “เลิกตามหาข้าเสีย เลิกหวังลมๆ แล้งๆ ว่าน้องชายของท่านยังมีชีวิตอยู่ ใช้ชีวิตอย่างที่กษัตริย์พึงเป็น”

     

    ข้าทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ไกลออกไปนั้น...ข้ารู้ดีว่ามนุษย์ไม่เคยละความพยายามจะให้ได้มาซึ่งอำนาจที่เหนือกว่าเดิม...และที่สำคัญ...มันมักจะเกินความควบคุม

      

    “พี่ข้า ท่านรู้หรือไม่ว่าตอนนี้มีเรื่องให้น่ากังวลใจกว่าการสาบสูญไปของข้า ...และท่าน...ควรเป็นผู้หยุดยั้งมัน”

     

    ข้าคงปล่อยใจให้เหม่อลอยมากเกินไป ดังนั้นร่างของตนจึงถูกอ้อมแขนแกร่งนั้นรวบเอาไว้โดยไม่ทันได้ตั้งตัว “โลกิ...โลกิ...” เสียงพึมพำดังพร่าข้างใบหู ข้าตัวแข็งเกร็ง เบิกตากว้างมองข้ามไหล่ของอีกฝ่ายเห็นเพียงเพดาน “โลกิ เจ้ากลับมาเถิด ได้โปรดกลับมาหาข้า...กลับมาหาพวกเรา”

     

    ธอร์เพียงแค่ละเมอ เมามายจนสิ้นสติ ข้าพยายามสงบลมหายใจลง นอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ปลอบตัวเองซ้ำๆ ว่าไม่เป็นไร ไม่มีอะไร...

     

    เมื่อได้ยินเสียงลมหายใจลึกบ่งบอกว่าพระเชษฐาจะไม่ลุกขึ้นมาละเมออาละวาด ข้าจึงค่อยมุดลอดใต้วงแขนของเขาออกมาอย่างเงียบเชียบ จวบจนกระทั่งก้าวลงมายืนบนพรมและถอยห่างจากเตียงแล้วนั่นล่ะ ข้าจึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าสองมือของตนกำแน่นและชื้นไปด้วยเหงื่ออันเยียบเย็น

     

    “โลกิ...?” เสียงพึมพำดังขึ้นอีกครั้ง หากทว่าครั้งนี้มีแววแห่งการรับรู้มากกว่าเมื่อครู่ ข้าหันไปมอง และเห็นธอร์ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งพลางกวาดตามองไปรอบๆ อย่างงุนงง “โลกิ?...” พระเชษฐาส่งเสียงเรียกเบาๆ อีกครั้งอย่างไม่ใคร่แน่ใจ เขาก้มลงมองมือตนเองไม่วางตา และข้าสังเกตเห็นว่ามือนั้นกำลังสั่นเทา

     

    ข้าชักเท้าก้าวถอย แม้จะใช้เวทพรางร่างเอาไว้แต่ก็อดไม่ได้ที่จะฝังตัวตนแห่งตนเอาไว้ในมุมมืดที่ไต้ไฟส่องไปไม่ถึง

     

    ธอร์ส่งเสียงครางระโหย ข้าฟังแล้วนึกถึงเสียงของราชสีห์ที่กำลังได้รับบาดเจ็บ มือใหญ่ยกขึ้นก่ายหน้าผาก ส่วนมืออีกข้างควานสะเปะสะปะบนโต๊ะข้างเตียงแล้วคว้าเอาขวดเหล้ามาถือครอง

     

    ข้ามองกษัตริย์ผู้ควรจะร่ำสุขตรงหน้าประคองเหล้ากรอกปากเพื่อดับความเจ็บช้ำ พร้อมแกล้มด้วยเสียงคร่ำครวญ

     

    “โลกิ กลับมาเถิด กลับมาเสียที ข้าคิดถึงเจ้า คิดถึงเจ้าเหลือเกิน ข้าพยายามจะเป็นราชาที่ดี แต่ทุกวินาทีในหัวข้ามีแต่เพียงเรื่องของเจ้า... ถ้ามีเจ้าอยู่เคียงข้าง..ถ้าเพียงแต่มีเจ้าอยู่เคียงข้าง..ข้าก็คง...ข้า...คง...”

     

    ธอร์จะทำไมนั้นข้าไม่อาจรับรู้ได้ เพราะเจ้าตัวผล็อยหลับไปเสียก่อน แต่ถึงกระนั้น...แม้ในยามหลับฝัน ราชาแห่งแอสการ์ดก็ยังละเมอร้องเรียกหาอนุชาอยู่ร่ำไป

     

    ข้าหันหลังให้ภาพนั้นด้วยมิอาจทนมองได้อีกต่อไป ข้าพยายามหาเรื่องเบี่ยงเบนความสนใจของตนออกจากผู้ที่อยู่ด้านหลัง และวินาทีนั้นข้าก็เลือกจะสร้างกระจกส่องมิติขึ้น

     

    ที่มิดการ์ด...ทุกอย่างยังคงดำเนินไปอย่างที่ทำให้ข้าเป็นกังวล พวกเขาไม่ละความพยายาม แม้วิทยาการที่มีอยู่จะยังไม่สามารถปลุกพลังของเทซเซอแรคต์ขึ้นมาได้ แต่ข้าก็เชื่อว่าสักวันพวกเขาจะทำมันจนสำเร็จ เพราะมนุษย์มีธรรมชาติเช่นนั้นเอง ใช่ว่าความทะเยอทะยานจะไม่ดี...แต่พวกมันกำลังเล่นกับสิ่งที่ตนไม่คู่ควร

     

    หูของข้าสดับฟังเสียงขยับกายอย่างกระสับกระส่ายของชายผู้อยู่เหนือชาวแอสการ์ดทั้งปวง

     

    “...โลกิ...”

     

    นามของข้ายังคงถูกเอื้อนเอ่ยออกมา...ราวกับผู้นิทรานั้นจะไม่มีวันยอมปล่อยมือ

     

    ไม่มีวันสิ้นสุด ตราบจนวันสุดท้าย...ของลมหายใจ

     

     

    --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † ---

     

     

     

     
    :: To Be Continued :: 

    Deleted Scene :: Take III

    - Determine -

     

     

     

     

     [1] มิโอลนิร์ - Mjolnir 

    ตามหนังรู้สึกจะถอดเสียงว่า โยเนียร์ แต่เนื่องจากเมไม่ค่อยคุ้นเท่าไหร่ (เรียกมิโอลนิร์มาตลอดเลยอ่ะ...) เลยขอถอดเสียงตามนี้ต่อไปนะคะ 

     

     
    O<---< ขออภัยที่ไม่ได้มาอัพสม่ำเสมอ งานหลวงทับถมมากเลยค่ะ ; w ; 
     
     
     
     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×