คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ความในใจของใครบางคน 100%
ความในใจของใครบางคน
Paul Talk
นี่ก็เป็นเวลาหนึ่งวันเต็มๆแล้ว ที่ผมเฝ้าไข้เพื่อนคนสำคัญของผมที่ถูกลูกหลงเมื่อคืนก่อนด้วยสภาพจิตใจที่อ่อนล้าและอ่อนแอ กลัวว่าคนบนเตียงนี้จะไม่ยอมฟื้นขึ้นมา ทั้งๆที่หมอท่านก็บอกแล้วว่าปลอดภัย แต่ก็ยังอดห่วงไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายก็ไม่ยอมฟื้นขึ้นมาสักที
ในตอนนั้นที่คริสถูกยิงผมพูดได้เลยว่าหัวใจของผมแทบแหลกสลายไป ณ ตรงนั้น และยิ่งเจ็บมากกว่าเดิมเมื่อเห็นคริสเลือดไหลออกมาเยอะมากและค่อยๆทรุดตัวลงกับพื้นอย่างคนใกล้หมดสติ นั่นยิ่งทำให้ผมอยากจะเป็นคนที่ถูกยิงแทนคนตรงหน้าเสียเอง
เวลานั้นสิ่งที่ผมกลัวที่สุด ก็คงจะเป็นการที่จะไม่ได้เห็นคริสอยู่บนโลกนี้ ผมเคยคิดมาตลอดว่าถ้าหากวันหนึ่งผมต้องขาดคริสไปผมจะอยู่ยังไงถ้าไม่มีเขา ชีวิตของผมเหมือนถูกเติมเต็มในทุกๆส่วนที่ผมขาดด้วยคริสมาตลอดระยะเวลา 15 ปีที่เป็นเพื่อนกันมา
คริสเป็นเพื่อนคนแรกที่กล้าเข้ามาพูดคุยและเล่นกับผม ตอนที่ผมย้ายมาเรียนที่นี่ตอน 8 ขวบ เพราะพ่อของผมถูกเลื่อนขั้นและย้ายเข้ามาทำงานงานที่เมืองนี้ และเพราะความนิ่งเงียบ ไม่กล้าพูดคุยกับใคร และสีหน้าและแววตาที่เย็นชา ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้ามาทักทาย ทำให้ผมรู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวมาตลอด
แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนไปแล้ว ผมเริ่มที่จะกล้าพูดคุยกับทุกคนเพราะความร่าเริงสดใสของคริสที่เหมือนกับว่าถูกถ่ายทอดมาที่ตัวผม ถึงแม้จะไม่ถึงครึ่งที่คริสมี แต่มันก็ทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนไป จากเด็กชายนิ่งเงียบแสนเย็นชา กลายเป็นเด็กชายที่แสนอ่อนโยนและเยือกเย็นไปในเวลาเดียวกัน
ผมเคยรู้สึกผิดที่คริสเข้ามาเล่นกับผม เพราะคริสเองก็เคยถูกเพื่อนๆล้อที่มาคบกับมนุษย์น้ำแข็งอย่างผม และเพราะคำตอบของคริสในวันนั้น ทำให้ผมรู้สึกกับคริสเกินเพื่อนมาตลอด
‘เพราะพวกนายเอาแต่คิดว่าพอลเป็นคนเย็นชา น่ากลัวแต่พวกนายเคยกล้าที่จะลองเปิดใจพูดคุยกับเขาไหม ว่าแท้จริงแล้วพอลเป็นคนยังไง พวกนายมันขี้ขลาด เก่งแต่ปาก และถ้าใครไม่พอใจน่ะนะ ก็เข้ามาได้เลย ฉันไม่กลัวหรอกนะ และให้พวกนายจำไว้ด้วยว่า พอลเป็นเพื่อนของฉัน และถ้าฉันรู้ว่านายทำอะไรเขาล่ะก็ ฉันไม่ปล่อยนายไว้แน่ ใครอยากเจอดีก็ลองดูได้’
ผมจำได้ดีว่าวันนั้นคริสโกรธมาก เพราะถูกกระแสว่าร้ายจากการที่มาคบกับผมเยอะพอสมควร แม้วันนั้นผมจะรู้สึกผิด แต่ผมก็รู้สึกดีมากเลยที่ได้ยินคำพูดนั้นจากคริส คริสทำให้ผมเข้าใจคำว่าเพื่อนมากขึ้นจนทำให้ผมแอบคิดเกินเลย
และเพราะคำพูดนั้นทำให้มีเพื่อนๆคนอื่นกล้าเข้ามาพูดคุยกับผมมากขึ้น ผมเองก็เปิดใจกับทุกคนมากขึ้น คุยเล่น ยิ้ม หัวเราะกันได้เหมือนคนอื่นๆ ถึงแม้จะมีบางกลุ่มที่ไม่พอใจคริสอยู่บ้าง แต่ก็แค่ส่วนน้อย นิยามของคำว่าเพื่อนผมเปลี่ยนไปนับแต่วันนั้น
ผมได้แต่แอบชอบคริสมาตลอดจนเข้าเกรด 7 ที่ทำให้พวกเราเจอไลแคนท์และแวร์วูฟ พี่น้องฝาแฝดต่างขั้ว จึงทำให้ผมรู้ว่าคริสสนิทได้กับทุกคน ตอนนั้นผมรู้สึกน้อยใจเล็กๆ ที่คริสสนิทกับไลแคนท์มากเกินไป จนเหมือนผมถูกแย่งความรัก
สุดท้ายผมก็ได้รู้ตอนเกรด 9 ที่คริสมาปรึกษาผมเรื่องไลแคนท์ ว่าจะสารภาพรักอย่างไรดี แต่สุดท้ายมันก็ล้มเหลว ไลแคนท์ไม่ได้ชอบคริส นั่นทำให้ผมรู้สึกดีใจ แต่ก็ไม่ชอบที่เห็นคริสเศร้า แต่นั่นก็วันเดียวเท่านั้น เพราะหลังจากวันนั้นคริสก็ทำตัวปกติเหมือนเดิม นอกเสียจากประกาศให้ทุกคนรู้ว่าตนเองนั้นชอบไลแคนท์
ผมนั่งมองหน้าคริส แล้วก็นึกถึงเรื่องราวในวัยเด็กที่ทำให้ผมทั้งยิ้ม หัวเราะ และร้องไห้ได้ในเวลาเดียวกัน เพียงเพราะคนตรงหน้าของผมนี้เพียงคนเดียว ชีวิตผมคงฝากไว้ที่คริสแล้วจริงๆ….
“เฮือก!”
ในขณะที่ผมกำลังนึกถึงช่วงเวลาในวัยเด็กของพวกเราอยู่นั้น อยู่ๆก็ได้ยินเสียงผวาของคนไข้ที่นอนหลับมาหนึ่งวันเต็ม นั่นทำให้ผมดีใจเป็นอย่างมาก ที่ในที่สุดคริสก็ฟื้นขึ้นมาสักที จนผมเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว และเดินไปนั่งที่เก้าอี้ข้างๆอีกฝ่ายที่นอนอยู่บนเตียงอย่างไม่รอช้า
“ฟื้นสักทีนะคริส ฉันรอนายมะ…”ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดจบประโยค คริสก็สวนผมทันควันด้วยสีหน้าและแววตาที่ดูตื่นตระหนกอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนจากคนตรงหน้า
“พอล! ฉันกลัว เหตุการณ์ในวันนั้น….เหตุการณ์ในวันนั้น อ๊ะ!!”สงสัยจะยังคงตกใจกับเหตุการณ์วันนั้นอยู่สินะ
“อย่าเพิ่งขยับสิ แผลยังไม่หายดีเลยนะ ตอนนี้นายปลอดภัยแล้ว อย่ากลัวเลย”ผมลูบศีรษะของคริสอย่างต้องการปลอบประโลมด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนที่ผมมักจะยิ้มให้กับคริสเสมอ
“ไม่! พอลนายต้องฟังฉัน ในวันนั้นฉันเห็นแวร์วูฟ ฉันเห็นแวร์วูฟ !!”
!!!!
“นายจะเห็นแวร์วูฟได้ไง แวร์วูฟตายไป 5 ปีแล้วนะคริส”ไม่ใช่ว่าผมเองไม่ตกใจ แต่ผมบอกกับตัวเองเสมอมากกว่าว่าแวร์วูฟไม่อยู่แล้ว แม้ผผมจะมีส่วนร่วมในการตัดสินใจของแวร์วูฟก็ตามทีเช่นเดียวกับคริส..
“พอลนายต้องฟังฉันนะแวร์วูฟกลับมา มันกลับมาแก้แค้นฉัน!!”แต่คริสเองก็ยังคงเชื่อมั่นในความคิดของตนเองว่าเห็นแวร์วูฟจริงๆ ทำให้ผมเริ่มใจไม่ดี ก่อนจะทำใจให้นิ่งและเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้พูด
“งั้นนายจะบอกว่าเหตุการณ์นั้นเกิดเพราะแวร์วูฟงั้นหรอ”
“ใช่ แวร์วูฟกลับมา! คืนนั้นฉันเห็น มันบอกว่ามันจะกลับมาแก้แค้นพวกเราทุกคน และปืนนั่นมันไม่ใช่ลูกหลงแต่แวร์วูฟเป็นคนจับมันหันมาทางฉัน มันกลับมาแล้วจริงๆนะพอล!”
ในตอนแรกนั้น ผมก็คิดแค่ว่าคงผวาจากเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทกันที่คลับทำให้คริสถูกลูกหลง แต่ตอนนี้มันทำให้ผมลังเลว่าเหตุการณ์ในวันนั้นมันเกิดจากลูกหลงหรือเพราะมีอะไรบังคับมันอย่างที่คิดพูดจริงๆ ว่านั่นคือแวร์วูฟกันแน่….
“เพราะอะไรทำให้นายคิดว่านั่นคือแวร์วูฟจริงๆ”ไม่ใช่ผมไม่เชื่อคริส แต่ผมแค่อยากถามเพื่อให้แน่ใจเท่านั้น
“ถ้าแวร์วูฟฆ่าตัวตายด้วยการเอามีดปักหัวใจอย่างที่ไลแคนท์บอกจริงๆล่ะก็ไม่ผิดแน่ ทั้งชุดนักเรียนตอนที่เราเรียนเกรด 7 ด้วยกัน ทั้งรอยแผล หน้าตา และดวงตานั้นที่ฉันไม่เคยลืม ดวงตาสีมรกตนั่น!!”
แวร์วูฟ…ไม่ผิดแน่ นั่นคือแวร์วูฟจริงๆ ผมไม่เคยลืมภาพศพของแวร์วูฟเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เพราะในวันนั้นคริสเป็นคนเดียวที่ไม่เห็นศพของแวร์วูฟ เพราะวันนั้นคริสไปเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาล จึงทำให้คริสไม่มีทางรู้ได้เลยว่าศพแวร์วูฟจริงๆแล้วเป็นยังไงกันแน่
และอีกอย่างผมไม่มีทางลืมศพนั้นได้เลย ผมจำได้ดีว่าในวันที่พวกเราได้รับผลการเรียนจากอาจารย์ โดยที่ไลแคนท์ยังคงได้อันดับหนึ่งเหมือนเดิมส่วนแวร์วูฟก็ยังคงรั้งท้ายอีกเช่นเคย ไลแคนท์จึงขอแม่มากกตัวกันอยู่ที่บ้านผมพร้อมกับเวอร์มูธ
แต่คืนนั้นไลแคนท์ดันลืมแผ่นเกมส์ที่เราจะเล่นกันในคืนนั้นมาด้วย ทำให้พวกเราสามคนกลับมาที่บ้านของไลแคนท์ และก็พบกับศพของแวร์วูฟที่นอนโชกเลือดอยู่หน้ากระจกในห้องของทั้งสอง
ภาพศพของแวร์วูฟที่นอนโชกเลือดนั้นมีมีดปักคาที่หัวใจเป็นทางยาวลงมาราวกับจงใจจะผ่ากลางหัวใจของตนเอง ใบหน้านั้นก็เปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาด้วยสีหน้าโศกเศร้า แต่แววตาสีมรกตนั้นกลับเบิกกว้างด้วยความเครียดแค้น หรือที่เรียกกันว่า นอนตายตาไม่หลับ
ทันทีที่เห็นแววตาคู่นั้นที่แดงก่ำบ่งบอกถึงการร้องไห้เป็นอย่างหนัก ทำให้ผมรู้เลยว่าแวร์วูฟคงเสียใจเป็นอย่างมากก่อนที่จะฆ่าตัวตาย หรือไม่อยากทนทุกข์ทรมานอยู่บนโลกนี้อีกต่อไปแล้ว ถึงได้ตัดสินใจเช่นนั้น
ทั้งที่ผมเองน่าจะเป็นคนที่เข้าใจสถานการณ์อย่างที่แวร์วูฟเผชิญ แต่ผมกลับร่วมมือในการทรมานแวร์วูฟในครั้งนั้น ทำให้ผมเสียใจและบอกกับตัวเองตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ว่าจะไม่ทรมานใครอีก และพยายามร่วมทำบุญในทุกๆกิจกรรมโดยเฉพาะการช่วยเหลือเด็กยากไร้หรือเด็กถูกทอดทิ้ง
เพราะแวร์วูฟเองก็เคยจะถูกส่งไปอยู่ที่นั่นหลายต่อหลายครั้ง แต่เพียงเพราะคำพูดของพ่อแวร์วูฟที่สั่งเสียไว้ก่อนสิ้นลมหายใจที่โรงพยาบาลว่าให้ช่วยดูแลแวร์วูฟต่อด้วย เพราะนั่นคือเด็กที่ท่านคาดหวังว่าสักวันต้องได้ดีอย่างพี่ชาย แต่มันก็จบลง…
และในทุกๆปีผมจะแอบเอาดอกไม้ไปให้แวร์วูฟที่หลุมฝังศพเสมอเพื่อเป็นการไถ่โทษที่ผมได้กระทำต่อเขาในขณะที่มีชีวิตอยู่ และผมไม่สามารถขอโทษเขาได้ ผมก็คงทำได้เพียงเท่านี้ หวังว่าเขาจะรับรู้มัน…
แต่ผมเองก็ไม่เคยคิดเลยว่าแวร์วูฟจะกลับมาทำร้ายพวกเรา หนึ่งในสามของเหตุการณ์ข่มขืนในสมัยเกรด 7 และสักวันผมก็คงได้รับบาปนั้นเช่นกันและคงอีกในไม่ช้า ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่ผมต้องยอมรับ
จนในที่สุดตอนนี้คริสก็หลับไปแล้วหลังจากที่เล่าเหตุการณ์ในคืนนั้นไปได้ราวๆ15 นาที พยาบาลสาวก็นำยามาให้พร้อมวัดความดัน ก่อนที่คริสจะหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย และในขณะนั้นเองระตูห้องก็เปิดขึ้นทำให้ผมต้องหันไปมองที่ประตูเพื่อพบกับผู้ที่มาใหม่
“คริสยังไม่ฟื้นอีกหรอ?”
“ฟื้นแล้ว เพิ่งหลับไปน่ะ”ไลแคนท์เดินเข้ามาพร้อมกับถุงผลไม้และอาหารเสริมต่างๆด้วยใบหน้าซีดเซียวราวกับคนไม่ได้นอน รวมไปถึงแววตาอันแสนเศร้าสร้อยนั้น ทำให้ผมอดแปลกใจไม่ได้ แต่ก็เลือกที่จะไม่ถามอีกฝ่าย จนกว่าไลแคนท์จะเป็นคนเล่าให้ผมฟังเอง เพื่อไม่ให้เป็นการก้าวก่ายเกินไป
“อืม...”แต่แล้วไลแคนท์ก็ไม่ได้พูดอะไรนอกเสียจากเดินเอาของที่นำมาไปวางไว้บนโต๊ะแล้วเดินไปนั่งที่โซฟาที่ผมนั่งเมื่อราวๆครึ่งชั่วโมงก่อน
ใบหน้านั้นดูเหม่อลอยเหมือนมีอะไรให้คิดในใจ ทั้งๆที่ปกติแล้วไลแคนท์แทบจะไม่เคยแสดงทีท่าแบบนี้เลยด้วยซ้ำ เพราะไม่ว่าจะต้องการอะไรก็จะมีคนประเคนให้เสมอ และนี่ก็คงเป็นอีกบุคลิกหนึ่งที่น้อยคนนักจะได้เห็น
“ฉันขอคุยอะไรด้วยหน่อยได้ไหม?”ในขณะที่ผมกำลังจ้องไลแคนท์อยู่นั้น อีกฝ่ายก็เป็นคนเอ่ยปากพูดขึ้นมาเสียเอง ว่าแต่เรื่องอะไรกันนะ?
“ได้สิ”พูดจบ ไลแคนท์ก็เดินนำผมไปที่ระเบียงด้านนอกของห้องพักและเลื่อนประตูปิดไว้อย่างไม่ได้ใส่ใจนัก เพราะคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรและคริสเองก็สามารถรับฟังได้ แม้ตอนนี้เจ้าตัวจะคงหลับอยู่
“เรื่องที่นายจะพูดนี่เป็นสาเหตุที่ทำให้นายเศร้าหรือเปล่า”สุดท้ายผมก็ต้องเป็นคนเริ่มต้นบทสนทนาขึ้นมาเสียเอง เนื่องจากว่าผ่านไปราวๆ 2 นาทีไลแคนท์ก็ไม่ยอมเปิดปากพูดขึ้นมาเสียที ได้แต่แหงนหน้ามองท้องฟ้ายามเย็นด้วยแววตาเศร้าหมอง
“ก็คง..ใช่”
“แล้วมันเรื่องอะไรกันล่ะ”ไลแคนท์เลิกมองท้องฟ้าและก้มใบหน้าลงเหมือนคนคิดหนักที่จะตัดสินใจพูดอะไรสักอย่าง ใบหน้าหล่อแบบหวานๆของไลแคนท์ตอนนี้คิ้วขมวดเป็นปน ขอบตาบวมดำคล้ำ รวมไปถึงแววตาเศร้าๆแบบนั้นอีก ยิ่งทำให้ผมรู้สึกได้ว่าเรื่องนี้ต้องเป็นเรื่องสำคัญมากแน่ๆ ไม่งั้นไลแคนท์ไม่มีทางเป็นแบบนี้แน่
แต่แล้วไลแคนท์ก็ยังไม่พูดอะไรขึ้นมาอยู่ดีจนเวลาผ่านไปอีกราวๆ 5 นาที ผมเองก็ไม่อยากเร่งเร้าอีกฝ่าย เพราะดูจากอากัปกิริยาแล้วมันคงเป็นเรื่องที่ทำให้ต้องคิดหนักจริงๆ เพราะฉะนั้นให้อีกฝ่ายได้คิดทบทวนก่อนที่จะพูดออกมาเองดีกว่า แต่แล้วไลแคนท์ก็ยอมเปิดปากพูดออกมา
“เมื่อตอนที่เราอยู่เกรด 7 จนถึงเกรด 9 จริงหรือเปล่าที่….”อยู่ๆคำพูดนั้นก็ขาดช่วงไปซึ่งอาจจะกำลังชั่งใจอยู่ ว่าควรที่จะพูดออกมาหรือเปล่า แต่ผมก็เริ่มรู้สึกรางสังหรณ์ไม่ค่อยดีเหมือนกัน เพราะในช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมรู้สึกแย่ที่สุดเลยก็ว่าได้
“ที่คริสขืนใจแวร์วูฟเพราะคิดว่าเป็นตัวแทนของฉันน่ะ…”
!!!!
แต่ตอนนี้กลับเป็นผมแทนเสียเองที่ต้องคิดหนักกับคำถามนั้นที่ผมไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี ไม่ใช่ว่าผมเพิ่งรู้เรื่องนี้เป็นครั้งแรก แต่เพราะผมอยู่ในเหตุการณ์การขืนใจแวร์วูฟจากคริสในทุกครั้งเลยต่างหาก และที่ผมอึ้งไปกว่านั้น ไลแคนท์รู้เรื่องนี้จากใคร? เพราะนอกจากผมและคริส พวกเราก็ไม่เคยบอกใครเลย แม้แต่เวอร์มูธเองก็เถอะ แล้วไลแคนท์ไปฟังเรื่องนี้มาจากใครกัน!
“นะ..นาย..รู้มาจะ..จากไหน”เสียงผมสั่นด้วยความตกใจและกำลังประมวลเรื่องราวทุกอย่างในวันนั้น แต่ผมก็ยังคงแน่ใจว่าไม่มีใครมาเห็นแน่นอน เพราะมันมืดแล้วแถมบรรยากาศในป่านั้นก็วังเวงจนน้อยคนที่จะกล้าเข้ามา
และถ้าไลแคนท์บอกว่าเห็นกับตาก็ยิ่งแล้วใหญ่เพราะทุกครั้งก่อนที่คริสจะปฏิบัติการคริสจะโทรเช็คก่อนตลอดเพื่อให้แน่ใจ โดยแกล้งทำเป็นจีบหว่านล้อมทุกอย่างให้ไลแคนท์รำคาญเล่นจนแน่ใจว่าไลแคนท์ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วจริงๆจึงเริ่มปฏิบัติการ แล้วไลแคนท์รู้เรื่องนี้มาจากใคร?
“แล้วจริงหรือเปล่า”น้ำเสียงและแววตานั้นยิ่งทำให้ผมกระวนกระวายว่าควรจะตอบออกไปยังไงดี ทั้งน้ำเสียง สีหน้าและแววตานั้นกำลังอ้อนวอนผมอย่างคาดคั้นเพื่อต้องการฟังคำตอบ และในชั่ววูบที่ผมคิดจะโกหกอยู่ๆผมก็รู้สึกใจหวิวๆที่จะโกหกออกไป ทำให้ผมเลือกที่จะพูดความจริงออกมาแทนการโกหก
“อะ..อืม”
“ทะ..ทำไมพวกนายไม่เคยบอกฉัน!”เมื่อได้ยินคำตอบอย่างแน่ชัดแล้ว น้ำเสียงนั้นก็เปลี่ยนไปอย่างเว้าวอนเป็นแข็งกร้าวด้วยความโกรธอย่างเห็นได้ชัด
“ฉันขอโทษ…แต่ฉันปฏิเสธคริสไม่ได้”นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่ ผมหลงคริสเกินไปจนทำให้ใครคนนึงต้องบาดเจ็บทั้งกายและใจจนฆ่าตัวตาย และตอนนี้ผมก็กำลังทำให้เพื่อนรักของผมอย่างไลแคนท์ต้องเจ็บจากการปิดบังบังของผมที่ปิดมาเกือบ 8 ปี
“พอล นายหลงคริสจนต้องปิดบังฉันขนาดนี้เลยหรอ!”
“นายรู้?!”ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการกระทำของผมที่มีต่อคริสมันแสดงออกมามากจนทำให้ไลแคนท์รู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่ผมมีต่อคริสนั่นคืออะไร
“ฉันไม่โง่นะพอล ฉันดูออกตั้งแต่เกรด 7 แล้วว่านายรูสึกยังไงกับคริส แต่ตอนนี้ฉันกำลังเป็นคนโง่ที่ถูกพวกนายหลอกมาได้ถึง 8 ปี!”ตอนนี้นัยย์ตาของไลแคนท์เริ่มเอ่อล้นไปด้วยน้ำสีใสที่ใกล้จะไหลรินออกมา แต่ก็ถูกไลแคนท์ยกมือขึ้นมาเช็ดออกไปเสียก่อนด้วยความโกรธและโมโห ที่ไม่อยากแสดงความอ่อนแอนั้นให้ผมได้เห็น
“ฉันขอโทษ…”ผมมันโง่มาก ที่คิดคำพูดออกมาได้เพียงแค่นี้ทั้งๆที่ไลแคนท์กำลังเจ็บจากสิ่งที่ผมได้ทำไว้เมื่อหลายปีก่อน แต่ผมพูดอะไรไม่ออกแล้วจริงๆ สมองของผมมันตื้อไปหมด ผมกำลังรู้สึกผิด…
“ขอโทษงั้นหรอ? คนที่นายควรขอโทษนะมัน…!!”
Rrrrrr
ไลแคนท์ยังไม่ทันได้พูดจบประโยคเสียงมือถือของผมก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน จึงเรียกความสนใจให้แก่ผมกับไลแคนท์ได้เป็นอย่างดี แต่คนที่โทรมาหาผมนั้นก็คือคนในห้องที่เพิ่งนอนหลับไปเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว
คริส
“มีไร”ผมกรอกเสียงลงไปในมือถือของผมพรางหันหน้าไปมองด้านในห้องที่เห็นคริสกำลังยกมือถือขึ้นมาแนบหูและมองมาที่พวกผมเช่นกัน
‘ให้ไลแคนท์เข้ามาคุยข้างในเถอะ ฉันได้ยินหมดแล้ว ฉันจะคุยกับไลแคนท์เอง คนผิดคือฉันไม่ใช่นาย ฉันไม่อยากให้นายมารับผิดแทนคนอย่างฉัน….’
ความคิดเห็น