ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลรัก .. เปื้อนสี ( Yaoi )

    ลำดับตอนที่ #56 : ตอนพิเศษ บ่าว มันคงเป็นความรัก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1K
      13
      24 ม.ค. 55

    ตอนพิเศษ บ่าว มันคงเป็นความรัก

     

    “มันคงเป็นความรัก ที่ทำให้ตัวฉัน ยังยืนอยู่ตรงนี้  มันคงเป็นความรัก ที่ทำให้ใจฉัน  ไม่ยอมหยุดเสียที ..”

     

    เสียงเพลงจากวิทยุที่เปิดทิ้งไว้ตอนเข้าไปอาบน้ำดังขึ้นมาตอนผมออกมาพอดี ผมเดินเข้าไปเปิดเสียงให้ดังขึ้น เพราะรู้สึกชอบเพลงนี้ขึ้นมายังไงก็ไม่รู้  อาจเพราะท่อนแรกนั้นกระมัง ที่ทำให้ผมสนใจเพลงนี้ขึ้นมา ..

     

    “แม้ว่าเหมือนไม่มีโอกาส  แม้ว่าฉันต้องพลาดไปอีกสักที  แต่ว่าความรัก ก็ยังขอให้ฉันทำแบบนี้ ..”

     

    อันที่จริงแล้วผมนายบ่าว คนที่มองว่าด้อยนักเรื่องความรัก เพราะไม่ค่อยเห็นผมจีบสาวเท่าไหร่ แต่จะมีใครสักกี่คนกันนะที่รู้ว่าที่ผมไม่เคยจีบใคร เพราะบาดแผลครั้งเก่าที่ยังคอยวนเวียนอยู่ในหัวของผมไม่เคยหายไป .. จะหาว่าน้ำเน่าก็ไม่ว่ากันครับ เพราะมุมมองที่จะได้รับรู้ต่อจากนี้  .. คือเบื้องหลังของผู้ชายชื่อบ่าว

     

     

    ผมเคยมีความรักครับ และเคยมีแฟนด้วย แต่คงนานมากๆ นานจนเรื่องบางเรื่อง ความทรงจำบางอย่างกลายเป็นสีเทาๆไปหมดแล้ว แฟนผมคนนี้ชื่อ “เตย” ครับ เรารู้จักกันเมื่อตอนม.3 เธอเป็นเด็กกรุงเทพที่ย้ายตามพ่อแม่มาอยู่ที่นครศรีฯ เธอเลยเข้ามาเรียนที่โรงเรียนผมช่วงปลายๆแล้ว เธอน่ารักเชียวล่ะครับ ทุกคนในห้องให้ความสนใจเธอ ไม่เว้นแม้แต่ผม

     

    “ชื่อเตยเหรอ” ผมเดินเข้าไปถามสำเนียงทองแดง จำได้ว่าตอนนั้นการพูดสำเนียงกลางๆของผมอ่อนหัดมาก เธอมองมาทางผมแบบงงๆ ว่าผมไปพูดอะไรกับเธอ แต่เธอก็ยิ้มตามมาอย่างเป็นมิตร จนผมต้องยิ้มเขินกับรอยยิ้มนั้น

    “นายถามเราว่า เราชื่อเตยใช่มั๊ย” เธอทวนคำถามของผม ผมพยักหน้าให้เธอ

    “ใช่ เราชื่อเตย” เธอตอบและยิ้มอีกที

    “อืม เราชื่อบ่าวนะ” ผมบอกเธอไป และคิดว่าจะไปหัดพูดสำเนียงกลางให้ชัดกว่านี้ให้ได้

     

    และนั่นเป็นบทสนทนาแรกระหว่างผมกับเธอ และผมก็รู้ตัวโดยทันทีว่าผมชอบผู้หญิงคนนี้เสียแล้ว ผู้หญิงที่เป็นเหมือนดอกฟ้า และผมก็เป็นแค่ไอ้หมาวัดที่แหลงกลางไม่ชับ (พูดสำเนียงกลางไม่ถนัด) แถมยังกระแดะไปชวนเธอสนทนาด้วย ..

     

    แต่คุณอาจจะยังไม่รู้ว่ไอ้บ่าวคนนี้ เวลาชอบใครจีบใคร มันเอาจริงเอาจังครับ ทุกๆเช้าผมจะเดินผ่านโต๊ะเธอ และบอกว่าสวัสดีทุกเช้า ทุกเช้า จนเช้าวันหนึ่ง

     

    “เตย สวัสดี” ผมบอกเหมือนเดิมในทุกๆวัน

    “สวัสดี บ่าว” และเธอก็ตอบแบบเดิมๆทุกวัน ผมทำท่าหันกลับไปนั่งโต๊ะตัวเอง ก่อนที่จะได้ยินเตยเรียกรั้งผมไว้

    “เดี๋ยวก่อนบ่าว” ผมหันมามองเธอด้วยหัวใจที่เต้นรัว นี่คงเป็นครั้งแรกที่เธอแสดงอาการอยากคุยกับผม

    “มี .. มีไหร่เหรอ” โอ๊ยยย อยากเอาหัวตัวเองโขกกับกำแพงหลังห้องแรงๆ ก็ประโยคที่พูดไปนี่ โคตรจะทองแดงเลยครับ ก็ทำไงได้ละ คนมันไม่เคยฝึกประโยคอื่นนี่ แค่พูดว่า เตย สวัสดี แค่นี้ก็พูดมาทั้งคืนแล้ว

    “สอนเราพูดภาษาใต้บ้างสิ เราอยากพูดเป็น” คำตอบนั้นทำเอาผมยิ้มอย่างกับเธอขอผมเป็นแฟน เพราะมันทำให้ผมคิดเข้าข้างตัวเองว่าเธอคงต้องชอบผมแน่ๆ ไม่ชอบที่หน้าตา ก็ชอบที่สำเนียงล่ะว้า ..

     

     

    และหลังจากนั้นเราสองคนก็สนิทขึ้นเรื่อยๆ ผมสอนเธอพูดสำเนียงใต้ ไปพร้อมๆกับเธอสอนผมให้พูดสำเนียงกลางให้ชัดๆเหมือนกัน  ความขัดเขินที่เคยมีค่อยๆจางหายไป แต่กลับเพิ่มความห่วงใยและเอาใจใส่กันมากขึ้น จนใครต่อใครเข้าใจกันว่าเราสองคนกำลังคบหากัน .. เป็นการเข้าใจผิดที่ผมอยากให้เป็นจริงมากที่สุด  ผมมีความสุขที่ทุกคนคิดแบบนั้น แม้ว่าผมจะเคยถามเตยเลยก็ตาม ว่าเธอคิดอย่างไรกับผม 

     

     

     

    จนวันนี้มาถึง ..

     

     

    “บ่าว เตยว่าระหว่างเราต้องมีอะไรบางอย่างที่คนอื่นเข้าใจผิดแน่ๆ” เธอพูดออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด และแน่นอนผมก็ยิ่งเครียดมากกว่าเธอไม่แพ้กัน

    “เรื่องอะไรเหรอ” ผมแกล้งถามออกไป

    “เราได้ยินเค้าพูดกันว่าเค้าคิดว่าเรากับบ่าวเป็นแฟนกัน”

    “เอ๊ย อย่าไปสนใจเลย พวกนั้นมันก็ปากหมาไปอย่างนั้นแหละ” ผมบอกเธอ ให้เธอสบายใจ

    “เราไม่สนหรอก แต่แฟนเราสิ ..”

     

     

    ลมหายใจแทบหยุดเต้นกับประโยคนั้น  แฟน ... เตยมีแฟนแล้วเหรอ

     

     

    “เตย .. เตยมีแฟนแล้วเหรอ ?” ผมถามออกไป

    “ใช่ ขอโทษนะที่ไม่ได้บอกบ่าว บ่าวโกรธอะไรเตยมั๊ย” เธอพูดพร้อมกับยื่นมือมาจับมือผมที่วางอยู่บนโต๊ะเชิงสะกิดถาม เพราะตอนนี้ไอ้บ่าวคนนี้ได้แต่อึ้ง ไม่รู้จะพูดประโยคใดๆออกมา ผมเอามืออีกข้างของตัวเองยกมือเธอออก แล้วเดินออกมาจากตรงนั้น ได้ยินเสียงเธอเรียกอยู่สองสามครั้ง แต่ก็ไม่อาจรั้งให้ผมกลับไปสนใจได้

     

    ร่างกายที่เหมือนไร้วิญญาณ คนที่เหมือนไม่มีหัวใจกำลังเดินไปที่ไหนสักแห่ง ที่ไม่มีผู้คน ผมไม่รู้หรอกว่าอาการนี้เรียกว่าอาการอะไรในตอนนี้ ผมไม่รู้หรอกว่าการที่ผมไม่ได้เป็นแฟนกับเธอ แล้วจะคิดว่าตัวเองอกหักจะได้ไหม แต่เท่าที่รู้คือผมจดจำวินาทีที่แสนเลวร้ายนั้นมาจนถึงทุกวันนี้ .. จากภาพที่เคยเป็นสีแดงสด ที่แสดงถึงความเจ็บปวดรวดร้าว จนทุกวันนี้มันคือภาพทีเทาที่ดูหมองๆ เป็นเครื่องย้ำเตือนว่ากาลครั้งหนึ่งผมเคยรู้สึกดีกับผู้หญิงคนนี้ ..

    ผมมารู้ตอนหลังแล้วครับ ว่าตอนแรกเธอก็ชอบผม แต่ผมกลับไม่ขอเธอเป็นแฟน ไม่แสดงความรู้สึก ไม่บอกเธอก่อน เธอก็เลยไปสนใจคนใหม่ที่เข้ามาจีบเธอ ตอนผมรู้เรื่องนี้นะ มือผมช้ำไปด้วยเลือด หน้าผมฟกไปด้วยรอยนูนเต็มไปหมด ไม่ได้ไปต่อยไอ้หมอนั่นหรอกครับ ผมต่อยกำแพง เอาหัวโขกด้วย ข้อหาโง่เกินเหตุ คิดอะไร ชอบอะไรก็ไม่เคยบอก ไม่เคยพูด คิดว่าการกระทำเท่านั้น ที่จะทำให้เธอรู้ ...

     

    แย่จิงๆไอ้บ่าว

     

     

    “ที่จะให้เธอจนกว่าเธอจะรับ  บอกรักเธอจนกว่าเธอนั้นจะยอม  เธอคือความสุขของฉัน  ถ้าเธอไม่รับมัน  ให้ฉันเริ่มต้นอีกกี่ครั้งก็พร้อม ..”

     

     

     

    “อัลโหล เสร็จยัง” ผมโทรไปหาเบอร์ๆหนึ่งที่ทำเป็นปุ่มโทรลัดเบอร์แรกเอาไว้

    “ใกล้เสร็จแล้ว พี่บ่าวมารับได้เลย” อีกสายตอบกลับมาอย่างวุ่นๆ คำว่าใกล้เสร็จแล้วของเขานั้น บางทีอาจจะแค่เพิ่งอาบน้ำเสร็จก็เป็นได้ และแน่นอน ผมก็ต้องไปรอเหมือนเดิม

    “งั้นเดี๋ยวถ้าพี่ไปถึงบ้านก่อน  พี่ไปนั่งรอที่สวนนะ” ผมบอกไป

    “โอเค โอเค แค่นี้นะครับ” ปลายสายวางไป คงรู้แล้วสินะว่าผมคุยกับใคร

     

     

    วันนี้ผมกับช้างน้อยมีเวรต้องไปเฝ้าไอ้เดชมันครับ เพราะไอ้โอ๊ตต้องกลับไปทำธุระที่บ้าน พวกเราหมุนเวรไปเฝ้ากันเรื่อยๆ แล้วแต่ว่าใครว่าง ใครไม่ว่าง หรือว่าแล้วแต่คู่ใครว่าง และคู่ใครไม่ว่าง

     

    ต้องยอมรับว่า ตั้งแต่ผมจบม.สามมา ผมก็ไม่เคยคบหรือชอบใครจริงจัง อาจโตไปตามอายุและความหนุ่ม และอาจได้ใช้วิชาฝึกจีบสาวเรื่อยๆบ้าง แต่ละคนก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร เหมือนมองตาแล้วต่างรู้ว่าต้องการอะไรในกันและกัน ผมเลยได้คนเหล่านั้นมาแบบง่ายๆ และมันก็จากไปแบบง่ายๆไม่ต่างกัน ไม่เคยเกิดความรักหรือความผูกพันใดๆเกิดขึ้น .. มีบ้างที่สานต่อ แต่นั้นก็แค่บ่งบอกว่าติดใจ .. ไม่ใช่มีใจ

     

     

    แต่พอผมเข้ามาพบกับสังคมใหม่สังคมนี้ สังคมเด็กช่างหน้าเถื่อนนิสัยโหด แต่เต็มไปด้วยความจริงใจ เรื่องฟงเรื่องแฟนสำหรับผมดูเป็นของนอกกาย เหมือนกับการมีมือถือธรรมดาๆใช้ และไม่ได้หันไปสนใจไอโฟนที่กำลังฮิต เพราะคิดว่าสำหรับไอ้บ่าว มันคงไม่จำเป็น

    และพอได้อยู่กับไอ้พวกเพื่อนๆผม ผมก็ได้รู้มุมมองความรักที่หลากหลาย บ่อยครั้งที่คิดว่าทำไมไอ้โป้มันถึงชอบน้องน้ำมนต์ ทำไมไอ้โป้มันชายก็ได้หญิงก็ได้ ทำไมอย่างนั้น ทำไมอย่างนี้ ทำไมไอ้เดไอ้โอ๊ย ทำไมอะไรหลายๆอย่างมันดูวุ่นวาย ลึกซึ้งยากจะคาดเดา และหยั่งรู้ไปหมด

     

    และบ่อยครั้งที่ต้องถามตัวเองว่า ตัวเองเอาอะไรถาม และตัวเองใช้อะไรตอบ

     

     

     

    “รอนานมั๊ย” ช้างน้อยถามผม เมื่อเขาแต่งตัวเสร็จ และเดินมาหาผมในสวน สวนในบ้านของช้างน้อยกลายเป็นที่ๆผมนั่งคอยคนๆนี้อย่างมีความสุขไปแล้ว บ้านนี้มีสวนอยู่ข้างบ้านที่จัดได้สวยงามดีครับ ผมชอบ

    “ไม่นานหรอก ไปกันหรือยัง” ผมบอกไป ทั้งที่จริงก็มารอเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว  หลังจากเหตุการณ์ที่ห้องน้ำวันนั้น อะไรหลายๆอย่างระหว่างผมกับช้างน้อยก็ค่อยเปลี่ยนไป คำถามบางคำถามที่มันยังค้างคาใจอยู่ มันค่อยๆคลายไปกับกาลเวลา อีกคนก็ใช่ว่าจะเรียกร้องเหมือนแต่เก่า  เขาคงเข้าใจว่าอะไรก็ตามในโลกนี้ต้องอาศัยเวลาทั้งนั้นในการเปลี่ยนแปลง

     

     

     

    ผมมาถึงโรงพยาบาลก็เจอพี่เอกที่เฝ้าอยู่ก่อนหน้าและกำลังจะเปลี่ยนเวรกับผม เราพูดทักทายกันเล็กน้อยก่อนที่พี่เอกจะขอตัวกลับ ผมดูอาการไอ้เดช ผู้ที่เปรียบเสมือนไอดอลของผม คนที่มีความรักที่เข้มแข็งดุจหินผา คนที่เสียสละทุกอย่างได้แม้กระทั่งชีวิตเพื่อมิตรภาพ ไอ้เดชไม่ใช่คนโง่ แต่ไอ้เดชเป็นคนที่รักเพื่อนและคนที่มันรักมากกว่าชีวิตของมัน

     

    “พี่เดชเหมือนจะหายดีทุกอย่างแล้วเนอะ” ช้างน้อยพูดขึ้น เมื่อมายืนสังเกตอาการไอ้เดชข้างๆผม

    “อืม ทุกอย่างปกติหมดแล้ว รอแค่เมื่อไหร่มันจะลืมตา” ผมบอกพร้อมกับหันไปมองหน้าช้างน้อย

    “ช้างน้อยเชื่อว่าปาฏิหาริย์มีจริง อีกไม่นานทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม พี่โอ๊ตกับพี่เดชต้องผ่านชะตากรรมนี้ไปให้ได้” ช้างน้อยพูดมาสีหน้าตั้งมั่น

    “อืม พี่ก็คิดแบบนั้น” ผมบอกไป

     

     

    สำหรับผมไม่รู้หรอกครับ ว่าปาฏิหาริย์มันมีจริงหรือเปล่า ผมเองก็ยังไม่เคยเจอ แต่ผมก็เชื่อว่ามันต้องเกิดขึ้นบ้าง ถ้ามีบางอย่างแลกกับมัน และเมื่อมันเห็นว่าสมควรพอแก่การแลกสิ่งนั้น ..

     

    “พี่บ่าว เดี๋ยวช้างน้อยมานะ” ช้างน้อยบอกผม

    “อืมๆ” ผมพยักหน้าบอกไป ไม่รู้หรอกว่าจะไปไหน แต่ก็ไม่อยากจู้จี้วุ่นวาย เพราะถ้าอีกคนอยากบอกก็บอกไปแล้ว แต่บางทีทำไมรู้สึกเหมือนอยากจะรู้นะว่าเค้าอยากไปไหน และทำไมไม่บอกกันนะ ว่าจะไปไหน

     

     

    นี่ผมเริ่มคิดมากแล้วนะเนี่ย ..

     

     

     

    ผมนั้งรอช้างน้อยอยู่นาน จนคิดว่ามันคงนานเกินไปแล้ว ผมจึงเอามือถือมาโทรหา แต่แม่เจ้า ช้างน้อยดันวางมือถือไว้ในห้องนี่อีก  โชคดีที่นางพยาบาลเข้ามาเช็ดตัวให้ไอ้เดชพอดี ผมเลยฝากไอ้เดชไว้กับพยาบาลก่อน และออกมาเดินดูช้างน้อย

     

     

     

    ออกมาเจอช้างน้อยกำลังคุยกับหมอคนหนึ่งอยู่ครับ คงเป็นหมอเพิ่งจบใหม่เพราะดูจะหนุ่มเอามากๆ และหน้าตาก็หล่อมากๆไม่แพ้กัน ผมคงไม่หงุดหงิดเท่าไหร่ ถ้าการคุยของเค้าสองคนดูจริงจังกว่านี้ แต่ดูท่าแล้วไม่ใช่เลย ดูช่างหัวร่อต่อกระซิกกันอย่างกับสนิทสนมมานมนาน มีตีแขนแตะไหล่ให้เห็นกันอีก และที่หายมานานสองนานเพื่อนมาคุยกับไอ้หมอหล่อนี่เหรอ  ?

     

     

    “ช้างน้อย” ผมเรียกขึ้น  สองคนนั้นหันมามองทางผมอย่างตกใจ

    “ว่าไงพี่บ่าว” ช้างน้อยถามผมกลับมาพร้อมทำหน้างง

    “...” ผมจะตอบไปว่าอย่างไงดีละเนี่ย ที่เรียกแค่อยากให้หันมาสนใจผมเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรจะคุยด้วยเลย

    “เปล่า” ผมบอกไป

     

     

     

    แล้วช้างน้อยก็หันไปคุยกับไอ้หมอหล่อนั้นต่อ .. อย่างกับไม่มีผมยืนอยู่ตรงนั้น  อารมณ์น้อยใจมันก็ค่อยผุดขึ้นมาอย่างไม่รู้ว่าตัวเองมีสิทธิ์ไหม แต่เพราะว่าอะไรบางอย่างที่มันยังคงเป็นเส้นคั่นความสัมพันธ์ระหว่างผมกับช้างน้อย มันทำให้ผมเลือกจะเดินกลับห้องอย่างกับลมที่พัดผ่านมา เข้าตา และพัดผ่านไป ...

     

     

     

    ภายในห้องคนป่วยที่มีเจ้าชายนิทรา ผู้ที่หลับไปเพราะความรัก และคิดว่าคงจะตื่นขึ้นมาเพราะความรักเช่นกัน ผมนั่งมองหน้าไอ้เดช เพื่อนที่ผมรักไม่แพ้คนอื่นๆในกลุ่ม มันกับผมติดต่อกันตลอด แม้ว่ามันจะออกไปจากวิทยาลัยตั้งนานแล้ว แต่ด้วยความสนิท และด้วยความคิดว่ามันเป็นคนดี เรื่องที่มันทำกับเพื่อนก็อีกเรื่องหนึ่ง และเรื่องที่มันดีกับผมก็อีกเรื่องเหมือนกัน

     

    ในวันนี้ที่มันหลับอยู่ มันทำให้ผมคิดอะไรได้หลายอย่าง คนอย่างไอ้เดชทำมาหมดแล้วทุกอย่าง ยอมให้เพื่อนด่าว่าไอ้ทรยศเพื่อแลกกับความรักที่ไม่รู้ว่าจะมีวันได้มาหรือเปล่า ยอมเป็นไอ้หน่าโง่เพื่อให้ตัวเองได้สัมผัสและใกล้ชิดกับคนที่ตัวเองมีใจ ยอมตายแทนเพื่อนได้ โดยไม่ได้คิดเหตุผลว่าทำไม และเพราะอะไร ?

     

     

    เสียงประตูห้องถูกเปิดเข้ามาพร้อมกับช้างน้อยที่เข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ผมหันไปมองแว๊บหนึ่ง ก่อนจะหันมาสนใจคนป่วยต่อ

     

    “กลับมาตอนไหน ทำไมไม่ชวนช้างน้อยเข้ามาด้วย” ช้างน้อยพูด ก่อนจะเดินไปนั่งที่โซฟา

    “ก็เห็นกำลังคุยกันสนุก เลยไม่อยากขัด” ผมบอกไป

    “อืม ช้างน้อยเลยไม่ได้แนะนำพี่บ่าวให้รู้จักเลย ..”

    “ไม่เป็นไรหรอก พี่คงไม่เหมาะจะไปรู้จักกับหมออะไรแบบนั้น”

    “พี่บ่าวพูดเหมือนน้อยใจอะไร” เธอสวนผมมา น้ำเสียงสงสัย

    “น้อยใจอะไรกัน พี่นี่นะจะไปน้อยใจ” ผมบอกเธอไป และคิดว่าน้ำเสยีงผมคงปกติที่สุดแล้ว

    “คนนั้นอ่ะเป็นพี่ชายของเพื่อนช้างน้อย ชื่อพี่หมอทศ ช้างน้อยเคยสินทกับเค้าตอนเด็กๆเพราะไปบ้านเพื่อนบ่อย ตอนนี้พี่แกเพิ่งเรียนจบเลยมาทำที่โรงพยาบาลนี้ ไม่ได้เจอกันนาน เลยทักทายและคุยกันนานไปหน่อย” ช้างน้อยอธิบายให้ผมฟังครับ

    “พี่ชายของเพื่อน ?” ผมถามย้ำ

    “ใช่ พี่ชายของเพื่อน” ช้างน้อยก็ตอบย้ำ

    “อืม ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่” ผมคิดว่าคำพูดนี้ของผม ไม่พูดออกไปคงจะดีกว่า

    “พี่บ่าวนี่ปากแข็งนะ  ปากแข็งแบบนี้ระวังจะโดนคนอื่นแย่งไปเสียละ” ช้างน้อยพูดเหน็บผม

     

     

    ผมนิ่งเงียบไม่ตอบโต้อะไร ใจก็นึกไปถึงคืนนั้น คืนที่ไอ้เดชโดนยิง

     

    .

    .

    .

     

    “ไอ้บ่าว มึงไปเอารถมึงมา” เสียงไอ้โอ๊ตตะโกนบอกผม ผมรีบวิ่งไปเอารถของตัวเองมา ขณะที่ไอ้โอ๊ตกำลังเดินแบกไอ้เดชเดินมาทางผม พอผมเอารถมาถึงที่มันมันจับไอ้บ่าวขึ้นนั่งซ้อนกลางและมันนั่งตามหลังผม

    “รีบเลยมึง” นั่นคือเสียงสัญญาณบอกให้ผมออกตัว ผมบิดคันเร่งให้ไวตราบเท่าที่จะไวได้ เสียงข้างหลังของไอ้โอ๊ตยังดังมาไม่หยุด แม้เสียงลมจะพัดเสียงเหล่านั้นไปบ้าง แต่ผมก็ยังได้ยินชัดเจนอยู่ดี

    “มึงอย่าเป็นอะไรนะไอ้เดช  กูยังไม่ได้บอกรักมึงเลย มึงอยากได้ยินไม่ใช่เหรอ มึงต้องไม่เป็นไร มึงต้องรอฟังคำว่ารักจากกูนะไอ้เดช” ประโยคเดิมๆ ประโยคซ้ำๆที่ไอ้โอ๊ยพร่ำพูดตะคอกใส่หูไอ้เดชอย่างต่อเนื่องนั้น ทำเอาผมน้ำตาไหลไปตลอดทาง ไม่คิดเลยว่าการมีชีวติอยู่ของคนที่เรารัก คนที่เรารู้สึกดี มันมีค่ายิ่งกว่าสิ่งใดๆ ครั้นจะมาใช้ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตเพื่อบอกความรู้สึกดีๆต่อกัน บางครั้งมันก็คงจะสายเกินไป .

     

    .

    .

    .

    .

     

    “ช้างน้อย ..” ผมเรียกชื่อคนที่นั่งอยู่ด้านหลัง หลังจากที่เราสองคนเงียบไปนาน

    “หือ .. ว่าไง” อีกคนตอบมาทันที เหมือนกับกำลังรอให้ผมทักขึ้นมา ผมหันหน้าไปหาช้างน้อย ก็เห็นช้างน้อยกำลังจ้องมาที่ผมไม่แพ้กัน ก่อนที่ผมจะหลบตาต่ำมองเท้าตัวเอง

     

     

    “ช้างน้อยว่าพี่เป็นเกย์มั๊ย ?” ผมถามออกไปพร้อมเงยหน้ามองช้างน้อย เหมือนอีกคนจะงงๆเล็กน้อยๆที่ผมถามไปแบบนั้น

    “เอ่อ .. ก็ไม่นี่” อีกคนตอบมาแบบไม่เต็มร้อยนัก

    “เกย์นี่คือต้องชอบผู้ชายด้วยกันใช่ป่ะ” ผมถามออกไป

    “คงประมาณนั้นมั้ง ..” เช่นเดิม คำตอบที่ไม่เต็มร้อย

    “พี่บ่าวถามทำไมอ่ะ” ก่อนที่ช้างน้อยจะถามผมกลับมาบ้าง

    “แล้วอย่างไอ้โป้ ไอ้เดช ไอ้โอ๊ต น้องน้ำมนต์นี่เค้าเรียกเกย์ป่ะ” ผมถามอีก โดนไม่ได้สนคำถามของช้างน้อยที่ถามมา

    “อืม คงใช่มั้ง ผู้ชายรักกันใครๆเค้าก็มองว่าเป็นเกย์ทั้งนั้นแหละ” คำตอบนี้ช้างน้อยคงมั่นใจสุดแล้วเท่าที่ผมถามมา

     

     

     

    “อืมมม ...” ผมส่งเสียงในลำคอเหมือนคนกำลังตรัสรู้

     

     

     

    “ช้างน้อย พี่อยากเป็นเกย์แล้ว”

     

    ไม่รู้ว่าผมพูดอะไรผิดไป เพราะช้างน้อยทำหน้าเหวอมองมาทางผมอย่างกับงงๆ ว่าผมต้องการสื่ออะไรออกไป ทำไมเหรอครับ ผมบอกว่าผมอยากเป็นเกย์ มันผิดตรงไหน ..

     

    “พี่เดชว่าอะไรนะครับ ..” ช้างน้อยถามย้ำ

    “พี่ว่า พี่อยากเป็นเกย์ ถ้าพี่เป็นเกย์ พี่ก็จะได้ชอบกับช้างน้อยได้ไง” ผมบอกไปพร้อมกับเขินๆ

    “ฮ่าๆๆ ..” แต่อีกคนกลับขำ

    “ช้างน้อยขำทำไม ?” ผมสงสัย

    “อ้อ เปล่า โอเค พี่บ่าวเป็นเกย์แล้ว อยากจะเป็นมันตอนนี้ก็เป็นได้เลย” อีกคนสรุปให้ผมฟัง

    “อืม พี่เป็นเกย์แล้ว แล้วช้างน้อยละ พร้อมจะเป็นแฟนพี่หรือยัง” ผมบอกอีกที ตอนนี้อีกคนไม่ขำผมแล้วครับ แต่กลับเขินแทน

     

     

    ไม่รู้เหมือนกันครับ ว่าผมชอบคนตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ เมื่อก่อนแค่อยากรู้จักเพราะเค้าเป็นคนอารมณ์ดี อยู่ด้วยแล้วไม่เครียด แล้วก็พาลให้อยากอยู่ด้วยบ่อยๆ เวลาเครียดๆเบื่อๆก็ชอบชวนไปนั่งเล่น ไปเที่ยวโน่นนั่นนี่  จนเริ่มชินกับการอยู่ด้วยกัน ยอมรับครับว่าชอบทำให้อีกคนคิดมาก และก็รู้ด้วยว่าอีกคนคิดอะไรกับเรา แต่ด้วยคำที่ว่ากูเป็นผู้ชาย และมึงก็เป็นผู้ชายนะ (ถึงจะไม่เต็มร้อยก็เถอะ) เลยทำให้ผมให้คนๆนี้ได้แค่คำว่าเพื่อนและพี่ชาย

     

    แต่พอได้ใกล้ชิดความอายที่จะไปไหนมาไหนด้วยกันสองคนมันก็น้อยลง น้อยลง อีกคนก็เหมือนจะแมนมากขึ้นเวลาอยู่ด้วยกัน แต่ก็ไม่ได้ฝืนอะไรตัวเองมาก เริ่มมองว่านับวันยิ่งน่ารัก และไม่อยากให้ใครมายุ่งด้วย จะเรียกว่าหึงคงไม่ผิด จนวันนี้ วันที่เข้าใจความรู้สึกตัวเอง และไม่อยากจะให้ตัวเองพลาดเหมือนคนก่อน และไม่อยากรอให้ถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิตเพื่อนที่จะบอกกัน

     

    เพราะผมไม่รู้ว่าจะมีสักกี่คนที่โชคดีไม่ตายแบบไอ้เดช แต่ก็โชคร้ายที่ยังไม่ตื่นแบบนี้

     

    “มัวแต่เขินนั่นแหละ จะเป็นไม่เป็น เดี๋ยวก็เลิกเป็นซะหรอก ไอ้เกย์เนี่ย” ผมถามจริงจังไปอีกครั้ง

    “ไม่เป็นได้ไง พี่บ่าวลงทุนขนาดนี้แล้ว” อีกคนตอบมาแบบยิ้มๆ ดูเป็นยิ้มที่น่ารักที่สุดในโลกที่เคยเห็นมา ถึงแม้ว่าเราจะนั่งห่างกันคนละมุมห้อง แต่ผมกลับรู้สึกว่าเรานั่งใกล้กันอย่างไงอย่างนั้น

     

     

    ไม่รู้ว่าด้วยความเขินหรืออย่างไร ผมรีบหันเก้าอี้กลับมามองหน้าไอ้เดช ไม่รู้ว่าไอ้เดชมันรับรู้เรื่องราวครั้งนี้ของผมหรือเปล่าครับ เพราะผมเห็นเหมือนมันกำลังยิ้มๆให้ผมด้วย 

     

     

     

     

     

     

    “ นี่มึงยิ้มเยาะเย้ย หรือว่ายิ้มดีใจกับกูวะไอ้เดช .. รีบตื่นมาสอนกูเป็นเกย์เลยนะ”









         นิยายใกล้จบแล้ว ขอคำวิจารณ์และผลโหวตหน่อยนะครับ คนหลังๆเข้ามาจะได้อ่านและได้สนใจเรื่องนี้กัน
    ขอบคุณครับ :)

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×