ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    @@Yaoi โดยLuk {เสน่ห์นางโชว์} เปิดจองนิยายรายละเอียดดูตอน 17

    ลำดับตอนที่ #2 : Part 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.76K
      49
      11 ก.ย. 57

    ภาพหนุ่มสาวกระซิบกระซาบอย่างสนิทสนม ดูมีความสุขสังเกตคุณเธอเผยรอยยิ้มตลอดเวลา
    เปลวไม่รอช้าเข้าประจันหน้า เป็นมารผจญขัดขวางชายหญิงผิดศีลธรรมคู่นี้ ตามภารกิจที่รับจ้างมาทันที

    “ไม่เหมาหมดทั้งร้านเลยล่ะ” ทั้งคู่ชะงักพร้อมใจมองเธอ ฝ่ายชายยากเดาความรู้สึกได้
    เพราะไม่เห็นสีหน้าให้จับสังเกต ยิ่งสวมแว่นดำปกปิดสายตากลายเป็นปัญหา
    ไม่น้อย
    ส่วนฝ่ายหญิงมีสีหน้างุนงงอย่างเห็นได้ชัด กับการปรากฏตัวของเปลว แปลกที่ไม่แสดงอาการตกใจอย่างที่ควรจะเป็น
    หากฝ่ายหญิงเป็นกิ๊กอยู่ในฐานะเมียเก็บ ลองมาเจอคำพูดประโยคเด็ดซึ่งเธอเพิ่งประชดน่าจะตีความได้บ้าง
    ยกเว้นทำแกล้งซื่อไม่เข้าใจความหมาย สรุปยัยนี้เล่นละครได้แยบยล..จึงไม่ควรประมาทเป็นอย่างยิ่ง

    “มีธุระอะไรคะ ดิฉันแน่ใจเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน” คำถามหลุดจากฝ่ายหญิง ทำเอาเปลวยิ้มร้ายตวัดสายตา
    จงใจหาเรื่อง ไม่คิดยืดเยื้อต่อปากต่อคำให้เสียเวลาเปล่าประโยชน์ เปลวพุ่งเข้าประเด็น

    ในเมื่อต้องการแสดงตัวประกาศศักดา พูดให้ถูกคือมาประจานหาเรื่องให้เมียเก็บหมอนี่อายจนเตลิดหนี
    ไม่กล้าแย่งสามีชาวบ้านก็แค่นั้น

    “ฉันไม่ได้มาทำความรู้จัก ที่แสดงตัวเพราะจะให้คุณรู้ว่าผู้ชายที่คุณควงเขามีเมียแล้ว นอกจากคุณรู้อยู่แก่ใจ
    แต่ไม่ละอายต่อการกระทำ เข้าใจจุดมุ่งหมายฉันแล้วสิ” น้ำเสียงเย้ยหยัน เปลวคาดว่าสาวหน้าหวานดูวัยอ่อนกว่าเธอพอสมควร
    ต้องเข้าใจ ระหว่างที่พูดเธอไม่ลืมตวัดหางตาใส่ผู้ชายที่ยืนตีคู่อย่างต้องการแสดงให้อีกฝ่ายรู้..เธอหมายถึงเขา

    สาวหน้าหวานดูตกตะลึงตามคาด ตาโตหันไปจ้องฝ่ายชายเพื่อต้องการคำอธิบาย เปลวประมวลผลทันที
    ยัยนี่ไม่รู้ไอ้ชีกอมีครอบครัวแล้ว ไม่ต้องคิดให้เปลืองสมอง ไอ้บ้านี่คงไปหลอกเธอว่าโสด มิน่าผู้หญิงที่ดูดีมีการศึกษา
    ถ้าไม่ถูกหลอกคงไม่หลวมตัวทำผิดศีลธรรม อย่างน้อยเปลวก็มั่นใจเกินกว่าครึ่ง เมื่อเธอถูกมันหลอกย่อมจัดการได้ไม่ยากแล้ว

    ฝ่ายหญิงส่งสายตาตั้งคำถาม ไปยังผู้ชายที่ยืนนิ่งไม่พูดไม่แก้ตัว ดูหมอนั่นจะควบคุมตัวเองได้ดีเกินคาด
    ซึ่งเปลวได้เตรียมคำพูดเอาไว้แล้ว ไม่ว่าหมอนั่นจะแก้ตัวยังไง เธอจะตีมึนเล่นบทเมียกำมะลอให้เขาสองคนแตกหักกันให้ได้
    ไม่งั้นภารกิจไม่สำเร็จอดได้เงินส่วนที่เหลือ

    “พี่ชายเพชรคะ ผู้หญิงคนนี้พูดจริงหรือคะ” เปลวรู้สึกขัดหูพิลึกกับสรรพนามที่เธอใช้เรียกหมอนั่น
    ฝ่ายชายไม่ตอบเพียงขยับถอดแว่นตาด้วยท่าทีสุขุมไม่มีการเอะอะพาโวย เปลวเองก็คิดไม่ถึงว่าเธอจะมาเจอคนสุขุมเยือกเย็นไ
    ด้อย่างหมอนี่ แต่ถือเป็นเรื่องดีที่ไม่ใส่อารมณ์สวนเธอกลับอย่างเคสที่เคยมี จนเธอต้องระวังป้องกันโดนทำร้าย
    แต่รายนี้ทำเปลวใจแกว่งได้ เมื่อเผลอมองสบสายตาคมกริบที่จ้องเธอนิ่ง ยอมรับผู้ชายตรงหน้าหล่อระเบิดระเบ้อ
    ไม่คิดเขาจะหน้าตาดีได้เพียงนี้

    ลูกตาคมรับสันจมูกโด่งภายใต้คิ้วเข้ม ซึ่งกำลังวิเคราะห์จ้องเปลวอย่างไม่วางตา
    ทำเธอรู้สึกร้อนหนาวต่อสายตามีอำนาจ เปลวไม่เคยเจอคนที่สามารถใช้สายตาสะกดผู้อื่นโดยไม่เอ่ยปาก
    แต่คนอย่างทองเปลวมีหรือจะยอมสยบสายตาของใครง่ายๆ

    “จ้องฉันทำไม คิดไม่ถึงสิจะโดนแฉ อย่านึกคุณจะมีความสุขบนความทุกข์คนอื่น
    แน่จริงกล้าสาบานว่าคุณยังไม่มีครอบครัว” ไม้ตายซึ่งเปลวงัดออกมาใช้ ต่อให้พ่อปลาไหลยืนยันไม่รู้จักเธอ
    กระทั่งยอมสาบานโกหกหน้าตายว่าไม่มีครอบครัว เธอจะตอกหน้าหงายเขาโกหกหน้าด้านๆ
    จะส่งเสียงดังเรียกร้องความสนใจผู้คนรอบข้างให้ดู ถึงตอนนั้นผู้หญิงก็จะอายกลัวการถูกประจาน
    แผนนี้ไม่เคยพลาดได้ผลดีเสมอมา

    ฝ่ายหญิงซึ่งรู้ตัวกำลังแย่งสามีชาวบ้านจะต้องล่าถอย ฝ่ายชายก็คงไม่กล้าบุ่มบ่ามใช้กำลังกับเธอด้วย
    เพราะกลัวคนประนามถือโอกาสเซฟตัวเองอีกต่างหาก หลังจากที่ได้ประเมินคู่กรณี สองคนนี้เข้าข่ายหน้าบางไม่ผิดไปจากนี้แน่ๆ
    คนที่มีลักษณะภูมิฐานผู้ดีจ๋า ดูมีการศึกษาชาติตระกูล จะไม่ยอมตกเป็นข่าวอื้อฉาว ถ้าเลี่ยงหลบได้จะยอมล่าถอยเสียมากกว่า

    “พี่ชายเพชรคะ มันเรื่องอะไรกันคะ” ฝ่ายหญิงย้ำหลังไม่เห็นทีท่าหมอนั่นจะปฏิเสธข้อกล่าวหาแต่อย่างใด

    “เขาจะพูดอะไรได้ วัวสันหลังหวะไม่คาดจะถูกสาวไส้คงตกตะลึงจนพูดไม่ออก
    ทีนี้คุณก็รู้แล้วว่าคนที่กำลังควงมีครอบครัว เลิกติดต่อผู้ชายคนนี้ซะ ไม่ต้องถูกใครเอาไปนินทาว่าแย่งผัวชาวบ้าน
    คุณดูมีการศึกษาคงไม่สิ้นคิดเอาอนาคตมาทิ้ง ยอมเป็นเมียเก็บกินน้ำใต้ศอกใครหรอกมั้ง”

    เปลวเมินสายตาผู้ชายที่จ้องเธอเขม็ง แต่ไม่ได้ตอบโต้คำพูดเธอ โดยเลี่ยงหันไปเน้นย้ำฝ่ายหญิง
    ที่เริ่มจะคลอนแคลนเทน้ำหนักคำพูดเธออย่างเห็นได้ชัด
    สังเกตจากแววตาสั่นระริก ถึงแม้ไม่รื้นน้ำตาอย่างผู้หญิงที่มีจริต
    มักใช้เรียกร้องความสงสาร จนนึกชมผู้หญิงคนนี้ในใจที่ยังรักศักดิ์ศรีลูกผู้หญิง คู่กรณีกำลังใช้สายตาตั้งคำถาม
    เพราะสับสนในข้อมูลกำมะลอ ที่เปลวแต่งเติมจากความเป็นจริง ในเมื่อเปลวไม่ใช่เมียของหมอนี่
    แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านายคนนี้มีครอบครัวแล้ว เธอแค่รับจ้างเมียหลวงให้มาทวงสิทธิ์แทนเท่านั้น

    แปลกที่หมอนี่ไม่ยักแก้ตัวโต้แย้งคำพูดเธอเลย พิลึกคนชะมัด นิ่งได้นิ่งดีจนเปลวเองก็ไม่เข้าใจนึกสงสัยอยู่พอสมควร

    “ถ้าคุณคือคนรักพี่ชายเพชร กรุณาเปลี่ยนความเข้าใจด้วย ดิฉันหม่อมราชวงศ์มุกดา มณีรมย์
    เป็นน้องสาวพี่ชายเพชรไม่ใช่เมียเก็บ ถึงคุณจะเป็นคนรักของพี่ชายเพชร แต่พวกเราทางวังมณีรมย์ไม่เคยรับรู้มาก่อน
    กรุณารับทราบเอาไว้ด้วย ศักดิ์ศรีคนวังมณีรมย์ไม่เคยมีความคิดไปเป็นเมียเก็บของใคร ยังมีอีกเรื่อง..
    ตราบใดที่คุณยังไม่ได้รับการรับรองจากพี่ชายเพชร ในเรื่องฐานะที่คบหากันแล้วล่ะก็ อย่าได้ประกาศตัวต่อหน้าเครือญาติ
    ในวงศ์สกุล พวกเราวังมณีรมย์ไม่ยอมรับฐานะนี้เป็นอันขาด” เปลวถูกสตั๊นนิ่งงันไปทันที
    หลังฟังคำพูดเน้นทุกถ้อยคำของผู้หญิงตรงหน้า ฐานันดรศักดิ์ที่ถูกยกอ้าง ถึงกับทำเอาเปลวพูดไม่ออกไปเลยทีเดียว

    “หม่อมราชวงศ์มุกดา พี่ชายเพชรแห่งวังมณีรมย์” เผลอครางแผ่วทวนชื่อสกุลอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อหู
    เป้าหมายที่เธอได้ข้อมูลเขาเป็นนักธุรกิจ ไม่ใช่หม่อมราชวงศ์ ขณะกำลังหน้าเจื่อนหลังรู้ตัวผิดคนแน่
    หนุ่มสาวอีกคู่ก็ก้าวออกจากห้องลองเสื้อด้านใน ปรากฏต่อสายตาไม่ห่างมากนัก

    ฝ่ายชายใส่เชิ้ตสีขาวกางเกงสแล็ค สวมแว่นดำไม่ผิดไปจากที่ได้ข้อมูลมา ฝ่ายหญิงรูปร่างเพรียวสมส่วน
    แต่เมื่อเทียบกับสองคนซึ่งกำลังเป็นคู่กรณี ไม่ว่าจะความภูมิฐานกระทั่งสง่าราศีก็เทียบไม่ติด
    แถมผู้ชายคนนั้นดูดีไม่ถึงครึ่งของหมอนี่ ทั้งรูปร่างหน้าตาหรือความสูง สำคัญคือรังสีกดดันนี่สิ

    หมอนี่ทำให้เปลวเหมือนตัวหดเล็กลงไปถนัด

    ไม่ต้องเสียเวลาหาคำตอบ เธอเล่นงานผิดฝาผิดตัวคงไม่สามารถแก้ไขอะไรได้
    เป็นครั้งแรกที่เธอสะเพร่าเลินเล่อจนผิดพลาด ส่วนชายหญิงคู่นั้นหน้าตาตื่น คงแอบได้ยินบทสนทนาที่เธอจงใจส่งเสียงดัง
    แล้วดันโดนเข้ากับตัวจังๆ วัวสันหลังหวะของแท้ ท่าทางดูร้อนรนเดินหนีออกจากร้านไปทันที เธอตั้งใจมาสร้างปัญหาให้พวกเขา
    แต่ดันรอดตัวไปเพราะโชคช่วยคงกลัวเจอเหตุการณ์แบบเดียวกัน เลยพากันหลบหายหัวให้ไว

    “แหะๆ ขอโทษนะคะ ดิฉันและทีมงานมารบกวนความเป็นส่วนตัวของพวกคุณ
    เรากำลังทำรายการเซอร์ไพรส์คนดัง พวกคุณเป็นผู้ถูกเลือกให้โดนเซอร์ไพรส์ครั้งนี้ ตอนนี้เหตุการณ์ปกติไม่ต้องตกอกตกใจ
    ต้องขออภัยแทนทีมงานเราที่ได้ข้อมูลผิดพลาด เป้าหมายไม่ตรงตามคอนเซ็ปคือเราไม่ได้ต้องการคู่เดทซึ่งเป็นพี่น้อง
    ทางเราต้องการทำเซอร์ไพรส์กับคู่รักที่ควงกันมาเดท คงต้องขอโทษอีกครั้ง สบายใจได้ค่ะเรื่องนี้จะไม่เปิดเผยที่ไหนเด็ดขาด
    ถ้าหากเข้าใจตรงกันแล้ว ดิฉันคงต้องขอตัวเลยค่ะ”

    เปลวรีบยกเมฆมาเป็นข้ออ้างเอาตัวรอด แม้จะรู้ดีสิ่งที่เธอพูดไปจะสร้างความสงสัยให้คนทั้งคู่เป็นอย่างมาก
    แต่ก็ไม่ยอมเปิดโอกาสให้สองหม่อมราชวงศ์พี่น้องซักถามเอาความกระจ่าง เธอขอตัวเสร็จรีบเผ่นทันที
    ไม่รั้งรอหันหลังก้าวหนีให้ไว ฝ่ายหญิงยังคงมีสีหน้างุนงงไม่หาย ฝ่ายชายยอมรับตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้หมอนั่นไม่พูดสักคำ
    ไม่รู้นิสัยสุขุมเยือกเย็น หรือกลัวดอกพิกุลจะร่วงก็สุดคาดเดา โชคดีที่เขาไม่พูดทำให้เธอไม่อึดอัดถือเป็นผลพลอยได้
    ยกเว้นสายตาคมกริบที่จับจ้องเธอสื่อความหมายให้รู้ ว่าเขารู้ทันและมองออก เธอกำลังโกหกคำโต..แม่เจ้าหน้าแตกอย่างแรง
    !

    ภารกิจครั้งนี้ล้มเหลวไม่เป็นท่า เสียเวลาแถมขายขี้หน้าเป้าหมายผิดฝาผิดตัว จนไม่กล้าเล่าความจริงให้พี่แจ่มกะเทยบ้าฟังว่าเธอทำภารกิจไม่สำเร็จ เว้นเสียแต่อ้างเดินหาจนทั่วแต่ไม่ยักเจอเป้าหมาย

    พี่แจ่มบ่นตามประสา ไม่ได้ต่อว่าอะไรเธอ เพราะเชื่อว่าเป้าหมายไม่ได้อยู่ในพื้นที่จริง
    ยังแอบกำชับทิ้งท้ายจะนัดเธอมาใหม่ หลังได้ตำแหน่งแน่นอนของเป้าหมายแล้ว เน้นย้ำว่าหนนี้ต้องไม่พลาด
    แต่เปลวคงไม่กล้ารับปากพี่แจ่มอย่างที่ผ่านมาอีกแล้ว จึงได้แต่พยักหน้าเออออไหลตามน้ำ

    ใครจะกล้าบอกเป้าหมายเห็นหน้าเธอแล้ว จะให้รับสมอ้างเมียหึงผัวก็พิลึกล่ะ ยัยเมียน้อยเมียเก็บนั่นคงเชื่อหรอก
    แต่เปลวก็ไม่ได้พูดอะไรไป ไม่อย่างนั้นมีหวังเงินมัดจำก็ชวดด้วย ต่อให้งานไม่สำเร็จแต่เธอก็เสียเวลา ใครจะยอมแห้วฟรี
    อ้อยเข้าปากช้างไม่มีคายสมฉายาจอมงก แต่ถ้าหากใครรู้จักชีวิตของเปลว ว่าเธอผ่านความลำบากทุกข์ยากมากแค่ไหน
    ก็คงไม่สนุกกับฉายาที่ตั้งให้เธอเป็นแน่

    > 

    > 

    “เปลว..ถึงคิวแล้ว พร้อมนะ” พี่เอกตะโกนเรียกให้เตรียมขึ้นเวที เรื่องราวถูกสลัดทิ้งอย่างมืออาชีพ
    โชว์ซูสีไทเฮาเปลวเป็นตัวเด่น เทินกะบะบนหัวอย่างในสมัยราชวงศ์ชิง ชุดที่ใส่ขับใบหน้างามผุดผาดเติมแต่งเสริมให้ดูมีอำนาจ
    ประหนึ่งดอกไม้งามแต่หนามคม โชว์ชุดเอกของสถานบันเทิงซึ่งคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว
    ล้วนประสงค์มาดูโชว์สุดเลิศหรูอลังการของสาวประเภทสอง ซึ่งโด่งดังเป็นที่รู้จักแพร่หลายทั้งชาวไทยชาวต่างชาติ
    ภายในโถงแสดงจึงดูแน่นขนัดจนไม่เหลือเก้าอี้ว่าง เพียงท่วงทำนองเพลงจีนที่ใช้ในการแสดงขึ้นอินโทร
    ก็ได้รับเสียงปรบมือต้อนรับดังกึกก้องไปทั่ว ทุกคนต่างรู้จักและคุ้นหูกันเป็นอย่างดี

    การแสดงโชว์ลิปซิ้งประกอบเพลง มีนักแสดงประกอบโดยที่เปลวรับบทเด่นเป็นซูสีไทเฮา
    สร้างความตื่นตาตื่นใจให้นักท่องเที่ยวชื่นชมเป็นเสียงเดียว ทั้งการจัดฉากแสงสีเสียงอลังการเสริมให้โชว์มีพลัง
    โดยเฉพาะบทพระนางซูสีไทเฮาที่เต็มไปด้วยอำนาจนิสัยเด็ดขาดเลื่องชื่อ สะกดตรึงทุกสายตาจนไม่อาจละจากใบหน้างาม
    ได้แม้แต่น้อย ยามริมฝีปากอวบอิ่มสีสดจากการวาดลิปสติกขยับตามเนื้อร้อง ผนวกท่าทางวางอำนาจดูเชิดผยองดุจพญาหงษ์
    ผู้อยู่เหนือบุรุษที่เล่นโดยนักแสดงประกอบ ยิ่งสายตาที่เปลวจงใจถ่ายทอดความดุดันเกรี้ยวกราด เล่นเอานักท่องเที่ยวชายหญิง
    ฮือฮาปรบมือให้อย่างพร้อมเพรียง รู้สึกมีอารมณ์ร่วมไปกับอินเนอร์ของนักแสดงที่พวกเขาไม่อาจปฏิเสธได้ว่า
    สาวประเภทสองสุดสวยคนนี้ทำให้พวกเขาดำดิ่งไปอยู่ในรัชสมัยของจีน ยุคราชวงศ์ชิงได้อย่างแทบไม่น่าเชื่อ
    นี่ต่างหากที่พวกเขาพร้อมใจลุกยืนปรบมือเกรียวกราว หลังการแสดงจบลง

    “อีเปลว..หล่อนอย่ามัวอืดอาดยืดยาด รีบไปพบลูกค้าวีไอพีด่วน” พี่เจสซี่ผู้จัดการใหญ่ กระวีกระวาดเข้ามาตามเปลว
    ถึงห้องแต่งตัว ทำเอานักแสดงที่อยู่ด้วยต่างแปลกใจ เริ่มส่ออาการสอดรู้สอดเห็นว่าแขกวีไอพีที่เจ๊อ้างถึงเป็นใครมาจากไหน
    ปกตินางโชว์มีชื่อทุกคนจะให้เกียรติออกไปยืนหน้าประตู เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ร่วมถ่ายรูปเป็นที่ระลึก
    ไม่เว้นเปลวก็ต้องไปทำหน้าที่เช่นกัน ยังไม่ถึงเวลาทำไมรีบมาตาม ซ้ำยังมาด้วยตัวเอง

    “อะไรเจ๊ซี่เปลวเพิ่งลงเวที ยังไม่ทันหายเหนื่อยเจ๊จะให้เปลวไปขอบคุณใครคะ” เปลวกำลังนั่งซับเหงื่อ
    อย่างระมัดระวังเผลอบ่น เธอไม่ใช่คนเรื่องมากเล่นองค์อะไรเลย การให้ไปขอบคุณลูกค้าบรรดานักท่องเที่ยว
    หรือแขกวีไอพีมีมาไม่บ่อยนัก เอาจริงๆ ถ้ามีคนกลุ่มนี้มาชมโชว์ อย่างน้อยนักแสดงก็จะได้ข้อมูลล่วงหน้า
    เปลวจำได้ว่าไม่มีเคสพิเศษแจ้งข้อมูลให้รู้  ทำไมเจาะจงเป็นเธอที่ไปขอบคุณ นางโชว์ที่จบการแสดงกันไปก่อนหน้านี้
    พักหายเหนื่อยมีอยู่ไม่น้อย เธอเพิ่งลงเวทีนั่งก้นยังไม่ทันอุ่น เจ๊เจสซี่ก็มาตามแถมตำหนิเธออืดอาดยืดยาดอีก
    ประโยคนี้ทำเอาเปลวรู้สึกฉุนนิดๆ

    “อร๊าย!!..ไม่มีใครบอกหล่อนหรือไงยะ ว่าคืนนี้เราได้รับเกียรติจากหม่อมหลวงมรกต
    พาเพื่อนชาวต่างชาติที่เรียนด้วยกันในสวิสมาชมโชว์เรา ที่ฉันมาตามหล่อนเพราะหม่อมหลวงมรกต
    เธอเจาะจงให้ตามหล่อนไปรับรางวัล พวกเพื่อนเขาชื่นชมหล่อนมากกับโชว์ชุดซูสีมีเหา..เอาเถอะหล่อนอย่ามัวโอ้เอ้
    ฉันไม่อยากให้หม่อมหลวงมรกตเธอหงุดหงิด รายนี้ออกจะขึ้นชื่อเรื่องถือยศถือศักดิ์เป็นที่รู้กันในแวดวงไฮโซ”
    เปลวถอนหายใจเฮือกใหญ่หลังได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของลูกค้าวีไอพีที่ต้องไปขอบคุณ
    ส่วนรางวัลเป็นธรรมดาที่นางโชว์ต้องการโดยไม่มีข้อโต้แย้ง เป็นส่วนชี้วัดแสดงให้เห็นว่าผลงานเธอถูกอกถูกใจผู้ชม
    จึงได้ตบรางวัลให้ นั่นหมายความนางโชว์มีเสน่ห์ดึงดูดคนดู แปลว่าบทเด่นค่าตัวสูงจะยังคงเป็นของเธอ
    จนกว่าการตอบรับจะหดหายร่อยหรอลง

    นางโชว์ตัวหลักตกกระป๋องกลายเป็นตัวประกอบ ค่าตัวจะน้อยลง มีอยู่มากมายในคณะ
    พูดให้ถูกตัวเด่นรับบทนำล้วนแย่งชิงสำหรับอาชีพนางโชว์ เพราะค่าตัวสูงแถมรายได้พิเศษมีมาก
    เนื่องจากนางโชว์พวกนี้มีโอกาสถ่ายรูปกับนักท่องเที่ยว รูปที่ถ่ายก็คือรายได้ยังไม่รวมเงินรางวัล
    ที่ได้รับนอกเหนือจากค่าตัวอีกต่างหาก เหมือนอย่างตอนนี้ที่เจ๊เจสซี่มาตามเปลวไปพบลูกค้าวีไอพีคนสำคัญ

    “ตกลง ไปเดี๋ยวนี้แหละเจ๊” เปลวรีบปรับน้ำเสียงสีหน้าให้เป็นปกติ ถึงจะรู้สึกตงิดใจไม่น้อย
    วันนี้ดวงเธอเป็นอะไรเจอแต่คนเชื้อเจ้า ภารกิจพิเศษก็มาพลาดเผลอปล่อยไก่ใส่หม่อมราชวงศ์สองพี่น้องเข้า
    นี้ก็ต้องไปพบหม่อมหลวงอีก พักนี้เปลวเริ่มรู้สึกชีวิตมีพวกเชื้อเจ้ามาข้องแวะ ไม่ว่าจะเป็นเธอเผลอเรอเดินเข้าหาเอง
    หรือฝ่ายโน้นจะเข้าหาเธอก็ไม่ต่างกัน

                “ขอโทษด้วยค่ะที่ต้องรอ น้องเปลวมาแล้วค่ะ” เจ๊เจสซี่จีบปากจีบคอรีบฉอเลาะ หลังพาเปลวเข้าไปยังห้องวีไอพี
    ซึ่งมีไว้สำหรับลูกค้าไฮคลาส มีอาหารและเครื่องดื่มบริการเป็นพิเศษในโซนไพรเวทที่ชมการแสดงอยู่ภายในห้องกระจก
    หม่อมหลวงมรกตและเพื่อนชาวต่างชาติชายหญิงอีก
    5 คน ส่งยิ้มให้เปลวที่ยืนสงบเสงี่ยมอยู่ข้างกายเจ๊เจสซี่

                “ไม่เป็นไรยังรอไม่นาน แต่ถ้าช้ากว่านี้คงตำหนิกันบ้าง เธอใช่ไหมที่แสดงเป็นซูสีไทเฮา”
    หม่อมหลวงมรกตเอ่ยปาก เพียงคำพูดแรกที่พบหน้าก็ทำให้เปลวเชื่อว่า หม่อมหลวงคนนี้เอาแต่ใจแค่ไหน
    ลักษณะวางอำนาจซ้ำแววตาคมเฉี่ยวที่จ้องมายังเปลว บ่งบอกว่าเธอไม่ได้ชื่นชอบเปลวอย่างที่คนทั่วไปจะใช้มองคู่สนทนา
    นี่คงขัดเพื่อนต่างชาติไม่ได้มากกว่าถึงได้ให้ไปตามเธอมา สรุปจำใจทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดีพูดแบบนี้คงไม่ผิด

                “ค่ะ..เป็นฉันที่โชว์ซูสีไทเฮา” เปลวตอบด้วยการใช้โทนเสียงปกติไม่แสดงอาการไม่พอใจกับท่าทีของเธอแต่อย่างใด
    นั่นเป็นเพราะเปลวรู้ดีถึงฐานะซึ่งแตกต่างระหว่างเธอกับกลุ่มบุคคลตรงหน้า

                “เห็นใกล้ๆ สวยกว่าผู้หญิงเสียอีก ศัลยกรรมสมัยนี้ก้าวหน้าจนต้องยอมรับ สามารถทำให้พวกเธอสวย
    ได้อย่างน่าทึ่ง..คิกคิกๆๆ” พูดจบก็ปิดปากอย่างมีจริตหัวเราะพองามอย่างผู้ดีเขามักทำกัน
    เปลวรู้สึกหน้าตึงเล็กน้อยกับคำวิจารณ์ที่ได้ยินจากปากของหม่อมหลวงมรกต

    และแน่นอนเมื่อเธอมีท่าทีตลกขบขันถูกอกถูกใจ ย่อมส่งผลให้เพื่อนชาวต่างชาติที่ฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่อง
    พากันสงสัยจึงอดถามเธอไม่ได้ และเธอก็บอกไปไม่มีเบี่ยงเบนจากที่พูดก่อนหน้า ทำเอาเพื่อนชายหญิงที่มากับเธอ
    พร้อมใจกันหัวเราะ โดยที่ผู้ชายชาวออสซี่หนึ่งในนั้นจะชมเปลวว่าสวยจนเขาเองก็คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเลดี้บอย

                “ขอบคุณค่ะที่ชื่นชมน้องเปลว มีใครต้องการถ่ายรูปกับน้องเปลวเป็นที่ระลึกบ้างไหมค่ะ”
    เจ๊เจสซี่รีบแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้า เมื่อสังเกตแววตาของเปลวไหวระริกอย่างไม่สบอารมณ์ ซึ่งก็หมายถึงตัวเจ๊เองก็ด้วย

    การพูดแบบนี้เหมือนเห็นเลดี้บอยเป็นพวกพลาสติก ถ้าไม่ได้รับการศัลยกรรมคงดูไม่ได้อะไรเทือกนั้น
    ส่วนใหญ่เลดี้บอยร้อยละเก้าสิบผ่านการศัลยกรรมจึงจะเนี๊ยบไร้ที่ติ แต่ก็มีอยู่จำนวนไม่น้อยที่สวรรค์ให้มาโดยไม่ต้องทำอะไร
    รูปร่างหน้าตาผิวพรรณของคนกลุ่มนี้ก็สวยใสเกินหญิงชนิดเทียบกันไม่ติดฝุ่น นั่นแปลว่าคนพวกนี้มีพันธุกรรมยีนส์
    ของเพศแม่ติดตัวมามากกว่าพ่อ พูดให้เข้าใจง่ายเกิดผิดเพศควรที่จะเป็นหญิงให้รู้แล้วรู้รอด  
    ดันเสือกได้ดุ้นมาแทนสามเหลี่ยมเบอมิวด้า

    ทั้งที่รูปร่างหน้าตาสรีระลงตัวอย่างกับจับเอามาปั้น ซึ่งเปลวก็จัดอยู่ในกลุ่มคนจำพวกนี้
    โดยพรสวรรค์ที่ติดตัวมาเธอนำมาใช้ทำมาหากินได้ และไม่เคยคิดที่จะปฏิเสธในเพศสภาพ รวมถึงรสนิยมส่วนตัวของตนเอง

                “ไมเคิลกับพวกเพื่อนฉันเขาคงอยากถ่าย แต่ฉันคงไม่ถ่ายไว้หรอกไม่คิดเก็บเป็นที่ระลึก
    วังมณีรมย์ไม่เหมาะมีรูปแบบนี้อยู่ในวัง” คำพูดที่เอ่ยจากปากหม่อมหลวงมรกต ทำเอาเจ๊เจสซี่ถึงกับยิ้มเจื่อน
    แต่ก็ยังคงรักษาอาการได้ดี ด้วยประสบการณ์ที่เธอเคยรับมือคนประเภทนี้มาไม่น้อย

                ส่วนเปลวถึงกับหน้านิ่ง ภายในใจปุดๆ เดือดเป็นน้ำร้อนเรียบร้อย ที่ยังสามารถสะกดกลั้นไม่ระเบิดอารมณ์ใส่ เป็นเพราะเปลวรู้ว่าขืนทำอะไรแบบนั้นเธอได้หมดอาชีพแน่ จึงเลือกนับหนึ่งถึงสิบไม่ต่อปากต่อคำด้วย คิดเสียว่าหม่อมหลวงที่สวยแต่รูปแต่จูบไม่หอมนางนี้ ก็ไม่ต่างชะนีเห่าเก่ง ลืมไปว่าเธอเป็นชะนีแต่ดันมีพฤติกรรมเลียนแบบสุนัข คิดแบบนี้ก็ทำใจมองข้ามไม่ยอมให้โทสะครอบงำ

     คงเห็นเปลวไม่โต้ตอบ กระทั่งเจ๊เจสซี่ก็เลือกที่จะไม่ปะทะคารมสู้ หม่อมหลวงมรกตจึงหมดอารมณ์สนุก
    ว่าแดกพวกเธออีก หันบอกเพื่อนๆ ให้ถ่ายรูปเปลวอย่างที่พวกเขาต้องการ ไม่วายแอบตวัดหางตาเหยียด
    ส่งให้เปลวกับเจ๊เจสซี่อย่างดูถูก บ่งบอกชัดว่าเธอไม่ได้ชื่นชอบสาวเทียม

                กว่าจะหลุดออกมาจากห้องนั้นได้ เปลวก็ต้องท่องขันติไปนับร้อย ใช่จะมีแต่เปลวเท่านั้น
    เจ๊เจสซี่หลังหมดหน้าที่ก็บ่นเป็นหมีกินผึ้ง เปลวเองยังขำจนได้ ไม่คิดว่าเจ๊ก็เกิดฉุนจัด
    นึกว่าจะมีแต่เธอที่อยากตบล้างน้ำเลาะฟันในปากหม่อมหลวงจอมวางท่าได้รู้สำนึกสักฉาดสองฉาด..เจ๊แกก็แรง

                “โอ๊ย! กูอยากจิกหนังหัวคนชะมัด นึกว่ามึงเป็นนางฟ้านางสวรรค์หรืออีดอก โถ่ๆ! เป็นเจ้าแล้วไง
    ขี้ไม่เหลืองตดไม่เหม็นหรือไงอีห่าราก..ถุย
    !

                “ฮะฮ่าๆ..เปลวนึกว่าเจ๊หงอนางเสียอีก แสดงว่าทนกล้ำกลืนอยู่สิ” เปลวขำท่าทางผู้จัดการสาวเทียม
    แต่งหญิงเฉาะแล้วเรียบร้อย เพราะรู้ดีว่าที่เจ๊แกโกรธ คงเพราะถูกหยามงามด้วยศัลยกรรม
    ทั้งเนื้อทั้งตัวเจ๊แกดัน ศัลยกรรมมาแทบทั้งสิ้น คนที่รับไปเต็มๆ จะเป็นใครได้

                “หัวเราะเข้าไป หล่อนไม่ร้อนตัวนิ เพราะหล่อนไม่ได้เสริมเติมแต่ง นมก็ไม่ได้ผ่าแค่อาศัยยัดแทน
    หน้าตาหล่อนก็เริ่ดไม่ต้องเสริมดั้งใส่บิ๊กอาย ดุ้นก็ไม่ได้เฉาะ ฉันยังคิดว่าหล่อนสาวเสียบเลยอีเปลว
    ที่หัวเราะนี่ไม่เดือดเนื้อร้อนใจหึ ฉันคงเข้าใจผิดที่เห็นหล่อนหน้าตึง ดันนึกว่าหล่อนกำลังโกรธ
    กลัวหล่อนตั๊นหน้าหม่อมหลวงปากมอมนั่นเสียอีก” เจ๊แกบ่นค้อนเปลวไปที

                “ใครจะไม่เดือดล่ะเจ๊ ถึงเปลวจะไม่ผ่านมีดหมอแต่ก็รักพวกพ้อง เปลวก็เป็นแบบเจ๊ ลองโดนชะนีดูถูกใส่ใครจะไม่โกรธ
    ที่ไม่ได้ทำอย่างใจคิด เจ๊คงมีคำตอบอยู่เหมือนกัน เราทำแบบนั้นได้ไงในเมื่อยัยมอมปากหมานั่น
     เสือกเป็นหม่อมหลวงในวงในวัง พานกลายเป็นเรื่องใหญ่ไม่ต้องทำมาหากินสิ ไม่คุ้มถ้าให้ลงไม้ลงมือกับยัยห่านั่น
    ว่าแต่วังที่ยัยนั่นพูดวังอะไรกันเจ๊เปลวรู้สึกคุ้นหู แต่ไม่แน่ใจกลัวตัวเองฟังมาผิด”

                “จะวังอะไรอีกยะ มีอยู่วังเดียวโดดเด่นโด่งดังอยู่เวลานี้”

                “วังอะไรเล่าเจ๊ มัวอมพะนำอยู่ได้” เปลวนึกฉุนที่เจ๊แกเล่นท่า

                “อ้าวอีนี่..วังนี้ดังกระฉ่อน มัวมุดหัวอยู่ไหนถึงตกข่าว วังมณีรมย์ ที่หม่อมราชวงศ์เพชรรัตน์ ขวัญใจสาวแท้สาวเทียม
    เซเลบไฮโซน้ำลายยืด น้ำหมากหกตามกันเป็นแถว เป็นผู้ครอบครองกรรมสิทธิ์คนปัจจุบัน

    ส่วนยัยหม่อมหลวงมรกตก็แค่ลูกหม่อมก้นครัว ชอบเบ่งบารมีวางอำนาจนิสัยไม่ต่างกับแม่
    เรื่องนี้คนในวงการมีใครไม่รู้กำพืดของนางล่ะ เพียงแต่ไม่มีใครกล้าแฉซึ่งหน้า เพราะเห็นแก่คุณชายเพชรรัตน์หรอกโว้ย
    รายนี้เขาเชื้อเจ้าเนื้อแท้ หนุ่มหล่อฐานะรวยอันดับต้นถูกโหวตเป็นสุดยอดของหนุ่มในฝันแห่งปีเชียวนะ..อีเปลว”
    เปลวนิ่งไปครู่ ก่อนจะบ่นขึ้นเบาๆ

                “ทำไมจะไม่รู้จัก รู้ดีทีเดียว”

                “มึงบ่นอะไรของมึง แอบด่ากูหรือไงอีนี่” เจ๊เจสซี่ถลึงตาดุใส่

                “เปล่าเจ๊..เปลวแค่ทวนชื่อวังกับชื่อคุณชายอะไรนั่นเท่านั้น”

                “มันจะจำยากตรงไหน วังมณีรมย์ ส่วนคุณชายเพชรเธอมีชื่อจริงว่าเพชรรัตน์
    พี่น้องคนในวังนี้ล้วนมีชื่อเป็นอัญมณีทั้งตระกูล ยัยหม่อมปากมอมนิสัยเน่ารายนี้ก็มรกต
    ส่วนคนที่เหลือฉันไม่ขอไล่รายละเอียดแล้วล่ะ ไม่ใช่กลุ่มคนที่พวกเราจะเกี่ยวข้องด้วย
    เอาเป็นว่าอย่าไปพูดถึงเลยดีกว่า กลับไปเตรียมตัวส่งลูกค้าหน้าประตูเถอะเปลว คนรอถ่ายรูปคู่หล่อนเยอะ”

                “ค่ะเจ๊..งั้นเปลวขอตัวเลยนะ”

                “เออ..ฉันคงต้องทำใจปั้นรอยยิ้ม รีบไล่ยัยหม่อมมอมไปให้พ้นซะ เป็นไปได้คราวหน้าแม่จะบอกโต๊ะเต็ม
    ไม่รับแม่งหรอก” เปลวอดขำไปกับอาการหัวเสียของเจ๊เจสซี่ผู้จัดการคนเก่งไม่ได้ มีไม่บ่อยที่เจ๊แกจะฟิวส์ขาดกับลูกค้าสำคัญ
    ระดับวีไอพีเช่นนี้ นอกเสียจากไม่ถูกชะตาเข้าให้อย่างแรง คล้อยหลังเจ๊เจสซี่เปลวยังคงยืนนิ่ง
    ท่าทางจมอยู่กับความคิดพูดขมุบขมิบ

                “วังมณีรมย์ คนในวังตั้งชื่ออัญมณี ทำไมเปลวจะไม่รู้ล่ะ รู้ดีกว่าใครเสียอีก ในเมื่ออีเปลวคนนี้มันก็ได้ชื่ออัญมณี
    เหมือนกัน แต่มันเป็นได้แค่
    ทองเปลว ไม่ใช่ทองแท่งหรือทองเนื้อเก้า ซึ่งเหมาะสมเป็นส่วนหนึ่งของวังนี้ก็เท่านั้น”
    เสียงรำพันตามหลังเจ๊เจสซี่ มีเพียงคนพูดที่รู้ความหมายแฝง คงไม่มีใครเข้าใจหรอก โดยเฉพาะแววตาเจ็บปวดของคนพูด
    ยามเอ่ยกับตัวเองเบาๆ เหมือนต้องการจะตอกย้ำกึ่งเชิงสมเพชในชะตาชีวิต

                ไม่มีใครล่วงรู้เลยว่า อีเปลวที่ทุกคนรู้จักมีชาติกำเนิดเป็นมายังไงในเมื่อชีวประวัติที่ทุกคนรับรู้นั้น
    อีเปลวหรือน้องเปลวเป็นเพียงเด็กกำพร้าดิ้นรนหาเลี้ยงตัวเองด้วยการยึดอาชีพนางโชว์
    ซึ่งไปได้สวยเป็นเพราะคุณสมบัติด้านรูปร่างหน้าตามีมาพร้อม เธอผู้มีวัย
    22 ปีจึงได้มายืนยังจุดนี้
    ร่วมกับทีมงานนางโชว์ที่มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักในเมืองท่องเที่ยวอันดับต้นของโลกในนาม
    พัทยา
    แหล่งที่เต็มไปด้วยสาวประเพศสอง สร้างชื่อให้เมืองไทยเป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติได้เป็นอย่างดี

    [ออกมาหรือยัง..เปลว]

    “อืม..กูกำลังไป..มึงล่ะเก็บร้านยัง”

    [กูเก็บเรียบร้อย เดี๋ยวเจอที่ร้านเฮียกวงทีเดียว]

    “เอางั้นเหรอ ตกลงมื้อนี้ฝากท้องร้านเฮียกวง”

    [นั่นแหละดีสุด เฮียเขาน่ารักราคาประหยัดคับคุณภาพ ฝากท้องเฮียแกตั้งแต่ปวช.
    ตอนนี้แกยังคิดราคาประหยัดให้เราเหมือนเดิมอยู่มึง
    ]

    “คึคึ!..กูจ่ายราคาปกติได้นะหนิม ทำไมแกยังขายราคาเดิมให้วะ”

    [เพราะแกรู้ไง มึงกับกูมันพวกปากกัดตีนถีบ ถึงมึงจะเป็นนางโชว์มีรายได้ดีแต่ก็ยังไม่มีบ้านอยู่
    สุดท้ายยังต้องเช่าคอนโดเขา ส่วนกูก็พ่อค้าหาเช้ากินค่ำ ถ้าไม่เป็นเพราะมึงกูจะมีปัญญาอยู่คอนโดหืม
    ]

    “ดราม่าแล้ว เดี๋ยวเจอกันนะ” เปลวชิงตัดบท หลังสนิมเพื่อนรักซึ่งโตมาด้วยกันดึงเข้าโหมดดราม่า
    เปลวไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดหรือคิดปฏิเสธฟังการระบายของหนิมแต่อย่างใด ทำไมจะไม่รู้นิสัย..สนิมหรือหนิมเกย์สาว
    หน้าตาบ้านๆ มีแผลหลุมเกิดจากสิวอยู่เต็มหน้า สาเหตุนี้สนิมจึงทำอาชีพค้าขายโดยเปิดร้านในตลาด
    ขายพวกเสื้อผ้าสมัยนิยมที่รับมาจากโบ๊เบ๊กับประตูน้ำ เน้นขายให้นักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติที่มาพักผ่อน

                สนิมไม่ใช่ไม่คิดที่จะเป็นนางโชว์ แต่รูปร่างหน้าตาไม่เอื้ออำนวยให้เข้าวงการจึงหันมาเอาดีตามที่ถนัด
    บวกได้ความช่วยเหลือจากเปลวทำให้หนิมมีร้านเป็นของตัวเองย่านเศรษฐกิจ หากไม่มีทุนก้อนโตพอสมควร
    คาดว่าคงไม่มีพื้นที่ทำมาหากินได้อย่างทุกวันนี้แน่นอน

    ทั้งสองเป็นเพื่อนรักกันตั้งแต่รุ่นแม่ เริ่มจากแม่ของเปลวเป็นเพื่อนสนิทกับแม่ของสนิม
    ซึ่งได้ความช่วยเหลือจากแม่ของสนิมในวันที่เธอกำลังลำบากไร้ญาติขาดมิตร ในขณะมีอีกหนึ่งชีวิตติดอยู่ในท้องมาด้วย
    น้ำใจของเพื่อนที่หยิบยื่นให้ ทั้งที่แม่ของสนิมเองก็แทบเอาตัวไม่รอด กลับไม่ทิ้งเพื่อนให้ลำบากอยู่เพียงลำพัง

    สองสาวซึ่งตกอยู่ในภาวะหัวอกเดียวกัน มิตรภาพเพื่อนตายจึงถือกำเนิดขึ้น หญิงแกร่งซึ่งมีลูกชายวัยห่างกันแค่ 6 เดือน
    เห็นพ้องต้องกันว่าพวกเธอจะช่วยกันเลี้ยงลูก เด็กน้อยทั้งสองจึงมีแม่สองคน ที่คอยสลับกันป้อนข้าวป้อนนมให้พวกเขา
    มองความเปลี่ยนแปลงในวันที่พวกเขาเติบโตมาด้วยกัน อาชีพที่สองสาวแกร่งหาเลี้ยงลูกคือแม่ค้าตามชายหาดสถานที่ท่องเที่ยว
    พักผ่อน แม้รายได้จะอัตคัดขัดสน แต่พวกเธอก็ไม่เคยคิดย่อท้อ สามารถเลี้ยงดูส่งเสียให้ลูกเข้าเรียน
    แต่โชคชะตาก็ยังคงตามราวีให้ชีวิตที่ลำบากอยู่แล้ว ต้องพบกับการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่อีกจนได้

    วันเทศกาลซึ่งเป็นที่รู้จักเรียกกันดี วันไหล มีขึ้นหลังวันสงกรานต์มักจัดระหว่าง 16 – 20 เมษายนของทุกปี
    ขณะที่เปลวกับสนิมเรียนอยู่ชั้นปวช.
    2 ก็ต้องเคว้งคว้างขาดเสาหลัก กำลังใจคนสำคัญจากไปไม่มีวันกลับ

    วันไหลปีนั้นเกิดเหตุการณ์สะเทือนใจที่สุด กลุ่มคู่อริดันก่อเรื่องทะเลาะวิวาทรุนแรงถึงขั้นปาระเบิดปิงปอง
    ทำร้ายกันขึ้น สองแม่ค้าที่มุ่งจะกอบโกยเอารายได้ในช่วงเทศกาลประจำปี ต่างต้องมาจบชีวิตลงพร้อมกับเหตุการณ์ดังกล่าว
    โดยไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่ จากลูกหลงของระเบิดนั่นเอง

    ประชาชนตาดำๆ ชนชั้นรากหญ้าฐานะยากจนตายไปก็คงไม่ต่างกับแมลงวันตัวหนึ่ง
    คดีนี้ตามจับผู้ร้ายไม่ได้ไม่มีคนออกมารับผิดชอบอะไร นอกจากมีเงินช่วยเหลือของภาครัฐเพียงหยิบมือ
    ที่นำมามอบให้แก่ทายาทเพื่อเอาไปใช้จัดงานศพ นี่คือที่มาของเรื่องราวระหว่างทองเปลวกับสนิม
    ทั้งคู่ต่างให้สัญญาจะไม่ทอดทิ้งกัน ต่อให้ใครได้ดีหรือลำบากยากแค้นลง ก็จะช่วยเหลือเกื้อกูลกันตลอดไป
    ความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ใช่แค่เด็กที่โตมาด้วยกัน แต่มันคือความผูกพันดุจพี่น้องร่วมสายเลือด
    ในเมื่อพวกเขามีชีวิตดุจสำเนาเดียวกัน จึงรู้ซึ้งถึงแก่นแท้ของคำว่าลำบากไม่เหลือที่พึ่งพิง
    หากไม่รักใคร่กลมเกลียวสามัคคีกันแล้ว จะมีใครคอยดูแลยามเจ็บป่วยล่ะ

    เปลวได้มรดกทางแม่มาเยอะ แม่ของเปลวเป็นคนสวยผิวพรรณหน้าตากล้าพูดได้ว่า
    หากเธอไม่รักศักดิ์ศรีนิยมชมชอบความสบายหรูหราล่ะก็ คงไม่ต้องพาตัวเองและลูกมาพบกับความลำบาก
    แต่เธอเป็นคนมีทิฐิแรงกล้า หยิ่งในเกียรติและศักดิ์ศรีตัวเองสูง ต่อให้อดมื้อกินมื้อก็ไม่เคยคิดขายตัวตามที่มีคนมาชักชวน
    เธอเลือกที่จะเลี้ยงลูกด้วยความภาคภูมิใจยิ่ง

    แม่ของสนิมเป็นผู้หญิงธรรมดา ไม่ได้หน้าตาสะสวยโดดเด่นอะไร แต่ทั้งสองล้วนมีเหมือนกันคือน้ำอดน้ำทน
    ซ้ำโชคร้ายไม่สมหวังในชีวิตรัก  แถมอุ้มท้องลูกชายเหมือนกันอีก ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่ใช่ลูกไม่ไถ่ถาม
    ถึงเรื่องราวของพ่อผู้ให้กำเนิด คำตอบที่ได้จากแม่ทั้งสอง ทำให้เปลวและสนิม
    ไม่คิดที่จะติดตามสืบเสาะถามไถ่เรื่องราวของคนเป็นพ่ออีกเลย..นับแต่นั้น

    พ่อมึงมันกะล่อน ติดยาเล่นการพนันเสือผู้หญิง ถ้ารู้แต่แรกมันเป็นคนไม่ทำมาหากินล่ะก็
    แม่คงไม่หลวมตัวหลวมใจ เลิกสนใจเถอะสนิม รู้แค่มีแม่คนเดียวก็พอ ไม่ต้องเซ้าซี้ถามเชียวล่ะ” ข้อมูลที่ได้
    ทำให้หนิมไม่คิดจะเอ่ยปากถามถึงพ่ออีก ไม่ต่างจากเปลวที่เรื่องราวของผู้เป็นพ่อคือสิ่งต้องห้ามแทน
    เปลวรู้เพียงว่าตนเองต้องอยู่ให้ห่างไม่ยุ่งเกี่ยวได้ดีที่สุด

    พ่อของเปลวเกี่ยวพันกับคนในวังมณีรมย์ แม่ไม่พูดถึงคนในวังนี้ บอกแต่เพียงว่า เปลวเกิดจากความรักของแม่กับพ่อ
    ไม่ใช่เกิดจากผลพวงของความผิดพลาด เพียงแต่แม่กับพ่อไม่อาจอยู่ด้วยกันได้ การที่แม่ตั้งท้องพ่อไม่รู้ด้วยซ้ำ
    แม่ย้ำเปลวไม่ให้โกรธเกลียดพ่อ สาเหตุที่แม่ให้อยู่ห่างไกลจากคนของวังมณีรมย์ เป็นเพราะแม่ห่วงความปลอดภัยของเปลว
    การที่ได้เห็นเปลวลืมตาดูโลก แม่ยังแอบคิดว่าฝันไปด้วยซ้ำ ถ้าไม่ได้สร้อยแม่ของสนิมยื่นมือช่วยเหลือครั้งนั้น
    ป่านนี้สองแม่ลูกยังจะมีชีวิตอยู่ไหมก็ยังไม่รู้ เผลอๆ แม่อาจตายไปแล้วก็ได้ ในขณะที่มีเปลวอยู่ในท้องของแม่ด้วย

    แม่ห้ามไม่ให้สืบเสาะตามหาพ่อ ไม่ว่าวันข้างหน้าเปลวจะพบกับความสบายหรือลำบากก็ตามแต่
    ให้ตัดเรื่องของพ่อออกจากความคิดเสีย เป็นไปได้เรื่องของคนวังมณีรมย์ ก็ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะเก็บมาใส่ใจอีกด้วย

    แม่ให้เปลวรับปากว่าจะทำตามที่แม่ขอร้อง ดังนั้นเรื่องราวของพ่อ เปลวจึงไม่คิดสืบหาความจริงอีกเลย
    กระทั่งชื่อแซ่ของท่านยังไม่รู้ด้วยซ้ำ เพราะรับปากสัญญากับแม่เอาไว้ แม้ภายในใจเปลวเชื่อว่าวังมณีรมย์คงมีส่วนเกี่ยวพัน
    กับชาติกำเนิดอย่างไม่ต้องสงสัย แม่จึงห้ามไม่ให้สืบเสาะหาพ่อเพราะกลัวเปลวจะพบกับอันตราย
    ถ้าแม่ออกจากที่นั่นไม่ได้ เปลวก็คงไม่มีโอกาสได้มายืนหายใจอยู่บนโลกใบนี้ สาเหตุที่เปลวคุ้นชื่อวังมณีรมย์
    มาจากเหตุผลเหล่านี้ แต่กลับไม่รู้จักบุคคลและความเป็นไปของคนภายในวังเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งชาติกำเนิดก็ยังคงเป็นปริศนา
    ไม่ได้คลี่คลายในปมที่คลางแคลงสงสัยแต่อย่างใด เปลวยอมทำตามคำพูดที่รับปากแม่เอาไว้อย่างเคร่งครัด
    คือไม่ติดตามสืบค้นเรื่องราวของพ่อ คิดแค่ว่าเปลวกำพร้าไม่มีพ่อตั้งแต่ลืมตาดูโลก
    ทำให้เรื่องราวของพ่อตายตามแม่ไปด้วยเช่นกัน

    “ทางนี้..เปลว” หนิมโบกมือเหยงๆ ให้สัญญาณว่านั่งอยู่ตรงส่วนนี้ ซึ่งไม่ใช่ที่ประจำ
    มิน่าเปลวถึงมองไม่เห็นตอนเดินเข้ามา เปลวพยักหน้าไปให้แทนการตอบรับ
    กำลังจะดิ่งเข้าไปจังหวะเฮียกวงปรี่เข้ามาทักเสียก่อน

    “อาเปลว ลื้อเป็นยังงายสบายลีไม้” ชายหัวล้านรุ่นเดียวกันกับแม่ หยิบยื่นความห่วงใยให้เสมอ..ทุกครั้งที่ได้พบเจอ

    “สบายดีครับ แล้วเฮียล่ะสบายดีไหม” เปลวยิ้มจริงใจรู้สึกอบอุ่นอย่างไม่มีคำอธิบาย
    เฮียกวงเอ็นดูเปลวกับหนิมไม่ต่างลูกหลานที่เห็นกันมาตั้งแต่เด็ก แม่กับน้าสร้อยพาเปลวกับหนิม
    มาฝากท้องร้านเฮียแกประจำ บางทีก็มากินกันก่อน แม่กับน้าสร้อยค่อยตามมาจ่ายเอาทีหลัง

    “อั๊วสบายลี บอกลื้อกี่ครั้งแล้ว ให้เรียกอั๊วว่าอาเจ็ก ลื้อเรียกอั๊วเฮียทำให้อั๊วอายตัวเองน้าอาเปลว
    อั๊วรุ่นราวคราวเลียวกะแม่ลื้อ ไม่ใช่พี่ชายที่ลื้อจาล่ายเรียกอั๊วเฮีย ลื้อนี่สอนไม่รู้จากจำ” เฮียกวงแกหยอกตามประสา
    แกย้ายมาจากเมืองจีนขนานแท้ ก่อนตัดสินใจทำมาหากินเปิดร้านอาหารขึ้นที่นี่ สำเนียงไทยพูดไม่ค่อยชัด
    แต่ก็คุยกันรู้เรื่อง..แค่เพี้ยนบ้างเล็กน้อย

    “ใครเขาก็เรียกเฮีย ดีเสียอีกเฮียจะได้ไม่แก่ไม่ดีหรือครับ มีคนเขาไม่อยากแก่ นี่อะไร..เฮียย้ำเปลวให้เรียกซะแก่เชียว
    เอาน่า..ก็เรียกติดปากตั้งแต่จำความได้ ให้เปลี่ยนตอนนี้ไม่ทันล่ะ เปลวหิวแล้วน้าขอไปหาหนิมมันก่อน
    เดี๋ยวสั่งอาหารให้หายคิดถึงเลยทีเดียว ไม่ได้ชิมฝีมือเฮียนานแล้วคิดถึงมากอ่า” เปลวอ้อนได้อย่างน่ารักน่าชัง
    แม้ลุคผู้หญิงจะหายจากร่างของหนุ่มหน้าสวย เรียกให้ถูกสวยหมดจดจนหลายคนต้องเหลียวมองตาม
    เพราะไม่แน่ใจว่าที่เห็นยืนอยู่นั่น ทอมสวยหรือผู้หญิงสวยอยากเป็นทอม

    สาเหตุที่พวกเขาคิดแบบนั้น เพราะเปลวรวบผมมัดดูเป็นระเบียบ ผมสีดำเงางามผูกหางม้ายาวถึงครึ่งหลัง
    แต่ดันนุ่งกางเกงขาเดฟรองเท้าผ้าใบธรรมดา สวมยืดคอวีมีขายทั่วไปดูเซอร์ๆ ออกไปทางติสอีกต่างหาก

    สำคัญหน้าอกแบนราบ รูปร่างสูงโปร่งแขนขาเรียวยาวไร้กล้ามอย่างที่ผู้ชายควรมี
    ใบหน้างามหมดจดไร้ที่ติทั้งที่ไม่พึ่งพาเครื่องสำอางเลย  กระทั่งลิปสติกก็ไม่มีติดริมฝีปาก
    ทุกอย่างคือผิวเปลือยเนียนละเอียดชนิดรูขุมขนมองหาแทบไม่เจอ โดดเด่นเปล่งออร่าซึ่งคนทั่วไปมักไม่ค่อยมีหรอก
    ย่อมไม่แปลกหากเปลวจะดึงดูดสายตาผู้คน พร้อมกับคำถามตกลงเธอคือเพศใดกันแน่ ยกเว้นพวกเขาจะได้ยินการสนทนา
    จะรู้ว่าเปลวเน้นหางเสียง
    ครับยืนยันเพศสภาพตัวเอง ถึงจะมีความงามเกินหญิง แต่ไม่ลืมตัวตนที่แท้จริง
    นั่นคือผู้ชายที่เรียกกันว่าเกย์ บางเวลาเธอใช้คำลงท้ายแทนตัว
    ค่ะ เพราะอยู่ในรูปลักษณ์แต่งกายเป็นผู้หญิงเต็มตัว
    สุ้มเสียงมีการดัดเพื่อลดความห้าวให้กระเดียดไปทางผู้หญิงเช่นเดียวกัน

    เพราะเปลวมีพรสวรรค์บวกคุณสมบัติติดตัว ทำให้ไม่ลำบากในการสวมวิญญาณเป็นผู้หญิง
    จึงดูไม่เป็นที่กังขาขัดหูขัดตาเสียมากกว่า

    ความฉลาดเนียนขั้นเทพ ไม่แปลกที่เธอจะขึ้นแท่นนางโชว์ตัวเด่นในการแสดงโชว์อยู่เสมอ
    ไม่เคยตกกระป๋องทั้งที่ยังไม่ได้ทำนมเฉาะจิ๋มนี่สิ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความปรารถนาเปลวเลยสักนิด
    จริงอยู่ที่เปลวเป็นเกย์สาว แต่ก็ใช่ว่าอยากจะเป็นผู้หญิงเสียหน่อย อย่างเปลวเขาเรียกเกย์แต่งหญิงก็ได้แต่งชายก็ไม่แปลก
    อาชีพที่เปลวทำต่างหากคือตัวกำหนดให้เธอต้องสวมบทแต่งหญิงออกบ่อย แต่ไม่ได้หมายความช่วงเวลาปกติ
    เธอจะต้องอยู่ในสภาพผู้หญิงเสมอไปนี่นา เปลวชอบทำตัวแบบนี้มากกว่า เพราะเป็นตัวของตัวเองไม่ต้องสวมหัวโขน
    ไม่ต้องเล่นละครตบตาใครเขา ไม่ต้องยิ้มการค้าให้ใครอีกด้วย ทุกสิ่งล้วนออกจากหัวใจ
    ซึ่งเกิดจากความต้องการที่เปลวอยากจะทำแทบทั้งสิ้น..ไม่ได้ทำไปเพราะหน้าที่ จึงจำเป็นต้องทำ..?

    “คุยอะไรกับเฮียกวง” หนิมถามทันที เปลวหย่อนตูดนั่งไม่ทันไร

    “แกก็เข้ามาทักตามประสาแหละ ย้ำให้กูเรียกอาเจ็กอีกตามเคย” เปลวบอกเพื่อนรักพร้อมรอยยิ้มติดขันนิดๆ
    แต่ไม่ว่าแสดงกิริยาแบบไหนก็ช่างดึงดูดให้คนมองได้ไม่รู้เบื่อเสียนี่สิ

    “คิกคิก..นี่แกยังไม่เลิกบังคับกูกับมึงให้เรียกอาเจ็ก กี่ปีกี่ปีก็ย้ำแต่เรื่องนี้ไม่เคยเปลี่ยน แต่กูกับมึงก็ไม่เคยเรียก
    ใครจะคุ้นเรียกเฮียติดปากนิ”

    “เออๆ..กูก็คิดอย่างมึง ว่าแต่สั่งอะไรยัง” เปลวเห็นด้วยกับคำพูดของสนิม ก่อนจะหันไปสนใจถามเรื่องอาหาร

    “กูสั่งไปสามรายการ ของชอบมึงทั้งนั้น จะเอาอะไรเพิ่มอีกไหม” สนิมบอกเพื่อนรัก
    ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเปลวชอบทานอะไรในร้านเฮียกวงเล่า มากินทีไรไม่เคยพลาดที่จะสั่งเมนูเดิมๆ
    แค่นี้ก็รู้แล้วถ้ามากินร้านนี้เปลวจะกินอะไร แทบไม่ต้องอ้าปากสนิมก็เห็นความต้องการของเพื่อนก่อนแล้ว

    “เท่านี้พอก่อน กูกินเยอะไม่ได้ต้องคุมน้ำหนัก” สนิมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจในความจำเป็นของเพื่อน
    อาชีพของเปลวสำคัญยิ่งเรื่องน้ำหนัก เพราะการสวมชุดโชว์สำเร็จซึ่งตัดเย็บมาอย่างดีนั้น
    หากนักแสดงใส่ไม่รับกับรูปร่างแล้วล่ะก็ ความงดงามอลังการก็จะหายไปกว่าครึ่ง
    ดังนั้นนางโชว์มืออาชีพทุกคนที่ค่าตัวแพง จำต้องสนใจในเรื่องนี้เป็นกรณีพิเศษ

    “เหนื่อยไหมมึง” สนิมจ้องหน้าเปลว ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงบ่งบอกความห่วงใยจากใจจริง
    ภาระที่เปลวแบกรับไม่น้อยเลยทีเดียวถ้าหากเทียบกับเขาเอง ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่เปลวรับผิดชอบเกือบหมด
    สนิมก็แค่ดูแลของใช้ส่วนตัวเล็กน้อย อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึงเปลวไม่ยอมให้สนิมควักตังค์จ่าย
    จำพวกค่าน้ำค่าไฟค่าโทรศัพท์ อินเตอร์เน็ตจุกจิกจิปาถะซึ่งสนิมไม่ได้รับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น
    บางทีก็รู้สึกเหมือนเอาเปรียบเปลว แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เปลวย้ำเสมอว่าตนมีรายได้มากกว่าสนิมหลายเท่าตัว
    ให้สนิมเก็บหอมรอมริบเงินทองเอาไว้ใช้ในคราวจำเป็น ฟังดูมีเหตุผลจนสนิมเถียงไม่ออก
    จึงได้แต่หมายมั่นในใจว่าเงินที่เก็บสะสมไว้หากงอกเงยจนเป็นก้อนใหญ่ จะขยับขยายทำธุรกิจให้รายได้เพิ่มพูน
    เมื่อวันนั้นมาถึง จะขอเป็นฝ่ายดูแลเปลวให้สมกับที่ตัวเองแก่กว่า
    6 เดือน  ไม่ใช่ให้เปลวซึ่งเป็นน้องมาคอยดูแลแบบนี้

    ทั้งสองกินไปคุยไปสัพเพเหระ ส่วนใหญ่เกี่ยวกับงานที่เปลวทำ วนไปเรื่องค้าขายของสนิม
    ทำให้รู้ว่าพวกเขาไม่มีเรื่องปิดบังกันแม้แต่น้อย กระทั่งกินกันอิ่มแล้ว เฮียกวงเจ้าของร้านคิดราคาพิเศษเช่นเคย
    แม้ทั้งคู่จะคะยั้นคะยอให้แกคิดตามราคาจริง สุดท้ายแกก็ลดราคาอยู่ดี เมื่อเห็นว่าค้านไปก็ไม่มีประโยชน์
    อีกอย่างลูกค้าในร้านก็แน่นต้องใช้โต๊ะ จึงไม่อยากยืดเยื้อเสียโอกาสค้าขายของเฮียแกเปล่าๆ
    สมคุณภาพราคารสชาติเป็นที่รู้จักของคนเมืองพัทยา ไม่ติดกลัวเป็นจุดเด่นเปลวกับสนิมคงได้แย้งแกไม่จบอยู่แบบนั้นอีกนาน
    ตัดบทตามใจแกให้สิ้นเรื่องสิ้นราว

    “วันหลังพวกลื้อมาร้านอั๊วอีกน๊าอาเปลว อาหนิม” เฮียกวงไม่ลืมกำชับทั้งคู่ให้แวะเวียนมาร้านแกบ่อยๆ

    “ได้ครับพวกเราจะไปไหนได้ อยากมาบ่อยติดงานที่ทำแหละครับ ถ้าเปลวว่างจะมานะครับ”
    เปลวยิ้มสวยได้น่าเอ็นดู นอกจากเฮียกวงแล้วสองหนุ่มก็มองไม่เห็นใครจริงใจแบบนี้อีก ถือเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง

    “ลีๆ..ลื้อรับปากอั๊วก็สบายใจ เออนี่อั๊วเกือบจาลืมแล้ว สองวันก่อนมีคนมาถามหาอามัลลิกาแม่ลื้อด้วยน้า..อาเปลว”

    “ใครมาถามหาแม่ครับเฮีย หรือเขาตามหาคนชื่อเดียวกับแม่ล่ะ แม่ตายไปตั้งหลายปีแล้วนะเฮีย”
    เปลวรู้สึกแปลกใจเช่นกัน แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าเฮียกวงอาจจะสับสนเข้าใจอะไรผิด

    “จาผิดล่ายยางงาย ถ้าแม่ลื้อชื่อมัลลิกา อาลิกาที่มีหน้าตาสะสวย เขาเอารูปให้อั๊วลูเป็นคนเดียวกับแม่ลื้อไม่ผิดแล้ว”
    เฮียกวงยืนยันมั่นเหมาะ อ้างรูปถ่ายที่คนถามหาเอาให้เฮียแกดู แบบนี้คงไม่ผิดฝาผิดตัวแน่นอน

    “แล้วเขาบอกเฮียไหมเป็นใครมาจากไหน ถามหาแม่ต้องการอะไร แล้วเฮียได้บอกอะไรไปหรือเปล่า”
    เปลวรู้สึกร้อนใจไม่มีสาเหตุ จู่ๆ มีคนมาถามหาแม่ ทั้งที่แม่ตายไปเปลวอายุ
    17 เรียนอยู่ปวช. 2 จนตอนนี้เปลว 24
    นับเวลา 7 ปีผ่านไปแล้ว ยังจะมีใครมาตามหาแม่อีก ชักแปลกเสียแล้วในความรู้สึกของเปลว

    “ลื้อใจเย็นก่อนซี่อาเปลว อั๊วไม่ล่ายบอกอะไรอีหรอก อั๊วบอกไม่รู้  ที่บอกลื้อเผื่อจามีใครไปตามหาลื้อ
    มาลีมาร้ายจาล่ายระวางตัว” เปลวนึกขอบคุณเฮียกวงอย่างซาบซึ้งใจ ที่คิดเผื่อเรื่องเหล่านี้มองความปลอดภัยของเปลวเป็นหลัก

    “ขอบคุณมากครับ เปลวจะไม่มีวันลืมน้ำใจที่เฮียให้เปลวกับแม่  ถ้ามีใครมาถามถึงแม่อีก
    เฮียก็พูดแบบเดิมนะ เปลวไม่รบกวนเวลาทำมาหากินแล้ว ไว้ว่างๆ จะแวะมาหาอีก ไปก่อนนะครับ”

    “เออซี่..พวกลื้อก็เหมือนกาน ดูแลตัวเองให้ลี” เปลวกับสนิมไม่มีใครเอ่ยอะไรอีก พร้อมใจยกมือไหว้ลาเฮียกวง
    โดยที่เจ้าของร้านผู้ใจดียิ้มรับไหว้สองหนุ่มอย่างผู้มีเมตตาเต็มเปี่ยม

    “มึงคิดว่าใครมาตามหาแม่ลิกา” สนิมไม่เสียเวลา ถามทันทีหลังพวกเขาเดินออกมาจากร้านห่างพอสมควรแล้ว

    “กูไม่แน่ใจ ไม่ว่าใครก็ตามที่ถามหาแม่ ถ้ายังไม่รู้มาดีมาร้าย กูว่าเราอย่าเผยตัวดีที่สุด มึงเข้าใจใช่ไหม”

    “อืมกูรู้หรอก แม่ลิกาเคยพูดเอาไว้ ถ้าไม่ได้แม่สร้อยช่วย อาจตายไปแล้วก็ได้ หรือจะเป็นเรื่องนี้”
    สนิมเปรยให้ฟังตามที่ใจคิด

    “ไม่รู้สิ..แต่ถ้าเป็นคนที่คิดจะทำร้ายแม่ ก็ไม่น่ารอมานานขนาดนี้ นี่แม่ตายไปตั้งหลายปีแล้วนะหนิม
    ทำไมเพิ่งมาตามหากันวะ”

    “มึงพูดก็ถูก หรือจะเป็นพ่อมึงล่ะเปลว คือสำนึกผิดคิดถึงแม่ลิกาเลยออกมาตามหา
    เหมือนในละครที่กูดูประมาณนั้น เป็นไปได้ไหมมึง”

    “กูไม่กล้าคิด ถ้าเป็นพ่อกูจริง จะรู้ได้ยังไงว่าเขาเป็นพ่อกูเล่าหนิม หน้าตากระทั่งรูปสักใบไม่เคยได้เห็น
    อีกอย่างแม่ห้ามกูไว้ไม่ให้ตามหาพ่อ กูรับปากแม่ไว้แล้ว คิดเสียว่ากำพร้าพ่อ..จะได้ไม่ต้องรู้สึกอยากเจอ
    กูทำใจลืมเรื่องนี้ไปนานแล้ว กูไม่อยากผิดคำสัญญากับแม่” เปลวพูดด้วยน้ำเสียงฟังดูเศร้าพอสมควร สนิมจับสังเกตได้เช่นกัน

    “มึงไม่ต้องคิดมากหรอกเปลว มึงพูดก็ถูกเป็นพ่อประสาอะไรตามหาเมียกับลูกเอาเวลานี้ กระทั่งเมียตายก็ยังไม่รู้
    เลิกพูดเรื่องนี้ดีกว่ามึงจะได้ไม่ต้องหดหู่ใจ” เปลวยิ้มแหยให้สนิม จำนนที่โดนดักคอว่าเขาหดหู่ใจกับเรื่องราวที่กำลังคุยกันอยู่

    “แม่บอกกูตอนที่ท้องแล้วหนีออกมา พ่อไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแม่ท้องกูอยู่ ยังห้ามไม่ให้กูเกลียดพ่ออีกต่างหาก
    กูนึกสงสัยผู้ชายที่รักผู้หญิงคนหนึ่ง จะไม่รู้เชียวหรือคนรักกำลังท้อง หรือว่าแท้จริงแล้ว
    พ่อรู้ทุกเรื่องแต่แกล้งทำเป็นไม่รู้มากกว่า มึงว่าเป็นไปได้ไหมหนิม”

    “เรื่องนี้พูดยากนะมึง มึงพูดก็น่าคิด เพียงแต่พวกเราไม่รู้นี่พ่อมึงเป็นใคร แม่ลิกาไม่ยอมปริปากบอกชื่อสกุลรุนชาติ
    เราไปตีความว่าพ่อมึงมีนิสัยแบบนั้นไม่ยุติธรรมนะ กูว่ามันอาจไม่ใช่ก็ได้เปลว บางทีปัญหาของผู้ใหญ่ถ้าเขาไม่ยอมเล่าให้เราฟัง
    เกี่ยวกับข้อเท็จจริง มึงจะเดาสุ่มสี่สุ่มห้าตีความเอาเองไม่ได้หรอก กูว่าไม่สมควรทำเป็นอย่างยิ่ง..ปวดหัวเปล่าๆ”

    “อืม..จริงของมึง กูกับมึงอยู่กันมาถึงตอนนี้  ไม่จำเป็นต้องมีใครเป็นญาติผู้ใหญ่หรอกว่าไหม
    ยังไงมึงกับกูก็อยู่ด้วยกันจนแก่ตายละหนิม”

    “ถ้าไอ้ชาติมันไม่หักหลังมึง แน่ใจว่ามึงยังจะอยู่กับกูจนแก่ตาย” คำพูดของสนิมทำเอาเปลวนิ่งงันไปทันที

    “มึงจะพูดถึงมันทำไม..หนิม” น้ำเสียงติดห้วนเล็กน้อย

    “กูรู้มึงไม่อยากได้ยินชื่อมัน ที่ถามเพราะมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง”

    “มีอะไรก็พูดมาสิ แต่อย่าเอ่ยถึงมัน กูลืมไปนานแล้ว ไม่อยากฟื้นฝอยหาตะเข็บ” คำพูดของเปลวไม่มีผลกับสนิม

    “กูเจอมันวันก่อน สงสัยเป็นวันเดียวกันที่มีคนมาถามหาแม่ลิกากับเฮียกวงนั่นแหละ”
    สนิมเว้นช่วงรอดูปฏิกิริยา เมื่อไม่เห็นอะไรผิดปกติ จึงได้ตัดสินใจเล่าต่อ

    “มันโดนตำรวจหิ้วเข้ากรงไปแล้ว ดันวิ่งราวกระเป๋าใครก็ไม่รู้เข้า แม่ค้าพ่อค้าในตลาดบอกเป็นพวกมีเชื้อเจ้าเสียด้วย
    กูเห็นมันก็ตอนโดนตำรวจใส่กุญแจมือลากขึ้นรถไปแล้ว มันก็เห็นกูนะมึง..มองเหมือนหมาทำตาละห้อยเชียวล่ะ
    อยากสมน้ำหน้าสะใจกูชะมัด ป่านนี้ถ้ามันไม่ทิ้งมึงไปเพราะเห็นแก่ความสบายคงไม่มีสภาพแบบนี้หรอก
    คนเขาเล่ากันว่ามันติดยาติดการพนันอย่างหนัก จนต้องมาเป็นโจรวิ่งราว อีห่าต้องมันไปมุดหัวอยู่ที่ไหนไม่ดูแลผัวมันหือ
    ลงทุนเอาเงินทองมาล่อไอ้เหี้ยชาติเพื่อแย่งมึงมา ไอ้นั่นก็หน้ามืดตามัวทรยศคนที่คบกันมาสามปี
    เพียงแค่มาเจออีต้องระยำยังไม่ถึงอาทิตย์ มันดันบอกเลิกมึงเฉยเลย ผีเน่ากับโลงผุขนานแท้”

    “เรื่องมันจบไปนานแล้วหนิม อย่าพูดถึงมันอีก” เปลวตัดบทดื้อๆ

    “กูแค่ต้องการให้มึงรู้หรอกเปลว กรรมติดจรวดมีจริง ต่อให้มึงไม่พูดเรื่องของอีต้อง
    กูก็รู้มันตกอับสิ้นชื่อในอาชีพนางโชว์เป็นปีแล้ว เห็นว่าที่ไปทำศัลยกรรมมาเละตุ้มเป๊ะ
    จนหนังหน้ากลายเป็นสัตว์ประหลาดไปแล้ว  เขาลือกันให้แซดว่ามันตกต่ำจนไม่มีจะกิน
    ก็สมควรอยู่หรอกตอนที่ดังยังหาเงินคล่อง ดันเปย์ผู้ชายทั่วไปหมด แย่งแฟนชาวบ้านโดยไม่สนว่าใครเป็นของใคร.
    .ขอแค่ต้องการมันแย่งเขาเสียหมด พอตอนนี้เป็นไงหมาสักตัวก็ไม่มาแลมีใครอยู่เคียงข้างล่ะ
    ทำกับเขาไว้เยอะถึงคราวกรรมตามทันผลที่ได้ย่อมหนักกว่าเป็นสองสามเท่าตัว”

    “เรียกรถนะกูอยากพักแล้ว” เปลวไม่อยากฟังเรื่องของกะเทยคนนี้  คนที่ทำให้รักครั้งแรกของเปลว
    กลายเป็นความทรงจำอันเลวร้าย ทุกวันนี้เปลวไม่เคยคิดจะเปิดใจให้ผู้ชายคนไหนอีก ทั้งเก้ง กวาง  กระทั่งชายจริง
    ที่ชมชอบรูปร่างหน้าตาของเปลว ยังมีมาขายขนมจีบเปลวยังเมินหน้าหนีไม่คิดจะสานไมตรีด้วย
    จะว่าเปลวขยาดกับความรักที่เคยถูกหักหลังคงใช่ ทุกวันนี้ความตั้งใจของเปลว แค่มุ่งหวังให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น
    มั่นคงกว่านี้ เผื่อวันข้างหน้าแก่ตัวไปจะได้ไม่ลำบาก ชีวิตตุ๊ดแต๋วเกย์กะเทยหรืออะไรก็ตามที่แลดูแตกแยก
    น้อยคนจะมีชีวิตบั้นปลายได้อยู่กับคนที่เรารักไปจนแก่เฒ่าด้วยกัน ดุจเดียวกับคู่รักชายจริงหญิงแท้ที่เขามีกันและกันให้เห็น

    “กูรู้มึงไม่อยากฟัง กูจะไม่พูดถึงอีก เรื่องพ่อของมึงก็เช่นกัน มึงก็แค่รับปากแม่ลิกาว่าจะไม่ตามหาพ่อ
    ไม่ได้หมายรวมว่าถ้าพ่อเป็นฝ่ายออกตามหามึงเองล่ะ จะถือว่าทำผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับแม่ด้วยไหม”

    สนิมพูดจบเปลวชะงักครู่ใหญ่ แต่ไม่ได้พูดอะไรนอกเสียจากโบกเรียกรถกลับคอนโด
    แต่ไม่ได้แปลว่าไม่คิดตามคำพูดของสนิมเรื่องของพ่อ สนิมพูดถูกเรื่องที่เปลวสัญญาไม่ตามหาพ่อ
    แต่ถ้าพ่อเป็นฝ่ายมาตามหาเปลวเองเล่า แปลว่าไม่ได้ผิดสัญญากับแม่ ถูกต้องที่สุด

    การที่เรารู้ว่าผู้ให้กำเนิดซึ่งเรียกว่าพ่อ มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้นั้น ต่อให้หลอกตัวเองว่ากำพร้า
    ส่วนลึกแล้วกลับโหยหาที่จะได้พบหน้าสักครั้ง  ไม่ได้ต้องการให้พ่อยอมรับเป็นลูก หรือมาดูแลอะไรเลย
    วันนี้เปลวมั่นใจว่าเปลวดูแลตัวเองได้ ถึงแม้ไม่ร่ำรวยแต่ก็ไม่อดอยากเหมือนในอดีตที่ผ่านมาแน่นอน
    ความลำบากสอนให้เปลวระมัดระวังในการใช้ชีวิต

    การถูกทรยศหักหลัง สอนให้เข้มแข็งไม่อ่อนไหวให้ใครหยิบเอามาเป็นโอกาสสร้างบาดแผลในใจได้อีก
    ความเห็นแก่ตัวของคนสอนให้เปลวรู้จักการใช้ชีวิต ไม่โง่ตกเป็นเหยื่อของคนเหล่านั้น
    แต่ไม่ได้หมายความว่าเปลวจะมีนิสัยเลวร้ายไม่น่าคบ แค่ไม่อ่อนแออ่อนไหวอ่อนหัดให้ใครเห็น
    รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมสังคมมากขึ้น การดิ้นรนเอาตัวรอดย่อมมีการพลั้งพลาด
    ยังดีที่เปลวพลาดแค่เรื่องความรัก
    ทองเปลว แม้ไม่ใช่ทองแท่ง แต่เนื้อแท้ยังคงเป็นทองคำอยู่ดี..?

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×