คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : ผลที่ตามมา 100%
ผลที่ตามมา
Lycantrope Talk
‘ให้ไลแคนท์เข้ามาคุยข้างในเถอะ ฉันได้ยินหมดแล้ว ฉันจะคุยกับไลแคนท์เอง คนผิดคือฉันไม่ใช่นาย ฉันไม่อยากให้นายมารับผิดแทนคนอย่างฉัน….’
ในที่สุดทั้งผมและพอลก็เข้ามาในห้องด้านในตามคำขอของคริส โดยที่พอลยืนก้มหน้าไม่กล้าสบตาผม ผิดกับคริสที่กล้าสู้สายตาคาดคั้นจากผมอย่างไม่คิดที่จะหลีกเลี่ยง
“พอลช่วยปรับเตียงฉันให้สูงขึ้นที”
เมื่อบรรยากาศโดยรอบเริ่มดูอึดอัด คริสก็เป็นคนเริ่มเปิดประโยคขึ้นเป็นคนแรก คงเพราะไม่อยากให้พอลรู้สึกกดดันไปมากกว่านี้ เพราะแค่พวกเรามายืนประชันหน้ากันแบบนี้พอลก็หน้าซีดมากแล้ว ซึ่งผมเองก็ยอมรับว่าผมโกรธทั้งพอลและคริสมากแค่ไหน
โกรธคริสที่ข่มขืนน้องชายฝาแฝดแท้ๆของผม ถึงแม้ผมเองก็จะไม่ได้รักแวร์วูฟสักเท่าไหร่ ออกจะเกลียดเสียด้วยซ้ำ แต่ยังไงนั่นก็คือน้องชายของผม และโกรธพอลที่หลงคริสมากเกินไปจนปิดบังเรื่องนั้นไม่ให้ผมรู้มาตลอดระยะเวลาหลายปี ทั้งเรื่องที่คริสข่มเหงแวร์วูฟสมัยที่พวกเรายังเรียนอยู่ด้วยกัน และผมจะไม่โกรธทั้งสองคนมากเท่านี้เลยถ้าหากแวร์วูฟไม่เครียดและจบชีวิตตัวเองด้วยการฆ่าตัวตาย เพื่อที่จะมาแก้แค้นทุกคนแบบนี้….
“นายมีอะไรจะถามฉันไหม?”
“นายเริ่มต้นประโยคด้วยคำถามนี้อย่างนั้นหรอ? ฉันสิต้องเป็นฝ่ายถามนาย ว่านายมีอะไรที่จะบอกฉันหรือเปล่า ไม่ใช่ต้องรอฉันถามพวกนายถึงจะยอมพูด!”
เพียงแค่คริสเริ่มที่จะเอ่ยปากพูด ก็จุดประกายความโกรธของผมให้ปะทุมากขึ้น ซึ่งตอนนี้คริสและพอลคงรู้ว่าตอนนี้ผมกำลังโกรธมากแค่ไหน เพราะเท่าที่เคยคบเป็นเพื่อนกันมา ผมไม่เคยขึ้นเสียงใส่ทั้งคู่แบบนี้มาก่อน เพราะพวกเขาคือเพื่อนรักของผม และผมไม่ต้องการที่จะทะเลาะกับพวกเขา แต่ตอนนี้ผมทนไม่ได้จริงๆ
“ฉันขอโทษ ฉันไม่คิดว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้…”คริสทำสีหน้าสลดลงด้วยความรู้สึกผิด แต่แววตานั้นก็ยังคงไม่แพ่งมองมาที่ผมด้วยแววตาที่สื่อออกมาว่า ‘ขอโทษ’
“ฉันขอเปลี่ยนจากคำว่าขอโทษ เป็นเรื่องราวทั้งหมดที่พวกนายปิดบังฉันแทนได้ไหม คริส…”สีหน้านั้นแสดงความเครียดออกมาเล็กน้อย แต่ก็ยอมเล่ามันออกมาในที่สุด
“อย่างที่นายได้ยินจากพอล ฉันรักนาย…รักนายมาก แต่นายก็ใจแข็งเกินกว่าที่รับรักของฉัน…..”
ผมเลือกที่จะเงียบฟังคริสอธิบายเรื่องราวต่างๆอย่างใจเย็น ซึ่งผมก็สังเกตเห็นแววตาของพอลขณะที่คริสกำลังพูดว่ารักผมนั้นเศร้าลง
‘พอล..เมื่อก่อนนายคงเจ็บมากสินะ ที่ต้องทนเห็นคนที่นายรัก รักเพื่อนของนายแบบนี้’
“และด้วยความที่ฉันต้องการนายมากๆ และก็สิ้นหวังทุกครั้ง ฉันจึงเลือกที่จะ….ใช้ร่างกายของน้องชายนาย…เพื่อแทนร่างกายนายที่ฉันไม่มีวันได้มา…”
“อ๋อ นายต้องการแค่ร่างกายของฉันสินะ”ผมแกล้งพูดประชดใส่อีกฝ่าย ทำให้สีหน้าของคริสนั้นตื่นตระหนกรีบแก้คำพูดจนลิ้นแทบพันกัน
“มะ..ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ฉัน..ฉันรักนายจริงๆ ฉันคิดว่าถ้าฉันได้ร่างกายนายแล้ว สักวันฉันคงได้หัวใจนาย เพียงแต่ฉันไม่มีโอกาสที่จะได้ทำแบบนั้นกับนาย”
ขณะที่คริสพูดประโยคนั้นออกมาแววตานั้นก็หลบไปมองทางอื่นแทนอาจจะเพราะความเขินหรือรู้สึกผิดที่ปะปนกันอยู่ข้างใน แต่ที่แน่ๆตอนนี้พอลกำลังกำมือแน่นเพื่อสกัดกั้นความเจ็บจากข้างในหัวใจที่ต้องทนรับฟังความรู้สึกของคริสที่ไม่เคยได้รู้จากปากของคริสเองตลอดช่วงเวลาที่คบกันมา เพราะคริสเองก็ไม่ใช่พวกที่เปิดเคยความคิดความรู้สึกของตนเองให้ใครฟังได้ง่ายๆ และนี่ก็อาจจะเป็นครั้งแรกที่พอลได้ยินความรู้สึกนั้น ถึงได้เจ็บขนาดนี้
“แล้วนายรู้ไหมว่าสิ่งที่นายทำโดยไม่ได้คิดนั้นมันทำให้ส่งผลเสียกับพวกเรายังไง?”
สิ้นคำพูดทั้งพอลและคริสก็เงยหน้าหันมาสบตากับผมด้วยสีหน้าและแววตาสงสัยอย่างใคร่รู้ แน่ล่ะ เพราะการที่ผมมาในวันนี้ก็เพื่อให้ทั้งคู่ได้ยินมันเองจากปากผมก่อนที่จะต้องมีใครเจ็บไปมากกว่านี้โดยที่ผมไม่รู้สาเหตุ !!
“มันส่งผลเสียกับพวกเรา เพราะแวร์วูฟที่ตายไปแล้วกำลังกลับมาแก้แค้นพวกเราในสภาพที่เป็นผีน่ะสิ !!!!”
!!!!!!!
พอลที่ได้ยินเช่นนั้นแทบล้มทั้งยืน เช่นเดียวกับคริสที่แทบจะเป็นลมอีกครั้งทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้นที่ออกมาจากปากของผม สีหน้าทุกคนบ่งบอกได้ถึงความไม่อยากเชื่อ เพราะเรื่องผีสางนั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจยากมากๆสำหรับพวกเขา แต่ตอนนี้ผมกลับเอาเรื่องนั้นมาพูดอย่างเป็นจริงเป็นจังในสถานการณ์ที่น่าหวาดเสียวเช่นตอนนี้
“อย่ามาทำเป็นโกหกนะไลแคนท์ ฉันไม่เชื่อนายหรอกน่า ฮ่ะๆ” พอลแสร้งทำเป็นหัวเราะเยาะไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูด ทั้งที่ตรงข้ามกับสีหน้าที่ซีดเป็นไก่ต้มไปแล้ว ซึ่งมีสภาพไม่ต่างจากคริสเท่าไหร่ เพราะรายนั้นนิ่งค้างไปแล้ว
“ไม่เชื่อลองถามคริสดูสิ ว่าคืนที่คริสโดยยิงนั้นเขาเห็นอะไร” พอลรีบหันไปมองคริสอย่างคาดคั้นคำตอบ ว่าสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อนั้นคืออะไรกันแน่? แววตาและปากสั่นระริกระคนความหวาดกลัวอย่างปิดไม่มิด
“….”
แต่คริสกับเงียบไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมา จนพอลเริ่มหวาดระแวงในคำพูดของผมว่าอาจจะเป็นเรื่องจริง แต่ก็ยังคงหลอกตัวเองคาดคั้นคำตอบนั้นจากคริสอยู่ดี
“ไม่จริงใช่ไหม..ที่นายบอกว่าคืนนั้นนายเห็นแวร์วูฟน่ะ นายพูดสิคริส!!”
“ชะ..ใช่ ฉันไม่ได้โกหก คืนนั้น…ฉันเห็นแวร์วูฟ ฉันเห็นแวร์วูฟ !!”
!!!!
พอลที่ได้ยินเช่นนั้นแทบล้มทั้งยืน เช่นเดียวกับคริสที่แทบจะเป็นลมอีกครั้งทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้นที่ออกมาจากปากของผม สีหน้าทุกคนบ่งบอกได้ถึงความไม่อยากเชื่อ เพราะเรื่องผีสางนั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจยากมากๆสำหรับพวกเขา แต่ตอนนี้ผมกลับเอาเรื่องนั้นมาพูดอย่างเป็นจริงเป็นจังในสถานการณ์ที่น่าหวาดเสียวเช่นตอนนี้
“อย่ามาทำเป็นโกหกนะไลแคนท์ ฉันไม่เชื่อนายหรอกน่า ฮ่ะๆ” พอลแสร้งทำเป็นหัวเราะเยาะไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูด ทั้งที่ตรงข้ามกับสีหน้าที่ซีดเป็นไก่ต้มไปแล้ว ซึ่งมีสภาพไม่ต่างจากคริสเท่าไหร่ เพราะรายนั้นนิ่งค้างไปแล้ว
“ไม่เชื่อลองถามคริสดูสิ ว่าคืนที่คริสโดยยิงนั้นเขาเห็นอะไร” พอลรีบหันไปมองคริสอย่างคาดคั้นคำตอบ ว่าสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อนั้นคืออะไรกันแน่? แววตาและปากสั่นระริกระคนความหวาดกลัวอย่างปิดไม่มิด
“….”
แต่คริสกับเงียบไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมา จนพอลเริ่มหวาดระแวงในคำพูดของผมว่าอาจจะเป็นเรื่องจริง แต่ก็ยังคงหลอกตัวเองคาดคั้นคำตอบนั้นจากคริสอยู่ดี
“ไม่จริงใช่ไหม..ที่นายบอกว่าคืนนั้นนายเห็นแวร์วูฟน่ะ นายพูดสิคริส!!”
“ชะ..ใช่ ฉันไม่ได้โกหก คืนนั้น…ฉันเห็นแวร์วูฟ ฉันเห็นแวร์วูฟ !!”
!!!!
“เพราะเหตุนี้ไง ฉันถึงได้โกรธที่พวกนายปิดบังฉัน พวกนายไม่กล้าบอกเพราะกลัวฉันโกรธ แล้วพวกนายไม่คิดหรือไงว่าถ้าหากฉันรู้ฉันจะโกรธยิ่งกว่าน่ะ…”
หลังจากที่ทั้งสองรับรู้ถึงการกลับมาของแวร์วูฟก็เงียบกันอยู่นาน จนผมต้องเป็นคนพูดทำลายความเงียบในสิ่งที่ผมต้องการให้ทั้งสองคนได้รับรู้ว่าความรู้สึกของผมตอนนี้มันเป็นยังไงกับสิ่งที่พวกเขาปิดบังผม
“ฉันรู้…ว่าฉันก็ไม่ได้รักน้องฉันมากมายขนาดนั้นที่จะต้องมาคอยเป็นห่วงกับสิ่งที่พวกนายทำลงไป ถ้าหากสิ่งนั้น…ไม่กับมาทำร้ายฉันหรือพวกนาย พวกนายเข้าใจฉันไหม? ฉันไม่อยากให้พวกนายต้องมาถูกน้องชายฉันแก้แค้น โดยที่ฉันไม่รู้ต้นสายปลายเหตุที่แท้จริงนั้นมันเกิดจากอะไร!”
ผมได้แต่พรั่งพรูความในใจออกมาให้ทั้งสองฝ่ายได้รู้ แล้วค่อยๆทรุดนั่งลงกับโซฟาด้านหลังก่อนที่จะทรงตัวไม่อยู่เพราะความโกรธและเป็นห่วงเพื่อนรัก ภาพแห่งความทรงจำค่อยๆไหลรินเข้ามาในสมอง ตั้งแต่วันที่พวกเราเจอกันวันแรกไล่มาจนถึงกิจกรรมต่างๆที่ทำรวมกัน และภาพสุดท้าย ภาพของแวร์วูฟที่นอนตายอยู่ในห้องนอนของพวกเราเอง!
“ถ้างั้นฉันและเวอร์มูธก็ต้องถูกแวร์วูฟแก้แค้นด้วยใช่ไหม เพราะในวันนั้นที่พวกเรา…”ถึงพอลพูดไม่จบผมก็เข้าใจดีว่าวันที่พอลกำลังพูดถึงนั้น คือวันไหน? ไม่ต้องเดาผมก็รู้ว่ามันคือวันที่พอล คริส และเวอร์มูธกำลังข่มขืนแวร์วูฟท่ามกลางความสะใจของผมที่ยืนมองด้วยความสมเพชเวทนา
“ฉันไม่รู้..ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าแวร์วูฟจะไม่ทำ แต่ฉันต้องการให้พวกนายระวังตัวกันไว้ให้ดีๆ คอยดูแลกันอย่าให้ห่าง เพราะถ้าแวร์วุฟกลับมาเมื่อไหร่ อาจจะมีใครบางคนต้องเข้าโรง’บาลอีกก็เป็นได้”
“แล้วเวอร์มูธ…”คริสถาม
“เดี๋ยวฉันคอยระวังให้เอง ไม่ต้องห่วง พวกนายดูแลกันให้ดีละกัน สิ่งที่ฉันจะบอกก็มีเท่านี้”พูดจบผมก็ลุกขึ้นยืนเตรียมจะออกจากห้อง เพราะไม่อยากรบกวนเวลาพักผ่อนของคริสนาน เพราะได้ข่าวว่าเขาเพิ่งฟื้นไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ซึ่งคงไม่ต่างจากพอลที่ก็คงเฝ้าไข้จนแทบไม่ได้หลับได้นอนเช่นกัน
“ว่าแต่..นายไม่เป็นไรใช่ไหมไลแคนท์…”
แต่แล้วเสียงของคริสก็รั้งผมไว้ น้ำเสียงนั้นยังคงส่อแววเป็นห่วงผมเหมือนดั่งเมื่อก่อนไม่มีเปลี่ยน ทำให้บุคคลที่นั่งอยู่ข้างๆนั้นเสมองไปทางอื่นอย่างเศร้าสร้อยอีกครั้ง คาดว่าภายในใจของคริสเอง คงยังไม่ลืมผมร้อยเปอร์เซ็น อาจจะยังเหลือเยื่อใยเหมือนแต่ก่อนอยู่บ้าง แต่ก็ลดน้อยลงบ้างแล้ว คงเพราะใครบางคนที่เข้ามาเพื่อที่จะดูแลเขาโดยตรงอย่างพอล…
ซึ่งผมเองก็แปลกใจที่คริสหนุ่มเกย์รุกมาดกร่างๆอย่างคริสจะถูกสยบได้ด้วยหนุ่มเยือกเย็นที่มีความรุกมากกว่าอย่างพอลได้ อาจจะเป็นเพราะความรักที่พอลมีให้คริสนั้นมั่นคงมาตลอดไม่เคยเปลี่ยน ทำให้ใจของคริสค่อยๆเปิดรับมากขึ้น เหมือนดั่งน้ำที่หยดลงบนหินทุกวัน หินมันยังกร่อน แล้วนับประสาอะไรกับจิตใจมนุษย์ที่เป็นสิ่งไม่เที่ยงกันล่ะ…
“เลิกเป็นห่วงฉันได้แล้ว เพราะคนที่นายควรจะเห็นห่วงมากกว่าฉัน มันคือตัวนายเองมากกว่านะ…”ผมหันกลับไปมองทั้งคู่อีกครั้งก่อนจะตอบคำถามของคริสด้วยรอยยิ้มที่ผมเคยยิ้มให้กับเพื่อนของผมทุกคน
“รวมไปถึงคนที่นั่งข้างๆนายด้วย อย่าทำให้เขาน้อยใจบ่อยๆล่ะ เดี๋ยวจะน้อยใจตายไปเสียก่อน ไงก็รักกันนานนะๆ ฉันไม่เข้าไปขัดขวางความรักของพวกนายหรอก” พอลที่นั่งฟังอยู่ข้างๆถึงกับสะดุ้งที่ถูกทาบถามอย่างน่าอาย
“พูดซะไม่เหลือเยื่อใยเลยนะ น่าน้อยใจจัง…แต่ไงฉันก็ยังเป็นหนุ่มกร่างที่คอยดูแลพอลให้เองไม่ต้องห่วง”
คำพูดนั้นของคริสสร้างรอยยิ้มให้กับพอลไม่ใช่น้อย จากที่ตอนแรกทำสีหน้าเศร้าสลดเหมือนคนสิ้นหวัง ตอนนี้กลับมีแต่สีหน้าของความดีใจอย่างปิดไม่มิด จนผมต้องโบกมือลาทั้งสองคน เพราะไม่อยากขัดความสุขของทั้งสองไว้นาน เพราะไม่รู้ว่าในวันข้างหน้า จะได้เห็นความสุขนั้นไปได้อีกนานแค่ไหน และทั้งสองคนก็คงอยากใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันให้ได้นานที่สุดเท่าที่ชีวิตนี้สามารถอยู่ได้…
Talk Writer
อัพตอนที่ 8 จนครบร้อยแล้วน้าาา แต่สั้นไปนิดนึง และตอนนี้มายด์กำลังแต่งตอนที่ 9 อยุ่นะ
เพื่อที่ไม่ให้ทุกคนต้องรอนานอีก ปั่นวันละนิดวันละหน่อยเดี๋ยวก็ครบร้อยเนอะ
และบอกไว้ก่อนเรื่องนี้เดินเรื่องมาถึงครึ่งเรื่องแล้วนะ ถ้าหากไม่มีอะไรที่มายด์อยากใส่เพิ่มเติมล่ะก็
อีกไม่เกิน 10 ตอนเรื่องนี้คงจบแต่ที่ว่าจบนี่ไม่รวมรวมตอนพิเศษนะ แต่ขออุ๊บไว้ก่อน ต้องรอติดตามกันต่อไปค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ
ความคิดเห็น