ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Twins ฝาแฝดกระจกเงา [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #4 : ค่ำคืนอันแสนเศร้ากับความเหงาที่มีความสุข 100%

    • อัปเดตล่าสุด 23 เม.ย. 57





    ค่ำคืนอันแสนเศร้ากับความเหงาที่มีความสุข

     
     

    ช่วงบ่ายของอีกวันผมตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด ปวดทั้งกาย ปวดทั้งใจ หัวของผมตอนนี้มันหนักอึ้งจนไม่รู้จะทำยังไง ได้แต่นอนพลิกไปพลิกมาร่วมชั่วโมงแล้ว และได้รู้ว่าใครบางคน(ตน)ไม่ได้อยู่ในห้องนี้อีก ทำให้ผมมองไปที่กระจกนั้นแต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า ภาพทุกภาพยังคงสะท้อนดั่งปกติ ทำให้ผมรู้สึกโล่งใจที่อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ปรากฏตัวเฝ้ามองผมอยู่ตลอดเวลา

     

    ผมมองไปรอบๆห้อง ทั้งที่ทุกอย่างมันเหมือนเก่าเกือบทุกอย่าง แต่ทำไมมันกลับรู้สึกเหงาแบบนี้ ทำไมตอนนี้ผมถึงได้มีแต่ความรู้สึกในวัยเด็ก ภาพทุกกิจกรรมภายในห้องนี้ปรากฏขึ้นในหัวราวกับคนความจำเสื่อมที่กำลังเห็นภาพในอดีตที่ถูกลืมไป

     

    ภาพของเด็กชายตัวน้อยๆวัย 10 ขวบ สองคนที่มีหน้าตาเหมือนกันคนหนึ่งสวมชุดนอนสีฟ้าคราม กับอีกคนที่สวมชุดนอนสีเขียวตาสีดวงตาของทั้งสอง ซึ่งกำลังนั่งอยู่ที่เตียงของตนเองภายในห้องที่อยู่ห่างกันราวๆ 2 เมตร และคณะนี้ทั้งคู่กำลังนั่งหันหน้าเขาหากันนั้น

     

    “อีกเดี๋ยวแม่ก็จะเอานมมาให้ฉันดื่มก่อนนอน”เด็กน้อยตาสีแซฟไฟร์บลูสดใส พูดโอ้อวดอย่างถือดี ขณะเดียวกันที่เด็กน้อยดวงตาสีมรกตกำลังเศร้าสร้อย เพราะไม่มีอะไรให้อวดเหมือนอีกฝ่าย ที่กำลังยิ้มร่าเริงสดใส เฝ้ารอผู้เป็นแม่เอานมอุ่นๆมาให้ดื่มก่อนนอนทุกคืน

     

    แกร๊ก

     

    เสียงเปิดประตูดังขึ้น ทำให้เด็กสั้งสองหันไปมองพร้อมกัน และก็เป็นอย่างเด็กน้อยตาสีแซฟไฟร์บลูว่า บุคคลนั้นก็คือแม่ของพวกเขานั่นเองที่เดินเข้ามาพร้อมกับแก้วนมอุ่นๆ 1 แก้ว และเดินเข้ามาหาเด็กชายที่เพิ่งพูดโอ้อวดไปเมื่อนาทีก่อนด้วยรอยยิ้ม

     

    “นี่จ่ะไลแคนท์แม่เอานมอุ่นๆมาให้นะ สุขภาพร่างกายจะได้แข็งแรง และก็อย่านอนดึกล่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปเรียนสมองจะล้าเอาได้”

     

    ภาพของสองแม่ลูกที่ดูแลกันอย่างรักใคร่ ทำให้เด็กชายตาสีมรกตที่นั่งมองอยู่ตั้งแต่ต้น ได้แต่หลุบสายตาลงไม่อยากมองภาพนั้นต่อ เพราะยิ่งมองก็ยิ่งทำให้เด็กน้อยคนนั้นรู้สึกน้อยใจผู้เป็นแม่ ที่รักแต่พี่ชายฝาแฝดของตน แต่ก็ไม่สามารถทักท้วงได้ ก่อนจะล้มตัวลงนอน และหันหลังให้ผู้เป็นแม่และพี่ชายของตนเอง อย่างต้องการปกปิดน้ำตาที่เริ่มไหลรินออกมาไม่ให้อีกฝ่ายเห็นด้วยความน้อยใจ

     

    “ส่วนแก ต่อให้นอนเร็วไปยังไงก็ไม่ทำให้แก่ฉลาดหรือเรียนดีขึ้นมาหรอกนะ เพราะแกมันโง่!

     

    น้ำเสียงที่พูดคุยกับพี่ชายฝาแฝดชั่งแตกต่างจากแฝดคนน้องยิ่งนัก ทำให้น้ำตาที่ไหลรินออกมาช้าๆ เริ่มเปลี่ยนเป็นไหลพรูออกมาราวกับบ่อน้ำตาแตก และพยายามกลั้นเสียงสะอื้นไว้ไม่ให้ทั้งสองได้รู้ ทั้งที่พยายามจะไม่ใส่ใจ ทั้งที่ไม่อยากฟัง แต่ก็ต้องพบ ต้องฟังอยู่ร่ำไป โดยการปิดท้ายเหมือนทุกวันนั่นก็คือหอมแก้มแฝดคนพร้อมบอก ราตรีสวัสดิ์ และปิดไฟในห้องแล้วเดินออกไปทันที

     

    เมื่อเสียงประตูถูกปิดลงได้ไม่ถึงหนึ่งนาที เด็กน้อยตาสีแซฟไฟร์บลูก็ค่อยๆเดินไปหาอีกฝ่ายที่กำลังหันหลังให้ตนอยู่ และรู้ดีว่าขณะนี้อีกฝ่ายกำลังร้องไห้เสียใจอยู่แต่ก็ยังอยากจะแกล้งเพื่อความสะใจของตนเอง

     

    “น่าสงสารจริงๆ เด็กน้อยไม่มีใครรัก ต้องมานอนร้องไห้คนเดียวเงียบๆ น่าสงสารจังเลยนะ ฮ่าๆๆ”

     

    คำพูดเหน็บแนมของอีกฝ่าย ทำให้เด็กน้อยดวงตาสีมรกต ต้องลุกขึ้นนั่ง เพื่อจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความโมโห ทั้งที่ยังมีคราบน้ำตาเปื้อนอยู่

     

    “ฉันเปล่าร้องไห้นะ!

     

    “งั้นหรอ? แล้วนี่คราบอะไรงั้นหรอ”เสียงใสเจื้อยแจ้วของอีกฝ่ายถามขึ้น พร้อมกับมือที่เอื้อมไปสัมผัสที่ใบหน้าใสของแฝดคนน้องอย่างนึกสนุก ผิดกับอีกฝ่ายที่ใบหน้าแดงก่ำ ที่ยังคงบอกไม่ได้ว่านั่นคือความรู้สึกโกรธหรืออะไรกันแน่

     

    “ฉันไม่ได้ร้องไห้แล้วกันน่า ออกไปได้แล้วฉันจะนอน!”เด็กน้อยตาสีเขียวมรกตพูดตัดบทใส่อีกฝ่ายก่อนจะหันหลังให้พร้อมคลุมโปงทันที

     

    “อยากให้แม่ทำแบบนั้นกับนายบ้างสินะ แต่เดี๋ยวฉันทำแทนให้แล้วกันนะ”เสียงคำพูดนั้นเงียบไปครู่หนึ่งจนเจ้าของดวงตาสีเขียวรู้สึกแปลกใจจึงพลิกตัวกลับมาหาอีกฝ่ายและเปิดผ้าห่มนั่นออก ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับ

     

    จุ๊บ!

     

    O///////O

     

    ^O^

     

    ทันทีที่เจ้าของดวงตาสีมรกตพลิกตัวไปและเปิดผ้าห่มออกนั้น ก็พบกับริมฝีปากเล็กนุ่มของอีกฝ่ายประทับเข้ามาพอดิบพอดี ทำให้พวงแก้มใสของตนเองนั้นขึ้นสีแดงแปร๊ดอย่างเขินอายราวกับเด็กผู้หญิง ผิดกับอีกฝ่ายที่ละริมฝีปากออกพร้อมหัวเราะอย่างสนุกสนาน เพราะคิดว่านั่นคือการกลั่นแกล้งอีกฝ่ายอย่างหนึ่ง ก่อนจะกลับเตียงของตนไป

     

    “อ้อ ลืมบอก ราตรีสวัสดิ์”



     

    ทันทีที่เจ้าของดวงตาสีมรกตพลิกตัวไปและเปิดผ้าห่มออกนั้น ก็พบกับริมฝีปากเล็กนุ่มของอีกฝ่ายประทับเข้ามาพอดิบพอดี ทำให้พวงแก้มใสของตนเองนั้นขึ้นสีแดงแปร๊ดอย่างเขินอายราวกับเด็กผู้หญิง ผิดกับอีกฝ่ายที่ละริมฝีปากออกพร้อมหัวเราะอย่างสนุกสนาน เพราะคิดว่านั่นคือการกลั่นแกล้งอีกฝ่ายอย่างหนึ่ง ก่อนจะกลับเตียงของตนไป

     

    “อ้อ ลืมบอก ราตรีสวัสดิ์”

     

     

    ตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมาห้าทุ่มถึงแล้ว ซึ่งนั่นก็หมายความว่าได้เวลาทำงานของผมแล้วเช่นกัน ผมต้องทนแบกร่างกายออกมมาทำงาน ทั้งๆที่ยังคงปวดสะโพกอยู่ไม่น้อย แต่ทำไงได้ล่ะ ก็ในเมื่อเดือนนี้ผมขาดงานไม่ได้แล้ว คลับที่นี่สำหรับผมก็ไม่ต่างอะไรจากโรงเรียน ที่มีเวลาขาดได้เดือนละไม่เกิน 4 ครั้ง ซึ่งผมได้ใช้เวลาส่วนนั้นหมดไปแล้ว จากการโดดงานไม่หนุ่มน้อยสาวสวยที่อยากให้จ็อบพิเศษกับผม

     

    แต่ที่สำคัญต่อให้ผมขาดงานเกิน 4 ครั้งก็ไม่เป็นอะไรหรอกครับ เพราะเจ้าของคลับนี้เขาปลื้มผมเป็นพิเศษ แถมเป็นผู้ชายอีกต่างหาก อายุยังไม่เยอะอีกด้วย รุ่นราวคราวเดียวกับผม ประมาณ 23-24 ผมก็ไม่แน่ใจ แต่ที่เปิดคลับนี้ได้ก็เพราะอาศัยบารมีพ่อ

     

    แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่อยากขาดอยู่ดี เพราะถ้าหากผมขาดเกิน 4 ครั้งเมื่อไหร่ ผมก็จะถูกเรียกให้ไปชดใช้ โดยการถวายร่างกายให้กับเจ้าของคลับนาม แพทริค สงสัยกันใช่ไหมครับว่าทำไมผมต้องกลัว เพราะผมก็ทำเป็นประจำอยู่แล้ว เพราะมันไม่ยอมให้ผมเป็นฝ่ายรุกน่ะสิ!!

     

    และเพราะเหตุนี้จึงทำให้ผมต้องแบกร่างกายออกมาทำงานอย่างทุลักทุเลอย่างช่วยไม่ได้ สุดท้ายผมก็มานั่งอยู่ในห้องแต่งตัวของคลับนี้จนได้

     

    “ไลแคนท์ เป็นไรเปล่าวะ เห็นนั่งจับสะโพกมาตั้งนานแล้วเนี่ย”คำถามนั้นดังขึ้นข้างกาย ซึ่งก็คงไม่ใช่ใครถ้าไม่ใช่ ลีวายส์ บุคคลเดียวที่นั่งอยู่ในห้องแห่งนี้กับผม

     

    ส่วนคนอื่นทำไมยังไม่มาน่ะหรอ? โฮสต์แต่ละคนจะเข้ากะในเวลาที่ต่างกันครับ เพราะแต่ละคนจะถูกจองตัวจากลูกค้าคนสำคัญไว้แล้ว จึงจะมากันในเวลาที่ลูกค้าคนนั้นจะมา ส่วนผมกับลีวายส์เราไม่มีลูกค้าประจำครับ เพราะพวกผมไม่อยากผูกมัดกับใคร  (ในฐานะโฮสต์ประจำ) การมีลูกค้าประจำอาจจะดีกว่า เพราะจะได้เงินจากลูกค้าในจำนวนมากๆ แต่ผมกับลีวายส์ไม่ได้ร้อนเงินกันขนาดนั้น เลยไม่ยอมตกลงเป็นโฮสต์ประจำให้ใคร เหมือนจะหยิ่ง เหอะๆ

     

    “เปล่า ไม่มีอะไร”ผมตอบกลับไปอย่างไม่ได้ใส่ใจ พรางทำหน้าเบื่อหน่ายแล้วฟุบหน้าลงกับต่อแล้วหลับตาลงอย่างต้องการพักผ่อน

     

    “อย่าบอกนะ ว่าหนุ่มน้อยของนายเมื่อคืนทำพิษ ลีลาเด็ดล่ะสิท่า ฮ่าๆๆๆ”ช่างเป็นคำพูดที่กวนตีนได้ใจจริงๆ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยนะ (ฮา) ซึ่งผมก็ไม่ได้ตอบอะไรไป จนเกิดความเงียบปกคลุมภายในห้อง

     

    “ไลแคนท์ เมื่อคืนฉันโคตรน้อยใจนายเลยว่ะ”อยู่ๆเสียงนั้นก็ดังขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง อย่างที่อีกฝ่ายจะพูดแบบนี้นานๆครั้งเท่านั้น ทำให้เกิดความสนใจจากผมได้เป็นอย่างมาก จนต้องลืมตาขึ้นมาและเหลือบมองใบหน้าอีกฝ่ายที่ไม่ได้มองไปหน้าของผมอยู่ แต่ก็ไม่ได้ลุกจากการฟุบหน้าลงจากโต๊ะแต่อย่างใด

     

    “ก็นายน่ะ อยู่ๆก็เดินเข้าไปหาหนุ่มน้อยคนนั้นเองเลยนี่หว่า ว่าจะไม่หึงอยู่แล้วเชียว แต่ก็อดไม่ได้ เพราะนั่นมันสิทธิ์ของนาย….

     

     

    ทุกคนคงสงสัยว่าระหว่างผมกับลีวายส์เราเป็นอะไรกัน เราเป็นแฟนกันครับ แต่เราก็ไม่ได้เปิดเผยให้ใครรู้ เพราะเราทั้งสองคนไม่ชอบการผูกมัด เลยทำให้ไม่อยากให้ใครมาพูดทำนองว่าเป็นแฟนกัน ไม่หึงกันบ้างหรือไงมาทำงานแบบนี้ เพราะนั่นจะเป็นผลกระทบต่อการทำงานของเรา ถ้าหากมีลูกค้าคนไหนได้ยิน อาจจะไม่พอใจก็เป็นได้ นั่นจึงทำให้พวกเราต้องคบกันแบบเงียบๆไม่มีใครรู้

     

    และมีข้อตกลงต่อกันว่า จะไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่าย ถ้าหากอีกฝ่ายไม่เป็นคนเปิดใจพูดขึ้นมาเอง ซึ่งนั่นหมายความว่า ไม่ว่าผมหรืออีกฝ่ายอยากจะมีเพศสัมพันธ์กับใครก็ได้ จะไม่มีการกกีดกันหรือห้ามเด็ดขาดเพราะนั่นเป็นสิทธิส่วนบุคคล และนั่นก็คือหน้าที่ที่ทั้งสองฝ่ายต้องยอมรับ แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ ความรักสำหรับพวกผมคือการเชื่อใจ

     

    “ถึงฉันจะทำแบบนั้น แต่ฉันก็ไม่เคยคิดกับใครแบบที่ฉันคิดกับนายเลยนะ ฉันรักนายคนเดียวลีวายส์

     

    ทันทีที่ผมพูดประโยคนั้นจบ ผมก็รู้สึกได้ถึงอากาศที่เย็นลงอย่างผิดปกติ จนผมรู้สึกว่ามันแปลกๆไปยังไงชอบกล แต่ก็เหมือนจะเป็นผมคนเดียวที่รู้สึก เพราะลีวายส์ที่นั่งอยู่ข้างๆผมยังดูปกติดีทุกอย่าง

     

    หมับ

     

    แต่ความรู้สึกนั้นก็หายไป เมื่อมืออุ่นของลีวายส์เอื้อมมาจับที่มือผมเพื่อต้องการส่งผ่านความรู้สึกในใจให้ผมได้รับรู้ ว่าความรักที่เขามีต่อผมนั้นเต็มเปี่ยม เช่นเดียวกับผม

     

    แต่ไม่ต้องสงสัยนะครับ ว่าระหว่างเราสองคน ใครเป็นฝ่ายรุกใครเป็นฝ่ายรับ เพราะถึงผมจะเป็นแบบนี้แต่เราก็ไม่เคยมีอะไรกันครับ นอกจากการออรัลเซ็กให้กันและกัน จูบ กอด กันบ้างตามประสาแฟน ส่วนเรื่องที่มีอะไรกับคนอื่นได้แต่ทำไมกับแฟนถึงมีไม่ได้ นั่นก็เพราะ เราตกลงกันไม่ได้ว่าใครจะรุกใครจะรับนั่นแหล่ะ จึงทำให้พวกเราทำได้เพียงการออรัลเท่านั้น ถ้าหากตกลงกันได้เมื่อไหร่ ก็ค่อยว่ากันอีกที

     

    “ฉันก็รักนายคนเดียวนะไลแคนท์ ขอบคุณที่รักฉันและเชื่อใจฉัน ฉันจะไม่มีวันทำให้นายเสียใจเลย”

     

    ลีวายส์พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุนฟังแล้วสบายหูก่อนจะประทับริมฝีปากนุ่มมาที่แก้มของผมพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยน ซึ่งนั่นก็ไม่เคยทำให้ผมรู้สึกเบื่อเลย เพราะทุกครั้งที่ได้มีอีกฝ่ายอยู่ใกล้ๆ ผมก็รู้สึกว่าผมปลอดภัยอยู่เสมอ เพราะไม่ว่าผมจะเกิดอะไรขึ้น ก็จะมีแต่เสียงนี้นี่แหล่ะ ที่คอยอยู่ข้างๆ กระซิบอยู่ข้างหูว่า เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ทำให้ผมไม่สามารถทิ้งผู้ชายคนนี้ไปไหนได้เลย ซึ่งมันก็ไม่แปลกที่จะมีคนชอบจนถึงขั้นหลงมากมายขนาดนี้เพราะความอ่อนโยนของเขา ที่ไม่เคยทรยศต่ออีกฝ่ายไงล่ะ

     

    “อีกสองอาทิตย์เคลียร์ตารางงานให้ว่างล่ะ ฉันจะฉลองที่คอนโดของฉัน”หืม? ฉลองอะไรกันล่ะ

    “ฉลองอะไร?”ปากของผมไปไวเท่าความคิดทันที จนอีกฝ่ายต้องหัวเราะออกมาเบาๆ นี่ผมถามอะไรผิดไปอย่างนั้นหรอ

     

    “ฮ่าๆๆ นี่นายอย่างลืมนะ ว่าลืมวันครบรอบของเราแล้ว”จริงสิ! นี่มันใกล้ถึงวันครบรอบ 2 ปีของผมกับลีวายส์แล้วนี่นา ไม่คิดว่าจะคบกันได้นานขนาดนี้เลย เวลาช่างผ่านไปเร็วจริงๆ

     

     

    “อีกไม่กี่วันก็จะ 2 ปีแล้วนะ เร็วมากเลย ไม่อยากจะเชื่อว่าเราจะมีกันมาได้ขนาดนี้ อาจจะเป็นเพราะไลแคนท์ไม่เคยทิ้งผม และผมก็ไม่เคยทิ้งไลแคนท์ จึงทำให้เรามีกันมาได้จนถึงทุกวันนี้ ขอบคุณนะครับ”และก็เป็นอีกตามเคย รอยยิ้มนั้นส่งมาอีกแล้ว อย่ายิ้มแบบนี้สิ ทุกครั้งที่ผมได้เห็นรอยยิ้มนี้ หัวใจผมมันจะละลาย ><!

     

    “เวอร์อีกแล้ววววว”สิ้นคำพูดผมก็ขยี้หัวของลีวายส์จนยุ่งเหยิงด้วยความหมั่นไส้ จนผมเสียทรง แต่ก็ไม่ทำให้อีกฝ่ายหล่อน้อยลงได้เลย (แต่ก็แพ้ผมอยู่ดี)

     

    พวกเราสองคนพูดคุยและเล่นกันอย่างมีความสุขอยู่ในห้อง จนมีพนักงานมาตามให้ไปทำงานเมื่อมีคนมาเรียกใช้บริการ แต่อยู่ๆก็เหมือนผมรู้สึกอะไรผิดไปจากเดิม นั่นก็คือความรู้สึกหวิวๆในจิตใจ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันเกิดจากอะไร แต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกหดหู่ แม้ภายนอกจะยังคงยิ้มเล่นกับลีวายส์ได้เหมือนปกติ หรือเพราะความอบอุ่นของลีวายส์ที่ส่งผ่านความอบอุ่นนั้นมาให้ จึงทำให้ผมลืมอะไรบ้างอย่างไป?

     

    นี่ผมเป็นอะไรกันแน่?

     

     

    รักกันเข้าไป เพราะเดี๋ยวฉันนี่แหล่ะ จะเป็นคนทำลายความรักของพวกแกทั้งสองคนเอง!!’

     

    ตอนนี้เวลาก็ปาเข้าไปถึง ตี 3 แล้ว ซึ่งผมจะได้พักผ่อนเต็มๆสักที กว่าลูกค้าจะปล่อยตัวผมได้แทบแย่ เล่นเมากันซะไม่เหลือซาก แถมมือนี่อย่างกับปลาหมึกเกาะแขนผมไม่ปล่อยเลย แต่มันก็เป็นหน้าที่ของผมล่ะนะ

     

    ผมเดินเข้ามาที่ห้องนอนของตัวเองอย่างอ่อนล้า จะแวะเอาซุปครีมเห็ดที่ซื้อมาเข้าไปให้ที่ห้องก็เห็นรองเท้าผู้ชายอีกคู่วางอยู่หน้าห้อง ซึ่งนั่นก็หมายความว่า คืนนี้แม่ผมกำลังมีแขกเช่นเดียวกับเวลาที่ผมพาคนอื่นเข้าห้อง จุดประสงค์ก็ไม่ต่างจากแม่ผมสักเท่าไหร่ แต่ทำไมผมถึงซื้อซุปครีมเห็ดมาให้แม่เวลานี้น่ะหรอ? ก็เพราะว่าแม่ผมเป็นคนที่ชอบตื่นมากลางดึกเพื่อหาอะไรกินอยู่บ่อยๆ ผมจึงซื้อซุปครีมเห็ดมาให้ เพื่อท่านจะหิว แต่ตอนนี้ท่านคงมีอย่างอื่นให้กินแทนแล้วล่ะ ซุปนี่คงไม่จำเป็น

     

    ในที่สุดผมก็ลากขาขึ้นมาบนห้องได้ในที่สุด ถึงแม้เวลาจะล่วงเลยไปหลายชั่วโมงแล้วหลังจากเกิดกิจกรรมที่ทำให้ผมทุกข์ที่สุดในชีวิตอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่มันก็ไม่บรรเทาลงเลย ยิ่งเดินมาก มันก็เหมือนกับแล่นจากปลายเท้าขึ้นสู่สะโพกทำให้เจ็บแปร๊บขึ้นมาจนต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บ ผมเพิ่งเข้าใจความรู้สึกของพวกฝ่ายรับก็วันนี้แหล่ะ มิน่าล่ะทำไมลีวายส์ถึงไม่ยอมเป็นรับให้กับผม เพราะมันทรมานอย่างนี้นี่เอง

     

    หลังจากที่ขึ้นมาถึงบนห้องแล้ว ผมก็จัดการวางถุงซุปไว้ที่โต๊ะหัวเตียง แล้วล้มตัวลงนอนทันทีอย่างเหนื่อยอ่อน จนไม่อยากอาบน้ำหรือทำอะไรทั้งนั้น อยากนอนพักให้ครบ 8 ชั่วโมงสักวัน ก่อนจะค่อยๆหลับตาลง แต่ความคิดของผมก็ถูกทำลายลงในวินาทีต่อมา

     

    คิดว่าคืนนี้จะได้พักผ่อนงั้นหรอ?

     

    ผมลืมตาโพร่งขึ้นมาด้วยตกใจที่เสียงอันแสนคุ้นเคยนั้นปรากฏขึ้นข้างใบหู ผมจึงหันไปตามเสียงนั้นทางด้านขวา ก็พบกับใบหน้าที่สะท้อนกลับมาราวกับกระจกเงาในระยะประชิดจนปลายจมูกของเราชนกัน ทำให้ผมถึงกับตกใจผละถอยหลังออกไปเล็กน้อย ซึ่งนั่นก็ดูเหมือนจะสร้างความพึงพอใจให้อีกฝ่ายจนต้องแสยะยิ้มออกมา

     

    เดี๋ยวนี้ตกใจง่ายจังเลยนะครับ

     

    “นะนายมาทำอะไรที่นี่อีก”

     

    นี่สินะที่ผมรู้สึกเหมือนลืมอะไรบางอย่างไป ผมลืมคิดน่ะสิ ว่าอีกฝ่ายจะกลับมาอีกหรือเปล่า ลืมคิดว่าสำหรับคืนนั้นอีกฝ่ายแก้แค้นจนพอใจแล้วหรือยัง และนั่นก็คงเป็นเหตุผมที่ทำให้อีกฝ่ายกลับมา เพราะการแก้แค้นอาจจะยังไม่จบเพียงแค่คืนนั้น!!

     

    อะไรกัน? พี่คิดว่าการแก้แค้นเพียงคืนเดียวมันเพียงพอแล้วหรือครับคุณพี่ชายน้ำเสียงของแวร์วูฟแสดงถึงการตอกย้ำแบบอ้อมๆ ทำให้ผมเย็นวาบไปถึงขั้วหัวใจ

     

    “แค่นี้ฉันก็ทรมานมากแล้วนะ จะทรมานอะไรฉันอีก นายก็เห็นว่าฉันแทบจะทรงตัวไม่อยู่

     

    แล้วพี่เคยนึกถึงผมบ้างไหมล่ะครับ ในวันนั้นที่พี่พาพวกเพื่อนพี่มาข่มขืนผม ทารุณผมสารพัด ทั้งๆที่ตอนนั้นผมอ่อนแอกว่าพี่ในตอนนี้ตั้งเท่าไหร่ แต่ผมต้องทนกับมันมาตลอดในช่วงที่ผมมีชีวิตอยู่ พี่ไม่คิดว่าผมทรมานหรือไง ที่ต้องถูกใครหน้าไหนก็ไม่รู้มารุมโทรมผม โดยมีพี่ชายเป็นแกนนำ ถึงขนาดนั้นพี่ยังจะร้องขอความเมตตาจากผมอีกหรือครับ ในเมื่อพี่ไม่เคยมอบมันให้ผมเลย!’

     

    ผมยังพูดไม่ทันจบประโยคแวร์วูฟก็เถียงขึ้นมาอย่างเสียงแข็ง จนผมสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ แต่ก็ต้องรู้สึกเศร้าใจไปไม่น้อยกว่าอีกฝ่าย กับสิ่งที่ผมเคยมอบให้กับแวร์วูฟน้องชายฝาแฝดแท้ๆของผม แต่ผมกลับทำกับอีกฝ่ายได้ถึงเพียงนี้ ผมยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า?

     

    ถ้าพี่คิดว่านี่ทรมานแล้ว งั้นเรามาสลับร่างกันดูไหมล่ะ ให้พี่มาเป็นผมและให้ผมกระทำอย่างที่พี่ทำบ้าง เราจะได้เข้าใจกันและกัน

     

    รอยยิ้มอันเสียงเยือกเย็นนั้นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของแวร์วูฟจนทำให้ผมหวาดระแวงระคนความกลัวในคำพูดนั้น ก่อนภาพเบื้องหน้าของผมพร่ามัวไปทีละนิด จนมันเลือนรางแทบมองอะไรไม่เห็น ก่อนที่สติของผมจะดับวูบไป

     

     


    ......................................................................

    ถ้าเจอคำผิดก็รบกวนบอกกันด้วยนะคะ ^^


     

    :) Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×