ตอนที่ 1 : เพียงวันแรกที่พบ
คุณเคยได้ยินเรื่องชาตินี้ชาติหน้าไหม?
แล้วคุณเชื่อว่ามันมีจริงรึเปล่า?
ผมเคยคิดนะว่ามันไร้สาระ แต่ตอนนี้ ผมเชื่อมันอย่างสนิทใจเลย
.
.
.
รัฐแมสซาซูเซตส์ : สหรัฐอเมริกา
13:00
ทาคาดะ เคนตะ นักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ การบินและอวกาศกำลังยืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่หน้าแคนทีนหลังจากที่ถูกคนแปลกหน้าคว้าข้อมือเอาไว้
เขาคนนั้นเป็นรูปร่างสูง ไม่เก้งก้าง ผมสีน้ำตาลทอง และหน้าตาดี
ดวงตากลมใสเหมือนลูกสุนัขที่เขามองสบอยู่นั้นฉายแววดีใจจนเคนตะรู้สึกงุนงง
ยิ่งรวมเข้ากับประโยคที่อีกฝ่ายพูดไว้ก่อนหน้านี้ยิ่งทำให้เขาแปลกใจเข้าไปใหญ่
‘ในที่สุดก็เจอสักที’
ภาษา...เกาหลี? อ่า..โชคดีที่เคนตะฟังภาษาเกาหลีออก เขาเคยไปแลกเปลี่ยนที่ประเทศนั้นมาก่อนจึงไม่ทำให้เกิดปัญหาในการสื่อสาร
หลังจากยืนมองหน้ากันอยู่หน้าเเคนทีนที่มีคนพลุกพล่านจนเริ่มเป็นที่สังเกต เคนตะก็ลากเจ้าคนที่เอาแร่ยิ้มมายังร้านกาแฟตราเงือกเขียวแถวๆนั้น
เขาวางช็อคโกแลตปั่นไว้ตรงหน้าอีกฝ่ายแล้วนั่งลงฝั่งตรงข้าม
“ผมชื่อคิม ดงฮัน”ชายแปลกหน้าเริ่มแนะนำตัว
“อ่าครับ ผม...”
“ทาคาดะ เคนตะ”ยังไม่ทันที่เคนตะจะพูดจบคนตัวสูงก็เอ่ยชื่อเขาออกมาได้อย่างถูกต้องจนเด็กหนุ่มชาวญี่ปุ่นต้องกระพริบตาปริบๆด้วยความงุนงง
“เรารู้จักกันหรอครับ?”เคนตะถามขณะที่พยายามนึกว่าตลอดชีวิตยี่สิบปีมานี้เขาเคยเจอชายคนนี้ที่ไหน
“ครับ..เคยรู้จักเมื่อนานมาแล้ว”ดงฮันพูดพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าที่ยังไม่หายไปเลยตั้งแต่เจอกันที่หน้าแคนทีน
“อ่า...” หรือว่าจะเคยเจอกันตอนไปแลกเปลี่ยนที่เกาหลี
เขาจำไม่ได้จริงๆ..
“ขอโทษจริงๆนะครับ คือผมจำไม่ได้เลย”เคนตะก้มหัวลงเล็กน้อย แล้วมองแก้วคาราเมลครีมปั่นในมือ
แย่จริงๆเลยเขา
“จำไม่ได้ก็ไม่แปลกหรอกครับ เรื่องมันตั้งนานแล้วนี่นา”
หลังจากจบประโยคนั้น เคนตะก็เงยหน้าขึ้นมองสบตาคนตรงข้าม แล้วจู่ๆ ภาพบางอย่างมันก็ซ้อนทับขึ้นมา ภาพที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน...
.
.
.
โชซอน
เมื่อหลายร้อยปีก่อน
“พวกเชลยอยู่ที่ไหนกันหมดน่ะ”คิม ดงฮันในชุดขุนนางสีน้ำเงินถือวิสาสะเดินเข้ามาในคุกใต้ดิน โดยมีขันทีอ้วนวัยกลางคนวิ่งตามมาด้วยสีหน้าลำบากใจ
“องค์ชายเสด็จกลับตำหนักเถอะพะย่ะค่ะ”
แต่เจ้าชายหนุ่มก็ไม่สนใจ เดินผ่านประตูเข้าไปทันทีจนทหารเฝ้ายามสี่คนมองหน้ากันเลิ่กลั่กว่าจะทำยังไงดี จะไล่ไปก็ยังไงอยู่ แต่ให้เข้าไปจะดีหรอ
“ขันทีจอง อย่ากังวลไปเลย เราแค่อยากเห็นคนคนนั้นเท่านั้นเอง แค่ได้เห็นหน้าแล้วสัญญาว่าจะกลับ”ดงฮันพูดแบบขอไปทีแล้วเดินลิ่วๆไปตามทางเดินมืดๆในคุก แม้จะมีคบเพลิงจุดไว้แต่ยังไงก็ยังมืดกว่าข้างนอกอยู่ดี
“โถ ถ้าพระมเหสีรู้ข้าคอขาดแน่ๆ”ขันทีจองทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เต็มแก่
“ท่านอึยกอนนะท่านอึยกอน จะไปบอกองค์ชายเรื่องชาวญี่ปุ่นคนนั้นทำไม”
ท่านอึยกอนที่ว่าคือลูกชายคนที่สองของแม่ทัพคัง เป็นหนึ่งในสี่จตุรตัวแสบของวังหลวงที่ได้ตามท่านพ่อและพี่ชายใหญ่ไปออกรบกำราบเมืองขึ้นที่แข็งข้อพยายามเรียกร้องเอกราชที่บ้าที่สุดคือเขาดันจับคนญี่ปุ่นที่เป็นขุนนางอยู่ที่นั่นมาด้วยนี่สิ
“นึ่พวกเจ้า เชลยชาวญี่ปุ่นอยู่ตรงไหนน่ะ”ดงฮันถามทหารยามที่เฝ้าอยู่ด้านใน
พวกเขาพาองค์ชายไปเดินไปอีกไม่นานก็พบห้องขังที่มีชายหนุ่มคนหนึ่งนอนหลับอยู่
ร่างที่ออกจะบอบบางไปเสียหน่อยในชุดนักโทษสีขาวนอนขดอยู่บนฟางโดยที่ไม่ได้หันมาสนใจว่าด้านนอกเกิดอะไรขึ้น
“เขาพูดภาษาของเราได้รึเปล่า?”ดงฮันถามทหารยาม แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาคือคำว่าไม่ทราบ เพราะตั้งแต่มาที่นี่เชลยคนนี้ยังไม่เอ่ยปากพูดอะไรเลยสักคำ
เจ้าชายหนุ่มไหวไหล่เล็กน้อยแล้วเดินเข้าไปเกาะซี่กรงขัง
“นี่เจ้าน่ะ เจ้าคนญี่ปุ่น พูดของเราได้รึเปล่า”ขันทีจองที่เพิ่งวิ่งมาถึงแทบลมจับแล้วกรีดร้องอยู่ในใจ
คอขาดแน่ คอขาดแน่ คอขาดแน่
ร่างที่นอนขดอยู่ยันตัวลุกขึ้นมานั่งแล้วหันมามองคนที่เอ่ยทักเขาเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าชุดที่อีกฝ่ายใส่อยู่มันดูแปลกไปจากทหารคนอื่นๆเลยยอมลุกขึ้นหันมาประจัญหน้าด้วย
นั่นเป็นครั้งแรกที่ดงฮัน ได้พบกับเคนตะ...
.
.
.
ที่ศาลาริมน้ำในวังหลวง มีข้าราชบริพารจำนวนหนึ่งกำลังก้มหน้ารอรับใช้เจ้านายของพวกเขาอยู่จำนวนหนึ่ง เมื่องมองเข้าไปในศาลาจะพบกับชายหนุ่มสี่คนที่กำลังทำท่าเหมือนจะขาดใจตายเพราะคำสอนของพระอาจารย์ที่นั่งอยู่ตรงข้ามพวกเขา
จตุรตัวแสบ
คิม ดงฮัน เจ้าชายองค์ที่สองที่ประสูติจากพระมเหสี น้องชายของเจ้าชายรัชทายาทแทฮยอน มือที่ถือพู่กันอยู่นั้นดูไร้เรี่ยวแรงจนน่าสงสาร เหมือนเขาจะไม่ถูกกับปรัชญาพวกนี้เท่าไหร่นัก..
อง ซองอู พระสหายขององค์ชาย เขาเป็นหลานชายของท่านมหาเสนาบดี ท่าทางของเขาก็ดูเหมือนใกล้ขาดใจตายในอีกไม่นาน ไม่ต่างจากคนที่นั่งอยู่ด้านหลัง
คัง อึยกอน ลูกชายคนสุดท้องของแม่ทัพคัง น้องชายของคัง ดงโฮผู้กำชัยในศึกสงครามมากมาย สภาพเขาไม่ต่างจากคนอื่นๆนัก ใกล้ตายเต็มทีแล้ว
และสุดท้าย
จอง เซอุน หลานชายของขันทีจอง เขาเป็นคนเดียวที่นั่งตัวตรงและมองอาจารย์ ในมือถือพู่กันเหมือนเตรียมพร้อมจะเขียนตาม แต่ถ้าดูดีๆแล้ว
เซอุนหลับในไปแล้ว......
.
.
.
“เป็นไงคนญี่ปุ่นที่เล่าให้ฟัง ถูกพระทัยพระองค์รึเปล่า”อึยกอนเปิดปากถามขณะที่พวกเขากำลังนอนเล่นอยู่ในสวนที่ตำหนักของดงฮัน
“น่ารัก”ดงฮันยิ้มเมื่อนึกถืงคนต่างชาติที่ได้พบเจอเมื่อวาน สำเนียงภาษาชัดจนถ้าไม่บอกว่าเป็นคนญี่ปุ่นเขาคงไม่มีทางรู้
“แต่น่าเสียดายที่ไม่ยิ้มเลย ถ้ายิ้มออกมาสักหน่อยคงงามจนน่าดู”
“ฟังจากที่ตรัสแล้ว ดูฝ่าบาทจะต้องพระทัยชาวต่างชาติคนนี้นะ”ซองอูเอ่ยแล้วยักคิ้วหลิ่วตาล้อเลียนนายเหนือหัว
แม้ยศถาบรรดาศักดิ์จะต่างชั้นกันแต่พวกเขาก็รู้จักกันมาตั้งแต่ยังเล็กจึงสนิทกันมากนัก
“ก็นิดหน่อย...”ดงฮันไม่ปฏิเสธแม้จะไม่อยากยอมรับนัก แต่ตั้งแต่กลับมาจากที่นั่นเขายังหยุดนึกถึงนักโทษคนนั้นไม่ได้เลย ผู้มียศศักดิ์สูงสุดเอนตัวลงนอนบนพื้นหญ้านุ่มแล้วมองท้องฟ้าสีคราม ปุยเมฆสีขาวลอยเอื่อยๆ ดู เบา นุ่มนิ่ม พาลให้นึกถึงชาวต่างชาติในชุดขาวนั้นอีกแล้ว
“แต่คนญี่ปุ่นคนนั้นตัวเล็กนิดเดียวเอง พรุ่งนี้วันเดียวก็คงไม่รอดแล้ว”อึยกอนพูดขณะนั่งถอนหญ้าในสนามเล่นจนมันแหว่งเป็นหย่อมๆ
“ไม่รอด? ทำไมถึงไม่รอดล่ะ บอกข้ามานะอึยกอน”ดงฮันขมวดคิ้ว แล้วยันตัวลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว
“อ้าว ทรงไม่ทราบหรอ พรุ่งนี้ทหารจะจับเชลยมาสอบปากคำ เห็นว่าจะหาต้นตอของการแข็งข้อรวมไปถึงหาว่ามีเมืองใดสมรู้ร่วมคิดอีกหรือไม่ด้วยนั่นแหละ เห็นว่าชายชาวญี่ปุ่นคนนั้น คงจะโดนสอบปากคำเยอะที่สุดเลย เพราะดีไม่ดีหากพวกญี่ปุ่นอยู่เบื้องหลังนี่ต้องลำบากแน่ๆ”ยิ่งได้สดับฟังความจากปากเพื่อนรักมากเท่าไหร่ยิ่งทำให้เขาร้อนใจ
ใครๆก็รู่ว่าการสอบปากคำมันไม่ใช่การเชิญไปนั่งจิบน้ำชาพูดคุยริมบ่อริมบึง แต่จะใช้วิธีทรมาณในการเค้นความจริงออกมา
“ตัวแค่นั้นคงทนได้ไม่นานหรอกฝ่าบาท ถ้าไม่ตายคาที่ก็คงไปตายในคุก—- เดี๋ยว นั่นทรงจะเสด็จไปไหนน่ะ”ยังไม่ทันที่อึยกอนจะพูดจบดงฮันก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ใส่ใจแม้แต่ที่หัดเอาเศษหญ้าที่ติดบนเสื้อผ้าออกด้วยซ้ำ
“ประเดี๋ยวก่อน องค์ชาย”เซอุนที่เงียบอยู่นานเอ่ยขึ้น ดงฮันหยุดยืนแล้วหันมามองเพื่อนหน้าง่วงของตัวเอง
“ทรงจะทำอะไร ไตร่ตรองดีรึยังพะย่ะค่ะ”เจ้าชายหนุ่มอ้าปากเหมือนจะตอบคำถามแต่ก็รีบหุบลงเพราะนึกไม่ออกว่าจะตอบว่าอะไร
นั่นสิ ที่ลุกมานี่จะไปทำอะไรน่ะ...
“ไม่ได้ทรงคิดไว้ล่ะสิ”เซอุนลุกขึ้นยืนตรงหน้าองค์ชายแล้วยิ้มออกมาบางๆ
เพื่อนอีกสองคนที่นั่งอยู่บนพื้นมองหน้ากันเล็กน้อยแล้วยักไหล่แบบรู้กัน
เซอุนยิ้มแบบนี้...
เป็นเรื่องแน่
.
.
.
.
.
เคนตะกำลังสับสน...
มาก
ตอนนี้นักศึกษาหนุ่มชาวญี่ปุ่นกำลังนอนเอามือก่ายหน้าผากอยู่ในห้องพักของตัวเอง โดยมีรูมเมทคนสนิทนั่งเล่นเกมอยู่มี่โต๊ะคอมเยื้องไปทางด้านซ้าย
“แน่ใจนะว่าจะไม่ไปหาหมอ”คิม ซังกยุนเอ่ยถามรูมเมทตัวเล็ก ทั้งๆที่สายตายังไม่ละจากจอคอม
“ไม่ล่ะ เดี๋ยวก็คงหาย”เคนตะตอบด้วยเสียงเหนื่อยอ่อน ซังกยุนพยักหน้ารับรู้เล็กน้อย เสียงเกมที่ดังออกมาจากเฮดโฟนนั้นไม่ได้เบาเลยแต่ซังกยุนก็ยังได้ยินเสียงเพื่อนของเขา
มันเป็นคุณสมบัติที่น่าพิศวงซึ่งติดตัวซังกยุนมาตั้งแต่เด็ก เขาหูดีมาก ดีจนบางคนถามว่า เอ็งเป็นหมาหรอ และก็ได้คำตอบเป็นนิ้วกลางทั้งสองข้างคนถูกถาม
หลังจากเรื่องแปลกๆเมื่อกลางวัน เคนตะก็โดดเรียนคาบบ่ายกลับมานอนที่หอพักโดยอ้างว่าลาป่วย
หลังจากที่สบตากับชายคนนั้น เคนตะมองลึกเข้าไปในดวงตาสีดำของอีกฝ่าย เขาเหมือนตกอยู่ในภวังค์ เขาเห็นภาพเหมือนคุกโบราณและตัวเองในชุดสีขาว
เคนตะรู้สึกตัวอีกครั้งตอนชายที่ชื่อดงฮันถามว่าเขาเป็นอะไรรึเปล่า เขาบอกว่าไม่เป็นไรและรีบขอตัวกลับมาโดยที่ดงฮันยังไม่ทันเอ่ยลาจบ
พอกลับมาถึงที่นี่เขาก็รู้สึกเหนื่อย เหนื่อยจนต้องทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนอย่างหมดเรี่ยวแรง ไม่แม้แต่จะถอดเสื้อนอกออกด้วยซ้ำ เดือดร้อนไปถึงรูมเมทต้องมาเอาออกจากตัวไปแขวนให้
หลังจากจบเกมซังกยุนก็ถอดเฮดโฟนสีแดงของตัวเองออกแล้วเดินไปนั่งที่เตียงของเขา
“สภาพนายเหมือนตอนที่เราสอบคณิตเลย”ซังกยุนเอ่ยแล้วหยิบไอโฟนxของตัวเองขึ้นมาเช็คSNS
ใช่ ตอนพวกเขามาเรียนที่นี่ปีแรก ตอนที่สอบวิชาคณิตตัวแรกก็สภาพแบบนี่แหละ
สภาพเหมือนใกล้ตายเต็มแก่
เคนตะเป็นนักเรียนทุนรัฐบาล ซังกยุนก็เหมือนกัน เขาชอบบอกว่าตัวเองเป็นนักเรียนทุน
แต่เป็นทุนบุพการี
คุณพ่อคุณแม่ของซังกยุนเป็นนักอสังหาอยู่ที่เกาหลี ค่อนข้างมีฐานะทีเดียว ถามว่ารวยขนาดไหน ก็รวยขนาดส่งลูกชายมาเรียนเมืองนอกได้สบายๆนี่แหละ
“มันเหมือนฝันเลย ฝันกลางวันแสกๆ ฝันทั้งที่ยังตื่น”เคนตะพูดด้วยเสียงอู้อี้เพราะเขาเอาหน้าไปซุกอยู่บนหมอนใบโต
“ฉันฝันว่าตัวเองเป็นนักโทษ เหมือนอยู่ในคุกโบราณแถบๆเกาหลี”
“แน่ใจนะว่าไม่ได้เป็นภาพติดตามาจากตอนที่เราดูซีรี่ย์ย้อนยุคกัน”
เคนตะเงยหน้าขึ้นมาแล้วส่ายหัวเบาๆ
“ไม่ มันเหมือนจริงมาก มันเป็นมุมมองแบบในเกมเลย มุมมองที่เราเป็นตัวละคร”เคนตะอธิบาย เขายันตัวลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิบนเตียงเเล้วเอาหมอนวางไว้บนตัก
“แล้วนายเห็นฉันใส่ชุดรัชทายาทไรงี้ไหม ชุดสีน้ำเงินที่มีลายสีเงินแบบที่โบกอมใส่”ซังกยุนหยอกล้อ แล้วพาดพิงถึงนักแสดงหนุ่มชื่อดังที่พวกเขาติดตามผลงานอยู่
“ไม่ แต่คิดว่าถ้าฝันอีกทีอาจจะเห็นนายเป็นนักโทษเหมือนกันนี่แหละ”เคนตะรับมุกแล้วขำเสียเอง เล่นเองขำเอง
“บ้าน่า หล่อๆแบบฉันไม่เจ้าชายก็ต้องขุนนาง”รูมเมทชาวเกาหลีเชิดคางขึ้นเล็กน้อยอย่างมั่นใจ
“จ้าๆ”เคนตะตอบรับแล้วล้มตัวลงนอนต่อ
“แล้วคนที่ชื่อดงฮันนั่นน่ะ แน่ใจนะว่าไม่รู้จักจริงๆ”ซังกยุนถามต่อ
แม้จะไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเจอคนเกาหลีในอเมริกาแต่มาทักแบบนี้มันแปลกแน่ๆ
“ไม่เลย นึกไม่ออก ตอนไปแลกเปลี่ยนก็ไม่มีเพื่อนชื่อนี้นะ”
“เขาคงไม่ใช่คนที่แอบชอบนายตั้งแต่ตอนอยู่เกาหลีแล้วตามมาไรงี้หรอกนะ”ซังกยุนอนุมาน แต่กลับโดนเคนตะปาหมอนอิงใบเล็กใส่
“บ้าน่า มันจะไปมีได้ยังไง” เจ้ารูมเมทจอมกวนหัวเราะเล็กน้อยแล้วโยนหมอนอิงคืนให้คนตัวเล็ก
“ใครจะรู้ ทาคาดะซังอาจจะฮอตมากจนมีหนุ่มหล่อตามมาถึงอเมริกาก็ได้”เขายังไม่เลิกล้อจนเคนตะต้องปาหมอนใส่อีกรอบ
“เพ้อเจ้อ”
.
.
.
.
“เอาล่ะ มาทวนแผนกันอีกรอบ ไหนฝ่าบาททวนส่วนของพระองค์ให้กระหม่อมฟังหน่อยพะย่ะค่ะ”หลานชายขันทียืนเอามือไดล่หลังอยู่หน้เพื่อนทั้งสามที่ยืนเรียงกัน
“ของเรา เราจะเข้าไปขอเสด็จแม่ว่าอยากเรียนภาษาญี่ปุ่น และอยากได้ครูเป็นชาวญี่ปุ่น”
เซอุนพยักหน้าแล้วชี้ไปที่อึยกอน บุตรชายของแม่ทัพทวนให้ฟังทันทีโดยที่ไม่ต้องบอก
“ข้าจะเล่าเรื่องชาวญี่ปุ่นคนนั้นให้พระมเหสีฟังว่าเขาดีขนาดไหน”
“ถ้าพระมเหสีไม่ยอม ก็เป็นคราวของซองอู รู้ใช่ไหมว่าต้องทำยังไง”
“รู้น่า”ซองอูยักไหล่ พวกเขายกโขยงกันไปขอเข้าเฝ้าพระมเหสีที่ตำหนัก
ยืนรออยู่ไม่นานก็สามารถเข้าไปได้
“มีเรื่องอะไรรึถึงมาขอเข้าเฝ้าแม่ตั้งแต่หัววันแบบนี้”พระมเหสีคิมเอ่ยถามบุตรชายหัวแก้วหัวแหวน
ตั้งแต่บุตรชายคนโตเป็นรัชทายาทก็ต้องสะสางกิจมากมายจนไม่มีเวลาให้นาง พระนางจึงหลงบุตรชายคนเล็กมาก ประกอบกับดงฮันเป็นเด็กขี้อ้อนทำให้พระนางยิ่งรักและตามใจนัก
“เสด็จแม่ ลูกอยากเรียนภาษาญี่ปุ่น”ดงฮันเอ่ยปากทันทีที่นั่งลงตรงข้าามพระมารดา ประโยคนั้นสร้างความตกตะลึงไม่น้อยให้กับพระมเหสี
ลูกชายนางบอกอยากศึกษาเล่าเรียน!!! นี่มันวันอะไรกัน ฟ้าจะถล่มหรืออย่างไร!
“เหตุใดจึงอยากเรียนภาษาอื่นขึ้นมาเล่า ปกติแค่เรียนเขียนอักษรบ้านเราเจ้ายังคร้านจะเรียน”เมื่อพระนางเอ่ยความจริงเข้าใส่ เจ้าลูกชายตัวแสบก็เม้มปาก ดวงตาที่ถอดแบบจากพระบิดาสาเริ่มล่อกแล่ก
“ลูกแค่อยากลองศึกษา...”ดงฮันพูดเสียงอ่อยเหมือนเด็กที่กำลังจะอ้อนขอของเล่นราคาแพง
“ก็เอาสิ เดี๋ยวแม่จะให้คนจัดหาอาจารย์มาให้”พระมารดาไม่คิดจะซักไซ้ต่อ ลูกอยากเรียนก็ดีเสียอีก จะได้มีความรู้มากๆ
“คือลูกได้ยินว่าเชลยชุดล่าสุดที่อึยกอนพามาจากเมืองทางใต้มีชาวญี่ปุ่นอยู่ด้วย แถมเขายังพูดภาษาของเราได้ ลูกว่าเจ้าของภาษาเช่นเขาน่าจะสอนได้ดี”
“คนไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าจะสอนดีกว่าอาจารย์ในวังหลวงได้อย่างไร แล้วเชลยเช่นนั้นเขาจะไม่ปองร้ายลูกเอาหรือ เกิดเขาทำอันตรายอะไรเจ้าขึ้นมาจะทำอย่างไร”พระมารดาแย้ง
“แต่คนคนนั้นเป็นคนดีนะพะย่ะค่ะท่านแม่”ดงฮันพยายามต่อ
“อึยกอนเล่าเรื่องเขาให้ลูกฟังเยอะแยะลูกเลยไปพบเขามาเมื่อวานที่คุกใต้ดิน..”
“ห้ะ! นี่ลูกไปที่คุกใต้ดินมาหรือ เวลานี้วนคุกเต็มไปด้วยพวกเชลยฝ่ายนั้น ถ้าถูกพวกนั้นทำร้ายเจ้าจะทำยังไง! ทำไมขันทีจองถึงกล้าปล่อยให้เจ้าไปทีแบบนั้นกัน”เสียงของพระมเหสีที่ดังออกมาจากในห้องนั้นทำเอาขันทีจองที่ยืนอยู่ด้านหน้ารู้สึกร้อนๆหนาวๆ จะคอขาดไม่ขาดก็รู้วันนี้แหละ..
“อย่าโทษขันทีจองเลยท่านแม่ ลูกเป็นคนลงไปเอง”
พระมเหสีถอนหายใจยาวๆ
“ไม่ว่ายังไงแม่ก็ไม่ยอมหรอกนะองค์ชาย”นางยื่นคำขาด จะให้นางไว้ใจคนต่างถิ่นให้มาใกล้ชิดองค์ชายได้อย่างไร!
“แต่ลูกพูดจริงๆนะท่านแม่ ชายคนนั้นไม่คิดปองร้ายลูกหรอก ลูกมั่นใจ”
“ให้ลูกเรียนกับเขาเถอะนะ”ดงฮันเริ่มใช้ลูกอ้อนด้วยสายตาและน้ำเสียง
“ลูกจะให้อึยกอนมาเรียนด้วย ท่านแม่ก็รู้ว่าอึยกอนปกป้องลูกได้แน่ๆ นะท่านแม่ น้าา”พระมเหสีมองลูกชายตัวดีอย่างลำบากใจ นางเป็นคนใจอ่อนโดยเฉพาะเรื่องลูกชายคนเล็ก ที่ไม่เคยปฏิเสธได้ แต่เรื่องนี้มันเรื่องใหญ่...
“กระหม่อมขอรับรองว่าจะปกป้ององค์ชายด้วยชีวิตพระเจ้าค่ะ”คังอึยกอนเสริม
“กระหม่อมว่าถ้าได้เรียนกับคนญี่ปุ่นแท้ๆแบบนั้นก็เป็นเรื่องดีนะพะย่ะค่ะ ทั้งวัฒนธรรมและอะไรต่างๆของญี่ปุ่นเขาย่อมรู้ดีกว่าใคร”ซองอูเสริม
พระมเหสีละสายตาจากอึยกอนไปมองยังหลานชายของมหาเสนาบดีตระกูลองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนเฉลียวฉลาด คำพูดของคนสกุลนี้มีน้ำหนักต่อราชวงศ์เสมอ..
“นะท่านแม่ ลูกให้สัญญาว่าจะไม่เป็นอันตรายอะไรแน่นอน เพียงทรงอนุญาต...”ยิ่งนานเข้าดงฮันยิ่งร้อนใจ ถ้าวันนี้เขาขำระราชทานอนุญาตจากเสด็จแม่ไมได้พุ้งนี้ชาวญี่ปุ่นคนนั้นต้องตายในลานทรมาณแน่ๆ
“จริงๆเลยลูกคนนี้...”
.
.
.
ซองอูและเซอุนเพิ่งเดินออกจากประตูวังหลังจากเข้าไปตั้งแต่เช้า อึยกอนได้แยกไปแล้วเพราะกลับกันคนละทาง
ซองอูเอ่ยขึ้นทำงานความเงียบ
“แต่ที่พระมเหสีตรัสมันก็มีเหตุผลนะเซอุน” หลังจากกลับมายังดำหนักของดงฮันซองอูก็เอ่ยขึ้น
“ถ้าคนญี่ปุ่นคนนั้นเป็นตัวอันตรายจะทำยังไงกัน”
“ก็ฆ่าทิ้งซะสิ”เจ้าคนหน้าง่วงพูดหน้าตาเฉย
“ก่อนจะได้เชือดเขาเจ้าชายเราจะโดนเชือดเอาน่ะสิ”ซองอูยังคงคิดไม่ตก
เซอุนเงียบไม่ได้ตอบกลับอะไรไป
“ตอนแรกข้าไม่นึกเลยนะว่าเจ้าจะสนับสนุนเจ้าชายขนาดนั้น...มันแปลก
คงไม่ได้มีแผนอะไรใช่ไหม?”
ซองอูได้รับคำตอบพร้อมกับรอยยิ้มของเซอุน
รอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจ...
‘ก็แค่ ช่วยชีวิตคนที่สมควรช่วย’
จอง เซอุนกลับมาถึงคฤหาสน์ของตระกูลจองในช่วงดึกสงัด หลังจากที่แยกกับซองอูที่หน้าบ้านของอีกฝ่ายและหลังจากไปจัดการธุระบางอย่างมา
เทียบกับเพื่อนๆอีกสามคนเขาอาจจะมียศต่ำสุดก็จริง แต่ตระกูลจองเป็นตระกูลเก่าแก่ที่รับใช้กษัตริย์มานานจึงได้รับความไว้วางใจและกุมความลับไว้มากมาย
ชายหนุ่มกล่าวทักทายคนใช้ที่เดินผ่านมาอย่างอารมณ์ดีแล้วเลี้ยวเข้าห้องของตัวเองพลางนึกถึงเรื่องที่ตำหนักพระมเหสี
ในคราแรกพระนางไม่ยอมถึงแม้เขาและซองอูช่วยพูดแล้วก็ตาม
เซอุนเสนอออกไปว่าจะให้ชาวญี่ปุ่นคนนั้นมาทำงานอื่นๆในวังก่อเพื่อดูท่าที ถ้าตรวจสอบแล้วไม่เป็นอันตรายก็จะยอมให้มาสอนหนังสือองค์ชาย
ส่วนเรื่องสอบปากคำก็จะให้ดำเนินไปตามปกติแต่แค่งดเว้นการทรมาณ
พระมเหสีทรงบอกว่าเรื่องนี้ต้องให้พระราชาตัดสิน พวกเขาจึงพูดอะไรไม่ได้นอกจากเดินคอตกกลับตำหนัก
หลังจากที่เซอุนแยกกับซองอู เขาเดินอ้อมไปอีกทางและกลับไปยังวังหลวงพร้อมกับเดินทางไปยังตำหนักที่ใหญ่ที่สุด
‘ตำหนักของพระราชา’
เขาขอเข้าเฝ้าพระราชา แน่นอนว่าคนอื่นๆคงได้รับคำตอบเป็นการไล่ไปให้พ้นเพราะมันค่ำแล้วแต่เมื่อเป็นจองเซอุน เขาได้เข้าเฝ้า เขาพูดบางสิ่งกับพระราชา บางสิ่งที่สำคัญมาก
บางสิ่งที่เขาไม่ได้บอกเพื่อนๆ
ว่าเขา...
ไปที่คุกใต้ดินก่อนดงฮันเสียอีก เพื่อพูดคุยกับเฉลยชาวญี่ปุ่นคนนั้นจนได้พบความจริงบางอย่างที่น่าตกใจ
ในช่วงรุ่งสางของอีกวัน เชลยชาวญี่ปุ่นถูกนำตัวมาสอบสวนต่อหน้าพระราชา พวกเขาไม่ได้ข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์นอกจากญี่ปุ่นไม่ได้มีส่วนเกี่วข้องใดๆกับเรื่องนี้ เคนตะเองก็จากประเทศบ้านเกิดมานานและไม่ได้ติดต่อกับใครที่นั่นเลยและที่น่าตกใจคือ เคนตะไม่ได้เป็นชาวญี่ปุ่นแท้ๆ เขาเป็นลูกครึ่ง แม่ของเขาเดินทางมากับคณะค้าขายไม่ได้มียศถาบรรดาศักดิ์ใดๆ แม่ของเขาได้แต่งงานกับพ่อค้าของเมืองที่เขาอาศัยอยู่ แต่เคาระห์ร้ายที่บ้านถูกไฟไหม้และพ่อของเขาตายในกองเพลิงขณะที่แม่ยังตั้งท้อง เมื่อไม่มีอะไรเหลือแม่ของเขาจึงเดินทางกลับญี่ปุ่น ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นั่น และที่เคนตะกลับมาที่นี่ก็เพราะพ่อเลี้ยงของเขาเดินทางมาค้าขายและวันที่เกิดเรื่องก็ดันเข้าไปค้าขายในวังและโชคร้ายถูกรวบตัวมาพร้อมกับเชลยคนอื่นๆเสียอย่างนั้น
พวกผู้สอบสวนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก งั้นแสดงนี่พวกเขาจับชาวบ้านมาอ่ะดิ
พวกเขาสอบสวนคนอื่นๆต่อจนถึงที่สุด จนได้ความว่าญี่ปุ่นไม่มีสวนรู้เห็นกับเรื่องนี้ และพวกเขาไม่รู้จักคนญี่ปุ่นที่ถูกจับมา มีเพียงหญิงสาวที่เป็นนางในที่บอกว่าเขาเป้นพ่อค้าขายเครื่องประดับเท้านั้น เคนตะได้รับการปล่อยตัว...
“รอดไปนะท่าน”ขณะที่เคนตะกำลังเดินออกจากวังหลวงก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างๆ
เขาจำได้ว่าชายคนนี้มาเจอเขาอยู่ที่ห้องคุมขัง และเป็นคนคนเดียวที่รู้ตัวจริงของเขาถึงแม้จะไม่รู้ว่ารู้ได้ยังไงก็เถอะ แต่เคนตะไม่อยากใส่ใจกับชายคนนี้เท่าไรห่นักจึงไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
“ไม่คิดจะขอบคุณกันหน่อยหรอ ขอบอกเลยนะว่าที่ท่านรอดไม่ถูกทรมาณนี่ก็เพราะข้าไปพูดกับพระราชานะ”เซอุนทวงบุญคุณอย่างออกนอกหน้า
“นี่ ไม่คิดจะพูดกันจริงๆหรอ”เซอุนตามตื้อไม่เลิก
“ต้องการอะไร”เคนตะเอ่ยถามหลังจากที่พวกเขาเดินออกมาไกลจากวังหลวงได้สักพัก
“ก็..อย่างน้อยก็ขอบคุณสักหน่อยสิ”
“แค่นั้นน่ะหรอ”
“ไม่”
“ว่าแล้วเชียว”
“นี่คุณเคนตะ ไม่อยากทำงานในวังหลวงหรอ”
ด้วยความช่วยเหลือและเส้นสายของจอง เซอุน ตอนนี้เคนตะถูกจับมาเป็นเด็กฝึกในกรมกองศิลปะอย่างไม่ค่อยเต็มใจ แต่เขาก็ไม่มีทที่ไปจริงๆ ใครจะนึกว่าเจ้าคนหน้าง่วงคนนั้นจะพาเขามาทำงานแบบนี้เล่า ตอนแรกก็นึกว่างานคนใช้ ให้มาเป็นขุนนางเนี่ยนะ บ้าไปแล้ว
“ปกติต้องสอบเข้านะ เจ้านี่เส้นใหญ่ใช้ได้”แค่วันแรกก็โดนขุนนางฝึกหัดในนั้นแขวะเอาแล้ว วันต่อๆไปก็คงเหมือนกันนั่นแหละ
.
.
.
“คุณอีกแล้วหรอ”เคนตะเอ่ยขึ้นเมื่อเขาถูกขวางไว้ด้วยผู้ชายแปลกๆที่บอกว่าตัวเองชื่อดงฮัน
หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมาสามวันดงฮันก็มาปรากฎตัวอีกครั้ง เขาหอบหนังสืออยู่ในมือ เป็นหนังสือเกี่ยกับนิวเคลียร์ ท่าทางคงจะเรียนสาขานั้นสินะ
“คิดถึงน่ะครับ”
แปลกคน..คนเพิ่งเคยเจอกันเขาพูดแบบนี้ก็เเล้วหรอ แต่อีกฝ่ายก็เป็นคนแปลกๆนี่นา เคนตะปล่อยให้อีกฝ่ายเดินตามมาเรื่อยๆ กว่าจะถึงอาคารเรียนก็กินเวลาไม่น้อยเลยเพราะมหาลัยของเขามันกว้างจะตาย คนปกติจึงปั่นจักรยานเอาแต่เคนตะชอบกลับเดินมากกว่า
“นี่ ผมเรียกว่าพี่เคนตะได้รึเปล่า..” ดงฮันที่เดินตามเคนตะต้อยๆเอ่ยขึ้น
โดยปกติแล้วถ้าไม่สนิทเคนตะไม่ค่อยชินถ้าจะมีใครมาเรียกชื่อแบบนี้ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงอนุญาตให้ดงฮันเรียก
“ขอบคุณครับพี่เคนตะ แล้วนี่พี่มีเรียนหรอรครับ”
“อ่า วิชาภาคน่ะ”เคนตะตอบ เขาอึดอัดไม่น้อยเลยที่ต้องมาเดินกับคนที่..เกือบจะแปลกหน้า แถมตั้งแต่เจอกับอีกฝ่ายก็ฝันแปลกๆมาหลายทีแล้วจนรูมเมทแนะนำให้ไปหาจิตแพทย์ของมหาลัยดู
“เห แล้วเลิกกี่โมงหรอครับ”ดงฮันถามต่อ
“บ่ายสามน่ะ”
“งั้นหลังบ่ายสามผมจองตัวได้ไหม?”
.
.
.
ผีตนไหนมันดลใจให้เคนตะตกลงล่ะเนี่ย เขาคิดขณะที่ยืนมองรถออดี้สีดำที่จอดเทียบอยู่ด้านหน้าตัวเอง กระจกด้านคนขับเปิดออก คนที่อยู่ด้านหลังพวงมาลัยคือคนที่มาบอกว่าจองตัวเขาไว้
“ขึ้นมาเร็วพี่เคนตะ จะพาไปกินข้าว”
.
.
.
“แล้วก็ไปกับเขาเลย?”ซังกยุนเอ่ยถามหลังฟังเรื่องราวจากปากเคนตะจบ
“อื้อ เขาพาไปร้านตรงหัวมุม นี่ก็ไลน์มานะแต่ยังไม่ได้ตอบเลย”
“ตอบไปสิ ชอบดองข้อความ นิสัยเสียนะเนี่ย”ซังกยุนลุกขึ้นเอาชามบะหมี่ที่ไม่เหลือกระทั่งน้ำซุปไปล้าง
“ไม่รู้จะตอบอะไรอ่ะ”เคนตะถอนหายใจ เขายกมือถือขึ้นมาดูมองแจ้งเตือนจากผังแจ้งเตือนด้านบนโดยไม่กดเข้าไปอ่าน
ดงฮัน:ขอบคุณที่ไปด้วยกันวันนี้นะครับ
ดงฮัน:ส่งสติ้กเกอร์
ดงฮัน:พี่เคนตะครับ
ดงฮัน:พรุ่งนี้ว่างไหมครับ?
อ่า...จะตอบไปว่าไงดีเนี่ย...
TBC.
TALK
ตอบว่าไงดีล่ะเคนตะคุงง
อ่านแล้วรู้สึกงงๆกันรึเปล่าคะ คราวหน้าเราจะพยายามให้มากขึ้น ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้มากเลยนะคะTT รักกกก
เราจะพยายามมาต่อให้ถี่ที่สุดนะคะ เรื่องนี้ไม่ทิ้งพี่เคนน้องฮันให้ร้างแน่นอน <3
ฝากเม้นท์กันด้วยนะคะ ถ้าเจอคำผิดหรืออยากติชมตรงไหนบอกได้เลยค่ะ! ไปพูดคุยกันในแท็กได้นะคะ รอเจอทุกคนน้า <3
Just be Shipper
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

24 ความคิดเห็น
-
#9 Dream-Killer (จากตอนที่ 1)วันที่ 5 พฤษภาคม 2561 / 12:10ชอบจังค่ะ แงงงง พล็อตก็ดีมากกกก น่ารักด้วยยยย สู้ๆนะคะ ㅠㅠ 💕#90
-
#2 kemox (จากตอนที่ 1)วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2561 / 01:32โอยยย ชอบมากเลยค่ะ พล็อตเท่มากเลย ;/////; อ่านแล้วปิ๊งอึยกอนเรื่องนี้เป็นพิเศษเลยค่ะฟหกด่าสว ไรท์สู้ๆนะคะ รออ่านต่อน้า <3#20