ศุภวารี
ณ ริมน้ำบางปะกง สถานที่ที่ห้วงเวลาหมุนเวียนบรรจบ ปิ่นอนงค์ ลืมตาขึ้นอีกครั้งในวันเวลาที่ไม่ใช่ของเธอ ในร่างของโฉมงามรัตนโกสินทร์นาม แม่อนงค์
ผู้เข้าชมรวม
1,192
ผู้เข้าชมเดือนนี้
29
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ครั้งนี้หล่อนยืนเรียบริมท่าน้ำ แลเห็นเด็กน้อยในชุดโจงกระเบนผ้าไทยสีเม็ดมะปรางอย่างที่ใช้กันในราชพิธีสมัยเก่า
“สมเด็จท่านฯ ให้โกนจุกแล้วจ้ะแม่... ท่านว่าฉันเป็นสาวแล้ว” พลันนั้นเด็กหญิงหันมาส่งยิ้มกว้างให้ผู้เป็นมารดา แล้วหล่อนก็ราวกับได้ส่องมองกระจก หากแต่เป็นกระจกที่พาย้อนให้ตนเองดูอ่อนวัยลงสักสิบยี่สิบปี ความตระหนกวิ่งแล่นในกายที่บัดนี้ใสโปร่ง ไร้เรี่ยวแรงควบคุม แม้ไม่สามารถจับต้องสิ่งใดได้ ภาพทรงจำในอดีตของเด็กหญิงปิ่นอนงค์ทยอยฉายผ่านสายตา ราวกับเป็นชีวิตของหล่อนเอง
บุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของพันตรีเจ้าพระยาสุรทรงศิลป์และท่านผู้หญิงกัลยาฯ เรือนสุรศิลป์ไม่เคยขาดแคลนความสุข กระทั่งย่ำค่ำคืนกาฬวาต
“หลวงเวชบริบูรณ์ฯ ท่านขึ้นท่ามาแล้วเจ้าค่ะ”
“เอ็งรีบไปเร่งตามเข้ามา” เสียงเคร่งขึ้งของผู้เป็นพ่อเรือนแทรกความเจ็บปวดทรมานของเด็กหญิงบนตั่งไม้ กลิ่นสมุนไพรฉุนจมูก บ่าวไพร่พัดควันแข็งขันพลางเช็ดน้ำหูน้ำตา ไม่ทราบว่าเกิดจากเคืองควันหรือหรือความห่วงอาลัยต่อนายน้อยของเรือน
ราตรียาวนานพ้นผ่าน แพทย์หลวงที่ถูกเชิญมามีสีหน้าวิตก ครั้นชายแก่ส่ายศีรษะจนปัญญา คุณผู้หญิงกัลยาฯ ท่านก็ทรุดลงสะอื้นไห้ปานจะขาดใจ เมื่อรู้ตัวอีกครั้งปิ่นอนงค์ในฐานะผู้เฝ้าดูก็สายตาพร่าเลือนด้วยน้ำตากลบ เจ็บร้าวราวกับที่มองดูอยู่นี้เป็นชีวิตของตน ครึ่งหนึ่งในใจนั่นเชื่อมั่นแล้วว่านี่คงไม่พ้นเป็นอดีตชาติที่เคยพ้นผ่านมา
นับแต่วันนั้นมา รอยยิ้มและเสียงหัวเราะก็กลายเป็นสิ่งหายากในเรือนบริบูรณ์ศิลป์แห่งนี้ เด็กหญิงถูกเลี้ยงดูอย่างเคร่งครัด โดยมีบิดาและมารดาถนอมประคองไว้กลางสองมือ
และแล้วตัวละครใหม่ก็ถูกเพิ่มเข้ามาในฉากชีวิตตรงหน้าหล่อน ครั้งนั้น ‘แม่อนงค์’ อายุได้เต็ม ๑๔ ขวบปี ท่าทางซื่อสะอาดกว่าอายุอานามที่สมัยนั้นสมควรเรียกว่าสาวสะพรั่งอยู่อักโข
“อนงค์ ลูกนั่งพักเถิดหนา มาออกร้านงานวัดต้องลมเช่นนี้จะล้มป่วยเอาได้” ท่านผู้หญิงกัลยามีสีหน้าหวั่นวิตก มองบุตรสาวหยิบจับพับกระทงห่อหมกอย่างคล่องแคล่ว
“ไหวเจ้าค่ะ จะหาโอกาสได้ตอบแทนเจ้าจอมท่านสักคราช่างยากนัก” หญิงสาวผู้ขานตอบนั้นมีรูปร่างแบบบางอรชรจนคล้ายว่าต้องลมจะล้มไป ต่างจากความสมสัดส่วนอย่างคนรักกีฬาอย่างหล่อนอยู่มากนัก ผมยาวเหยียดตรงเข้มเสมอกัน ผิวกายนวลลออน่ามองไปเสียทุกที่
แม้ว่าจะคล้ายเธออยู่สิบส่วน แต่กิริยาอ่อนช้อยนุ่มนวลเช่นนั้นก็ต่างชัดอยู่มากโข คืนนี้แม่อนงค์ได้โอกาสมารับใช้เจ้าจอมตำหนักที่อุปถัมภ์ตน ออกร้านขายอาหารในงานฤดูหนาวที่ปิ่นอนงค์มองปราดเดียวก็ทราบว่าคืองานดูตัวของหนุ่ม ๆ สาว ๆ สมัยนี้เท่านั้น
ใช้เวลาไม่นานนัก ‘สามีในอนาคต’ ของแม่อนงค์ก็ปรากฏตัว หล่อนทราบมาก่อนตัวสาวเจ้าเสียอีก ในเรือนสุรศิลป์ ไม่มีสิ่งใดที่วิญญาณเร่รอนเช่นหล่อนไม่ได้ร่วมรับรู้ แต่คราวนี้กลับประหลาด ไม่มีเสียงใดจากหลุดจากปากบุรุษผู้นั้นมาถึงหูหล่อน ราวกับมีใครมาหมุนปิดเสียงโทรทัศน์ในช่วงที่ละครกำลังถึงจุดสำคัญอย่างไรอย่างนั้น
ปิ่นอนงค์จึงทำได้แค่มอง พินิจอยู่เช่นนั้นจนภาพคมชัด เขางามสลักจิตสลักใจ ไม่ใช่อย่างผู้ชายสมัยหล่อน แต่กลับคมคายคล้ายภาพศิลป์ คิ้ววาดตรง ผิวสีอ่อนผมสีเข้มเสยขึ้นอย่างพวกผู้ดี ไรฟันเรียงตรงสะอาดตา ครบถ้วนอย่างบุรุษในฝัน หากแต่เป็นบางสิ่งในสองนัยน์คู่นั้นที่ดึงดูดหล่อนอย่างไม่สิ้นสุด ชั่วครู่หนึ่งหล่อนคิดยังคิดไปว่าได้สบตา หากเมื่อมองให้ดี เป็นตัวหล่อนต่างหากที่พาตนเองมายืนอยู่เบื้องหน้าแม่อนงค์
งานวิวาห์ถูกจัดอย่างสมฐานะ วันคืนแห่งความสุขคืนกลับมาอีกครั้ง หากด้วยเคราะห์กรรมทำให้ ไม่อาจยืนยาวยั่งยืนดั่งที่สมควรจะเป็น ภาพสุดท้ายที่หล่อนได้เห็น แม่อนงค์สิ้นใจในเรือนไม้นั้น เดียวดายอย่างน่าสังเวชแม้จะมีบ่าวไพร่ทั้งหลายข้างกาย ไม่นานนักบิดามารดาก็ตามเข้าสมทบ ร่ำไห้ปานจะขาดใจ
ลมหายใจสุดท้ายของสตรีผู้นั้นสิ้นลงพร้อมด้วยห้วงคำนึง
ถึงผู้ที่ไม่ได้แม้จะมารั้งอยู่ดูใจ
...คุณพระจิรกรธรางกูร
สามีของหล่อน
ดวงใจของหล่อน
ภาพที่เลือนลางด้วยน้ำตาพลันดับมืด ความรู้สึกที่ห่างไปแสนนานหวนคืนอีกคราว
ลมหายใจ... หล่อนจะไปมีลมหายใจได้อย่างไร
และแล้วสายน้ำที่กลับทะลักเข้าปอดก็ให้คำตอบนั้น ปิ่นอนงค์ตะเกียกตะกาย เสียงตะโกนไม่ได้สรรพอื้ออึงอยู่บนผิวน้ำ ก่อนร่างจะถูกแรงบางอย่างฉุดขึ้นใบหน้าที่คุ้นเคยในห้วงความทรงจำของผู้อื่น บุรุษที่แม่อนงค์ของหล่อนคะนึงหาก่อนที่จิตดวงนั้นจะแตกดับ
ชายผู้นั้น... เป็นสิ่งสุดท้ายที่หล่อนได้เห็นก่อนจะสิ้นสติไปอีกครั้ง
______________________________
ผลงานอื่นๆ ของ WhiteWhale ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ WhiteWhale
ความคิดเห็น