ฤดูไม้ผลิแห่งการจากลา - ฤดูไม้ผลิแห่งการจากลา นิยาย ฤดูไม้ผลิแห่งการจากลา : Dek-D.com - Writer

    ฤดูไม้ผลิแห่งการจากลา

    .....หากชีวิตที่ไม่เคยปรารถนาอะไรเลย แต่เมื่อสิ่งที่เพิ่งจะสวดอ้อนวอนขอต่อพระเจ้า ไม่อาจจะทำได้ หากทำไปแล้วจะมีคนข้างหลังเธอต้องทนทุกข์ทรมาน เธอก็จะขอให้ความรักของเธอที่มีต่อเขาหายไปพร้อมกับเธอ

    ผู้เข้าชมรวม

    1,493

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    10

    ผู้เข้าชมรวม


    1.49K

    ความคิดเห็น


    5

    คนติดตาม


    2
    หมวด :  รักดราม่า
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  22 ต.ค. 49 / 12:51 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      .....หากชีวิตที่ไม่เคยปรารถนาอะไรเลย  แต่เมื่อสิ่งที่เพิ่งจะสวดอ้อนวอนขอต่อพระเจ้า ไม่อาจจะทำได้ หากทำไปแล้วจะมีคนข้างหลังเธอต้องทนทุกข์ทรมาน เธอก็จะขอให้ความรักของเธอที่มีต่อเขาหายไปพร้อมกับเธอ  ฤดูใบไม้ผลิคือจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด โซจินจำไว้นะ ฉันจะอยู่เป็นสายลมคอยพัดผ่านให้กำลังใจนายอยู่เสมอ อย่าท้อนะ จงมีชีวิตต่อไป เพราะมันคือหลักฐานที่ว่าฉันเคยมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ ไม่ว่านายอยู่ไหน ฉันก็จะอยู่เคียงข้างนายตลอดไป..............

                  ฉัน ได้ย้ายโรงเรียน ไปยังอีกแห่งหนึ่ง ที่นั้นทำให้ฉันได้พบใครคนหนึ่ง เขาเป็นคนใจร้อน มักมีเรื่องทะเลาะวิวาทเสมอ แต่เขากลับมีเพื่อนเยอะสักจนไม่น่าเชื่อ เขาเนื้อหอมในหมู่ผู้หญิง เป็นที่นับถือของเพื่อนๆ  เป็นที่วางใจของครูบาอาจารย์  แถมเรียนเก่งมากๆ  อาจเพราะเหตุนี้ละมั่งที่ทำให้ฉันไม่กล้าพูดกับเขาเพราะตัวฉันแทบไม่มีอะไรเลยที่พอจะทัดเทียมกับเขาได้  ฉันจึงเหมือนว่า ถูกขีดกรอบเอาไว้ ในห้องเรียนนั้น  ภาพที่ฉันมักเห็นบ่อยๆ

      เขามักจะอยู่ในวงล้อมของเพื่อนๆเสมอ  ฉันเองก็อยากจะอยู่ใกล้เขา แต่ว่าฉันคงจะทำได้แค่แอบมอง..... แอบมองเท่านั้นจริงๆ    เพราะรู้ดีว่าตัวเองไม่เหมาะสม  จนมาวันหนึ่ง ฉันเดินขึ้นมาบนดาดฟ้า  ฉันเห็นเขายืนอยู่ แต่สีหน้าของเขาแบบนั้น ฉันไม่เคยเห็นจริงๆ ใบหน้าที่เศร้า มีน้ำตาคลอ ...  ไม่รู้เป็นเพราะอะไร จึงทำให้ฉันกล้าเดินออกไปถามเขา โซจิน นายเป็นอะไรไปเหรอ เขาได้แต่หันมามอง โดยไม่ตอบอะไร แต่จู่ๆเขาก็รวบตัวฉันไว้ในวงแขนพร้อมกับก้มหน้ามาสบที่ไหล่ฉัน เหมือนกับว่าเวลาได้ผ่านไปนานจริงๆ เขาร้องไห้เบาๆ แทบไม่ได้ยินเสียง แต่ว่าความชุ่มชื้นที่เสื้อฉัน บ่งบอกให้ฉันรู้ว่าเขาเสียน้ำตาเป็นจำนวนมาก ฉันอยากถามเขาเหลือเกิน ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาต้องร้องไห้ แต่ว่าฉันไม่กล้าถาม เพราะเขาอาจจะเสียใจมากกว่าเดิมก็ได้ ฉันจึงได้แต่ยืนให้เขาสบไหล่แล้วร้องไห้ต่อไป สักพักเขาก็ดึงตัวเองออกจากตัวฉัน เขามองหน้าฉันอย่างสงสัย ว่าฉันเป็นใคร ฉันเกือบจะแนะนำตัวกับเขาไปเสียแล้ว ถ้าเขาไม่เอยมาเสียก่อน ขอบใจนะ มีนยอง ผมไม่เป็นไรแล้ว อย่าบอกใครเรื่องนี้นะ ฉันมองหน้าเขาอย่างสงสัยแต่ก็พยักหน้ารับคำ   จากนั้นเขาเดินหันหลังให้ฉัน แล้วนั่งลงที่ขอบตึก จู่ๆเขาก็เอ่ยขึ้นมา วันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของจูลี่ แฟนผม ผมยังลืมเธอไม่ได้ ผมไม่รู้จะทำอย่างไรดี   ที่เขาร้องไห้ก็คงเป็นเพราะเหตุนี้สินะ  ฉันคงไม่มีหวังในตัวเขา เพราะเขายังไม่อาจลืมคนที่เขารักได้ แม้ว่าวันนี้ฉันจะดีใจมากที่ได้คุยกับเขาแม้จะเป็นแค่ประโยคเดียวที่ฉันกล้าพูด แต่ฉันจะจำไปจนวันตาย  หลังจากวันนั้น ฉันได้คุยกับเขามากขึ้น  แต่ว่าความสุขมักไม่อยู่กับเรานาน ความทุกข์ก็จะมา เมื่อป้าฉันบอกว่าจะย้ายบ้านอีกแล้ว นั้นหมายถึงการย้ายโรงเรียนของฉันด้วย  แม้ใจจะไม่อยากย้าย แต่ถ้าเพื่อป้า

      ฉันก็คงต้องทำ  เพราะป้าเป็นญาติคนเดียวที่เหลือของฉัน พ่อแม่ฉันเสียชีวิตตอนฉันอายุแค่  2ขวบ ฉันจึงไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับพ่อแม่เลย มีแค่รูปถ่ายใน ร็อกเก็ตเท่านั้น  ฉันใส่รูปพ่อแม่ไว้ด้านหนึ่ง  ส่วนอีกด้านหนึ่งยังคงว่างเปล่า เพราะยังไม่มีใครสำคัญพอที่ฉันจะใส่รูปนั้นเอาไว้   

      วันนั้นฉันเดินกลับบ้านอย่างทุกที ฉันหยุดเดินระหว่างทาง  เวลามันช่างผ่านไปเร็วดีจัง ฉันยืนมองใบไม้ที่เริ่มร่วงหล่นลงมาทีละใบ สายลมที่พัดผ่าน จากนั้นสติของฉันก้เริ่มเลือน ฉันรู้สึกว่าโลกกำลังมืดลง  ฉันเป็นลมฟุบลงข้างถนน มีพลเมืองดีพาไปส่งโรงพยาบาล  พอฟื้นขึ้นมา หมอก็ขอคุยกับฉัน  หมอบอกว่าฉันเป็นเนื้องอกในสมอง อาการอยู่ในระยะสุดท้าย ฉันมีโอกาสรอดแค่  2 เปอร์เซ็นต์ถ้าผ่าตัด แต่ถ้าไม่ผ่าฉันจะอยู่ได้อีกแค่3เดือน  ฉันนั่งฟังคุณหมออธิบายไปเรื่อยๆ  แต่ว่าสิ่งที่คุณหมออธิบายมันไม่ได้เข้าหูฉันเลย  .........3เดือนอย่างนั้นเหรอ ใช่ฉันคงอยู่ได้แค่3เดือนจริงๆ เพราะฉันคงไม่มีเงินไปผ่าตัด ตลอดทางที่กลับบ้าน ฉันเดินร้องไห้มาเรื่อยๆ แม้จะมีผู้คนมากมายที่ยืนดูฉันอยู่ ฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก  จนกระทั่งมีรถคันหนึ่งมาจอดเทียบริมฟุตบาตที่ฉันเดินอยู่ ฉันหันไปมองตามเสียงเรียก โซจิน เขานั้นเอง  เขามองหน้าฉันโดยไม่พูดอะไร เขาลงจากรถแล้วลากตัวฉันขึ้นรถไป ฉันก็ดูเหมือนจะว่าง่ายซะเหลือเกิน   อาจเป็นเพราะฉันไม่มีแรงจะโต้แย้งละมั่ง เสียงร้องไห้อย่างเงียบๆเกิดขึ้น เขาก็ขับรถไปโดยไม่พูดอะไร ราวกับเขารอจะให้ฉันพูดออกมาเอง  ระยะทางที่ทอดยาวไปเรื่อย รถคันนี้ก็ยังคงทำหน้าที่ของมัน มันยังคงพาฉันและเขาไปอย่างไร้จุดหมาย โซจิน นายจะพาฉันไปไหน” “พาไปที่ๆทำให้เธอหยุดร้องไห้ได้นะสิมีนยอง ฉันอึ้งไปกับคำตอบของเขา ทั้งๆที่เขาไม่รู้ว่าฉันร้องไห้เพราะอะไร ทั้งๆที่เขาและฉันเกือบจะเป็นเหมือนคนอื่น แต่เขาก็ยังใส่ใจกับฉันซะขนาดนี้   ฉันคิดว่าดีแล้วล่ะที่ฉันยังไม่ได้บอกรักเขาไป  หากฉันบอกรักเขาไป แล้วฉันกับเขาเกิดรักกัน  เมื่อถึงวันที่ฉันต้องจากไป  เขาอาจจะต้องทรมานเหมือนครั้งที่แฟนเขาตาย  ฉันมองหน้าเขายิ้มๆ ปาดน้ำตาทิ้งแล้วเอยขอบคุณเบาๆ  สักพักรถคันนั้นมาจอดที่หน้าบ้านพักริมทะเล ที่นั้นมันช่างสงบและเย็นสบาย ลมที่พัดมากระทบใบหน้าให้ความรู้สึกได้เป็นอย่างดี  เราทั้งสองคนนั่งเล่นกันที่ริมหาด พอค่ำเราจึงมานั่งในบ้าน โซจิน ชวนฉันดื่มไวน์เป็นเพื่อน  ทั้งๆที่ฉันอยากจะปฏิเสธว่าดื่มไม่เป็น แต่พอเห็นดวงตาที่เศร้าสร้อยเช่นนั้น ฉันไม่อาจจะปริปากบอกปฏิเสธได้  ฉันไม่รู้ตัวจริงๆว่าตนเองดื่มเข้าไปเท่าไหร่ พอรุ่งเช้า ฉันกับโซจินนอนอยู่บนเตียงเดียวกัน

      เมื่อคืนระหว่างฉันกับโซจินได้มีความสัมพันธ์เช่นหญิงสาวกับชายหนุ่ม ฉันแอบย่องลงจากเตียงไป  เพราะฉันรู้ว่าเราต่างก็ไม่ได้สติกันทั้งคู่ ต่างไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป โซจินก็คงไม่รู้เช่นกัน  หลังจากนั้น ฉันทำข้าวต้มไว้แล้ว ก็โบกรถกลับบ้าน  ไปถึงบ้าน ป้าต่อว่าฉันอย่างรุนแรงที่ฉันหายไปทั้งคืน  ฉันไม่ได้บอกป้าเรื่องอาการเจ็บป่วยของตนเอง  ป้าค่ะ คราวนี้หนูไม่อยากย้ายแล้วล่ะค่ะ หนูไม่ไปได้ไหม” “แกว่าไงนะ มีนยอง แกก็รู้นิ ว่าป้าเป็นห่วงแก ถ้าแกไม่ไปแล้วแกจะอยู่กลับใคร แล้วคราวนี้เราก็จะย้ายไปอยู่ต่างประเทศ” “นั้นแหละค่ะ หนูไม่ย้ายได้ไหมค่ะ หนูชอบที่นี้ หนูอยู่ได้ค่ะ ป้าไม่ต้องห่วง นะค่ะ    ฉันนั่งพูดเรื่องนี้กับป้าเป็นชั่วโมงป้าถึงจะยอมตกลง 

                  ฉันตัดสินใจแล้ว  ว่าที่สุดท้ายของชีวิต อยากจะอยู่ที่นี้ และอยากจะจบมัธยมที่เดียวกับโซจิน อยากจะถ่ายรูปจบการศึกษากับทุกๆคน แม้ว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายก็ตาม ฉันก็จะยิ้มให้กับทุกคนอย่างมีความสุขให้ได้   หากว่าสิ่งที่หวังจะทำได้จริงๆนะ  ฉันนั่งคิดอะไรเพลินๆ อยู่ริมหน้าต่าง ที่ตรงนี้เป็นที่โปรดของฉันมาก ฉันมักจะมาเขียนไดอารี่ที่ริมหน้าต่างนี้เสมอ  เกือบจะครบ 1 ปีแล้วที่ฉันได้ใช้ชีวิตที่นี้  เหลือเวลาสำหรับฉันอีกแค่ 2เดือนเท่านั้น   ฉันรู้ตัวดีว่าอาการของฉันเริ่มแย่ลงเรื่อยๆ แต่ว่าฉันอยากจะอยู่ดูฤดูใบไม้ผลิกับโซจินสักครั้งหนึ่ง    เฮ มีนยอง เขียนอะไรอยู่นะ เสียงโซจินปลุกให้ฉันหลุดออกมาจากภวังค์ เปล่านิ  น่า ขอดูหน่อย  ไม่ให้ดูหรอก ฉันยังเขียนไม่เสร็จเลยฉันพูดยิ้มๆมือก็เอาไดอารี่ซ้อนเอาไว้ ฉันมองหน้าโซจิน อย่างกับว่าจะจดจำภาพนี้ไม่ให้เลือนหายไปฉันทำได้แค่นั้น ก็รู้สึกว่าร่างกายตัวเองร่วงจากเก้าอี้   ว่ากันว่า การรักใครเป็นเรื่องง่าย แต่การเลิกรักใครสักคนเป็นเรื่องยาก แต่สำหรับฉัน เรื่องยากอาจจะเป็นเรื่องที่ฉันไปหลงรักใครคนหนึ่ง แต่บอกไม่ได้ เพราะกลัวเขาจะเจ็บเมื่อฉันจากไป...

       

                  ฉันลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง  บรรยากาศแบบนี้ คงไม่ใช่ที่ไหน นอกจากห้องพยาบาล ฉันหันไปมองข้างๆเตียง โซจิน นอนพิงพนักเก้าอี้อยู่ ใบหน้าเขาตอนหลับมันช่างอ่อนโยนราวกับเด็กทารก ฉันมองใบหน้าเขา ทำท่าจะเอื้อมมือไปเตะ แต่ก็ชักกลับเสียก่อน  เพราะพยาบาลและหมอเข้ามาพอดี  หมอถามฉันอีกครั้ง  ฉันเงียบไป แล้วเอยถามหมอ

       หมอค่ะ ถ้าฉันไม่ผ่าตัด ฉันจะอยู่ได้อีกแค่ สองเดือนใช่ไหม  หมอและพยาบาลยืนมองฉันอย่างเงียบๆ พวกเขาคงรู้ดีว่าฉันจะตอบอย่างไร  เวลาสองเดือนนี้จะเป็นเวลาที่มีค่าที่สุดสำหรับชีวิตที่ไม่เคยปรารถนาอะไรเลย  ฉันไม่รู้หรอกว่า  ระยะสองเดือนข้างหน้านี้จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น  ฉันก็จะพร้อมเดินหน้าไปพร้อมกับโซจิน   ฉันให้หมอบอกโซจินว่าฉันเป็นโลหิตจาง    ถ้าฉันเป็นอะไร คนสุดท้ายที่ฉันอยากจะให้รู้คือโซจิน หลังจากออกจากโรงพยาบาลคราวนั้น ฉันเริ่มรู้สึกว่าตัวเอง มีอาการทรุดลงเรื่อยๆ แม้จะฝืนยิ้มเพียงใดแต่มันก็เริ่มอ่อนแรง รอยยิ้มก็เริ่มจางลงทุกที  ขนาดวันสอบฉันยังเป็นลม ต้องขอให้อาจารย์เอาข้อสอบมาให้ทำที่ห้องพยาบาล  ฉันรู้เพียงว่าข้อสอบวิชาสุดท้ายฉันทำมันไม่ทันเสร็จดี ปากกาก็กลิ้งตกจากมือไปซะเฉยๆ  จากนั้นร่างของฉันก็ค่อยๆเอนลงบนเตียง รู้ตัวดี แต่ก็ยังอยากจะฝืน แม้ว่ามันจะไม่อาจทำได้ แต่ฉันก็ยังอยากจะยิ้มให้เขาคนนั้นอีก

       

      วันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1999  วันนี้เป็นวันที่ฉันรู้สึกว่า ฟ้ายังคงแจ่มใสดี  ทุกคนกำลังครึกครื้นกับงานเลี้ยงฉลองปีใหม่ ภายในโรงเรียนวันนี้ เป็นวันดีที่นักเรียนม.6จะจบการศึกษาจากโรงเรียนนี้ไป  ฉันลุกขึ้นแต่เช้าเพื่อที่จะเตรียมตัวไปรับใบจบการศึกษาระดับมัธยมปลาย ส่วนป้าฉันได้ย้ายไปต่างประเทศแล้ว และ ตอนนี้ทุกคนต่างก็เตรียมตัวที่จะเข้าสู่มหาลัย แต่ตัวฉันเองคงมาได้แค่นี้ ถึงอยากจะมีความสุขร่วมกับทุกคนอีกก็ตาม

      9.00น.หน้าห้องประชุม นักเรียนหลายๆคนมายืนรออยู่แล้ว   จากนั้นครูผ.อ.ก็มายืนกล่าวเปิดงานและให้โอวาทเล็กๆน้อยๆก่อนที่จะมีการประกาศรายชื่อเด็กที่จบให้ขึ้นไปรับใบจบการศึกษา ฉันขึ้นไปรับ แล้วเอยกับผ.อ. อย่างขอบคุณจากใจจริงที่ท่านไม่บอกเรื่องฉันกับใครๆ ผ.อ.คือคนที่สองที่ฉันเล่าเรื่องเกี่ยวกับฉันให้ฟัง

       

      หลังจากนั้นพวกเราเดินออกมาข้างนอกเพื่อที่จะถ่ายรูป  โซจินเดินมาลากฉันไปถ่ายรูปคู่

      สำหรับฉันอาจเป็นเรื่องดีครั้งสุดท้ายจริงๆ    ฉันถ่ายรูปกับโซจิน แต่แค่รูปเดียวและรูปสุดท้าย สายลมที่พัดมาตรงหน้านำกลิ่นดอกไม้ปลายปีมาเตะจมูก ฉันรู้สึกว่ามันหอมจริงๆ มือฉันที่เกาะอยู่ที่เอวของโซจินเริ่มค่อยๆหลุดจากการเกาะกุม ดวงตาที่เห็นท้องฟ้าที่แจ่มใสเมื่อกี้ ก็ค่อยๆมัวลง สำหรับฉัน โลกแห่งแสงสว่างกำลังจะหายไป แล้ว   เสียงของใครหลายๆคนที่ดังมาไม่ได้เข้ามาในหูฉันเลย  มีเพียงเสียงของโซจิน ที่ดังอยู่ใกล้ๆหูฉัน  เขากำลังร้องไห้อยู่  อย่าร้องไห้นะโซจิน   ฉันจะอยู่กับนายตลอดไป ฉัน...รัก...น...นาย

                  ฉันไม่รู้เลยคำพูดสุดท้ายแม้จะเป็นเสียงเบาๆ แต่มันก็เป็นคำพูดที่หลุดออกมาจากปากฉันพร้อมกับลมหายใจสุดท้าย ที่กำลังจะมาเยือน ก่อนที่ดวงตาจะปิดสนิทฉันรับรู้ถึงการบอกรักพร้อมกับเสียงร้องไห้ เสียงอีกหลายๆคนที่กำลังตะโกนเรียกครู เสียงโทรศัพท์ที่กดเรียกรถพยาบาล แต่ไม่มีเสียงอะไรที่จะดังไปกว่าเสียงบอกรักของโซจิน ฉันพยายามฝืนยิ้มให้กับเขา มือฉันพยายามยกแต่ก็ยกไม่ขึ้น โซจินจับมือฉันเอาไว้ เขาจับมือฉันแนบกับหน้าเขา ฉันมองหน้าเขาตอนนี้ ดอกไม้ที่ส่งกลิ่น ใบไม้ที่เริ่มเขียวขจี  มันสวยนะว่าไหมโซจิน....

                  เสียงร้องไห้ดังไปทั่วบริเวณนั้น น้ำตาผมมันไม่ยอมหยุด ผมทำได้แค่กอดร่างอันแน่นิ่งของมีนยองเอาไว้  สมุดไดอารี่ของเธอหล่นออกมาจากกระเป๋า  ผมมองใบหน้าของมีนยอง ตอนนี้เธอกำลังยิ้มให้ผม เธอยิ้มให้ผมจริงๆ  แต่เธอจะรู้ไหม ว่าหัวใจผมมันแตกแยกออกเป็นเสี่ยงๆ  เหมือนกับว่าเวลาของผมมันหยุดลงทันใดนั้น

                       4ปีต่อมา......

       

      ครูโซจินค่ะ ไปทานข้าวกันเถอะค่ะ

       พวกเธอไปเถอะ ครูเอาข้าวมาทานแล้ว

      นี้เธอ ว่าไหม ครูโซจินแปลกนะ ชอบกินข้าว นั่งเล่น ยืนเหม่ออยู่ที่ริมหน้าต่างนั้น ราวกับรอใครแน่ะ

         แหมเธอไม่รู้อะไร ครูโซจินเคยเป็นศิษย์เก่าที่นี้ เห็นเขาว่าคนรักของครูโซจินตายตอนจบม.6 และที่ตรงนั้นคนรักของครูโซจินชอบมากเลยล่ะ

      สงสัยครูโซจิน แกยังคงรักแฟนแกอยู่

                  มีนยองเธอได้ยินเสียงฉันไหม ฉันคิดถึงเธอเหลือเกิน อยากจะกอดเธอเอาไว้ในอ้อมแขนนี้  เหมือนกับที่ฉันได้กอดเธอบนเตียงในคืนนั้น  ผมนั่งมองที่ริมหน้าต่าง ผมรู้แล้วทำไมมีนยองถึงชอบที่ตรงนี้  เพราะมันสามารถเห็นสนามบาสได้ สถานที่ๆผมมักอยู่บ่อยๆ ผมไม่กล้าอ่านไดอารี่นี้ จนกระทั่งได้ยินเรื่องที่เด็กนักเรียนพูดถึงผม ใช่ ผมรักมีนยองไม่เสื่อมคลาย ผมรักเธอตั้งแต่ตอนที่เธอยืนให้ผมสบไหล่ร้องไห้ผมไม่รู้หรอกว่าเธอคิดอย่างไรกับผม ผมพึ่งจะเข้าใจเมื่อได้อ่านไดอารี่ของมีนยอง ผมก้มมองไดอารี่ของมีนยอง ที่ครั้งหนึ่ง ผมเคยขออ่าน แล้ว เธอบอกว่ายังเขียนไม่เสร็จในนั้นมันเต็มไปด้วยเรื่องราวของผม เธอเฝ้ามองดูผมมาตลอด บรรทัดสุดท้ายที่เธอเขียนมันทำให้ผมไม่สามารถจะหยุดร้องไห้ได้

      โซจินจำไว้นะ ฉันจะอยู่เป็นสายลมคอยพัดผ่านให้กำลังใจนายอยู่เสมอ อย่าท้อนะ จงมีชีวิตต่อไปเพราะมันคือหลักฐานยืนยันว่าฉันเคยมีชีวิตอยู่บนโลกนี้  ไม่ว่านายอยู่ไหน ฉันก็จะอยู่เคียงข้างนายตลอดไป..............

       

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×