ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Antho The Avengers] Thor*Loki [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #1 : Redeem the sin :: Deleted Scene :: Take I - Fallen Angels Giants -

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1K
      24
      16 มิ.ย. 57

     

     

     

     

     

     

     

     

    Redeem the sin

     

     

    ได้เหรอ? หนี้กรรมขนาดนั้นมันลบล้างได้ด้วยเหรอ?

    บัญชีเจ้ามันยากจะฟื้น หนี้กรรมมหาศาล 

    ทำเศษบุญ แต่ขอล้างบาปทั้งชาติ  

    น่าสมเพชนัก!  

     

     

    ...คงไม่มีผู้ใดที่รู้ว่า...

    ...ทุกถ้อยคำนั้นทิ่มแทงหัวใจของข้าเอง...

     

     

    --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † ---

     

     

    ยามเมื่อข้าก้าวออกจากสถานที่คุมขังของกองกำลังแห่งมนุษย์ สายตาแหลมคมประหนึ่งหอกดาบต่างก็พากันหันมาจับจ้องจนแทบทิ่มแทงเข้าไปในผิวหนัง และอาจเป็นเพราะบางทีวาจาข้าคงยั่วโทสะพวกเขาเกินไป สุดท้ายแล้วพระเชษฐาจอมปลอมจึงตัดสินใจจะพันธนาการวาจาข้าเสีย ดังนั้นเวลานี้นอกจากสายตาเฉยชาประหนึ่งจ้องมองมดปลวกแล้วข้าก็ไม่อาจมอบอะไรให้ใครได้อีก

     

    แต่อันที่จริงแล้วมนุษย์เหล่านั้นจะคิดเห็นอย่างไรต่อข้ามันไม่สำคัญ ไม่สำคัญเลยแม้แต่น้อย เพราะสิ่งที่ข้ามุ่งมาดปรารถนากำลังจะกลายเป็นความจริง

     

    เสียงโซ่ที่ตรวนมือทั้งสองกระทบกันใสกังวานช่างบาดหู ข้าเดินตามพี่ชายไปด้วยฝีเท้ามั่นคงไร้ความสับสน มนุษย์คนหนึ่งยื่นเทซเซอแรคต์ให้พี่ชาย ข้าจ้องมองมันด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนจะเบือนมองเจ้าของมือที่ยื่นปลายอีกข้างของมันมาให้

     

    ...เพียงเท่านี้... 

     

    ข้ายื่นมือออกไปสัมผัสโลหะที่เยียบเย็นจนแทบทำให้สะกดอาการสั่นสะท้านไม่ไหว

     

    ข้าไม่ครั่นคร้ามต่อความตาย

     

    ข้าไม่หวั่นเกรงต่อความเกลียดชัง

     

    และข้าไม่ไยดีต่อถ้อยประณามสาปแช่งที่ร้องระงม

     

    สิ่งที่รอข้าอยู่เบื้องหน้าในอนาคตอันใกล้นี้ มีเพียงความตายอย่างไม่ต้องสงสัย และข้าก็ไม่ปรารถนาหนทางอื่นใดนอกเหนือจากนี้เช่นกัน

     

    ...เทซเซอแรคต์ก็จะได้กลับคืนสู่สถานที่ที่ควร... 

     

    ลูกบาศก์สี่เหลี่ยมในหลอดแก้วเปล่งแสงสีฟ้า พลังงานของมันสูงขึ้นเรื่อยๆ จนก่อให้เกิดสายลมพัดไหว และก่อนที่ข้าหรือใครๆ จะรู้ตัว แรงกระชากดึงรั้งมหาศาลก็พรากทัศนียภาพเบื้องหน้าให้หายไป

     

    ...และข้า...ก็กำลังจะกลับคืนสู่สถานที่ที่คู่ควรเช่นกัน...

     

     

     

    --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † ---

     

     

    Deleted Scene :: Take I

    - Fallen Angels Giants -

     

     

    ข้าลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก ลำคอแห้งแตกจนแทบเป็นผง รู้สึกเหมือนตัวเองก่อร่างสร้างขึ้นมาจากทราย เพียงเข้าใจไปว่าตัวเองคือหิน หากเมื่อมีใครสักคนออกแรงบีบ ก้อนหินที่เกิดจากทรายนั้นก็จะแตกออกเป็นเศษธุลี

     

    ข้ากระอักไอถ่มเลือดที่คั่งค้างอยู่ในลำคอ พลิกร่างให้ตะแคงคว่ำเพื่อถุยเอาเศษดินทรายและรสขมปร่าออกจากโพรงปาก สิ่งที่อาเจียนออกมาไม่ใช่น้ำย่อยในกระเพาะหรือเศษอาหาร หากแต่เป็นลิ่มเลือดก้อนดำๆ ส่งกลิ่นคาวน่ารังเกียจ

     

    ข้า...ยังไม่ตาย?

     

    ใช้เวลาอีกครู่ใหญ่ๆ เลยทีเดียวจึงเข้าใจได้ว่าตนเองยังหายใจอยู่

     

    สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นคือศีรษะที่ปวดร้าวจนแทบปริแยกระเบิดออกเป็นจุล

     

    ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไมถึงยังไม่ตาย ทำไมถึงยังต้องมีชีวิตอยู่ ทำไมถึงไม่มีอะไรเป็นไปดังใจสักอย่าง!

     

    ข้ากัดริมฝีปากแห้งแตกเป็นขลุยจนเลือดอาบ กู่ร้องในลำคอไร้เสียง มือกางจิกลงบนพื้นจนรู้สึกถึงเล็บที่ค่อยๆ ฉีก

     

    เนิ่นนานกว่าที่ข้าจะสงบลง เหงื่อโทรม หอบกระชั้น สารภาพตามความสัตย์จริง -- แม้มันจะหาจากข้าได้ยากเต็มทีก็ตาม ข้าไม่ยินดีเลยที่ยังคงมีชีวิตรอด ยังคงหายใจ ยังคงต้องแบกรับสายเลือดของผู้ที่กระทำปิตุฆาตเอาไว้โดยไม่รู้เท่าทัน ข้าอยากละทิ้งทุกอย่าง ทั้งความยินดีและความโกรธแค้น ทั้งครอบครัวที่ข้ารักและบุคคลอันเป็นที่รักที่ข้าชัง ความเจ็บปวด โศกเศร้า และเปล่าดาย

     

    ข้าคิดว่าจะสามารถละทิ้งมันทั้งหมดได้ด้วยความตายของตน

     

    ไม่ทราบเช่นกันว่าเป็นตลกร้ายอะไรที่ยังอุตส่าห์ทำให้ข้ามีชีวิตอยู่ ทั้งๆ ที่ไม่มีใครต้องการ ทั้งเสด็จพ่อ เสด็จแม่ ธอร์ ...หรือแม้กระทั่งตัวข้าเองก็ยังปรารถนาให้ตัวเองหายไปเลย

     

    ถึงแม้จะรังเกียจลมหายใจของตนไม่ต่างจากรังเกียจกลิ่นขยะเน่าเหม็น หากทว่าข้าหยิ่งในศักดิ์ศรีเกินกว่าจะกระทำเรื่องขี้ขลาดอย่างการฆ่าตัวตาย ไม่ ข้าไม่ต้องการจบชีวิตตัวเองด้วยมือของข้า กระทำราวกับคนขลาดเขลาเบาปัญญาได้แต่วิ่งหนีปัญหา ถึงแม้จะไม่รู้ว่าชะตากรรมจะเล่นตลกเช่นไรต่อไป หากข้าก็เลือกที่จะยังสูดกลิ่นขยะของลมหายใจแห่งตน

     

    เมื่อคิดทบทวนดูแล้วข้าก็ได้แต่ยิ้มหยันให้ตนเอง...ข้าหยิ่งในศักดิ์ศรี -- ศักดิ์แห่งเจ้าชายองค์รอง -- เจ้าชายจอมปลอมที่ไม่เคยมีตัวตน ทั้งๆ ที่รู้ดีแก่ใจหากข้าก็ไม่อาจละทิ้งมันลง

     

    ข้าไม่อาจปลิดชีพตนเองได้ อีกทั้งยังไม่อาจทนใช้ชีวิตอย่างหนูโสโครก ไร้ความอหังการ มุดหัวหลบอยู่ใต้ซอกหิน หายใจทิ้ง รอเวลาตายไปวันๆ

     

    ความปรารถนาอันแตกต่างกันอย่างเหลือแสนนี้ทำให้ข้าขำเหลือเกิน ขำจนต้องหัวเราะออกมา ขำจนน้ำตาเล็ด กุมท้องคุดคู้อยู่บนพื้นสกปรก และไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่เสียงหัวเราะกลับกลายเป็นเสียงสะอื้น

     

    ...ข้าควรทำอย่างไรต่อไปดี...

     

    ...

     

    สุดท้ายข้าก็เลือกที่จะฟื้นคืนพลังเวทให้ตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก ถึงแม้ทางเดินเบื้องหน้าจะยังคงมืดมิดยิ่งนัก และข้าก็ยังไม่สามารถเลือกทางเดินให้ตนเองได้ก้าวเดิน หากทว่าข้าก็ไม่อาจไม่แข็งแกร่งได้

     

    ดวงดาวที่ข้าหล่นลงมานี้เป็นดาวเคราะห์เล็กจ้อย แต่กลับมีแหล่งน้ำและสัตว์หน้าตาแปลกประหลาดซึ่งข้าไม่เคยเห็นมาก่อนหลบซ่อนอาศัย ข้าล่าสัตว์กินเนื้อมันโดยไม่สนว่าจะเป็นพิษหรือไม่ ...หากข้าตายเพราะพิษก็ถือว่าพระเจ้าปรานีชีวิตข้าแต่เพียงเท่านี้...

     

    เมื่อเริ่มแข็งแรงดีแล้ว..สมองอันสับสนงุนงงของข้าก็เริ่มคิดถึงสถานที่แห่งหนึ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะยามหลับ หรือยามตื่น ข้าก็มักจะเห็นภาพของแอสการ์ดอยู่เสมอ

     

    ...แน่นอนว่ามันไม่ใช่ภาพความทรงจำอันสวยงามน่าชื่นชม...

     

    ข้าคิดถึงสีหน้าของธอร์ตอนที่ตนเองเลือกจะปล่อยมือ สีหน้าของพระบิดายามเมื่อมองมาด้วยสายตาผิดหวัง สีหน้าของเสด็จแม่ที่เปี่ยมไปด้วยเมตตาเสมอ...

     

    ที่นี่ช่างว่างเปล่านัก...รู้ไหม ว่างเปล่าเหลือเกิน ไม่มีสงคราม ไม่มีสันติภาพ ไม่มีความขัดแย้ง ไม่มีผู้ปกครองหรือผู้ถูกปกครอง ไม่มีแสง และไม่มีเงา

     

    ...ไม่มีอะไรเลย...

     

    ว่างเปล่าจนข้าต้องใช้ชีวิตอยู่กับตัวเอง ครุ่นคิดเรื่องราวที่ผ่านมา ในอกปวดแปลบเจ็บยอกราวแผลที่ยังกลัดหนอง หากจะถอนมันเสียให้สิ้นคงมีแต่จะต้องกระชากหัวใจออกมาแล้วขยี้มันทิ้ง

     

    ดาวดวงนี้ไม่มีกลางวันและกลางคืน แต่ข้าใช้ชีวิตอย่างเป็นระบบมาตลอด ดังนั้นนาฬิกาในตัวข้าจึงพอจะคาดเดาได้ว่าเวลาผ่านมาหลายเดือนแล้ว...

     

    ข้าขยับมือ ลองกำและแบมันซ้ำๆ ไม่มีความเจ็บปวดสอดแทรกเจือปนอยู่ในทุกท่วงท่าที่ขยับกายแล้ว หลังจากนั้นข้าก็เริ่มร่ายเวท เริ่มจากเวทโจมตี เวทป้องกัน และเวทลวงตา

     

    เมื่อทุกอย่างเป็นที่น่าพอใจแล้ว...ข้าจึงเริ่มครุ่นคิดถึงแผนการที่วนเวียนอยู่ในหัวสมองมาได้หลายวัน

     

    ข้าจะไปแอสการ์ด

     

    ไปเพื่อเติมเชื้ออาฆาตและไฟแค้นให้แก่ตน

     

    ตลกไหม...แต่นั่นเป็นเหตุผลเดียวที่ข้าจะสามารถใช้เป็นข้ออ้างในการกลับบ้านได้

     

    แต่นั่นเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ข้าลุกขึ้นได้อีกครั้ง

     

    เนิ่นนานเหลือเกินแล้วนับตั้งแต่เหตุการณ์ที่สะพานสายรุ้ง ข้าคาดการณ์ไปต่างๆ นานา ประการแรกเลยคือพระเชษฐาผู้โง่เง่าคงลืมเลือนว่าเคยมีอนุชาจอมปลอมเช่นข้าแล้วกระมัง ในเมื่อความจำเขาไม่ได้ดีเท่าไหร่ ข้าก็ไม่ได้ปรารถนาหรอกว่าธอร์จะยังคงจดจำเงาของตนได้

     

    แอสการ์ดคงสงบสุขที่สุดในรอบหลายร้อยปีที่ผ่านมา เพราะเมื่อสะพานข้ามมิติถูกปิดลงแล้ว แม้หนทางในการไปเยือนต่างแดนจะถูกทำลายลง แต่ในอีกแง่ นั่นก็หมายความว่าจะไม่มีใครสามารถส่ง -ใคร- หรือ -อะไร- ก็ตามมารุกรานดินแดนแห่งทวยเทพได้

     

    ข้าไปเยือนแอสการ์ดโดยเชื่อมั่นเช่นนั้นอย่างหมดใจ

     

    หวังจะได้มองความสงบสุขด้วยสายตาคลั่งแค้น หวังจะได้เห็นธอร์นั่งหัวเราะร่าเสวยสุขอยู่บนบัลลังก์ด้วยหัวใจริษยา เพื่อให้ข้ายังสามารถบ้าคลั่งต่อไปได้

     

    และเมื่อนั้น...ธอร์จะเป็นผู้มอบจุดจบที่คู่ควรให้แก่ข้าเอง ข้าก็จะทำลายทุกอย่างให้พังพินาศด้วยมือตนเอง

     

     

    --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † ---

     
     
     
     
     
    :: To Be Continued :: 

    Deleted Scene :: Take II

    - Tears -

     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×