คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : ความทุกข์ใจและอะไรที่แอบแฝง?
ความทุกข์ใจและอะไรที่แอบแฝง?
ตกเย็นของวันนั้นผมก็ขับรถไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่ผมแทบจะไม่เคยไปเหยียบมันเลยสักครั้ง ตั้งแต่ฝาแฝดของผมจากไป นั่นก็คือ ‘สุสาน’ ที่ฝังร่างของแวร์วูฟไว้หลังจากที่เขาเลือกที่จะจบชีวิตของตัวเองลงด้วยมือของเขาเอง
ในที่นี้มีสุสานของคนอื่นๆอีกมากมายเรียงล้อมกันจนนับไม่ถ้วนบ้างก็มีทั้งดอกไม้สดสวยงามวางไว้ ป้ายก็ถูกทำความสะอาดไว้เป็นอย่างดี บ้างก็ป้ายเริ่มฝุ่นเกาะ แต่ก็ยงมีดอกไม้ที่เริ่มเหี่ยวจนแทบจะกลายเป็นสีน้ำตาล
ผิดกับป้ายหลุมศพของแวร์วูฟ ที่มีฝุ่นเกาะหนาจนมองไม่เห็นชื่อที่ถูกสลักไว้บนป้ายถ้าหากวันที่ทำพิธีฝังศพผมไม่อยู่ด้วย ผมก็คงหาหลุมศพของแวร์วูฟไม่เจอเหมือนกัน แถมดอกไม้ที่วางไว้ก็เหี่ยวเฉาไม่เคยได้รับการเปลี่ยนใหม่จากผู้ที่มาเยี่ยม เพราะคงแทบจะไม่มีใครแวะมาดูเลยด้วยซ้ำ
ผมจึงนำช่อดอกราสเบอร์รี่ที่ผมแวะซื้อมาจากร้านดอกไม้ข้างทางสับเปลี่ยนกับดอกไม้ช่อเก่าที่เหี่ยวเฉาแล้ว เพื่อเป็นการขอโทษแวร์วูฟในทุกๆเรื่อง ทุกๆการกระทำของผม ที่ทำให้แวร์วูฟต้องทนทุกมาตลอดระยะเวลาหลายปีที่มีชีวิตอยู่
ซึ่งผมเองก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าดอกไม้ช่อที่วางอยู่ก่อนหน้าผมตอนนี้เป็นของใคร อาจจะเป็นเพื่อนของแวร์วูฟคนใดคนหนึ่งก็ได้ เพราะช่อดอกไม้ช่อนี้เป็นช่อแรกของผมที่นำมามอบไว้ให้กับแวร์วูฟจากใจจริง ผมยอมรับว่าผมโกรธกับการกระทำที่แวร์วูฟได้ทำไว้กับผม รวมถึงเพื่อนของผมด้วย แต่เมื่อเทียบกันแล้วมันช่างต่างกันเสียเหลือเกินกับสิ่งที่ผมได้รับและแวร์วูฟได้รับ
ผมถูกน้องชายแท้ๆของตนเองข่มขืนพียงครั้งเดียว (ไม่รวมที่สลับร่างกับแวร์วูฟเพราะนั่นเป็นเพียงความฝันที่เสมือนจริงเท่านั้น) แต่แวร์วูฟกับโดนใครต่อใครข่มขืนไม่รู้จักกี่ครั้งและนั่นก็เป็นสิ่งที่น่าอัปยศที่สุดของเด็กในวัยเท่านั้นที่จะรับไหว
“แวร์วูฟพี่หวังว่านายจะอยู่แถวๆนี้นะ…”ผมคุกเข่าลงก้มหน้าและพูดกับหลุมศพของแวร์วูฟท่ามกลางความเงียบสงัดมีเพียงเสียงลมพัดไหวกับแสงแดดอ่อนๆยามเย็นใกล้เข้าช่วงเวลาของพรบค่ำ
ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงไม่กล้าที่จะมาสุสานแห่งนี้เพียงคนเดียวแน่ แต่ตอนนี้คงไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าการกระทำของมนุษย์ด้วยกันอีกแล้ว วิญญาณแต่ละตนที่ตายไปล้วนมีความแค้นภายในจิตใจจากมนุษย์ด้วยกันเองเกือบทั้งนั้น เช่นเดียวกับแวร์วูฟ…จะเพียงสักกี่วิญญาณที่จากไปอย่างเป็นสุข
“การที่ฉันมาในวันนี้ ฉันมาเพียงเพื่อต้องการที่จะขอโทษ…ฉันรู้ว่าสิ่งที่ฉันและคริสทำกับนายมันโหดร้ายมากเกินกว่านายจะรับไหว ฉันจะไม่พูดว่าเรื่องมันผ่านมาแล้ว แต่ฉันจะพูดว่า ขอให้นายให้อภัยกับพวกเราได้ไหม?”
ผมพยายามหลีกเลี่ยงประโยคที่ว่า ‘เรื่องมันผ่านมาแล้ว’ ให้ได้มากที่สุด เพราะถ้าแวร์วูฟอยู่ผมคงโดนสวนกลับมาเหมือนครั้งก่อน ว่าการที่แวร์วูฟแก้แค้นคริสก็เป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้วเช่นกัน ทำให้ผมไม่ต้องการที่จะพูดคำนั้นออกมาอีก
“ฉันรู้ว่ามันง่ายเกินไปกับการที่จะมาขอให้นายให้อภัยกันง่ายๆแบบนี้ ไม่เหมือนตอนที่นายถูกกระทำ แต่นายคิดหรอว่าการที่นายมาตามแก้แค้นพวกเราแบบนี้มันจะทำให้นายมีความสุขจริงๆ นายบอกฉันมาได้ไหม ว่าสิ่งที่นายต้องการคืออะไรกันแน่?.....”
ผมเงียบอยู่ชั่วขณะ ปล่อยให้สายลมพัดผ่านใบหน้าไปจนรู้สึกชาวูบขึ้นมาเพราะความเย็น ยิ่งได้เวลาพลบค่ำ อากาศก็ค่อยๆเย็นลงเรื่อยๆ ท้องฟ้าก็เริ่มมืดครึ้มมีเพียงแสงสีอ่อนจากดวงจันทร์ที่คอยให้แสงสว่าง
“ฉันอยากรู้ว่าสิ่งที่นายต้องการคืออะไร แน่นายคงไม่ได้อยู่แถวนี้สินะ เพราะนายพูดเองว่านายจะไม่กลับมา ไม่ว่าฉันจะร้องเรียกนายแค่ไหนก็ตาม…”ผมเงยหน้าขึ้นมองป้ายหลุมศพของแวร์วูฟอย่างสิ้นหวัง
“แต่ฉันอยากเจอนายจริงๆนะ กลับมาเถอะแวร์วูฟ กลับมาเคลียร์ทุกอย่าง สิ่งที่ฉันควรได้รู้กับสิ่งที่นายต้องรู้…..นายกลับมาได้ไหม…ฉันขอโทษ”
ผมพยายามเว้าวอนอย่างเต็มที่แม้รู้ว่าจะสิ้นหวัง แต่ก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่หน้าหลุมศพอยู่อย่างนั้น เผื่อแวร์วูฟอยู่แถวนี้แล้วจะเห็นใจพี่ชายเลวๆอย่างผม
ผ่านไปเกือบ 3 นาทีทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม อากาศรอบข้างก็เย็นลงเรื่อยๆอย่างไม่เกรงใจผู้คนที่เดินไปมาอยู่ตามท้องถนนและผมที่ยืนอยู่ตรงนี้ที่มีเพียงเสื้อเชิ้ตบางๆสวมใส่ปกปิดร่างกายของตนเองเท่านั้น
ผมได้แต่นั่งกอดอกสร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย นัยย์ตาร้อนผ่าวเหมือนจะเป็นไข้ แต่ผมก็ยังเลือกที่จะนั่งรอต่อไป…
“ฮึ ฉันนี่ก็บ้าเนอะ ที่มาพูดคนเดียวหน้าหลุมศพแบบนี้ ทั้งๆที่รู้ว่ายังไงนายก็คงจะไม่กลับมา….”
.
.
.
.
“นายแน่ใจได้ยังไงว่านายอยู่คนเดียว?”
ทันใดนั้นเองเสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้นทางด้านหลังผม ทำให้ใบหน้าของผมเผลอยิ้มออกมาทั้งน้ำตา เมื่อคนที่ผมพร่ำเรียกมาตลอดได้ปรากฏตัวที่ด้านหลังของผมแล้ว แต่พอผมหันหลังกลับไปมองรอยยิ้มบนใบหน้าก็ค่อยๆจางหายกลายเป็นความฉงนสงสัยเข้ามาแทนที่ ว่าชายตรงหน้านี้คือใคร?
ชายร่างสูงใหญ่สวมชุดสีดำแปลกตากับปลอกคอสีดำเข้าชุดที่ดูพิลึกในสายตาของผม ชายคนนี้มีผิวที่ขาวซีดราวกับไร้สีของเลือดในร่างกาย และตอนนี้ดวงตาคมดุจเหยี่ยวของอีกฝ่ายกำลังจ้องมองมาที่ผมอย่างไม่ประสงค์ดีสักเท่าไหร่นัก
“นะ..นายเป็นใคร”ผมถามอีกฝ่ายออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือปะปนความระแวง เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรจากผมกันแน่
“นายเองหรอไลแคนท์”เสียงทุ้มแข็งพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่กลับทำให้ผมรู้สึกเย็นยะเยือกกับน้ำเสียงนั้น
“ฉะ...ฉันถามว่านายเป็นใคร”ผมย้ำคำถามเดิมที่ผมถามก่อนหน้าอีกครั้ง เพื่อหวังว่าอีกฝ่ายจะตอบผมกลับมา
“และคนที่นายเรียกหาล่ะคือใคร”แต่คำถามของผมกลับถูกเพิกเฉยแล้วถูกอีกฝ่ายสวนกลับมาในคำถามที่ทำให้ผมต้องงงยิ่งกว่าเดิม จนหัวคิ้วของผมถึงกับขมวดผูกกันเป็นปมอย่างเห็นได้ชัด และอยู่ๆชายร่างสูงตรงหน้าก็ค่อยๆย่างเท้าเข้ามาหาผม โดยที่แววตานั้นไม่ละไปจากผมเลยสักวินาทีเดียว
“ฉะ..ฉันไม่ได้เรียกหานาย”ผมค่อยๆก้าวถอยหลังอย่างระมัดระวัง เพราะผมไม่มีทางลืมว่าที่ที่ผมกำลังอยู่ตอนนี้คือที่ไหน เพราะไม่ว่ามองไปทางไหนก็จะมีแต่หลุมศพของผู้คนต่างๆมากมาย และนี่ก็เป็นเวลาที่มืดมากแล้วด้วย และการที่มีชายคนนี้อยู่ด้วย ยิ่งทำให้บรรยากาศโดยรอบน่ากลัวเพิ่มมากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
“ใช่..คนที่นายเรียกหาไม่ใช่ฉัน แต่ฉันเชื่อว่าตอนนี้คนที่นายสมควรจะเจอคือฉัน ไม่ใช่คนที่นายกำลังเรียกหา”อีกฝ่ายร่ายยาวด้วยประโยคที่ผมถึงกับต้องงงมากกว่าเก่า ว่าทำไมคนที่อยู่ตรงหน้าผมตอนนี้จะต้องเป็นคนที่ผมสมควรจะเจอมากกว่าแวร์วูฟ ทั้งๆที่เป็นการเจอกันครั้งแรกระหว่างผมกับเขา
“ฉันไม่เข้าใจ”
“ฉันชื่อเคนเนธ เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของแวร์วูฟในขณะที่อยู่ดินแดนคนตายและฉันก็แป็นยมทูตด้วย ทีนี้นายสมควรที่จะเจอฉันหรือยังล่ะ”ชายร่างสูงชุดดำตรงหน้ายืนกอดอกเชิดหน้าและแนะนำตัวเองอย่างหยิ่งผยองพร้อมมองมาที่ผมด้วยหางตา
“ฉันก็ไม่เข้าใจอยู่ดี เพราะคนที่ฉันต้องการจะเจอไม่ใช่นาย แวร์วูฟนายออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”
ต้นประโยคผมตอบชายแปลกหน้าที่แนะนำตัวเองว่าชื่อเคนเนธและเป็นยมทูตที่ผมรู้สึกไม่ถูกชะตาอย่างยิ่ง ผมยอมรับว่าตอนแรกผมก็กลัวหรอกนะ แต่พอได้เห็นการแนะนำตัวของอีกฝ่ายก็เริ่มรู้สึกหมั่นไส้เข้ามาแทนที่ ก่อนจะตะโกนเรียกแวร์วูฟอีกครั้งอย่างไม่สนใจคนตรงหน้า แม้อีกฝ่ายจะเป็นยมทูตจริงๆก็ตาม เพราะการแต่งตัวที่พิลึกนั่น และถ้าหากการที่แวร์วูฟที่ตายไปแล้วกลับมา ก็ไม่มีอะไรน่าแปลกถ้าหากยมทูตจะอยู่บนโลกเดียวกันกับมนุษย์ได้
“นี่! อย่ามาเมินฉันนะ และถึงแม้นายจะตะโกนเรียกแวร์วูฟยังไง เขาก็ไม่มีทางกลับมาหานาย จำไว้ซะด้วย!!”
แต่คราวนี้ผมถึงกับสะดุ้งกับน้ำเสียงตวาดของเคนเนธจนเผลอถอยหลังสะดุดแท่นหินฝังศพของไลแคนท์จนล้มลงไปนั่งกับพื้นด้วยความตกใจและหวาดกลัวที่เริ่มกลับมาอีกครั้ง บรรยากาศก็แปรเปลี่ยนจากหนาวเย็นจนร่างกายแทบจะแข็งเมื่อ 5 นาทีก่อนก็กลับร้อนจนเหงื่อแตกพลั่กอย่างน่าประหลาดใจ และไอร้อนที่ว่าก็น่าจะมาจากเคนเนธที่ตอนนี้ร่างกายปกคลุมไปด้วยไอเพลิงสีแดงอยู่รอบกลาย ดวงตาก็แทบลุกเป็นไฟ บ่งบอกถึงความโกรธอาฆาตและกำลังมองมาที่ผม
“ต่อให้นายเรียกแวร์วูฟยังไงเขาก็ไม่มีทางกลับมา เพราะมันเกิดจากตัวของนายเอง แวร์วูฟถึงต้องเป็นแบบนี้!!”เคนเนธคำรามใส่ผมพร้อมก้มลงมาใกล้ผมจนหน้าผากชนกัน ทำให้ผมสัมผัสได้ถึงไอร้อนจากตัวของเคนเนธ รวมไปถึงภาพของผมในดวงตาของอีกฝ่ายที่กำลังทำตัวไม่ถูกกับการกระทำของคนตรงหน้า
“ฉะ..ฉันทำอะไร?”แต่ผมก็ยังฝืนใจพูดออกไปอย่างกล้าๆกลัวๆ เพราะต้องการรู้ความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นกับแวร์วูฟกันแน่ ทำไมเคนเนธถึงได้บอกว่าแวร์วูฟจะไม่กลับมา
“นายนี่มันโง่จริงๆ ฉันจะเล่าอะไรให้ฟังนะ...”เคนเนธพูดอย่างเอือมระอาและค่อยๆนั่งลงตรงหน้าของผม ไอร้อนเมื่อสักครู่ค่อยๆแผ่วลงจะเหลือแค่ความอบอุ่นที่แผ่ออกมา ช่วยผ่อนความหนาวให้กลายเป็นไออุ่นราวกับต้องการช่วยผมไม่ให้แข็งตายไปเสียก่อน
“แวร์วูฟทำทุกอย่างก็เพื่อนาย แวร์วูฟต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ที่ดินแดนของคนตายนั่นเหมือนตายทั้งเป็น เพียงเพื่อให้ได้กลับมาหานาย นายเคยรู้บ้างไหม ว่าตลอดระยะเวลา 5 ปีของโลกมนุษย์ที่แวร์วูฟหายไปเขาไปไหน”เคนเนธเว้นช่วงไว้และจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของผมที่พยายามศับทราบเรื่องราวจากเคนเนธให้ได้มากที่สุด
“เขาทรมานตัวเองเพื่อชดใช้บาปที่ได้ทำไว้บนโลกมนุษย์นั่นก็คือการฆ่าตัวตาย ทั้งที่ความจริงแล้วโทษของการฆ่าตัวตายนั้นต้องชดใช้ในระยะเวลาเพียงแค่ 1 ปีครึ่งบนโลกมนุษย์เท่านั้น แต่เขากลับเลือกที่จะทรมานตัวเองอยู่ในดินแดนคนตายถึง 5 ปี ซึ่งเทียบเท่ากับ 500 ปีของมนุษย์ ยอมโดนขังในห้องขังมืดห้องเล็กๆแคบๆและมีอากาศร้อนระอุอยู่ตลอดเวลา อาหารก็ได้กินแค่น้ำหรือนมเท่านั้น ดาวเดือนหรืออากาศภายนอกเป็นยังไงก็ไม่เคยรู้ แม้กระทั่งอากาศหายใจก็แทบจะไม่มี แต่เขายังยอมที่จะทนอยู่อย่างนั้น เพียงเพื่อต้องการจะกลับมาหานายพี่ชายเพียงคนเดียว และครอบครัวที่เหลืออยู่ที่เขารัก...”
น้ำใสๆที่เอ่อล้นอยู่ในดวงตาของผมค่อยๆไหลรินออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ผมได้แต่เอามือปิดหน้าไม่อยากให้เคนเนธเห็นน้ำตาของผมในตอนนี้ ตัวของผมสั่นเทาจากการสะอื้นจนอีกฝ่ายต้องหยุดเล่าเรื่องราวของแวร์วูฟชั่วขณะ และมองมาที่ผมอย่างนึกสมเพช และผมรู้ดีว่ามันไม่ได้ครึ่งหรือเสี้ยวของความทรมานของแวร์วูฟเลยแม้แต่น้อย
“อย่าคิดว่าการที่นายร้องไห้จะช่วยให้แวร์วูฟดีใจและทรมานน้อยลง เพราะมันไม่ช่วยอะไรเลย ถ้านายไม่ว่าอะไรฉันขอเล่าต่อแล้วกัน เผื่อนายจะสำนึกมากกว่านี้”ผมได้แต่นิ่งเงียบ ฟังอีกฝ่ายเล่าต่อทั้งน้ำตาและความรู้สึกผิด
“ฉันไม่รู้ว่านายเคยสังเกตบ้างไหม แววตาของแวร์วูฟที่มองในตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ แววตาของความรัก...ที่มากกว่าพี่น้องที่ส่งมาให้นาย”ผมค่อยๆนึกตามในสิ่งที่เคนเนธกำลังเล่า ใช่ ผมไม่เคยสังเกตเลย เพราะทุกครั้งที่ผมมองมาที่แวร์วูฟ ผมจะอีกฝ่ายอย่างนึกสมเพชและเกลียดชังเสมอ จนไม่ได้สังเกตแววตาและความรู้สึกข้างในของแวร์วูฟว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
“แวร์วูฟบอกกับฉันว่าการที่เขายอมทรมานตัวเองในห้องขังมืดเพราะเขามีใครคนหนึ่งที่ต้องการจะกลับมาหาและนั่นก็คือนาย แต่นายกลับไล่แวร์วูฟ ฉันรู้ว่าเขาผิดที่ถือโอกาสในการกลับมาครั้งนี้เพื่อแก้แค้นคนที่เคยทำให้เขาต้องทุกข์ แต่ที่เขาทุกข์ยิ่งกว่าคือการไม่ได้ฟังคำว่ารักจากปากของนาย...”
“วะ...แวร์วูฟไม่เคยบอกฉันเลย ฮึก”
“ใช่ แวร์วูฟไม่มีทางบอกนาย เพราะมันเป็นกฎ มันคือข้อตกลงระหว่างแวร์วูฟและทูตปรโลก ว่าถ้าหากแวร์วูฟสามารถพิสูจน์ได้ว่าบนโลกมนุษย์ยังมีคนที่รักตนอยู่โดยที่เขาไม่ได้ขอให้อีกฝ่ายพูด แวร์วูฟจะได้กลับมาเป็นมนุษย์อีกครั้ง โดยที่ทุกคนจะไม่เหลือความทรงจำที่ว่าแวร์วูฟเคยตายมาก่อน ยกเว้นคนที่ถูกผูกจิตเข้ากับแวร์วูฟนั่นก็คือนาย”
สิ้นคำพูดของเคนเนธผมก็ต้องคิ้วขมวดอีกครั้งกับคำว่า ‘ผูกจิต’ ผมไม่รู้ว่าผมไปผูกจิตกับแวร์วูฟตั้งแต่เมื่อไหร่ และเหมือนว่าการที่ผมทำหน้านิ่วคิ้วขมวดจะไปสะดุดตาของเคนเนธเข้า ทำให้อีกฝ่ายเฉลยข้อสงสัยที่ค้างอยู่ในใจ จนผมหน้าแดงเถือกจากคำตอบที่ได้ทันที
“เซ็กอันเร่าร้อนของนายกับแวร์วูฟไงล่ะ”
ความคิดเห็น