คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : After Midnight : 11
ลมหนาวพัดผ่านพวงแก้มเนียบ คนร่างโปร่งกระชับเสื้อโค้ทอยู่ให้แนบกายมากกว่าเดิม หลายเดือนแล้วที่ชานยอลได้มาอยู่ที่ญี่ปุ่นและตอนนี้ก็เข้าสู่หน้าหนาวเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งตอนนี้ก็ได้แต่รอคอยวันที่หิมะแรกจะตกลงมา ซึ่งคาดว่าคงจะเป็นในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้
“หนาวเนอะ” ไคที่เดินอยู่ข้างๆกันกับชานยอลเอ่ยขึ้น
“เหมือนอยู่ในซีรี่ย์ญี่ปุ่นเลยว่าไหม ฮ่าๆๆ” ไอสีขาวถูกพ่นออกมาเมื่อร่างโปร่งหัวเราะ
“เออจริง แต่ถ้าจะให้ดีควรมีนางเอก อิอิ” คนผิวเข้มกว่าหัวเราะด้วยท่าทีเจ้าเล่ห์
“เพ้อละ ว่าแต่นี่อ่านหนังสือสอบบ้างไหมเนี้ย เห็นนอนเร็วทุกคืนนี่ท่าจะยัง”
“ระดับนี้แล้วววว ไม่ต้องอ่านหรอก ฉันมีจิตสัมผัส”ไคว่าพร้อมทำท่ามั่นใจประกอบคำพูดของเขา
“คร้าบบบ ผมจะคอยดูนะคร้าบแหม” ชานยอลเบ้ปากใส่คนที่เดินอยู่ข้างๆอย่างรู้สึกหมั่นไส้
“เออ แล้วปิดเทอมนี้เราจะกลับบ้านกันดีมั๊ย?” จู่ๆไคก็เปลี่ยนเรื่องคุย ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ทั้งคู่ยังตัดสินใจกันไม่ได้เสียที
“ว่าจะไม่กลับอะ เพราะอีกอาทิตย์เดียวก็จะปิดเทอมแล้วยังไม่ได้จองตั๋วเครื่องบินเลย ขี้เกียจด้วยแต่เปรบๆกับแม่ไว้แล้วแหละว่าจะไม่กลับ อยากอยู่เที่ยวที่นี่ก่อน ตั้งแต่มายังไม่ได้ไปไหนเลย” ร่างโปร่งบอกก่อนจะซุกมือเรียวไว้ในเสื้อโค้ทตัวหนา เมื่ออากาศยามเย็นเริ่มหนาวขึ้นเรื่อยๆ
“เออดีเหมือนกัน ฉันก็อยากเที่ยวเหมือนกันไว้เดี๋ยวค่อยโทรไปบอกแม่ว่าไม่กลับฉันจะได้มีเวลาไปส่องสาวๆแถวฮาราจูกุ” ไคว่าพร้อมกับทำตาเป็นประกายจนชานยอลอดไม่ได้ที่จะต้องเบ้ปากใส่อีกครั้ง
ทั้งสองหนุ่มเดินคุยกันตลอดทางจนถึงบ้าน บรรยากาศวันนี้ยังคงเงียบสงบเหมือนเดิม แต่เมื่อชานยอลมองไปยังที่จอดรถของบ้านก็พบว่ามีรถหรูที่ไม่ใช่รถของคนในบ้านหลังนี้จอดอยู่ ซึ่งเป้นไปได้ว่าบ้านหลังใหญ่อาจจะมีแขก ทั้งสองคนหันมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนจะเลิกสนใจแล้วพากันกลับไปยังห้องพักของตัวเอง
แต่ในระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังเดินไปตามระเบียงกว้างนั้นลู่หานก็เดินออกมาจากห้องรับแขกพร้อมกับแขกคนที่ชานยอลไม่ค่อยรู้สึกดีด้วยสักเท่าไหร่
“อ่าว กลับมาแล้วหรอ” ลู่หานทักขึ้นเมื่อเห็นเด็กหนุ่มรุ่นน้องทั้งสองคน
“ฮะ วันนี้อากาศหนาวๆก็เลยรีบกลับ” ชานยอลบอกพร้อมกับส่งยิ้มกว้างให้กับรุ่นพี่หน้าหวาน
“งั้นรีบเอาของไปเก็บเดี๋ยวจะได้มาลุยมื้อเย็นกัน” ลู่หานว่าพลางขยิบตาให้เด็กหนุ่มทั้งสองคน ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าต้องมีประเด็นหลังจากนี้อย่างแน่นอน
ทั้งคู่พยักหน้ารับอย่างว่าง่ายก่อนจะเดินกลับไปยังห้องพักของตัวเองเงียบๆ ระหว่างที่นักเรียนแลกเปลี่ยนทั้งสองคนเดินผ่านลู่หานและแขกคนสำคัญไป สายตาที่เฉี่ยวคมของแขกคนนั้นก็มองตามทั้งสองคนไปอย่างไม่วางตา จนกระทั้งลู่หานเรียกขึ้นเขาจึงได้สติและหันกลับมา
“จื่อเทา คุณจะกลับแล้วใช่ไหม เดี๋ยวผมออกไปส่ง”
“อ่า ไม่เป็นไรส่งผมแค่นี้ก็ได้ ส่วนเรื่องงานก็เอาตามที่คุยกันนั่นแหละ งานนี้บอกเลยว่าผมทุ่มสุดตัว ผมไม่ยอมแพ้คนอื่นอย่างแน่นอน” จื่อเทาว่าพร้อมกับกระตุกยิ้มที่ดูยังไงก็ร้ายกาจ
“อย่าว่าแต่คุณเลย ผมเองก็ไม่ได้อยากแพ้สักเท่าไหร่” ดวงตาคู่สวยมองอีกคนอย่างไม่ยอมแพ้
“เอาล่ะ ผลจะเป็นยังไงก็ค่อยมาดูกัน”
คนตัวสูงว่าก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป ลู่หานได้แต่มองแผ่นหลังกว้างนั่นก่อนจะเบ้ปากใส่ด้วยความรู้สึกหมั่นไส้
“อีกหนึ่งอาทิตย์จะมีงานประมูลโครงการ ซึ่งเป็นโครงการที่ใหญ่มาก นายทุนกระเป๋าหนักคงทุ่มทุนสร้างกันน่าดู โดยเฉพาะตระกูลหวาง งานนี้มีขนเงินใส่รถสิบล้อมาเท่ในงานแน่ๆ”ลู่หานว่าก่อนจะวางคางเรียวไว้บนหลังมือของตัวเอง
“แล้วมันจะเป็นยังไงถ้าตระกูลหวางประมูลได้?” ชานยอลถามขึ้นอย่างสนใจ
“อย่างที่บอกว่าโครงการนี้ใหญ่โตมาก ถ้าคนตระกูลหวางได้ไปบอกเลยว่ากินอิ่มกันไปเจ็ดชั่วโคตรอะ”
“งั้นเราหรือไม่ก็คนอื่นๆก็ต้องประมูลให้สูงกว่าน่ะสิ”ไคพูดเสริมขึ้นมา
“ใช่ ความจริงเรื่องโครงการนี้เขาคุยกันไว้ตั้งนานแล้ว ตั้งแต่คุณลุงยังไม่เสีย ตอนแรกทางเราเองนี่แหละที่อยากได้โครงการนั้น แต่คุณลุงก็มาเสียซะก่อน แถมคนนี้คริสก็ยังไม่หายดีพี่ก็เลยกลุ้มใจอยู่ว่าจะทำยังไงต่อ เพราะถ้าจะให้ตัดสินใจเองนี่ก็กลัวเพราะเงินที่ต้องใช้นี่มันไม่ใช่น้อยเลย”ใบหน้าหวานเริ่มแสดงอาการคิดหนักผ่านออกมาทางสีหน้าอย่างเห็นได้ชัดเมื่อคุยถึงเรื่องเงิน
“แล้วนี่พี่ได้ลองปรึกษากับใครบ้างหรือเปล่าเช่นพี่สึนะอะไรงี้?” คนร่างโปร่งถาม
“ก็คุยๆกันบ้างแหละ แต่อย่างที่บอกนั่นแหละว่ามันไม่ได้ใช้เงินแค่บาทสองบาท คนที่จะสามารถตัดสินใจเรื่องนี้ได้ก็มีแค่เจ้าของเงิน นั่นก็คือคริส”
“เอาจริงๆผมก็ไม่กล้าเสนอความคิดเห็นอะไรมากหรอก ผมรู้ตัวดีว่าผมอยู่ที่นี่ในฐานะอะไร” ชานยอลบอกอีกคนไปอย่างรู้ตัวว่าตัวเขาเองไม่มีสิทธิ์ที่จะออกความเห็นอะไรไปมากกว่านี้
“นี่ นายทั้งสองคนน่ะฟังดีๆนะ พี่และคนที่นี่ไม่เคยคิดว่าพวกนายเป็นแค่นักเรียนแลกเปลี่ยนที่แค่มาอาศัยอยู่บ้านหลังนี้เฉยๆโดยไม่มีบทบาทสำคัญอะไร แต่เราทุกคนคิดว่านายสองคนคือส่วนหนึ่งของครอบครัว ทั้งสองคนเหมือนน้องชายของพี่ เพราะฉะนั้นนายทั้งคู่มีสิทธิ์พูดและแสดงความคิดเห็นหากมันจะช่วยครอบครัวของเราไม่ให้โดนเอาเปรียบได้” ลู่หานร่ายคำพูดออกมายาวเหยียด ซึ่งหนุ่มรุ่นน้องทั้งสองคนก็ได้แต่นั่งฟังนิ่งๆ
“อีกแค่หนึ่งอาทิตย์ ถ้าพี่คริสหายไม่ทัน แต่อย่างน้อยผมว่าเราน่าจะคุยกับพี่คริสได้นะครับ อย่างน้อยตอนนี้พี่เขาก็เริ่มรู้สึกตัวบ้างแล้วหนิ” หนุ่มผิวเข้มที่ไม่ค่อยพูดอะไรเอ่ยขึ้น
“มันก็คงต้องเป็นอย่างนั้นแหละ ความจริงพี่ว่าจะเข้าไปคุยกับคริสคืนนี้เลย แต่ไม่รู้ว่าอาการวันนี้จะเป็นยังไง” สีหน้าของลู่หานยังดูเครียดตลอดเวลาราวกับคนที่ต้องแบกรับปัญหาทั้งโลกไว้ที่ตัวเองเพียงผู้เดียว
“เอาน่ะพี่ ผมเชื่อว่ามันต้องมีทางออก ถ้ามีอะไรที่ผมสองคนพอจะช่วยได้พี่รีบบอกทันทีเลยนะ” ชานยอลบอกพร้อมกับวางมือลงบนไหล่เล็กของลู่หาน
“อืม เดี๋ยวคืนนี้ว่าจะเข้าไปคุยกับคริสดู แต่หวังว่าจะคุยกันรู้เรื่องนะ..” คนตัวเล็กว่าก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาและใบหน้าหวานก็ยังคงแสดงให้เห็นถึงความตึงเครียด
เมื่อเวลาล่วงเลยไปดึกพอสมควร ทั้งสามคนจึงแยกย้ายกัน ลู่หานต้องเข้าไปหาคริสที่บ้านอีกหลังเพื่อคุยกันเรื่องธุรกิจที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งต้องคอยลุ้นกันอีกทีว่าอาการของคริสจะดีขึ้นพอที่จะคุยกันรู้เรื่องหรือเปล่า ส่วนทางด้านชานยอลและไคก็กลับมายังห้องพักของตัวเองซึ่งทั้งสองคนกะว่าจะกลับมาอ่านหนังสือสอบกันต่อ แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่บอกไว้..
“นายจื่อเทาอะไรนี่มันน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรอ?” ไคถามขึ้นด้วยความข้องใจ
“น่ากลัวไม่น่ากลัวก็จะฆ่าคริสมาครั้งนึงแล้วอะ” ร่างโปร่งบอกด้วยสีหน้าที่แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ชอบคนๆนั้น
“คิดว่าจื่อเทามันจะประมูลได้ปะวะ”
“อย่าให้ได้เลย แต่ฉันคิดว่าทางนี้คงหาทางออกได้แหละ” ชานยอลบอกด้วยสีหน้าที่เครียดยิ่งกว่าอ่านหนังสือสอบ
“นี่เริ่มเครียดแทนแล้วเนี้ย เหมือนชีวิตไม่ค่อยปลอดภัย ว่าแต่นายเหอะไปดูพี่คริสมาบ้างหรือเปล่า”
“ไปสิ แต่ยังไม่ได้คุยกันหรอก เพราะเขายังไม่ได้สติดีจะมีบ้างก็เรียกหา แต่ก็ได้แค่นั้นแหละ” ชานยอลบอกด้วยแววตาที่ดูเศร้าลง
“เอาน่า ก็ยังดีที่พี่เขายังส่งเสียงให้ได้ยิน ดีกว่าหลับนิ่งไปเลยนะ” ไคว่าพร้อมกับยิ้มเป็นกำลังใจรูมเมทของตัวเอง
ชานยอลยิ้มตอบอีกคน แล้วทั้งคู่ก็หยุดการสนทนาไว้แค่นั้นก่อนจะหามุมอ่านหนังสือของตัวเองไปเงียบๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าคนร่างโปร่งจะมีสมาธิอ่านหนังสือ เมื่อในหัวของเขามีแต่เรื่องราวของคริสและแม้ว่าเวลาจะผ่านไปดึกมากจนไคต้องยอมแพ้และเป็นฝ่ายหลับไปก่อน แต่ชานยอลก็ยังไม่ได้รู้สึกง่วงแม้แต่น้อย แล้วสุดท้ายความรู้สึกคับข้องใจก็พาเขาออกจากห้องไป
ร่างสูงโปร่งเดินไปตามทางอย่างไม่รีบร้อน อากาศที่หนาวเย็นทำให้ชานยอลต้องกระชับเสื้อตัวหนาให้แนบกายมากกว่าเดิม ร่างโปร่งเดินออกมาจนถึงสวนหินหน้าบ้านตากลมมองไปยังบ้านอีกหลังที่ดูค่อยข้างจะมืด แต่ก็ยังพอเห็นแสงไฟเล็ดลอดออกมาบ้าง เขารีบเดินตรงไปยังบ้านหลังนั้นโดยที่ไม่ต้องคิดทันที
“อ่าว ชานยอลมาทำอะไรแถวนี้”
“เอ่อ พอดีผมนอนไม่หลับน่ะครับก็เลยออกมาเดินเล่น พอดีเห็นไฟเปิดอยู่ก็เลยเดินเข้ามา ว่าแต่ลุงโชมาทำอะไรหรอฮะ?” ชานยอลบอกก่อนจะถามชายวัยกลางกับไป
“มาดูคุณอากิระนะ คุณเขาเพิ่งจะรู้สึกตัว แต่ยังไม่ค่อยมีแรงลุงก็เลยเข้ามาดู”
“ฟื้นแล้วหรอฮะ?” ร่างโปร่งถามและพยายามเก็บอาการตื่นเต้นเอาไว้
“อื้ม ว่าแต่นี่จะเข้าไปเยี่ยมคุณอากิระใช่ไหม? งั้นลุงไปก่อนนะ”
ชายวัยกลางบอกก่อนจะเดินกลับไปยังบ้านหลังใหญ่ เหลือแค่เพียงชานยอลที่ยืนทำใจอยู่หน้าบ้าน เพราะเขากับคริสไม่ได้เจอกันมาสักพักแล้ว การจะกลับมาเจอกันอีกครั้งในช่วงที่คริสรู้สึกตัวมันทำให้ชานยอลรู้สึกประหม่าอยู่บ้าง
ร่างโปร่งค่อยๆเปิดประตูบ้านอย่างเบามือก่อนจะเดินตรงไปยังห้องนอนของคริส แสงไฟสลัวๆบวกกับความเงียบสงบรอบๆบ้านทำให้ที่นี่ดูวังเวงอยู่ไม่น้อย
“ใครน่ะ...” เสียงที่แหบพร่าทักขึ้นทั้งที่ชานยอลยังไม่ทันผลักบานประตูเข้าไปด้วยซ้ำ
“ผะ ผมเอง” ชานยอลรีบตอบกลับพร้อมผลักประตูห้องนอนของอีกคนให้เปิดออก
“ชานยอลหรอ เข้ามาสิ”
คริสบอกก่อนจะพยุงตัวเองขึ้นมานั่งพิงหัวเตียงเอาไว้ แสงไฟในห้องถูกเปิดไว้แค่เพียงมองเห็น มันจึงทำให้ชานยอลมองหน้าอีกคนได้ไม่ค่อยชัดสักเท่าไหร่ ร่างโปร่งเดินเข้าไปหยุดอยู่ข้างเตียงก่อนจะนั่งลงบนเตียงนุ่มข้างๆตัวคริส
บนเนื้อตัวของคริสยังพอมีร่องรอยช้ำอยู่บ้าง แต่ก็ใกล้จะหายดีเต็มทีแล้ว ร่างโปร่งได้แต่ก้มหน้าก้มตามองดูอาการของอีกคนไปเรื่อย เพราะไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปสบสายตาของคนที่นอนอยู่ข้างๆ
“อ๊ะ!”
ชานยอลเผลอส่งเสียงออกมาเมื่อจู่ๆคริสดึงร่างเขาเข้าไปกอดเอาไว้และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองก็ต้องเจอเข้ากับรอยช้ำในดวงตาของอีกคนเนื่องจากการถูกทำร้ายที่ผ่านมา
“ตาคุณ...ยังแดงอยู่เลย” ร่างโปร่งที่ถูกอีกคนกอดรัดเอาไว้บอกพร้อมกับมองดวงตาอีกคนด้วยความเป็นห่วงว่าอีกคนจะยังคงเจ็บปวด
“มันก็แดงไปงั้นแหละ ไม่ได้เจ็บอะไรมากมายแล้วล่ะ” เอาบอกพร้อมกับส่งยิ้มบางๆให้กับอีกคน
“แล้วนี่รู้สึกตัวนานหรือยัง? แล้วยังเจ็บอยู่หรือเปล่า?”
“ก็ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อคืนวาน ส่วนเรื่องเจ็บก็ไม่ค่อยมีแล้ว จะมีก็แค่รู้สึกเพลียๆ...เป็นห่วงผมหรอ?” คนตัวสูงกว่าว่าพร้อมกับยิ้มกรุ้มกริ่มใส่ชานยอล
“นิดหน่อยน่า!” ร่างโปร่งว่าก่อนจะพาตัวเองออกจากอ้อมกอดของอีกคน
“ว่าแต่นี่ออกมาทำอะไรดึกๆดื่นๆ พรุ่งนี้ไม่มีเรียนหรอ?” คริสเปลี่ยนโหมดคำถามเป็นจริงจัง แต่ก็ยังดึงมือของชานยอลมากุมเอาไว้
“มีสิ มีสอบ แต่นอนไม่หลับ”
“ทำไม? เครียดเรื่องสอบหรอ? ไม่ต้องเครียดขนาดนั้นก็ได้ ฮ่าๆๆ” คริสว่าพร้อมกับเอื้อมมือมาปัดเส้นผมที่ปรกตาอีกคนออกไป
“เปล่าเครียดเรื่องนั้น แต่..ผมแค่เป็นห่วง แล้วก็..คิดถึงคุณน่ะ”
สิ้นสุดคำตอบของชานยอลทั้งสองคนก็นิ่งเงียบไป ดวงตาที่ยังคงมีรอยช้ำเลือดมองอีกคนอย่างไม่ละสายตาและหากแปลการมองของคริสให้เป็นภาษาพูดคงแปลได้ว่าเขากำลังบอกรักชานยอลอยู่อย่างแน่นอน ร่างโปร่งจ้องตาอีกคนกลับไปโดยแทบจะลืมกระพริบตาเสียด้วยซ้ำ ชานยอลเผลอยิ้มออกมาอย่างรู้สึกดีที่ตอนนี้เขาได้เห็นคริสกลับมาพูดคุยกับเขาอีกครั้ง
ชานยอลโผ่เข้าไปกอดคริสด้วยความรู้สึกดีใจ ในช่วงเวลาที่อากาศหนาวเย็นอย่างตอนนี้ มันทำให้เขารู้สึกอุ่นไปถึงหัวใจ ยิ่งเมื่ออีกฝ่ายกอดตอบกลับมามันยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าฤดูนี้จะไม่หนาวอีกต่อไป...
..............................................................................................
หลายวันต่อมา ชานยอลและไคสอบเสร็จเป็นที่เรียบร้อยซึ่งต่อจากนี้ก็เป็นช่วงพักผ่อนของทั้งสองคนนั่นคือช่วงปิดเทอม แต่นั่นก็ถึงวันของการประมูลงานครั้งใหญ่เช่นเดียวการ ซึ่งหุ้นส่วนทุกฝ่ายก็เตรียมพร้อมกันเป็นอย่างดี แต่ทางด้านตระกูลอู๋กลับยังไม่มีความคืบหน้าของการตัดสินใจแต่อย่างใด ทั้งที่งานประมูลจะเกิดขึ้นในคืนนี้และลู่หานก็ต้องเป็นคนไปงานประมูลด้วยตัวเอง เพราะคริสยังไม่ค่อยแข็งแรงสักเท่าไหร่
“อย่าเครียดเลยพี่ อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิด ถือว่าเราทำดีที่สุดแล้ว” ชานยอลที่นั่งอยู่ข้างๆลู่หานที่กำลังขับรถพูดขึ้นมาเมื่อเห็นอีกคนทำหน้าเครียดตลอดเวลาที่ขับรถออกมาจากบ้าน
“มันไม่รู้จะรู้สึกยังไงดี มันกลัวไปหมด กลัวว่าจื่อเทามันจะได้อะไรๆไป เพราะถ้ามันได้ไปจริงๆนี่เห็นได้ถึงความล่มจมในอนาคตเลยล่ะ”
เมื่อได้ยินที่ลู่หานบอกชานยอลก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างหมดหนทาง แล้วไม่นานนักรถคันหรูก็ขับเข้าไปยังโรงแรมที่จัดงานประมูล ซึ่งวันนี้ชานยอลก็ได้มางานเป็นเพื่อนลู่หาน แต่ในงานนั้นก็มีทั้งเซฮุน สึนะและซางะรออยู่ก่อนแล้ว
“พี่เครียดทำไมเนี้ย?” เซฮุนถามขึ้นมาหลังจากที่ทนมองใบหน้าหวานที่ดูเครียดนั่นมาตั้งนาน
“ไม่เครียดสิแปลก! ใครจะเหมือนนายที่ไม่ต้องคิดอะไรเลย” ลู่หานรีบตอบกลับไปอย่างทันควัน
“นี่ๆ อย่าเพิ่งทะเลาะกัน ลู่หานนายยังไม่ต้องเครียดหรอก พี่ได้ข่าวมาว่าหุ้นส่วนคนอื่นๆก็พยายามจะประมูลสู้กับจื่อเทาด้วย” สึนะที่วันนี้แต่งตัวเป็นผู้หญิงกว่าวันปกติพยายามพูดให้รุ่นน้องลดความตึงเครียดลงไปบ้าง
“ขอให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีเถอะ ว่าแต่นี่มากันแค่สองคนหรอ? แล้วสามีสุดที่รักล่ะไปไหนแล้ว” สีหน้าที่เคยมีแต่ความเครียดหายไปทันทีเมื่อลู่หานได้เอ่ยแซวรุ่นพี่สาว
“มา แต่ไม่รู้เดินไปไหนละ” หญิงสาวทำหน้าเหนื่อยเมื่อพูดถึงผู้เป็นสามี แม้ตอนนี้ทั้งคู่จะกลับมาคุยกันบ้าง แต่ไม่ได้หมายความว่าสึนะจะหายโกรธซางะซะทีเดียว
“นั่นรึเปล่า?” ชานยอลบอกพร้อมกับชี้ไปทางด้านหลังของสึนะ
“โอ๊ะโอ~ ละครหลังข่าวมาอีกแล้ว” เซฮุนกระตุกยิ้มเมื่อหันตามที่ชานยอลบอกแล้วพบว่าพี่ชายของตัวเองยืนคุยอยู่กับใคร
สึนะยืนกอดอกมองไปยังซางะที่กำลังคุยอยู่กับหลี่เฟยและดูเหมือนทั้งสองคนจะคุยกันอย่างถูกคอ สึนะเผลอทำหน้าไม่พอใจออกมาอย่างไม่รู้ตัวก่อนเธอจะตัดสิ้นใจเดินเข้าไปหาสองคนนั้นทันที
“โอ๊ะ! วันนี้มาด้วยหรอ? ปกติไม่ยักกะเห็นจะมาออกงานสังคมกับคนอื่นเขาหนิ” หลี่เฟยทักขึ้นทันทีที่เห็นสึนะ
“ฉันก็ไม่ได้เป็นคนไร้สังคมขนาดนั้นหรอกนะ แต่ไม่อยากยุ่งสุงสิงกับใคร...ดีกว่าเธอที่ชอบยุ่งกับคนของคนอื่นก็แล้วกัน” สึนะพูดเสียงเรียบ แต่ประโยคสุดท้ายทำให้หลี่เฟยต้องเปลี่ยนสีหน้าทันที
“แกนี่มัน!”
“เอ่อ ผมว่าเราไปทางโน้นกันดีกว่างานประมูลจะเริ่มแล้ว”
ซางะรีบดึงข้อมือของผู้เป็นภรรยาไปอีกทางทันทีก่อนที่สองสาวจะมีปากเสียงกันมากกว่านี้
“เกือบแล้ววว” เซฮุนว่าและยังไม่เลิกยิ้มที่เห็นพี่สะใภ้ของตัวเองกำลังหึงจนหน้ามืด
“เอ่อ ดูเหมือนว่าเขาจะเริ่มประมูลกันแล้ว ผมว่าเราตามพี่สึนะกันไปเลยดีกว่าไหม?” ชานยอลถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเริ่มมีการเคลื่อนไหวขึ้นบนเวที
“เออๆ ไปสิๆ”
เมื่อลู่หานตอบรับ ทั้งสามคนจึงเดินไปหาที่นั่งกันบริเวณหน้าเวทีที่จะมีการประมูลโปรเจ็คใหญ่กัน ซึ่งในตอนนั้นเองจื่อเทาก็ปรากฏตัวขึ้นและนั่งลงอีกฝั่งซึ่งห่างจากฝั่งตัวแทนจากตระกูลอู๋พอสมควร แล้วไม่นานนักการประมูลครั้งสำคัญก็เริ่มขึ้น
“สวัสดีแขกผู้มีเกียจทุกท่าน ก่อนอื่นดิฉันขอแนะนำตัวก่อน นะคะ ดิฉัน อิชิคาว่า ไอสึกะ รับตำแหน่งเป็นรองประธานกรรมการจากอิชิคาว่ากรุ๊ป ซึ่งบริษัทเราก็เป็นเจ้าของโปรเจ็คที่จะนำมาให้ทุกท่านได้ร่วมประมูลกันในค่ำคืนนี้”
เสียงแหลมเล็กของหญิงสาวที่อยู่บนเวทีดังก้องไปทั้งงาน ไอสึกะพูดเปิดพิธีก่อนจะส่งต่อให้หญิงสาวอีกคนมาทำหน้าที่เปิดการประมูลเป็นลำดับต่อไป
“เอาล่ะค่ะ นาทีนี้ก็เป็นช่วงเวลาสำคัญของทุกท่านแล้วนะคะ สำหรับโปรเจ็คใหญ่ที่จะให้ธุรกิจของบริษัทท่านรุ่งเรืองอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้ และในโอกาสนี้ขอเชิญผู้ร่วมเข้าประมูลทุกท่านไปที่ห้องวีไอพีค่ะ”
เธอคนนั้นยิ้มอย่างสง่างามก่อนจะผ่ายมือทางยังประตูทางเข้าห้องวีไอพี ซึ่งบรรดานักธุรกิจกระเป๋าหนักก็พากันทยอยเข้าห้องวีไอพีกันไป ส่วนทางด้านลู่หานที่มาเป็นตัวแทนให้ตระกูลอู๋ก็ต้องแยกตัวกันกับสึนะเพราะเธอละซางะจะมาร่วมประมูลในนามของอีกบริษัท ลู่หานยืนทำใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินเข้าห้องวีไอพีไปพร้อมๆกับชานยอล
ตอนนี้ทั้งลู่หานและชานยอลได้เข้ามาอยู่ในห้องวีไอพีเป็นทีเรียบร้อย ภายในห้องมีเพียงจอคอมพิวเตอร์ที่จะแสดงสถานะการประมูลของแต่ละคน ซึ่งจำนวนขั้นต่ำของโปรเจ็คนี้อยู่ที่ หนึ่งร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ
“หนึ่งร้อยล้าน!” ลู่หานอุทานเสียงดังเมื่อเห็นจำนวนเงินบนหน้าจอ
“ผมเริ่มเครียดแทนแล้วนะเนี้ย” ชานยอลบอก สายตายังคงมองไปบนหน้าจอที่ใช้แสดงผลการประมูลอย่างไม่เชื่อสายตา
“โอยยย รู้สึกร้อนยังไงก็ไม่รู้” คนตัวเล็กกว่าว่าพร้อมกับทำท่าปาดเหงื่อบนหน้าผากของตัวเอง ทั้งๆที่อากาศก็ไม่ได้ร้อนและกลับหนาวเสียด้วยซ้ำ
“เฮ๊ย! พี่มันเริ่มแล้ว!” ชานยอลชี้ไปยังหน้าจอเมื่อเห็นสถานะบนหน้าจอเริ่มมีการเคลื่อนไหว
“โห ฮายาชิปล่อยไปร้อยยี่สิบล้าน เราต้องเริ่มสู้แล้วล่ะ”
ลู่หานและชานยอลนั่งมองหน้าจอแสดงผลการประมูลอย่างเคร่งเครียด จากหนึ่งร้อยยี่สิบล้านเพิ่มเป็นหนึ่งร้อยห้าสิบล้าน แต่มันก็ทำให้ทั้งคู่ใจหายวูบเมื่ออยู่ชื่อของตระกูลหวางก็เพิ่มเงินไปที่หนึ่งร้อยห้าสิบล้าน แต่แล้วทางฝั่งซางะก็สู้คืนด้วยการทุมไปหนึ่งร้อยเจ็ดสิบล้านแบบไม่ยอมแม้ใคร
เวลาผ่านไปเท่าไหร่ก็ไม่รู้ จำนวนเงินยังคงเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ในขณะที่จำนวนเงินเพิ่มสูงขึ้นนั้น จำนวนผู้ร่วมประมูลก็ลดลงเรื่อยๆเนื่องจากว่าหลายๆคนเริ่มสู้กับเงินจำนวนมากๆไม่ไหว จากนักธุรกิจนับสิบเครือตอนนี้เหลือเพียงห้าเครือเท่านั้น ซึ่งสามในห้านั้นก็อยู่เพื่อพยายามเอาชนะตระกูลหวางนั่นเอง
“ห้าร้อยล้านดอลลาร์แล้ว จื่อเทามันจะเอาสักเท่าไหร่วะเนี้ย!” ลู่หานเริ่มโมโหเมื่อไม่เห็นวี่แววว่าทางด้านตระกูลหวางจะยอมแพ้
“โอ๊ะ! โอกาวะออกไปแล้ว! ตอนนี้เหลือแค่เราแล้วก็ใครอีกคนก็ไม่รู้ แล้วนี่จื่อเทาเพิ่งลงไปห้าร้อยห้าสิบล้าน ให้ตายเถอะ!” ชานยอลทึ้งหัวตัวเองเมื่อเห็นว่าความพ่ายแพ้กำลังรออยู่เบื้องหน้า
“โอ๊ยย! ทำไงดีวะเนี้ย” ลู่หานที่ตอนนี้แทบจะนั่งไม่ติดเก้าอี้เคาะนิ้วลงบนโต๊ะถี่ๆอย่างรู้สึกเครียด
“อ๊ะ! หนึ่งพันล้านดอลล่าร์!”
“ใคร!? จื่อเทาหรอ!!” ลู่หานรีบหันกลับมาดูหน้าจอทันทีที่ได้ยินยอดเงิน
“ไม่ใช่...แต่” ชานยอลเว้นวรรคคำพูดเอาไว้เพราะไม่มั่นใจที่จะพูดชื่อที่เห็นออกมา
“บ้าน่าจะเป็นไปได้ไง..” ลู่หานเบิกตากว้างเมื่อเห็นสิ่งเดียวกันกับที่ชานยอลเห็น
สิ้นสุดที่ราคาหนึ่งพันล้านดอลลาร์สหรัฐ -ปิดประมูล-
หน้าจอแสดงสถานะล่าสุดของการประมูล เมื่อเห็นดังนั้นทั้งสองคนจึงรีบออกจากห้องวีไอพีไปในทันทีและเมื่อออกมาก็พบกับสึนะที่เพิ่งออกมาจากห้องประมูลอย่างรีบร้อนเช่นเดียวกัน
“เมื่อกี้พี่เห็นมั๊ย?” ลู่หานถามรุ่นพี่สาวทันทีที่เจอกัน
“เห็นสิ! แต่ยังไม่มั่นใจ” สึนะบอกก่อนรีบเดินออกไปยังหน้างานทันที
คนในงานยังคงพูดคุยกันถึงเรื่องการประมูล บางคนรู้สึกเสียดาย แต่บางคนก็พูดแสดงความยินดีกับคนที่ได้โปรเจ็คนี้ไป ลู่หาน ชานยอล สึนะและเซฮุนต่างพากันออกไปยังหน้าโรงแรมซึ่งคิดว่าคนที่ประมูลโปรเจ็คนี้ได้กำลังจะออกจากงานไป แต่ยังไม่ทันถึงหน้าประตูโรงแรมพวกเขาก็ต้องหยุดเมื่อเจอเข้ากับคนที่รู้จักกันดี
“อ่าวนายคิมไค มาทำอะไรที่นี่??” สึนะถามขึ้นเมื่อเห็นเด็กหนุ่มที่ใส่ชุดสูทสีดำยืนอยู่หน้าทางเข้างาน
“อ๋อ พาคนมาส่งน่ะ” หนุ่มผิวเข็มบอกก่อนจะยิ้มกว้างให้กับทั้งสี่คน
“อ่าวชานยอล!” ลู่หานตะโกนเรียกคนร่างโปร่งที่วิ่งออกไปหน้าโรงแรมโดยไม่บอกไม่กล่าว
อุณหภูมิข้างนอกที่หนาวเย็นจนหิมะเริ่มตกลงมา ชายหนุ่มร่างสูงที่ใส่เสื้อโค้ดสีดำสองคนกำลังยืนคุยกัน ซึ่งภายนอกอาจจะดูไม่มีอะไร แต่สายตาของเขาทั้งคู่กลับเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
“เก่งหนิ เจ็บเจียนตายอยู่แล้วแต่ก็ยังถ่อสังขารมาที่นี่ได้”
“นายคงไม่รู้สินะว่าตอนนี้ฉันดีขึ้นแล้ว แค่รอยช้ำเลือดในตามันไม่เป็นอุปสรรคของการมาที่นี่หรอก” หนุ่มร่างสูงบอกพร้อมกับชี้ไปที่ดวงตาข้างขวาของตัวเอง
“หึ พูดถึงนายนี่ก็ทุ่มทุนสร้างเหมือนกันนะ ตั้งหนึ่งพันล้านดอลลาร์หนักไปนะบางที เอาซะฉันไปไม่เป็นเลย” จื่อเทาบอกเสียงเรียบ แต่ดวงตาที่เฉี่ยวคมกลับแสดงความไม่พอใจออกมาให้อีกคนได้เห็น
“ก็แค่...เบาๆ ยังไงก็ขอโทษด้วยก็แล้วกันที่ทำให้นายพลาดโปรเจ็คนี้”
“คริส!!”
เสียงเรียกจากชานยอลทำให้หนุ่มร่างสูงหันไปตามเสียงเรียกทันที เขาส่งยิ้มให้กับคนร่างโปร่งที่ยืนอยู่หน้าประตูโรงแรม ซึ่งรอยยิ้มนั้นดูจริงใจกว่าที่เขาได้ยิ้มให้กับจื่อเทาอย่างแน่นอน
“อ๋อ..ที่หายเร็วเพราะกำลังใจดีนี่เอง คนของนายนี่..มันน่าสนใจจริงๆ” จื่อเทาพูดขึ้นหลังจากที่หันไปมองชานยอล
“หึ ถ้าคิดจะเข้าใกล้ชานยอลละก็...เอาเวลาที่คิดเรื่องแบบนั้นไปหาวิธีฆ่าฉันให้ตายดีกว่ามั้ย?” คริสบอกพร้อมกับมองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาที่เรียกได้ว่าเหยียดหยามกันสุดๆ
“รู้ตัวเร็วดีหนิ แต่ไม่ต้องเรียกหาหรอกฉันทำแน่!”
จื่อเทาบอกเสียงเน้นก่อนจะเดินออกไปจากตรงนั้นทันที ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ชานยอลวิ่งเข้ามาหาคริสพอดี
“คริส! คุณจะมาทำไมไม่บอกกันก่อน ปล่อยให้ผมกับพี่ลู่หานเครียดกันอยู่ตั้งนาน” ร่างโปร่งบอกด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ
“ถ้าบอกจะเซอร์ไพรส์หรอ?” ร่างสูงเลิกคิ้วถามอย่างกวนๆ
“เดี๋ยวต่อยให้ตาช้ำไปอีกข้างเลยหนิ!” ชานยอลว่าพร้อมกับชูกำปั้นขึ้นมาขู่คนตัวสูง
“เอาสิ แต่ถ้าผมเป็นอะไรไปคุณต้องอยู่ดูแลผมไปตลอดชีวิตนะ” คริสดึงมือของชานยอลมากุมเอาไว้และมองด้วยสายที่ทำให้อีกฝ่ายหัวใจเต้นแรง
“แหมๆๆ คุณอากิระ พ่อนักธุรกิจพันล้าน มาไม่บอกไม่กล่าวทำซะผมแทบหัวใจวาย” ลู่หานทักขึ้นจากด้านหลังทำให้ชานยอลต้องรีบดึงมือตัวเองออกจากมือคริสอย่างรวดเร็ว
“เอาน่า ถือเป็นการทดสอบการทำงานของนายด้วยไงและก็ถือว่าดีนะ สนใจมาทำงานกับฉันไหม?” คริสถามคนตัวเล็กกว่าที่ตอนนี้กำลังมองหน้าเขาด้วยสายตาที่เคืองแค้น
“ฝันไปเถอะ!” ลู่หานบอกพร้อมกับทุบกำปั้นลงบนหน้าอกของลูกพี่ลูกน้องตัวเอง
“เรากลับกันเถอะ ก่อนที่หิมะจะตกหนักกว่านี้” คริสบอกก่อนจะยกแขนขึ้นโอบไหลของชานยอลเอาไว้
“แหมมม ถึงเนื้อถึงตัว เดี๋ยวนี้มีถึงเนื้อถึงตัว ไปเลยกลับกันเองเลย เดี๋ยวฉันกลับกับไคก็ได้ ไป๊!” ลู่หานทำท่าไล่ทั้งคู่ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในโรงแรม
“เมื่อกี้คุณคุยอะไรกับนายคนนั้นหรอ?” ชานยอลถามขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้คริสได้ยืนคุยอยู่กับจื่อเทา
“ไม่มีอะไรหรอก แค่ทักทายกันเฉยๆ” คำตอบที่มาพร้อมรอยยิ้มทำให้ชานยอลรู้สึกอุ่นใจมากขึ้น
“ผมนึกว่าเขาจะทำอะไรคุณซะอีก”
“เป็นห่วงผมหรอ?” ร่างสูงยิ้มกริ่มทำให้ชานยอลรู้สึกเขินไปกับรอยยิ้มนั้น
“เอ่อ..กลับกันเหอะ” ชานยอลแกล้งเปลี่ยนเรื่องก่อนจะเดินนำคริสไปที่รถเป็นการแก้เขิน
ร่างสูงยืนยิ้มให้กับคนที่เพิ่งเดินออกไป ก่อนจะเดินตามไปโอบร่างนั้นไว้ หิมะที่โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้ามืด ช่วยสร้างให้บรรยากาศในค่ำคืนนี้ดียิ่งกว่าคืนไหนๆ อุณหภูมิที่หนาวเย็นทำให้ทั้งคู่ต้องการไออุ่นจากอีกฝ่ายมากกว่าเดิม ต้องการมากจนไม่อยากให้ช่วงเวลากลางคืนนี้หมดไป...
อ๊ากกกก!! ผ่านไปอีกตอน ตอนหน้าคิดว่าจะเลิกลีลาละ ควรจะเข้มข้นกันสักที! [ฝากเม้น+สกรีม #อตมน เป็นกำลังใจให้ตอนต่อไปด้วยนะคะ ^^]
ความคิดเห็น