คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : บทที่8 สวรรค์รำไร(?)
บทที่8
สวรรค์รำไร(?)
ข้ากับฟรานเดินขึ้นบันไดสีขาวสะอาดตาที่สูงเสียดฟ้า นี่ข้าเดินมาเป็นชั่วโมงแล้วทำไมยังไม่ถึงอีกเล่า ข้าเดินจนจะหมดแรงแล้วเนี่ย
“ฟราน เมื่อไหร่จะถึงเนี่ย”ข้าบ่นอุบ
“ใกล้แล้วล่ะ”
“เมื่อสิบนาทีที่แล้วก็พูดแบบนี้”ข้ามุ่ยหน้า
ฟรานที่เห็นข้ามหน้างอก็ยิ้มนิดๆพลางใช้มือพัดให้ข้าอามรมณ์ดี
“ที่จริงมีทางลัดนะ แต่เจ้าต้องยอมอย่างหนึ่ง”
“ยอมอะไร?”
มันคงไม่ขออะไรที่เกินกว่าข้า(และหนังหน้าข้า)จะรับได้หรอกนะ
“เจ้าต้องให้ข้ากอดเอว”
แค่เนี๊ย!มากกว่านี้ก็เคยมาแล้ว มันจะมามีความเป็นสุภาพบุรุษอะไรตอนนี้ฟระ
“งั้นก็รีบเลย”
“ได้เหรอ”
ไม่ได้มั้งไอ้หัวหงอก ฮ่วย! หงุดหงิด ฟรานเดินเข้ามาโอบเอวข้าก่อนจะ....
วูบ!
ข้ารู้สึกเหมือนเราว๊าบมายังไงอย่างนั้น เพราะพอลืมตาอีกทีที่ที่ข้าและมันอยู่ก็กลายเป็นหน้าประตูซุ้มสีขาวเสียแล้ว ทำไมไม่ใช้วิธีนี่แต่แรกเนี่ย!!!!
“ท่านฟราน!!!”น้ำเสียงแตกตื่นที่ดังมาจากซุ้มทำให้ทั้งข้าและฟรานหันไปมอง บรรดาพรามณ์และชีพรามณ์...โอเคย์ บรรดาพวกชุดขาวต่างวิ่งกรูเข้ามาหาไอ้ฟรานชนิดที่ทำเหมือนกับมันเป็นของหายากติดอันดับโลกอย่างนั้นแหละ ข้าที่อยู่ใกล้มันเลยเข้าไปเป็นจุดศูนย์กลางด้วยอีกคน
“ท่านฟราน@#%^@$#%*(#_*(&^#%@^”
ยอมรับเลยว่าฟังไม่รู้เรื่อง จะพูดทีละคนไม่ได้หรือไงเนี่ย
“เดี๊ยวก่อนสิ ข้าฟังไม่ทัน”
แค่ฟรานพูดแค่นั้นพวกมันก็หยุดกึก และแล้วพวกมันก็เห็นข้าที่ยืนหัวโด่อยู่
“แม่นางนี่ใครเพคะ”ยัยชีพรามณ์คนนึงเอ่ยถามพลางชี้หน้าข้า ข้าว่าเจ้าอยากเรียกข้าว่า’นังนี่’มากกว่านะ
“เอ่อ นางเป็น...คนรักข้าน่ะ”ฟรานพูดก่อนยิ้มเล็กพอให้เห็นลักยิ้มที่แก้ม ส่วนข้านะหรือ....
“เจ้าก็พูดตรงเกินไป ข้าก็เขินนะ”ว่าแล้วข้าก็ตีมันเบาๆที่ไหล่
ไม่ต้องตกใจว่าทำไมข้าถึงตกลงปลงใจยอมให้มันเรียกแบบนี้ เพราะมันบอกว่ามนุษย์ที่จะขึ้นมาบนสวรรค์ได้ต้องตายแล้วหรือไม่ก็ควบตำแหน่งคนรักของมันที่เป็นมนุษย์ เห๊? สงสัยคำว่า’มนุษย์’เหรอ เอาเป็นว่าข้าอธิบายสั้นๆว่าเพราะสร้อยคอที่เจ้าฟรานมันให้ก็แล้วกัน
“คนรัก!!!”เหล่าสมาคมคนชุดขาวต่างตะโกนลั่น เดี๊ยวพ่อก็พาไปให้เคลฟเบลอฟกินซะนี่
“ข้า เทียร์ร่า อลาวดี้ค่ะ”ข้ายกกระโปรงสีขาวที่เพิ่งซื้อมาเมื่อครู่ขึ้นเล็กน้อยก่อนย่อตัวทำความเคารพและแนะนำตัวด้วยนามสกุลท่านแม่
ข้าเงยหน้าจากการทำความเคารพก่อนจะส่งยิ้มหวานบาดใจชนิดที่ผู้ชายหลงใหล ผู้หญิงเคลิบเคลิ้มกันเลยทีเดียว ฟรานเดินเข้ามาโอบเอวข้า
“เจ้าทำดีสุดๆเลยอลาว”มันกระซิบเบาๆ
“ข้าซะอย่าง เจ้ายิงมาขนาดไหนข้าก็ตบได้หมดแหละ”ข้ากระซิบตอบมัน โดยไม่รู้ว่าภาพตรงหน้ากลายเป็นภาพสวีตสุดๆ ประมาณว่าคู่รักกำลังกระซิบบอกรักกัน
“ข้าว่าเราเข้าไปหาท่านพ่อของข้าดีกว่านะ อลาวดี้ที่รัก”พูดจบมันก็หอมแก้มข้าทีหนึ่ง
“ก็ดีนะ”
ข้ายิ้มรับมือหนึ่งจับแก้มข้างที่โดนหอม ส่วนอีกข้างก็บิดเนื้อมันและใช้ส้นเท้าที่ถูกบังด้วยชายกระโปงย่ำไปที่เท้ามัน ยอมเล่นด้วยแล้วได้ใจนะเจ้านี่ จากนั้นข้ากับมันก็เดินเคียงเข้าไปในซุ้ม แต่ก็ยังได้ยินเสียงนินทรา เอ๊ย เอ่ยชมไล่หลังมา
“ถึงจะอิจฉา แต่ว่าแม่นางคนนั้นดูเหมาะกับท่านฟรานมากเลยนะ”
ข้าควรดีใจหรือเสียใจดีเนี่ยที่เหมาะกับเจ้าฟราน
ฟรานมันเดินตรงเข้าไปยังปราสาทสีขาวงาช้างที่ลงลายสีทองงดงามสมกับเป็นสวรรค์ มันก้าวเท้าตรงไปด้านหน้าพลางจูงมือข้ามาด้วย ข้าก็ยอมให้มันจับเพราะข้ากลัวหลง ปราสาทมันกับของข้าพอๆกันแต่ไม่รู้ของมันจะมีซอยอะไรนักหนา นี่ข้ากำลังจำอยู่เนี่ยว่าตรงมาอย่างเดียวไม่ได้เลี้ยวไหน เผื่อหลงทางจะได้กลับถูก
“อ๊ะ! ท่านพี่”ฟรานเอ่ยเสียงดีใจ เมื่อระหว่างที่เดินมามีชายสองคนตัดหน้ามัน คนแรกมีผมสีทองยาวสลวยถึงกลางหลัง แถมบนหัวก็มีลัดเกล้าเส้นเล็กคาดไว้ ดวงตาสีอเมทิตส์คู่สวยเรียวยาวดูน่าหลงไหลและแยกเพศไม่ออก-_-“ เขาอยู่ในชุดคลุมยาวกรอมพื้น ทุกอย่างดูดีหมดยกเว้นสีหน้านี่พี่ท่านจะหน้านิ่งไปไหนไปอยู่กับเจลาโต้เลยไป๊ ส่วนอีกคนสูงน้อยกว่าคนแรกเล็กน้อยเส้นผมสีขาวรวบเป็นหางม้ายาวเล็กน้อย นัยน์ตาสีไพลินดูนิ่งๆหรือเรียกได้ว่า’หน้าตาย’ชุดสูทสีขาวที่ถูกสวมทับด้วยผ้าคลุมสีขาวปักเลื่อมทองทำให้ข้าแยกออกว่าเพศอะไร
“ท่านพี่~~~~”ฟรานลากเสียงยาวก่อนที่จะ...กระโดดถีบเข้ากลางหน้าของทั้งคู่ จนทั้งสองหงายหลังลงไปกับพื้นชั่งเป็นการทักทายที่ดูกลมเกลียวดีจัง
“โฮ้ยๆ อะไรกันเนี่ยเจ้าฟราน มาถึงก็กระโดดถีบกันอย่างไม่เลือกพี่เลือกน้องเลยนะ เจ้าน่ะมันมีความเป็นผู้ดีบ้างหรือเปล่าที่ประเทศชาติร่มจมเพราะเจ้า แล้วอย่างนี้จะร้องเพลงชาติให้ใครฟัง”
ดูจากการพูดแล้วคนนี้น่าจะเป็นพี่คนรอง เพราะ...พูดมากเกินความจำเป็นตามคำบอกเล่า คุยเรื่องถีบลามไปยังเรื่องร้องเพลงชาติ มันเกี่ยวตรงไหนเนี่ย
“เจ็บ”
อันนี้พี่คนโตแน่นอน ท่านพี่คนโตเอามือลูบหน้าตัวเองเบาๆก่อนจะ...
พลั่ก!
ฟรานโดนต่อยหมัดเดียวลอยละลิ่วปลิวไปไหนก็ไม่รู้ อย่างนี้คงเข้าตำราพูดน้อยต่อยหนักสินะ
“ฟราน เจ้ายังไม่ตายใช่ไหม”
“สบายดี....มั้ง”เสียงไอ้ฟรานดังไกลลิบๆ มันไปตกที่ดาวอังคารหรือไงฟระ
“ฟราน ผู้หญิงนี่ใคร?”พี่คนลองเอ่ยพลางชี้มาที่ข้า
ไอ้ฟรานทึ่เดินมายิ้มรับ”คนรักข้า”
“โลกแตก! เจ้ารู้ไหมมันเหมือนดาวกับอุกาบาตรเลยนะ คนสวยๆดูดีอย่างนี้ได้กับเจ้า มนุษยชาติถึงคราวปาวสารแน่ ขอพระเจ้าทรงคุ้มครอง อาเมน”
เอ่อ การที่ข้ากับมันเป็นแฟนกันมันถึงขั้นโลกแตกเลยเหรอแล้วพระเจ้านั่นพ่อท่านไม่ใช่หรือ
“โกหก”พี่คนโตพูดบ้าง เอ่อ แค่นี้พี่ท่านไม่ต้องพูดก็ได้
“ข้าพูดจริงนะ นี่อลาวดี้ที่น่ารักของข้า”
“ข้าเทียร์ร่า อลาวดี้ ยินดีที่ได้รู้จักท่านทั้งสอง”
“เฟรนด์ นามสกุลเหมือนมัน”พูดจบก็ชี้ไปทางฟราน
ข้าว่าท่านบอกไปเลยก็จบแล้วนะ จะทำให้มันยุ่งยากทำไมเนี่ย
“ไวท์ทีเซอร์ ฟีน องค์ชายอันดับที่สองของแดนสวรรค์ ชอบกินมะพร้าว มะนาว และส้ม เกลียดแมลงสาป หนู ตุ๊กแก จิ้งจก ชอบร้องเพลง ฟังเพลง เล่นเกมส์ นอนกลางวัน เครื่องดื่มที่ชอบน้ำพันช์และสุดท้าย ข้าไม่ใช่คนพูดมาก”
เหรอ~~ ข้าต่อทันทีที่เขาพูดจบ ถ้าท่านไม่พูดมาก ฟรานมันคงเป็นคนที่เงียบเลยแหละ ท่านพี่คนโตก็คงเป็นใบ้ไปเลย
“ข้าออยากให้เจ้าคิดดูดีๆอีกทีนะน้องสะใภ้เจ้าอยากได้ฟรานมันทำแฟนจริงๆน่ะเหรอ สงสารลูกที่จะออกมาบ้างนะ ดีไม่ดีอาจกลายเป็นปัญหาของสังคม ของโลก ของจักรวาลเชียวนะ”
สรุปพี่ท่านอยากให้ข้าเป็นแฟนเจ้าฟรานหรือไม่เนี่ย เล่นเรียกข้าน้องสะใภ้ขนาดนี้เนี่ย อีกอย่างข้ามีลูกไม่ได้ดังนั้นเรื่องเด็กเป็นปัญหาสังคมตัดไปได้เลย แค่เบลเฟ่ที่มีปัญหาสังคมไม่ชอบสุ่งสิงผู้คนก็พอแล้ว(ฮัดชิ่ว!//เบลเฟ่จาม)
“ข้าไปหาท่านพ่อก่อนดีกว่านะ”พูดจบฟรานมันก็ดึงข้าไปแบบไม่ทันตั้งตัวจนข้าเซถลาไปด้านหน้า ดีที่มันเข้ามารับทันเลยเกิดซีนหวานไปอีกซีน
“ข้าขอโทษเจ้าไม่เป็นอะไรนะ?”
“ไม่ล่ะ ขอบใจ”
“ว้าวๆๆ หวานแบบไม่มีตัวแสดงแทนเลยนะเนี่ย ถ้าต้องการตัวแสดงบอกข้านะข้าพร้อมเชียวล่ะ”
เกี่ยวไหมท่าน
“เลี่ยน”
จ๊ะ-_-“
ฟรานยิ้มแห้งๆก่อนดึงมือข้าไปอีกรอบ ข้าเดินไปพร้อมๆกับมัน ระหว่างทางมีคนก้มลงเคารพมัน พอเงยหน้าเห็นข้าก็ทำหน้าสงสัย ข้าเลยแยกยิ้มฟรีให้พวกมันเคลิ้มไป
“อย่ายิ้มมากนักสิ ข้าหึงนะ”มันว่าทีจริงที่เล่น ซึ่งคือมันกำลังตบมุกมานั่นเอง
“จะหึงอะไรล่ะยังไงข้าก็รักเจ้าคนเดียวอยู่แล้ว”ข้ากัดฟันพูดอย่างเต็มกำลัง
“เสี่ยวเหมือนกันนะเจ้าน่ะ”
“แล้วมันเพราะใครล่ะ(ฟระ)”
ประตูห้องโถงเปิดออกช้าๆ ทันทีที่เดินเข้าไปประตูห้องโถงก็ปิดทันที ข้ารู้นะที่ช้าเพราะอะไร ไม่ใช่ให้ดูอลังการหรอก แต่ว่ามันหนักไง เชื่อข้าเถอะข้ายกมาแล้ว
“ถวายบังคมเสด็จพ่อ”ฟรานย่อตัวทำความเคารพ ข้าเลยย่อบ้าง
“พวกเจ้าน่ะออกไปก่อนไป”
ราชาสวรรค์ที่อยู่สูงเอาการออกปากไล่เหล่านางกำนัลให้ออกไป และทันทีที่พวกนางออกไปท่านราชาสวรรค์ก็ถามขึ้นทันที“ไง ไปเที่ยวแดนนรกมาสนุกไหม?”
“ก็....เฮ้ย! ท่านรู้ได้ไงเนี่ย!”
“ข้าเก่ง”
พอกันทั้งพ่อทั้งลูกเลยเชียว
“อ้าว แล้วแม่นางคนนั้นคือใครกัน”
“ข้าคือ....”
“เขาคือเจ้าหญิงนรก”
ข้ายิ้มให้ราชาสวรรค์จนตาหยีก่อนหันไปหาเจ้าฟราน แล้วเอาหัวมันโขกเข้ากับเสาต้นที่ใกล้ทีสุด ชนิดที่ไม่สนว่าพ่อไอ้คนที่ข้าเพิ่งเอาหัวมันโขกเสาจะนั่งอยู่ตรงนี้
“ทำอะไรเนี่ย อลาวดี้!?”มันขึ้นเสียงสูง
“ข้าต่างตากที่ควรถามว่าเจ้าเล่นบ้าอะไร ถ้าจะบอกแล้วให้ข้าใส่สร้อยนี่มาทำขนมหม้อแกงอะไร ห๊ะ?”ข้าวีนมัน ก็ดูมันทำดิให้ข้าใส่สร้อย ให้เล่นเป็นคนรักของมัน แต่พอมาอยู่ต่อหน้าพ่อ มันก็บอกเลย ว๊ากกกกกก ข้าจะบ้าตาย! แล้วแกจะให้ข้าทำทุกอย่างไปเพื่ออะไรฟระ!!!
“ฮ่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ ลูกของเจ้าอลันสินะเจ้านะ”เสียงที่แทรกขึ้นทำให้ข้าหยุดไป
“อ่ะ เอ่อ เพคะ”
“ไม่ต้องพิธีรีตองหรอกอลาวดี้ เจ้าก็เหมือนหลานข้า เรียกว่าท่านลุงก็ได้”ท่านลุงยิ้มให้ข้าอย่างอ่อนโยน
ซึ่งข้าไม่เห็นว่าจะเหมือนกับที่ไอ้ฟรานมันเล่าเลยสักนิด ไหนบอกพ่อมันน่ากลัว โหดร้าย ทารุณ นี่ที่ข้าเห็นท่านก็ไม่ได้ต่างกับพ่อข้าเท่าไหร่เลยนะเนี่ย
ท่านลุงเป็นชายรูปร่างสมส่วน ใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์ทำให้ข้าเอาอายุไม่ออกจริงๆ เส้นผมสีขาวและนั้ยน์ตาสีม่วงเหมือนได้ฟรานเด๊ะ แต่ว่านัยน์ตาสีม่วงนั้นข้ารู้สึกเหมือนมันสามารถมองทุกอย่างได้อย่างทะลุปรุโปร่งจนข้ารู้สึกหวั่นเกรงแปลกๆ
“อลาวดี้ เจ้าไปรอข้าที่สวนด้านนอกก่อนแล้วกัน เจ้าเป็นแขกขอคงต้องต้อนรับเสียหน่อย ส่วนเจ้า….ฟราน ข้ามีอะไรจะคุยกับเจ้านิดหน่อย”พูดเสร็จท่านลุงก็กระโดดลงมาจากบรรลังอันสูงสุดทีน…ข้าว่าของข้าสูงแล้วเจอของท่านลุงไปแพ้เลย
ข้าคำนับเล็กน้อยก่อนเดินออกไปตามที่ท่านลุงว่า ก็พ่อลูกจะคุยกันข้าไม่คิดไปฟังหรอก ข้าทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ในสวยสวย แสงแดดจริงๆนี่มันก็ดีอย่างนี้นี่เองสินะ สมองคิดถึงคำนิยามเรื่องพ่อของเจ้าฟรานข้าไม่เห็นว่าจะเป็นดังมันว่า ท่านออกจะยิ้มแย้มสดใส…..
โครม!!!
“จ๊ากกกกกก ท่านพ่อ ข้าจะไม่หนีไปเที่ยวที่แดนนรกอีกแล้ว!!!!!”
….ซะเมื่อไหร่เล่า
ข้าสะดุ้งทุกครั้งที่มีเสียงโครมคราม ไอ้ฟรานมันจะรอดออกมาครบสามสิบสองประการไหมเนี่ย เพียงไม่นานที่เสียงโครมคราม ปึงปัง ประหนึ่งสร้างบ้านเงียบลงท่านลุงก็เดินออกมาพร้อมกับเจ้าฟราน ท่านลุงยิ้มแย้มแจ่มใสให้ข้า ข้าก็เลยยิ้มแห้งๆตอบ และหากมองไปทางเจ้าฟรานที่เดินตามมาข้างหลังมันมีสภาพที่ไม่ได้ต่างกับการผ่านสมรภูมิรบมาเลยเชียวล่ะ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า….อย่ามองใครที่หน้าตา อาจจะพาเอารับความจริงไม่ได้
ท่านลุงทรุดตัวนั่งลงโดยมีเจ้าฟรานที่นั่งตาม ท่านลุงเสตามองเจ้าฟรานเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจแล้วโบกมือผ่านหัวมัน ชั่วพริบตาสภาพไอ้ฟรานก็กลับมาหล่อปิ๊งเหมือนเดิม
“แล้วเจ้าคิดยังไงถึงได้ตามเจ้าฟรานขึ้นมาล่ะนั่น?”ท่านลุงหันมาถามข้าที่นั่งอึ้งในการใช้เวทย์มนตร์ของท่านลุงอยู่
“อ่อ มันฉุดข้ามา”ข้าตอบไปตามจริง
ท่านลุงเบิกตาก่อนหันกลับไปมองไอ้ฟราน มันหัวเราะแห้งๆ
“แหม ท่านพ่อก็เห็นอลาวดี้ที่น่ารักของข้าน่ารักขนาดไหน แล้วข้าเห็นเจ้าหงอยๆนึกว่าอยากมากับข้าเสียอีก”
“เจ้าบ้านี่อย่ามาคิดเองเออเองได้ไหม ข้าไปพูดตอนไหนว่าอยากมากับเจ้าน่ะ!
ข้าตวาดกลับในทันที แบบนี้ข้าเสียหายนะเนี่ย
“น่ารัก?”ท่านลุงทวนพลางเอามือลูบคางตัวเอง
“ท่านพ่อไม่รู้เหรอว่าแม่นางคนนี้เป็นคนรักของเจ้าฟราน”เสียงที่เคยได้ยินเมื่อไม่นานมานี้แว่วขึ้นมา
ทั้งข้า เจ้าฟราน และท่านลุงหันไปมองเสียงแทรกที่ไม่ได้บอกอารมณ์และกำหนดว่าประโยคที่พูดมามันเป็นประโยคคำถาม บอกเล่า หรืออะไร
“ขออภัยท่านพ่อที่เสียมารยาท”ท่านพี่ฟีนคล้อมหัวหน่อยๆโดยมีท่านพี่เฟรนด์คล้อมตาม
“คนรัก?”ท่านลุงหันกลับมามองที่เจ้าฟรานและข้าเหมือนต้องการถามว่าจริงหรือมั่ว ชัวร์หรือไม่
“เอ่อ…เดี๋ยวข้าเล่าให้ท่านฟังนะท่านพ่อ”ฟรานทำตาปริบๆเหมือนจะให้ท่านลุงสงสาร
“แต่อลาวดี้เป็น….ช่างเหอะ”ท่านลุงเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็เลือกเงียบเอาไว้แทน นี่ท่านรู้อะไรเหรอ
“ข้าเห็นเจ้าม่อไปเรื่อยไม่นึกว่าจะมีตัวจริงกับเขาได้”ท่านพี่ฟีนพูดด้วยใบหน้าตายสนิท ก่อนจะวางรายงานฉบับหนึ่งให้ท่านลุง
“ข้าไม่ได้ม่อไปเรื่อยนะท่านพี่ ข้าแค่กำลังหาคนที่ใช่เท่านั้นและอลาวดี้ก็คือคนนั้น”
มุกเยอะเนาะเจ้านี่
“บ้า!”
เพี๊ยะ!!
นอกจากที่ข้าจะตบมุกด้วยแล้วข้าก็ยังตบหน้ามันไปอีกทีหนึ่ง มันไม่พูดคงไม่มีใครว่าเป็นใบ้ดูสิท่านลุงเข้าใจผิดไปใหญ่แล้วเนี่ย
หลังจากที่ท่านพี่ทั้งสองขอตัวออกไป เจ้าฟรานก็ต้องนั่งเคลียร์เรื่องความรัก(?)ยาวเหยียดให้ท่านลุงเข้าใจ โดยมีข้าคอยส่งสายตาอาฆาตรเป็นระยะๆทุกครั้งที่มันมั่วเรื่อง
“จะเรียกว่าเจ้าเล่ห์หรือขี้โกงดีนะเจ้าน่ะ”ท่านลุงว่าอย่างปลงไม่ตกกับนิสัยลูกชายคนสุดท้องของท่าน
“เขาเรียกว่าฉลาดต่างหากท่านพ่อ”
“คำว่าฉลาดสำหรับเจ้ามันดูดีไป ฟราน”ข้าแขวะ
“อลาวดี้ มีคนเคยบอกไหมว่าเจ้าเหมือนพ่อเจ้ามาก”จู่ๆท่านลุงก็เอ่ยขึ้น
ข้าเคียงคอมองฟ้า ใช้ความคิดระลึกอดีต(เว่อร์ไป)ว่ามีคนเคยพูดแบบนี้กับข้าบ้างหรือเปล่า ก่อนที่จะส่ายหัว
“ไม่นะท่านลุง มีแต่คนบอกว่าข้าเหมือนท่านแม่”
ท่านลุงพยักหน้าพลางเอามือลูบคาง
“อลิซน่ะเหรอ”
“ท่านรู้จักท่านแม่ข้าด้วยงั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่แค่รู้จัก ข้าเนี่ยเคยชอบอลิซเลยล่ะ”
ง่ะ! แบบนี้ที่ท่านพ่อรู้จักท่านลุงคงไม่ใช่ว่าแย่งท่านแม่กันนะ นึกว่าเป็นเพื่อนกันดันกลายเป็นศัตรูหัวใจกันไปซะได้
“เจ้าไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นอลาวดี้ แม่เจ้าเลือกพ่อเจ้าข้าก็ถอย ข้าน่ะลูกผู้ชายพอนะจะบอกให้ แล้วอีกอย่างนานๆทีจะมีผู้หญิงมาชอบมันบ้างข้าเลยหลีกเต็มที่”
ข้างงกับประโยคที่ท่านลุงพูดมามากมาย
“มันหมายความว่าไงเนี่ยท่านพ่อ มีผู้หญิงมาชอบท่านอา”
เจ้าฟรานถามในสิ่งที่ข้าอยากรู้เป็นอย่างมาก ตอนนี้ข้าต้องการคำอธิบายก่อนที่อกจะแตกตายไปเสียก่อน
“ก็ตามนั้นนั่นแหละ อลาวดี้พ่อเจ้าน่ะ…เจ้าอลันน่ะ…”ท่านลุงดูทำใจลำบากในการพูดออกมา
“เจ้าอลันน่ะ ส่วนใหญ่จะมีแต่ผู้ชายมาชอบ ตอนแรกข้านึกว่ามันจะขึ้นคานซะแล้วก็เล่นสวยกว่าผู้หญิงขนาดนั้น”ท่านลุงเอ่ยย่างปลงตก
“ตอนเด็กๆมันเตี้ยจะตาย ข้ายังบังคับให้มันใส่รองเท้าเสริมส้นอยู่เลย ตอนนี้ก็ด้วยเพราะมันดันสูงไม่ถึงร้อยแปดสิบห้า”
นี่ท่านพ่อตอนเด็กนั้นสวย(?)จนท่านลุงคิดว่าจะหาแฟนไม่ได้เลยเหรอเนี่ย เหอะๆข้าชักหวั่นว่าหน้าข้าร่างผู้ชายจะเหมือนท่านพ่อจังแหะ
“ว่าแต่ท่านแม่ข้าเป็นใครกัน?”
“อ้าว! เจ้าอลันมันไม่ได้เล่าให้เจ้าฟังหรอกเหรอ”
“ถ้าเล่าอลาวดี้ที่รักของข้าจะถามหรือท่านพ่อ”ฟรานว่าก่อนจะเอี้ยวหัวหลบฝูงมีดบินที่ท่านลุงส่งมา ช่างเป็นครอบครัวที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นเสียจริง
“คือข้าไม่อยากจะพูดอะไรที่ทำร้ายจิตใจท่านพ่อน่ะ ก็เลยไม่ได้ถามเลยสักครั้ง ว่าจะถามซีโร่อยู่เหมือนกันแต่ก็ดันลืมทุกที”ข้าตอบตามตรง แค่เพราะข้าเกิดมาท่านพ่อถึงต้องเสียท่านแม่ไปแค่นั้นก็แย่พออยู่แล้ว
“พอกันท่านพ่อทั้งลูก ว่าแต่เจ้าซีโร่มันอยู่กับเจ้างั้นเหรอ!?”
“เอ่อ ใช่ค่ะท่านพ่อไม่ได้บอกท่าน?”
“ก็ใช่น่ะสิ เดียวนี้เยอะนะเจ้านี่ เดี๋ยวพ่อเอาชีปะขาวไปปล่อยในห้องเลย”นี่ท่านรู้ด้วยเหรอว่าพ่อข้ากลัวชีปะขาว
“ว่าแต่ท่านแม่ข้าเป็นใครกันแน่ ท่านลุง”
“แม่เจ้าเป็นเอ่อ….”ท่านลุงเอ่ยยิ้มๆก่อนจะเริ่มนับนิ้ว นับทำไม?
“แม่ข้าเป็นอะไรงั้นเหรอท่านลุง ถึงได้ดูท่านพูดออกมาลำบาก แต่ไม่ว่าแม่ข้าจะเป็นอะไรข้าก็พร้อมจะรับ”บทพระเอกเชียวแหละข้า
“ไม่ๆๆ แม่เจ้าจะเรียกว่าประหลาดก็ได้อยู่ แต่ก็ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่น่ารังเกียจอะไรหรอกแต่แค่ส่วนมันเยอะจนข้าต้องนับน่ะ”
“ส่วนเยอะ?!!”ข้ากับไอ้ฟรานหันมองหน้ากัน
“เอ่อ ฟังนะ แม่เจ้าเป็นแวมไพร์สามในแปด มีเลือดนางฟ้าสองในแปด เลือดปีศาจอีกสองในแปด แล้วอีกหนึ่งส่วนก็เป็นมนุษย์”
เอ่อเยอะไปไหมนั่นแม่ข้า
“อ้าวท่านพ่อ แวมไพร์กับปีศาจมันคนล่ะสปีชี่ร์กันหรือไง?”
ท่านลุงนิ่งไปครู่หนี่งก่อนจะถอนหายใจ
“เลือดปีศาจในตัวแม่เจ้ามันใช่ปีศาจธรรมดาซะที่ไหน ที่มันแยกจากแวมไพร์เพราะว่า….เลือดนั้นเป็นเลือดของปีศาจที่อยู่เหนือปีศาจ ซาตานไง แม่เจ้าเป็นธิดาองค์ที่หนึ่งแห่งราชาปีศาจที่สิบเอ็ด”
ช๊อคครับพี่น้อง นี่แม่ข้าเป็นถึงลูกสาวของราชาปีศาจ งั้นข้าก็มีเลือดปีศาจด้วยน่ะสิ ตั้ง ตั้ง สองในสิบหกแน่ะ! โวะ! ส่วนมันออกแนวมากไปนะข้ารู้สึกได้เลย
“แต่ว่าแม่เจ้านะเป็นคนที่ใจดีนะ เจ้าเองก็ลักษณะเหมือนแม่เจ้าอยู่บ้าง”ท่านลุงว่ายิ้มๆก่อนเอ่ยต่อ” ถึงแม่เมื่อเจ้าเกิดนางจึงต่อจากไปก็อย่าได้โทษตัวเองเลย พ่อเจ้าก็คงไม่โทษเจ้าเป็นแน่ เหมือนข้านั่นแหละ”
ที่ท่านพูดแบบนี้หมายความว่า…พอเจ้าฟรานเกิดมาท่านป้าก็เสียเหมือนกันงั้นเหรอ ข้าหันไปมองหน้าเจ้าฟรานเพื่อเป็นการแน่ใจในคำตอบ มันเพียงพยักหน้าเล็กๆแล้วยิ้มมาให้ข้าเท่านั้น
“จริงสิท่านพ่อ ท่านเคยได้ยินเรื่องสงครามศักสิทธิ์ไหม?”เจ้าฟรานหาเรื่องมาเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาได้ด้วยความเร็วแสง ขอยกรางวัลเปลี่ยนสีเร็วอวอร์ดให้มันไปเลย!
“สงครามศักดิ์สิทธ์? เจ้าไปได้ยินเรื่องพวกนี้มาจากที่ไหนกัน ข้าจำได้ว่าไม่เคยเล่าให้เจ้าฟังนะ”
“พวกขุนนางนรกไงท่านพ่อ พวกนั้นเล่าให้ข้าฟังแต่ได้แต่น้ำไม่ได้เนื้อเลย”
เออนั่นแหละขุนนางข้าตัวจริงเสียงจริง ถ้าพวกเจ้าถามอะไรมันแล้วได้เนื้อเน้นๆเมื่อไหร่ล่ะก็ แปลว่าพวกมันต้องเป็นตัวปลอมชัวร์!
“สงครามนั่นเกิดขึ้นมาราวๆกว่าสี่พันปีได้แล้วนะ”ท่านลุงลูบคางก่อนเล่าต่อ”ตอนนั้นตัวแปรสงบศึกสำคัญมีสี่คน พ่อข้าหรือปู่เจ้า พ่อเจ้าอลันหรือปู่ของอลาวดี้ แล้วก็มนุษย์อีกสองคน ”เซนส์ดิลอฟ บลังซ์”และ“ทาเอลซัส นัวร์”
บลังซ์เป็นลูกของดยุคบราเธอร์อาแซงค์ ลูกคุณหนูอย่างบลังซ์น่ะไม่เคยสนใจสิ่งใด ไม่มีคำว่าเพื่อนสำหรับเขา ทุกอย่างคือเงินตราเท่านั้น แต่พอได้พบกับนัวร์ความคิดเขาถึงได้เปลี่ยนไป บลังซ์ได้รู้จักคำว่าเพื่อนจากนัวร์ที่เป็นเด็กกำพร้า เป็นเรื่องราวที่ลึกซึ้งจริงๆ”ท่านลุงพยักหน้ากับตัวเอง
“แล้วสี่คนนั้นไปเจอกันได้ยังไงเล่าท่านพ่อ”ฟรานเร่ง
ข้าว่านี่มันคงอยากรู้จริงๆแล้วล่ะคงไม่ใช่แค่เปลี่ยนหัวข้าการสนทนาเฉยๆ
“ก็หลังจากที่บลังซ์กับนัวร์เป็นเพื่อนกันแล้วสงครามก็เกิดขึ้น สงครามนี้คือสงครามของนรกและสวรรค์ บลังซ์ถูกบังคับให้เข้าไปอยู่ฝั่งสวรรค์ส่วนนัวร์เพื่อความอยู่รอดจึงไปอยู่ฝั่งนรก แต่ทั้งคู่ก็ใช่ว่าอยากจะทำสงครามกันเอง พวกเขามีความคิดเดียวกันคือเขาไปหาหัวหน้ากองทัพของตนเองคือพ่อข้ากับพ่อเจ้าอลัน แล้วปรากฎว่าไม่ว่าจะพ่อข้าหรือท่านอาก็ไม่อยากทำสงคราม ทั้งสี่เลยร่วมมือกัน แต่ว่าปีศาจแห่งสงครามมันบ้าคลั่งไม่ฟังใครไม่มีใครคิดที่จะหยุด สุดท้ายนัวร์จึงใช้สิ่งที่เป็นสิ่งต้องห้ามของตนเอง มนตร์ชำระด้วยวิญญาณของเผ่าพันธุ์ศักสิทธิ์”
ท่านลุงเว้นให้พวกข้าลุ้นกันเล็กน้อย
“บทสรุปคือ นัวร์ได้เสียสละชีวิตของตนเองเพื่อทุกคน ชื่อของเขายังมีจารึกไว้ข้างๆบลังซ์เลย เพราะว่ามนตร์ศักดิ์สิทธิ์นั้นมันใช้วิญญาณผู้ใช้เป็นเครื่องสังเวย ทั้งร่างและดวงจิตจะกลายเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับมนุษย์ เพียงน้ำตาหยดเดียวก็หนักเกินไป “ท่านลุงเอ่ยแล้วหลับตาลง
“หมายความว่าไงท่านลุง น้ำตาหยดเดียวก็หนักเกินไป”ข้าไม่เข้าใจจริงๆนะเนี่ย
“ร่างของนัวร์กลายเป็นสิ่งต้องห้ามของมนุษย์ เพียงแค่น้ำตาหยดเดียวของมนุษย์ก็มากพอจะทำให้ร่างของนัวร์สลายไป เขาไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใครทั้งนั้น และยังยอมให้บลังซ์สัมผัสเขาทั้งๆที่รู้ว่าตนต้องสลายไป สุดท้ายคนที่เสียใจที่สุดก็กลายเป็นบลังซ์ เขาให้พ่อข้ากับท่านอาเชื่อมวิญญาณของเขากับนัวร์เพื่อให้ตนสลายตามอีกฝ่ายไป สุดท้ายที่รู้คือทั้งคู่ได้ไปเกิดเป็นลูกหลานของพ่อข้ากับท่านอา”
“อ้าวแบบนี้ท่านก็อาจจะเป็นบลังซ์กลับชาติมาเกิดก็ได้นี่”ฟรานชี้หน้าพ่อตัวเอง เจ้านี่มันไร้มารยาทจริงๆ
“ไม่ใช่แน่นอน พวกเจ้าเห็นแหวนที่นิ้วพวกเจ้าไหมล่ะ”
ข้ากับเจ้าฟรานก้มลงมองแหวนตัวเองก่อนเงยขึ้นมองงหน้าท่านลุง
“มันเป็นแหวนของนัวร์กับบลังซ์ พ่อข้าบอกเอาไว้ว่าถ้าหากใช่บลังซ์กับนัวร์ตัวจริง แหวนนี่จะไม่หลุดออกจากเจ้าของ”
“งั้นคงไม่ใช่ข้ากับอลาวดี้เช่นกัน”เจ้าฟรานเลื่อนแหวนเข้าออกนิ้วตัวเองให้เห็นว่าเอาออกได้ แหวนข้าก็ถอดออกบ่อยเวลาอาบน้ำอะไรประมาณนี้
“งั้นก็เป็นรุ่นลูกของเรา”เจ้าฟรานว่าพลางมองหน้าข้า
“อย่ามาใช้คำว่าลูกของเรา ข้าไม่คิดจะมีแฟน”ข้าเถียง
“เจ้าไม่คิดจะมีแฟน แล้วข้าล่ะ แล้วเจ้าเห็นข้าเป็นตัวอะไรกัน”
“กิ้งกือ”ข้าตอบหน้าตาย สกิลนี้ได้มาจากท่านพี่ฟีนเชียวนะเธอ
ข้าเดินตามเจ้าฟรานไปยังห้องพัก แต่ที่สงสัยคือไอ้คนด้านหน้ามันกำลังท่องบทสวดสรภัญญะอยู่หรืออย่างไร เห็นมันเอามือลูบคางตัวเองพลางบ่นอะไรพึมพัมๆ หรือนี่มันเรียนคุณไสยมาจากเจ้าแบล็ก มันเดินพึมพัมเหมือนสาปแช่งใครไปเรื่อยๆก่อนจะ….
ปัง!
เดินชนเข้ากับประตูแล้วลงไปนอนนับดาวอยู่กับพื้นหน้าประตูห้อง
“มัวแต่บ่นอะไรอยู่ได้เจ้าน่ะ”ข้าดึงมือมันลุกขึ้น มันปัดฝุ่นเล็กน้อยพอเป็นพิธี
“ข้ากำลังคิดว่าชื่อบลังซ์กับนัวร์มันคุ้นหูยิ่งกว่าอะไรดีซะอีก”มันว่าพลางเปิดประตูห้องนอน
“เจ้าก็คงได้ยินจากพวกขุนนางนั่นน่ะแหละ”ข้าที่เดินตามมันเข้ามาบอกเรียบๆ
เจ้าฟรานทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาห้องของมัน ห้องมันเองก็กว้างพอๆกับข้าแต่ว่ามีเฟอร์นิเจอร์เต็มไปหมด แถมมีตู้หนังสือสูงท่วมหัวอีกสี่ห้าตู้ ห้องนอนเจ้านี่คงเป็นห้องเอนกประสงค์เลยสินะ
“ไม่ๆๆ ข้าว่าข้าคุ้นกว่านี้นะ”
“เจ้าคงเจอในหนังสือเล่มนี้มั้ง”ข้าหยิบหนังสือที่เขียนที่สันว่า”สงครามศักดิ์สิทธิ์”มาเปิดผ่านๆ
เจ้าฟรานเลิกคิ้วสูงพลางมองที่หนังสือในมือข้าอย่างพิจารนา
“ถึงมันจะอยู่ในห้องข้า ข้าก็ไม่เคยเปิดอ่านมันเลยสักนิด”
ข้าเสรตามองมันนิดหน่อยก่อนกลับมาอ่านเนื้อหาในหนังสือบางส่วน ข้ารู้สึกว่าคำว่าเพื่อนของทั้งคู่ดูสำคัญมากกว่าสิ่งไหนๆ เพื่อนไม่มีขอบเขตไม่มีพรมแดน ไม่แบกแยกสูงต่ำ ของเพียงต้องการจะเป็นเพื่อนกันเท่านั้น
“ข้าเองก็อยากมีเพื่อนที่ดีแบบนี้บ้างนะ”ข้าว่าลอยๆพลางมองเนื้อหาในหนังสือเล่มนั้น
“ข้าเป็นให้ได้นะ”
ข้าหันมองหน้าเจ้าฟรานที่ยิ้มแป้นแล้วก็มี…ฟองสบู่กับดอกกุหลาบอีกแล้ว! มันกลับมาแล้วครับท่าน คนเป่าฟองสบู่กับคนปลูกกุหลาบมันกลับมาแล้วครับท่าน!
ฟรานก้าวช้าๆมาหยุดตรงหน้าข้าก่อนจะคุกเข่าลงข้างหนึ่ง มือขวาแนบอกส่วนมือซ้ายจับไว้ที่มือซ้ายข้า
“ข้าไวท์ทีเซอร์ ฟิวส์เรียอาเนล ว่านับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปข้าจะไม่คิดคนทรยศต่อมิตรแห่งข้า เซนส์ดิเฮลเลอร์ อลาว จะใช้ทั้งชีวิตปกป้อง ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ในจุดที่ตำสุดหรือสูงสุดข้าพร้อมจะไปกับเจ้าไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม และขอยกให้เจ้าเป็นเพื่อนที่สำคัญที่สุดเพียงหนึ่งเดียวของข้า ข้าขอสัญญา”
ข้ายิ้มเล็กๆ
“ข้าเซนส์ดิเฮลเลอร์ อลาว จักขอสัญญาว่าต่อให้โลกนี้สลายไปมิตรภาพของเราจักไม่หายตาม แม้ข้าไม่ใช่คนที่ดีที่สุดแต่จักเป็นเพื่อนของเจ้าที่ดีที่สุด ข้าจะไม่ทรยศเจ้า ไม่ทิ้งเจ้า และเจ้าเท่านั้นที่ห้ามทรยศข้าและห้ามทิ้งข้าไปไหนทั้งนั้น เพราะเจ้าเท่านั้นที่ข้าจะไว้ใจที่สุด ข้าขอสัญญา”
ข้ากับมันมองกันเล็กน้อยก่อนจะยิ้มและเอ่ยออกมาพร้อมกัน
“ข้ารับสัญญาและข้าขอสาบาน”
สิ้นเสียงที่เอ่ยขึ้นพร้อมแสงจากแหวนที่สว่างขึ้น ภาพที่ไม่คุ้นเคยเข้ามายังสมองของข้าจะกลายเป็นภาพที่คุ้นเคย เสียงและถ้อยคำที่ไม่คุ้นเคยดังขึ้นเรื่อยๆ
“เจ้าเท่านั้นที่สำคัญที่สุด”
“ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าต้องตายเพียงผู้เดียว”
“เจ้ารู้อยู่แล้วเหตุใดจึงไม่บอกข้า”
“ต่อให้เจ้าตายหรือข้าตายไป ข้าก็มั่นใจว่ามิตรภาพของเราจะยังอยู่”
“จำคำข้าไว้ไม่ว่าเจ้ายืนข้างใคร ข้าจะเป็นคนสุดท้ายที่ยืนข้างเจ้า”
“หากเพื่อนข้าเป็นอะไรไป ข้าไม่ยอมปล่อยแน่”
แสงสว่างดับลงพร้อมกับเสียงที่เงียบลง ข้ากับมันมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่มันจะยืนขึ้น
“ฮ่ะๆ นึกแล้วเชี่ยวมาทำไมคุ้นจัง ชื่อเจ้ากับชื่อข้านี่เอง”มันยิ้มแห้งๆ
ข้าที่กำลังพยายามถอดแหวนดูได้แต่พยักหน้าให้
“นึกว่าใคร ที่แท้ก็พวกเรานี่เองเนาะ”ข้ายิ้มแห้งไม่แพ้มันแล้วเลื่อนแหวนให้มันดู
“ฮ่ะๆๆๆ”
“ว่าแต่ ไวท์ทีเซอร์ ฟิวส์เรียอาเนล เนี่ยใครกัน”
“ชื่อเต็มข้าเอง”
“!!!”
ร่างที่แอบยืนมองอยู่นานหันหลังกลับออกไปอย่างเงียบๆ สองเท้าก้าวไปตามทางเดินที่ต่างมีผู้คนทำความเคารพเขาไปตลอดทาง มือเรียวเสยเส้นผมสีขาวที่ปรกหน้าให้ขึ้นไป
“อลัน”เสียงทุ้มเอ่ยเรียกชื่ออีกฝ่ายที่อยู่อีกด้านของกระจกทันทีที่เดินมาถึงห้อง
“ไอ้อลัน! ถ้าแกไม่รีบออกมาภายในสิบวินาที ข้าจะเอาชีปะขาวไปปล่อยไว้ที่ห้องเจ้า!”
ไม่ได้ขู่นะเออเรื่องแค่นี้ทำง่ายจะตาย
“มาแล้วๆๆๆ จ้า โหย ประจำเดือนไม่มาเหรอฟีเนอร์”อีกฝ่ายเมื่อมาถึงและเริ่มกวนบาทาคนฟังในทันที
“ไปตายซะ”
“เฮ้ยๆ เรียกข้ามาเพื่อไล่ไปตายหรือไงกันน่ะท่านน่ะ”
“เจ้าก็เลิกปล่อยหมามากัดข้าสักทีได้ไหม”คนไล่คนอื่นไปตายบ่นอย่างปลงๆ
“แล้วท่านมีอะไรล่ะเนี่ย ถ้าเรื่องลูกข้าล่ะก็รู้แล้ว”
“เรื่องลูกเจ้าแน่แต่ไม่ใช่เรื่องที่ลูกเจ้ามาที่นี่ แถมเกี่ยวกับลูกข้าด้วย”
“หา? ทำไมล่ะลูกท่านปล้ำลูกข้าหรือไง เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงท่านก็รู้ลูกข้าเป็นผู้ชาย”
คำพูดเหมือนจะตกใจเล็กน้อยแต่คนพูดกับทำท่าทางชิลล์เกินกว่าเหตุ
“ไม่ใช่เรื่องนั้น เรื่องบลังซ์กับนัวร์ต่างหากเจ้าทึ่ม”ฟีเนอร์ชักหงุดหงิดเล็กๆที่อีกฝ่ายทำให้เขาเข้าไม่ถึงประเด็นสักที
“บลังซ์กับนัวร์ แล้วเกี่ยวอะไรกับลูกของพวกเรา”จากที่นอนชิลล์เลยเปลี่ยนเป็นลุกขึ้นนั่งเพื่อตั้งใจฟัง
“สองคนนั้นคือบลังซ์กับนัวร์”
“ก็อตจี้โม้ จะใช่ได้ไงก็ในเมื่อตอนที่ฟรานเสียพลังวิญญาณที่นี่ อลาวก็ไม่เห็นเป็นอะไร”
“ข้าไม่ได้โม้ แต่พันธะสัญญามันเพิ่งเริ่มทำงานตั้งหากเล่า”
อลันยิ้มแหยๆก่อนจะเอามือลูบคางตัวเอง
“เดียวข้าลองติดต่อท่านพ่อก่อนนะ ไม่รู้ไปเที่ยวอยู่ที่ไหน เจ้าก็ติดต่อท่านลุงซะล่ะ”พูดจบอีกฝ่ายก็ตัดการติดต่อไปจนฟีเนอร์อยากจะพังกระจกทิ้ง ถ้าไม่ติดว่านี่คือบานที่สี่สิบในรอบสองเดือนเขาก็คงทำไปแล้ว
แต่ที่น่าหงุดหงิดคือนี่เขาต้องติดต่อกับพ่อบ้านั่นด้วยเหรอ!
ร่างในเงามืดนั่งคนไวน์ในแก้วอย่าเบามือ รอยยิ้มเย้ยหยันเกิดขึ้นที่มุมบาง
“หึ ตอนนี้ไอ้อลาวมันไม่อยู่แล้วสินะ”
“ก็ใช่ ทีนี้แหละเราจะได้ทำตามแผนที่เราวางไว้สักที นี่มันก็ช้ามาเป็นสิบปีแล้ว ใครจะไปคิดว่ามันจะทนทำตัวเป็นผู้หญิงมาได้ขนาดนี้ ข้านึกว่ามันจะทำความลับแตกตั้งนานแล้ว เราจะได้หาเรื่องไล่มันออกจากที่นี่”ชายอีกคนกล่าวด้วยน้ำเสียงขำขัน
“หึ อยู่ไปก็ทำอะไรไม่ได้หรอก ไม่มีเวทย์มนตร์แบบนั้น แถมยังติดต่อกับเจ้าชายสวรรค์อีก เราจะใช้ไอ้หัวขาวนั่นเป็นเครื่องมือชั้นยอดเลยล่ะ”ไวน์สีแดงเข้มถูกกระดกเข้าปากไปพร้อมรอยยิ้มของผู้ดื่ม
“ใช้เวลาอีกแค่สามอาทิตย์เท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างจะอยู่ในมือเรา”
“สมน้ำหน้าไอ้ราชานรกหน้าโง่มัน หลงเชื่อพวกเราอยู่ได้”
“สงครามจะต้องเริ่มขึ้นอีกครั้งโดยมีพวกเราเท่านั้นที่ยืนอยู่ในตอนจบของสงคราม
เสียงหัวเราะสองเสียงหัวเราะประสานกันท่ามกลางความเงียบของยามราตรี โดยไม่ทันได้สังเกตว่ามีแขกอยู่บนต้นไม้ แล้วแขกนั้นก็จากไปกับรอยยิ้ม
“เรื่องนี้ขออุบไว้ก่อนนะอลาวดี้ เดี๋ยวพวกเราสิบพ่อบ้านของอลาวดี้จะจัดการเอง”
*********************************************************TBC.*********************************************
ความคิดเห็น