คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #26 : บทที่สิบ บางสิ่งมันต้องทำความเข้าใจไม่ใช่คิดไปเอง
บทที่สิบ
บางสิ่งมันต้องทำความเข้าใจไม่ใช่คิดไปเอง
เรเวอร์เรียยิ้มรับกับอาการดูอารมณ์ไม่ดีของอลาวนัก ร่างสูงเดินเข้ามายืนท้าวมือลงกับโต๊ะที่อลาวนั่งอยู่ กินหอมของดอกไม้ปีศาจส่งกลิ่นลอยออกมาจากตัวปีศาจหนุ่มให้อลาวย่นจมูกเล่น เจ้าชายยมทูตเบือนหน้าหนีอย่างไม่สบอารมณ์
“จะไปไหนก็ไปไกลๆไป”อลาวเอ่ยปากไล่อย่างตรงไปตรงมา
“ไปหาเมลนั่นไป เขาถามหาเจ้าอยู่น่ะ”
เรเวอร์เรียเลิกคิ้วสูงก่อนยิ้มออกมา”งั้นข้าไปหาเชียร์รี่ตัวจริงของข้าก่อนแล้วกัน”ว่าจบเจ้าของใบหน้าสวยก็หมุนตัวออกจากห้องไปท่ามกลางความงุนงงของอลาว
“เชียร์รี่ตัวจริง?”
“เมลลาเวียร์”
เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลทองเงยใบหน้าประดับแว่นเลนส์หนาเตอะขึ้นมายิ้มบางให้ร่างที่เดินเข้ามา
“กลับมาแล้วเหรอเรเวอร์เรีย กลับมาไวจังนะ”
ดวงตาภายใต้กรอบแว่นเสรมองมองดวงจันทร์ด้านนอกที่ลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มก่อนจะเบือนกลับมามองร่างที่ทรุดตัวนั่งลงที่เก้าอี้ตรงหน้าเขา แล้วก็รู้สึกแปลกใจเมื่ออีกฝ่ายยิ้มกรุ่มกริ่ม
“เจ้ามีอะไรอยากจะเล่าใช่ไหม?”
เมลลาเวียร์ทักอย่างรู้ทัน
“แหมๆ รู้ใจข้าจริงๆเลยนะ”
“ข้าอยู่กับเจ้ามากี่ปีกัน เรื่องแค่นี้ไม่รู้ก็ขอตายดีกว่า”
เรเวอร์เรียยิ้มออกมาก่อนจะเอนตัวพิงพนักเก้าอี้”ท่านรู้หรือเปล่าว่าเมื่อครู่ที่ออกไปหาเห็ดพิษกิ๊กกิ๊วมาให้ท่านกินเนี่ย ข้าเจอกับใครเอ่ย?”
“ก็ใครล่ะ?”เมลลาเวียร์พูดอย่างเล่นเชิงกับอีกฝ่าย
“ก็แขกของเราไง”
ดวงตาภายใต้กรอบแว่นเสรมองอย่างเหนื่อยหน่าย”ก็ข้าให้เจ้าไปหาเขา ถ้าไม่เจอสิเรียกว่าแปลก”
“ฮ่าๆๆๆๆ”ร่างที่สูงกว่าเล่นน้อยหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจที่แกล้งกวนประสาทอีกฝ่ายได้
“แล้วทำตามที่ข้าสั่งสำเร็จหรือเปล่า? พวกเขาได้เข้าเมืองมาหรือยัง?”เมลลาเวียร์ถามเสียงเรียบกับอีกฝ่ายเพราะไม่อยากเล่นอะไรไร้สาระ
“อื้อ ข้าพาพวกเขาเข้ามาแล้วล่ะเพียงแต่...”
ดวงตาสองสีเสรมองด้านข้างอย่างที่ดูก็รู้ว่ากัดกลุ้มใจ ทั้งๆที่ไม่น่าจะมีอะไรที่เป็นปัญหานี่?
“เจ้ามีอะไรอีกหรือเปล่า?”
“มีสิ...นอกจากแขกของเราอย่างท่านฟรานกับพี่ชายเขาแล้วยังมีอีกคนที่ข้าไม่คิดว่าจะได้เจอ”
“ใคร?”เมลลาเวียร์เอียงเข้าไปหาอย่างใคร่รู้กว่าเดิม
“เดม่อน”
“เจ้าโกหก!”
เมลลาเวียร์ตะคอกออกมาอย่างไม่พอใจเมื่ออีกฝ่ายพูดแบบนี้
“ข้าไม่ได้โกหก ข้าพูดจริงๆท่านจะไม่เชื่อข้างั้นหรือ ข้าเจอเขาจริงๆนะ”เจ้าของดวงตาสองสีพูดอย่างหนักแน่น
“แล้วทำไมเขาถึงไม่รู้ตัวว่ามีองค์รักษ์ซาตานอย่างเจ้าอยู่ใกล้ๆ”
“เขารับรู้ถึงพลังของข้าแต่ไม่รู้ว่าเป็นข้า แต่ไม่ต้องห่วงข้าทำในสิ่งที่แสดงตนออกมาแล้ว พรุ่งนี้ท่านน่าจะไปพบเขาข้ามั่นใจว่าเขาน่าจะยังอยู่ในที่ที่ข้าไปส่ง...ถ้าท่านอยากเจอ”
“ทำไมข้าจะไม่อยากเจอ ถ้าเขาอยู่ที่นี่จริงทำไมข้าถึงไม่รู้สึกถึงพลังของเขา”
“เขากำลังซ่อนตัวจากท่านไง เมลลาเวียร์ ท่านก็รู้ว่าเขาเจออะไรมาบ้าง”
เมลลาเวียนร์ถอนหายใจทิ้งอย่างหมดอก คนมองได้แต่ยิ้มๆแล้ววางมือลงบนหัวอีกฝ่ายอย่างปลอบโยน เมลลาเวียร์ปัดมือออกเบาๆก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้บ้าง มือเรียวยกขึ้นลูบหน้าตัวเอง
“แล้วเจ้า...ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
เมลลาเวียร์ถามองค์รักษ์ซาตานเพียงคนเดียวของตนก่อนจะพยายามปรับสีหน้าตามปกติ
“ก็ไม่นี่ ท่านก็เห็น อย่ากังวลไปเลยน่า”
เรเวอร์เรียขยี้หัวอีกฝ่ายก่อนจะยิ้มร่าอีกหน”ไว้พรุ่งนี้เราไปหาเดม่อนกัน”
พวกข้าทั้งห้านอนเอกเนกอยู่ในห้องระดับวีไอพีที่มีห้องนอนแยกถึงสามห้องนอน ทั้งห้องครัว ห้องอาบน้ำก็มีพร้อมจนอดจะแปลกใจไม่ได้ เงินนั่นมันมีค่ามากขนาดนี้เลยหรือไงกันน่ะ ข้ากลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงนอนอย่างครุ่นคิดและสังสัยสุดกู่เมื่อนึกถึงว่าทำไมองค์รักษ์ซาตานต้องพาพวกเราเข้ามาในเมืองด้วย ครั้นจะบอกว่าไม่รู้ว่าเป็นพวกข้าก็ไม่ใช่เพราอย่างน้อบๆเมลลาเวียร์ก็น่าจะพูดอะไรเกี่ยวกับพวกข้าที่บุกมาตามอลาวกลับบ้างเพราะจากการวิเคราะห์ของเดม่อน เรเวอร์เรียน่าจะเป็นองค์รักษ์ซาตานของเมลราเวียร์
“ท่านฟราน คืนนี้นอนเสียเถอะขอรับพรุ่งนี้เราค่อยไปสำรวจรอบๆเมืองกันอีกที”เรย์ที่ตอนนี้ทำหน้าที่เป็นรูทเมทของข้าเอ่ยพลางเอนตัวนอน
“น้องข้าคิดเองได้”ท่านพี่ว่าเสียเรียบพลางเดินออกมาในชุดผ้าขนหนูผืนเดียว
เจ้าของเรือนผมสีทองทั้งสองจ้องหน้ากันอยู่พักหนึ่งจนข้าเริ่มอึดอัด ทั้งๆที่ห้องนอนถึงสามห้องแต่แทนที่ท่านพี่หรือเรย์จะแยกไปนอนคนเดียวกลับมารุมอยู่กับข้า ท่านพี่ไม่ยอมนอนคนเดียวเพราะเป็นห่วงว่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะทำอะไรข้า น้ำหน้าอย่างนี้จะไปทำอะไรได้... ส่วนเรย์พอเห็นท่านพี่เป็นแบบนี้ก็คิดอยากแกล้งไม่ยอมไปนอนคนเดียวด้วยอีกคน ครั้นจะไปแยกซีโร่กับเดม่อนออกจากกันก็ใช่เรื่องเพราทั้งคู่ต่างบอกกว่ามีเรื่องต้องคุยกัน ถ้านอนแยกกันจะรบกวนคนอื่นเอา
“เอาล่ะๆทั้งคู่หยุดทะเลาะกันก่อนได้ไหมเนี่ย?”ข้าเอ่ยห้ามก่อนจะทิ้งตัวลงนอน คลุมโปรงอีก หนีความจริง...
เจ้าของเรือนผมสีขาวดึงร่างสีดำเข้าหาตัวก่อนจะยกมีดสั้นในมือปัดมีดสั้นนับสิบที่พุ่งมาหา ร่างสีดำหน้าเหรอไปชั่วคราวมองการกระทำของคนช่วยตนเองอย่างไม่เข้าใจทั้งๆที่เมื่อครู่แทบฆ่าเขาเสียให้ได้ แต่จู่ๆกลับจะมาช่วยกันอย่างนั้นน่ะหรือ?
“อย่าหลงตัวเอง ข้าไม่ได้ช่วยเจ้า”
น้ำเสียงเรียบสนิทดึงสตินัวร์ออกจากความคิด นั้ยต์ตาสีแดงเสรมองใบหน้าคนข้างๆอย่างขำๆ ไม่ช่วย? นี่เขาเรียกไม่ช่วยใช่ไหม? เขาควรทำความเข้าใจเสียใหม่สินะ
“ขำอะไรของเจ้า?”
บลังซ์ถามเสียงแข็งแต่ถึงกระนั้นนัวร์ก็ยังทั้งขำทั้งยิ้มไม่ยอมหยุด ดวงตาสีม่วงเสรมองอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะเดินออกมาจากตรอกนั้น เขาไม่เข้าใจตัวเองสักนิดว่าไปช่วยอีกฝ่ายทำไม รู้ตัวอีกทีร่างของเขาก็พุ่งไปหาอีกฝ่ายพร้อมยกมีดขึ้นปัดป้องฝูงมีดสั้นนั่นเสียแล้ว แต่ที่เขาสงสัยกว่าคือใครกันที่ลอบทำร้ายอีกฝ่าย มองยังไงเป้าหมายก็คือร่างที่เดินตามเขามาแน่ๆ...
เดินตามเขามา...
“เจ้าตามข้ามาทำไม?”
บลังซ์ถามเสียงดังจนแทบจะเป็นตวาด นัวร์เบ้หน้าหน่อยๆก่อนจะยิ้มรับออกมา
“ข้าก็แค่จะตามมาเอาสิ่งที่ข้าอยากได้แค่นั้นเอง”นัวร์ว่าอย่างไม่ใส่ใจอะไร
“จำไว้...ไม่ว่าสิ่งที่เจ้าต้องการจะเป็นอะไร เจ้าจะไม่มีวันได้มันไป”
“มันก็ไม่แน่น๊า....”อีกฝ่ายตอบกลับด้วยน้ำเสียงกวนประสาท
“กรี๊ดดดดดดดด ขโมยๆ ช่วยด้วยขโมย!!!”
เสียงโวยวายทำให้ทั้งคู่หันมองอย่างตกใจ ชายร่างใหญ่ยักษ์สูงเกือบเจ็ดฟุตวิ่งตรงมาทางพวกบลังซ์ด้วยความเร็ว ในมือมีกระเป๋าใบเขื่องที่ไม่รู้ว่าเจ้าของแบกไปได้ยังไงอยู่ ด้านหลังก็เป็นนายทหารรักษาการกว่าสิบนายที่วิ่งกรูตามกันมา
“มานี่!!!”
“หว๋า!!”
นัวร์ร้องเสียงหลงเมื่ออีกฝ่ายวิ่งเข้ามาคว้าตัวเขาไปล๊อกคอประจันหน้ากับทหารรักษาการที่ตามมา บลังซ์มีท่าทีตกใจเล็กน้อย ปากพึมพัมบทเวทย์อย่างไม่ทันรู้ตัว
‘ไม่ต้อง ข้าจัดการเอง’
เสียงตัวประกันดังแว่วในหัวของบลังซ์ อีกฝ่ายเลิกคิ้วสูงอย่างไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายนั้นจะไปจัดการกับคนที่สูงกว่าตนตั้งเกือบฟุตได้ยังไงแถมฝั่งนั้นก็ตัวล้ำยังกับก้อนเนื้อเดินได้
‘พอดีเลยช่วงนี้เงินค่าขนมข้ากำลังหมด’
บลังซ์เลิกคิ้วกับเสียงที่ได้ยินในหู ไม่เข้าใจความหมายเข้าไปใหญ่
“อย่าเข้ามา ไม่งั้นตัวประกันจะไม่ปลอดภัย!!!”
ร่างยักษ์ตะโกนลั่นกราดชี้มีดเล่มเล็กไปทั่วก่อนจะเอามาจี้ที่คอของนัวร์ เท้าของร่างสีดำลอยอยู่เหนือพื้นเกือบคลืบ เจ้าตัวหลับตาปี๋ที่คนอย่างบลังซ์มองว่าการแสดงชัดๆ
“หว๋าๆ แค่มือบีมข้าก็ตายแล้วขอรับ ไม่ต้องมีมีดหรอก”
“เงียบปากไป!!”
“ขอรับ”
“เหอะ สมน้ำหน้า”
บลังซ์ที่ไม่ได้คิดจะช่วยแบบที่แรกว่าพลางขยับยิ้ม ดูอีกฝ่ายจะกวนประสาทขโมยนั่นได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ นัยน์ตาสีม่วงเสรมองกลับไปหาร่างที่กลายเป็นตัวประกันไปแล้วกลับต้องแปลกใจเมื่ออีกฝ่ายก้มหน้าลงต่ำจนเหมือนคนที่สิ้นหวังในชีวิต
“อย่าบอกว่าไม่รู้จะช่วยตัวเองยังไงน่ะ?”
บลังซ์พึมพัมมองอย่างงงๆปนสงสัยว่าอีกฝ่ายทำอะไรอยู่ แล้วสิ่งหนึ่งก็พลันเกิดในสายตาคนที่ไปร่วมเป็นคนมุงอย่างบลังซ์
“อ๊ากกกกกกก!!!!!!”
เสียงกรีดร้องดังออกมาจากปากชายร่างยักษ์ก่อนที่ร่างของนัวร์จะกระโดดลงสู่พื้นเบื้องล่างจากความสูงแค่คลืบอย่างสวยงาม ดวงตาสีแดงหันกลับไปจ้องร่างที่ถูกรัดด้วยใหนามสีเขียวเข้มตั้งแต่ขาไปถึงลำตัว ร่างยักษ์ร้องโอดโอยดูทรมาน ดวงตาสีแดงของนัวร์เลืองแสงช่วยวูบก่อนที่หนามแหลมนั้นจะหายไป ร่างยักษ์ที่ทราบถึงที่มาของไม้หนามจึงตั้งหลักแล้วพุ่งเข้าใส่นัวร์อย่างไม่คิดชีวิต แต่เพียงชายหนุ่มเบี่ยงตัวหลบเพียงนิดเดียวก็สามารถพ้นการโจมตีไปได้ เรียวขายาวยกขึ้นถีบก้นใหญ่ๆของร่างยักษ์จนเจ้าของลงไปนอนกับพื้น
“ง่วงก็ไม่บอก”
“แก!!! อ๊ากกกกกกกกกก”
เสียงร้องโหยหวนดังอีกหนเมื่อนัวร์ดีดนิ้วดังบ๊อก! ไม้หนามแบบเดิมก็กลับมารรัดร่างที่นอนอยู่อีกหน
“เจ้านี่มันมีในใบประกาศจับใช้ไหมขอรับ?”นัวร์หันไปถามเสียงนุ่มกับทหารรักษาการ
“อ่ะ..อื้อ”
“ข้าขอขึ้นค่าหัวหน่อย^_^”
บลังซ์มองถุงเงินที่ถูกโยนขึ้นลงในมือนัวร์ก่อนจะคว้าเอาถุงเงินนั้นมาตอนที่มันลอยคว้างอยู่กลางอากาศ
“อ๊า เงินข้านะ!”
นัวร์หันไปคว้าเงินจากมืออีกคนมาแต่ดูเหมือนจะไม่สำเร็จ บลังซ์ยกมือหลบก่อนหมุนตัวหันหลังให้แล้วเปิดดูเงินเหรียญที่อยู่ภายในก่อนจะเบ้หน้าออกมา
“เงินแค่เนี๊ยะ?”
“แค่นี้มันก็มีค่าสำหรับข้านะ เอาคืนมา!”
บลังซ์ขยับมือที่ถือถุงเงินหลบมือเจ้าของเงินก่อนจะยักไหล่”เงินแค่นี้ ถ้าเจ้าทำตัวดีมาขอข้าก็ได้”
“เหอะ!”
นัยน์ตาสีม่วงเสรมองคนส่งเสียงอย่างประหลาดใจ คิ้วเรียวสวยเลิกขึ้นไปด้านบนอย่างคิดสงสัย อีกฝ่ายส่ายหน้าเบาๆ
“ใช่ว่าข้าอยากรู้จักท่านเพราะเงินเสียหน่อย ใครจะไปอยากได้เงินของท่านกัน”
ครู่เดียวร่างของนัวร์ก็มาคว้าถุงเงินในมือบลังซ์ไปได้สำเร็จ เจ้าของเรือนผมสีดำสนิทแหวกถุงดูว่าภายในมีเงินอยู่ครบเหมือนเดิมหรือไม่
“เหอะ! ถ้าเงินข้าหายไปแม้แต่เหรียญเดียวข้าจะเอาคืนเป็นสิบเท่าเลยคอยดู”
“ไหนบอกว่าอยากรู้จักข้าไม่ใช่เพราะเงินไง?”บลังซ์ถามน้ำเสียงล้อเลียน
“เรื่องนี้กับเรื่องนั้นมันคนละจุดกัน ท่านอย่าเอามารวมันกันสิ”
บลังซ์เสรนัยน์ตามองคนที่เถียงแบบข้างๆคูๆ
“งั้นตอบมาสิว่าเจ้าอยากได้อะไรจากข้า?”
นัวร์เลิกคิ้วก่อนตอบไปตามจริง”ข้าก็อยากได้.....”
“ท่านฟราน....”
“ท่านฟรานขอรับ....”
“ท่านฟรานตื่นได้แล้วนะขอรับ”
ข้าค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นแล้วกระพริบตาถี่ๆเพื่อที่จะปรับสายตาให้เข้ากับแสง ใบหน้าแรกที่เห็นคือใบหน้าของเรย์ก่อนอีกฝ่ายจะโดนท่านพี่ดึงผมลากหน้าออกมาห่างๆข้า
“ไปสำรวจเมืองกัน”ท่านพี่ชวนเสียงเรียบ
“ใจคอท่านจะไม่ให้เขาอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟันหน่อยหรือไงขอรับ จะลากออกไปทั้งขี้ตาแบบนี้เนี่ยนะ?”
เรย์ว่าพลางทำสีหน้ากวนประสาทที่สุด
“นั่นมันเรื่องของพี่น้อง”
“ท่านว่าข้ายุ่งเรื่องชาวบ้าน?”
“ฉลาดนี่”
ข้าส่ายหัวมองสองคนตรงหน้าก่อนจะเดินเลี่ยงเข้าไปในห้องน้ำ เมื่ออยู่หน้ากระจกข้าก็มองเงาสะท้อนตัวเองอย่างพิจารณา ข้าแทบจะเหมือนเมื่อชาติที่แล้วแบบเด๊ะ ผิดเพี้ยนไปเล็กน้อยเท่านั้น แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ข้านึกเสียดายแบบสุดๆถ้าเกิดเรย์ไม่มาปลุกข้าเสียก่อน ข้าคงได้รู้ไปแล้วแน่ๆว่านัวร์ต้องการอะไรจากบลังว์ถึงได้เข้ามาหา หรือจะเป็นความรัก? ข้าว่าไม่ใช่นะเนี่ย
หลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อยข้าก็เดินออกจากห้องนอนมายังโถงกลางที่มีโต๊ะกินข้าวอยู่ ทุกร่างนั่งพร้อมหน้ากันโดยมีเดม่อนเดินเสริฟอาหารทีละอย่าง ข้าทรุดตัวนั่งลงข้างๆท่านพี่ก่อนพวกเราจะเริ่มกินข้าวเช้ากันไปท่ามกลางการะเลาะกันของท่านพี่และเรย์...ท่านพี่ข้าพูดมากขึ้นรึเปล่าเนี่ย? หลังจากนั้นพวกข้าก็ตกลงกันว่าในการสำรวจเมืองครั้งนี้เราจะแยกกันไปสองทีม ข้า ท่านพี่ และเรย์ แน่นอนว่าเดม่อนไปกับซีโร่ อะไรกันเนี่ยตัวติดกันยังกับปาทองโก๋...มีซัมติงวันกันหรือเปล่าเนี่ย?
“เจ้าจะซื้อสร้อยใหม่?”
“ขอรับ”
ข้าตอบรับคำถามท่านพี่ในขณะที่พวกเราสามคนเดินทอดน่องอยู่ในย่านการค้าตามทีมที่แบ่งกันไว้ทีแรก มันอาจจะเป็นอันตรายและเสี่ยงสักหน่อยที่จะให้ข้าและท่านพี่ที่มีกลิ่นไอเทพไปเดินเล่นในย่านที่พลุพล่านไปด้วยปีศาจแต่ว่าเดม่อนบอกเอาไว้ว่าการทำแบบนี้จะทำให้กลิ่นไอของเทพถูกกลิ่นปีศาจรอบๆกลบเอาไว้ เป็นการพลางตัวที่ดีเยี่ยมชนิดหนึ่ง
“ถ้าไม่รีบซ่อมระวังมันจะขาดอีกแล้วแหวนจะหล่นหายนะขอรับ”เรย์ว่ายิ้มๆ
“รู้แล้วล่ะน่าไม่ต้องมาย้ำหรอก!”
ข้าว่าเสียงดังก่อนจะหยิบสร้อยเชือกที่คอขึ้นมาดูในใจก็นึกห่วงแหวนที่ห้อยเอาไว้ ใจจริงก็อยากจะใส่เอาไว้ที่มือตัวเองล่ะนะแต่ก็ทำไงได้ อลาวนิ้วเล็กเป็นบ้าเลย ข้าใช้สายตาสอดส่ายหาร้านขายพวกเครื่องประดับในย่านนี้อญุ่นานพอควร เหมือนกับว่าพวกปีศาจธรรมดาๆจะไม่นิยมพวกเครื่องประดับ ที่ข้าเคยเจอๆมาเห็นแล้วมันน่าตัดงบคอสตูมเสียนี่กระไร แต่งอะไรเยอะแยะไม่รู้
“นั่นไง เจอแล้ว”
ข้าชี้ไปยังร้านเล็กๆที่แอบอยู่ตรงกลางระหว่างขายอาวุธและร้านขายหนังสือ
กรุ๋ง กริ๋ง
เสียงกระดิ่งร้านดังขึ้นทันทีที่ย่างเท้าเข้าไป ลุงแก่ๆเหงยหน้าขึ้นมองพวกเราแล้วจึงยิ้มอย่างเป็นมิตรให้ ข้าเดินดูพวกเครื่องประดับที่แควนโชว์อยู่จามพนังและตั้งอยู่ในตู้กระจกมีคั้งแต่พวกธรรมดาๆอย่างเงินไปจนถึงพวกของแพงๆดีๆอย่างเพชร
“ท่านลุง ท่านพอจะแนะนำสร้อยที่มันทนๆให้ข้าได้หรือไม่?”
ข้าตรงเข้าไปถามลุงเจ้าของร้านด้วยน้ำเสียงสุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้ ลุงแกยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนแล่วก้มลงไปหาอะไรบางอย่างที่ใต้เคาน์เจอร์ก่อนจะออกมาพร้อมๆกับกล่องกำมะหยี่สีแดงสด ภายในเป็นสร้อยเรียบๆสีเงินวาวที่มองเผินๆเหมือนไม่มีอะไร
“พ่อหนุ่มเห็นใช่ไหมล่ะ สิ่งที่ซ่อนอยู่ในนี้น่ะ?”
ข้าเงยหน้าจาหสร้อยมองที่ลุงเจ้าของร้านก่อนจะก้มลงมองที่สร้อยอีกครั้ง แม้สร้อยเส้นนี้จะแวววาวเพียงใดแต่มันกลับมาไอสีดำลอยออกมาจากตัวของมันเอง
“ข้างนอกต่อให้สุดลกใสเพียงใด แต่ผู้ที่ไม่ได้สุกใสเมื่อภาพที่เห็นเราย่อมเห็นถึงธาตุแท้ของเขา”
ข้าเงยหน้ามองลุงอีกหน ท่านยังคงยิ้มออกมาบางๆ
“ข้าว่าสร้อยเส้นนี้เหมาะแก่เจ้า พ่อหนุ่ม สร้อยนี้แม้มันจะเต็มไปด้วยไอดำแห่งความมืดแต่ไอดำนั้นออกมาเพื่อปกป้องของสำคัญ”
ข้ายิ้มบางๆให้ลุงคนขายอีกหนกับคำพูดของเขาก่อนจะเอื้มมือไปแตะที่สร้อยเส้นนั้น
“ท่านฟราน!!!!”
เสียงเรียกทำให้ข้าหันควับไปตามเสียงเรียก พบซีโณ่วิ่งกระหืดหระหอบเข้ามาเพียงตัวคนเดียว
“เดม่อน...เดม่อนหายไปไหนไม่รู้ขอรับ!!!”
ร่างสองร่างเดินทอดน่องอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่เดินเบียดไปมา ซีโร่นิ่วหน้าน้อยๆกับความวุ่นวายในวันนี้แถมร่างด้านหลังก็ดันเอาๆจ้องแต่จะให้เขาเดินไปข้างอย่างเดียวจนซีโร่ชักรำคาญ
“เจ้าจะดันทำไมนักหนาเนี่ยเดม่อน”
ซีโร่หันไปถามอย่างหงุดหงิด ยมทูตผมน้ำเงินดันกรอบแว่นกันแดดขึ้นท่ามกลางความหมั่นไส้ของซีโร่
“ก็แดดมันร้อน ข้าอยากให้ท่านไปถึงที่ไหนสักแห่งเร็วๆนี่”
“เหอะ”
ซีโร่ร้องเหอะอย่างรู้ดีว่าที่อีกฝ่ายพูดมันข้ออ้างชัดๆแต่ก็ต้องทำตามความต้องการของอีกฝ่าย ที่จริงพวกเขาจะคุยกันเรื่องของเรเวอร์เรียนั่นแหละ ทั้งๆที่หากอยู่ที่โรงแรมจะปลอดภัยเสียกว่าในการพูดอะไรแต่เดม่อนกลับเร้าๆให้ออกมาด้านนอกเสียอย่างนั้น
“อ๊ะ! ซีโร่ร้านนั้นเชื่อข้า”
ซีโร่เสรหน้ามองร้านนั้นของเดม่อนก่อนเบ้หน้า ดวงตาสีฟ้าฉายแววต่อต้านเล็กๆกลับร้านที่ทีสีแดงแป๊ดทั้งร้าน ดูก็รู้ว่าเป็นร้านเบเกอร์รี่ชัดๆ เขาไม่มีอารมณ์มานั่งจิมชากินขนมนะ อดีตเทพแห่งความตายจะอ้าปากค้านแต่กลับกูเดม่อนลากตัวเขาร้านไปเสียอย่างนั้น เดม่อนลากซีโร่มายังโต๊ะที่อยู่ลึกสุดและดูลึกลับสุดในร้าน
“ท่านทั้งสองจะรับอะไรดัขอรับ?”
พนักงานเดินเข้าถามทันทีที่ทั้งคู่ทรุดตัวนั่งลง เดม่อนมองที่เมนูสักครู่ก่อนจะเอ่ยปากสั่ง
“แล้วเจ้าล่ะจะกินอะไร?”ก่อนจะตั้งคำถามไปยังอีกคนที่นั่งกอดอกอารมณ์ไม่ดีอยู่
“ชากับเค้กแบบเจ้าก็ได้”
ซีโร่สั่งแบบส่งๆก่อนเดม่อนจะหันไปสั่งรายการกับพนักงานหนุ่มดีๆ
“เจ้าคิดบ้าอะไรถึงมาเลือกนั่งในที่ที่มีปีศาจเดินกันให้ว่อนแบบนี้น่ะห๊ะ?”
“แหมๆ เจ้าก็ใจเย็นๆสิ ไม่เคยได้ยินสุภาษิตหรือไงว่าที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุดน่ะ”
เดม่อนย้อน อีกฝ่ายได้แต่ร้องเหอะอีกรอบก่อนจะหันมาหาเดม่อน สองมือที่กอดอกเอาไว้ยกออกมาวางบนโต๊ะประสานกันก่อนโน้มตัวลงมา เดม่อนเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายเริ่มเข้าสู่หัวข้อการสนทนาอันตึงเครียดแล้ว
“หมอนั่น...เรเวอร์เรียนั่นเป็นองค์รักษ์ซานตานของเมลลาเวียร์หรือเปล่า?”ซีโร่เริ่มตั้งคำถาม
เดม่อนยกมือขึ้นลูบคาง”ข้าคิดว่าอาจจะใช่ถึงจะไม่ได้กลิ่นไอของเมลลาเวียร์เลยก็ตาม”
“การที่เจ้าไม่รู้ว่านั่นคือคนของเมลลาเวียร์น่ะไม่แปลกแต่...แล้วทำไมเจ้าถึงไม่รู้ตัวว่านั่นไม่ใช่เพียงพ่อค้าเร่?”
เดม่อนเสรตาที่มองยังข้างตัวขึ้นมองคตั้งคำถามด้วยแววตาเครียดๆเพราะเรื่องนี้เองเขาก็ตอบไม่ได้ ทั้งๆที่เขาเองยังๆไวกับเรื่องพวกนี้เสมอแต่มาคราวนี้กลับไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายคือใครมันทำเขาแปลกใจ
“อาจจะมีอะไรที่ช่วยบดบังตัวตนของหมอนั่น”เดม่อนตัดสินใจตอบกลับ”และมันก็ไม่ชาสัญญาณที่ดีนัก”
อดีตเทพแห่งความตายเลิกคิ้วขึ้นสูงก่อนจะยืดตัวตรงแล้วเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้สีหน้าแสดงออกมาถึงความสงสัย เดม่อนผ่อนลมหายใจยาว ความจริงเขาไม่อยากจะพูดเลยเสียด้วยซ้ำแต่หากว่าเขาไม่บอกในตอนนี้ ทุกๆคนที่ร่วมเดินทางมาก็จะไม่รู้ถึงขีดจำกัดของเวลาทั้งหมดที่เหลืออยู่
“คนที่มีความสามารถพอที่จะปิดบังตัวจริงของวิญญาณเจ้าของร่างได้ชนิดที่แนบเนียนขนาดนั้นก็ย่อมจะต้องเป็นคนของโลกวิญญาณและเจ้าก็รู้นี่ว่าคนของโลกวิญญาณเพียงคนเดียวที่อยู่กับพวกนั้นตอนนี้คือใคร”
“เจ้าจะบอกว่าเป็นฝีมือของ....”
“ออเดอร์ที่สั่งได้แล้วขอรับ”
เสียงพนักงานเสริฟมาคั่นกลางความตึงเครียดลงเสียก่อน ซีโร่พยายามทำตัวให้ปกติให้สมกับคน...หมายถึงปีศาจที่มาพักผ่อนย่อนใจในร้านขนมหวาน
“เจ้าจะบอกว่าเป็นฝีมือท่านอลาวงั้นสิ?”
ซีโร่ถามทันทีที่พนักงานเสริฟเดินออกไปจากบริเวณ ดวงตาสีท้องฟ้าสดใสกลับดดุดันขึ้นมาแทบจะในทันที เดม่อนเห็นดังนั้นก็ได้เพียงแต่ถอนหายใจ
“กินนี่ก่อนดีกว่า ของหวานจะช่วยให้สมองดีขึ้น”
เดม่อนพลักจานเค้กที่ไม่พร่องไปเลยแม้แต่น้อยในขนาดที่เขานั้นแหว่งไปสามสี่คำแล้ว ซีโร่รับจานขนมหวานมาอย่างขัดใจแต่ก็ยังทำตามที่อีกฝ่ายบอก
“ข้าไม่ได้จะใส่ร้ายท่านอลาวนะซีโร่ ทำความเข้าใจหน่อยสิ ข้าแค่หมายความว่าบางทีอีกผลฝ่ายอาจจะบังคับ
ท่านอลาวหรือสะกดจิตท่านอลาวเสียก็ได้ ท่านก็รู้ว่านายของเรา...ดื้อแค่ไหน”เดม่อนลดเสียงแผ่วอย่างกับกลัวว่าคนที่เอ่ยถึงจะได้ยิน
“ข้าชักเป็นห่วงท่านอลาวซะแล้วสิ แค่ท่านอลาวไม่อยู่ท่านฟรานก็ดูจะอารมณ์รุนแรงขึ้นแล้ว ทางด้านสิบสามหน่วยจะปั่นป่วนกันแค่ไหน”
“ไม่ใช่แค่ท่านฟราน เจ้าเองก็อารมณ์รุนแรงขึ้นด้วยไม่รู้สึกตัวเลยหรือไงกัน?”
ซีโร่ถลึงตามองอีกฝ่ายก่อนทั้งคู่จะเปลี่ยนหัวข้อการสนทนามาเป็นเรื่องสบายๆบ้างเพื่อผ่อนคลายอารมณ์
“ข้าว่าเราออกไปนอกร้านกันดีกว่า ไปเดินสำรวจเมื่องกัน”ซีโร่ชวนด้วยท่าทีที่ดีขึ้นกว่าตอนแรก เดม่อนเพียงพยักหน้ารับเท่านั้นก่อนจะจ่ายเงินค่าเค้กและน้ำชาแล้วจึงเดินออกมา
วิ้ว~
กระแสลมไม่ทราบที่มาพัดเขาปะทะใบหน้าของซีโร่จนเจ้าตัวต้องยกมือขึ้นบังทันทีที่เดินออกจากร้าน เมื่อลมสงบจึงหันไปมองคนข้างแต่แล้วกลับรู้สึกแปลกใจ...ข้างกายมันว่างเปล่า??
“เดม่อน...เจ้าอยู่ไหนน่ะ??”
ซีโร่ว่าพลางเชงอคอหาทั้งในร้านและนอกร้าน รู้สึกใจหายพิกลเมื่ออีกฝ่ายหายไปแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เขารู้ว่าที่นี่เสี่ยงต่อการที่เขาจะลากอีกฝ่ายมาด้วย...แต่เรื่องมันนานแล้วนะ ซีโร่หันขวาหันรีอย่างอยู่ไม่สุขเหมือนเก่า มือไม้เย็นเฉียบเมื่อคิดไปไกลต่างๆนานา ก่อนจะตัดสินใจจับจิตอีกฝ่ายแต่กลับไม่พบแม้เพียงกลิ่นไอ มันยิ่งทำให้เขารู้สึกตะหนกขึ้นเป็นการใหญ่ เมื่อไม่พบคนที่คนหาอยู่ซีโร่จึงหันไปจับจิตหาอดีตนายก่อนจะพุ่งตรงยังสถานที่แห่งนั้น
“ท่านฟราน!!!!”
เสียงเรียกทำให้ฟรานหันควับไปตามเสียงเรียก พบซีโร่วิ่งกระหืดหระหอบเข้ามาเพียงตัวคนเดียว
“เดม่อน...เดม่อนหายไปไหนไม่รู้ขอรับ!!!”ซีโร่พูดรัวเร็วอย่างเสียขวัญ ดวงตามีเพียงแววตาที่กลัดกลุ้ม
อีกสามคนที่ได้ยินแบบนั้นก็เบิกตาโพลงอย่างตกใจ ฟรานละจากสร้อยตรงหน้าหันกลบัไปหาอดีตเทพแห่งความตาย
“ไปตามหากัน”
ซีโร่พยักหน้ารับก่อนจะหุนหันออกจากร้านไป เฟรนด์เองก็ตามไปติดๆ
“เดม่อน...งั้นหรือ?”
เสียงเจ้าของร้านเอ่ยเบาแต่ทำให้เรย์ชะงักก่อนหันกลับไปมองร่างชราภาพที่ยกมือขึ้นลูบคางตนเอง
“รู้จักหรือขอรับ?”เรย์เอยอย่างใคร่รู้ แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพยักหน้ากลับ
“รู้สิ...ก็เขาน่ะเป็นถึง...”
“เรย์!!!! มัวชักช้าอะไรอยู่เดี๋ยวก็ทิ้งไว้นี่หรอก”
ฟรานที่เห็นว่าร่างของวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ตามมาก็กลับมาหา พบอีกฝ่ายยืนอ้อยอิ่งอยู่กับลุงเจ้าของร้าน
“คือ....”
“ขอโทษนะขอรับท่าลุง ไว้พรุ่งนี้ข้าจะมาใหม่”ฟรานว่าจบก็คว้าแขนเรย์ไปจากร้านโดยที่เรย์ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรเลย
ดวงตาสีโกเมนรอบกายที่แปลกตาไปจากเดิม ทั้งที่เมื่อออกจากคาเฟ่แล้วจะต้องเป็นถนนหนทางแต่รอบข้างกลับเป็นป่าไม้ที่รกทึบ ร่างสูงถอนหายใจยาวพรืดอย่างหมดไส้หมดพุง...เขาโดนจับได้แล้วงั้นสิว่ากลับมาที่นี่
“เลิกเล่นแล้วออกมาเถอะ ลาเวียร์”เดม่อนพูดเสียงเรียบเรียกชื่อีกฝ่ายอย่างสนิทสนมแบบไม่คิดจะปิดบัง
บนก้อนหินใหญ่ตรงหน้าปรากฎร่างที่คุ้นตาจากคราวก่อนนั่งปล่อยตัวสบายราวกับหินนั้นเป็นเก้าอี้เบาะนุ่มน่านั่ง ด้วยแว่นที่เลนส์หนาเท่าก้นขวดนมทำให้ไม่มามารถรับรู้อะไรผ่านดวงตาได้ เมลลาเวียร์นิ่งเรียบแล้วมองอีกฝ่ายอยู่นานแต่เดม่อนกลับไม่มีท่าทีจะอึดอัดใจแม้แต่น้อย
“ท่านพาข้ามาที่นี่ทำไม?”
เดม่อนเอ่ยถามก่อน คนถูกถามเลิกคิ้วสูงก่อนจะลุกขึ้นยืน ชายเสื้อคลุมสีดำเข้มทิ้งตัวลงสู่พื้นหญ้าอย่างสวยงาม เส้นผมลู่ลมไปเล็กน้อย สองเท้าก้าวเข้าหาเดม่อนอย่างเชืองช้า
“ท่าน...งั้นหรือ? ทำไมถึงใช้คำที่ทำให้เราทั้งสองห่างเหินเช่นนั้น?”น้ำเสียงนุ้มเอ่ยอย่างเอื่อยเฉื่อยจนจับอารมณ์คนถามไม่ได้
“ห่างเหิน? มันไม่มีคำว่าห่างเหินหรอกเมลลาเวียร์ในเมื่อเราทั้งคู่ไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว”เดม่อนกล่าวเรียบนิ่งพร้อมรอยยิ้มแบบตน
เมลลาเวียร์กำแน่นเข้ากับเสื้อคลุมแต่เพราะสายลมที่พัดมาทำให้ชายเสื้อปลิวขึ้นมาบังมือเอาไว้
“เรื่องราวที่ผ่านมาทันกลายเป็นอดีตไปแล้วอย่างนั้นหรือ? ไม่มีมีค่าแม้เพียงให้จำเลยงั้นหรือ? แม้ท่านพ่อจะทำอะไรกับท่านไว้แต่ข้าคนหนึ่งที่ไม่ทอดทิ้งท่านนะ”น้ำเสียงนั้นยังคงเอื่อยเฉื่อยเช่นเคยหากแต่เริ่มจับถึงความถวิลหาได้
“พอเถอะเมลลาเวียร์ ท่านพูดตอนนี้ไปมันก็ไร้ประโยชน์ถ้าท่านไม่ทอดทิ้งข้าจริงแล้ววันนั้นท่านไปอยู่ที่ไหนเมลลาเวียร์ ไม่สิ...องค์ชาย?”
ทั้งคำถามทั้งการเสียงทำเอาเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลทองชะงักนิ่ง ดวงตาภายใต้กรอบแว่นจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่วางตาหากแต่อีกฝ่ายกลับไม่เห็นมัน ถึงแม้เดม่อนจะไม่เห็นดวงตาของเขาแต่เขาเห็นดวงตาของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน...ดวงตาที่ไร้สึกความรู้สึกใดๆ ไม่มีแม้ความผูกพันธ์ที่ผ่านมา
“เวลาร้อยปีทำท่านเปลี่ยนไปเพียงนี้เชียว”
“เวลาไม่ได้ทำข้าเปลี่ยนองค์ชาย เพียงแต่เวลาช่วยเยียวยาใจข้าเท่านั้น นอกจากเวลาแล้วยังมีอีกสิ่งที่ช่วยให้ข้าดีขึ้น”ร่างนั้นยิ้มก่อนจะยื่นมือไปหาเมลลาเวียร์
“ส่งอลาวคืนมา”
เสียงทุ้มราบเรียบแต่เต็มไปด้วยความกดดัน เมลลาเวียร์มองมือที่ยื่นมาอย่างไม่รู้ควรทำเช่นไร ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงกับมือที่ยื่นมาหาตนเองแต่เจ้าของมือกลับเรียกชื่ออีกคน
“แล้วถ้าข้าตอบว่าไม่”
เปรี๊ยะ!!
ร่างของเมลลาเวียร์ถูกดึงมาอย่างไม่ทันตั้งตัวเพื่อหลบสายฟ้าสีดวงเข้ม เรเวอร์เรียที่สุ่มอย฿กระโจนออกมาดึงนายของตนเข้าหาตนด้วยการพาดมือผ่านบ่าทั้งสอง ดวงตาสองสีจ้องไปที่เดม่อนอย่างเอาเรื่อง
“เลือด...”เสียงพึมพัมแผ่วเบาทำให้เรเวอร์เรียก้มลงมองก่อนจะต้องทรุดตัวลงตามเมื่อคนที่เข้ารั้งไว้ทรุดตัวลงกับพื้น
“ทำไมกัน?”
ความเอื่อยเฉื่อยในน้ำเสียงหายไปจนหมดสิ้นเหลือเพียงความสงสัยในน้ำเสียง คนถูกถามกลับยืนนิ่งมองร่างที่ทรุดลงไปด้วยความนิ่งเฉย
“ทั้งที่เมื่อก่อนท่านไม่เคยแม้แต่ตีข้า...แล้วทำไมวันนี้...”คำถามที่เหลือจุกอยู่ในคอเมื่อพบเพียงความว่างเปล่าในแววตาที่เคยคุ้น
“ก็ในเมื่อท่านเอาคนสำคัญของข้าไป มันมีเหตุผลอะไรที่ต้องอภัย?”
“คนสำคัญงั้นหรือ?”เมลลาเวียร์พึมพัมเบาๆก่อนก้มหน้าลง
“เมลลาเวียร์”เรเวอร์เรียเรียกเสียงแผ่วเบานึกเป็นห่วงนายเหนือของตนขึ้นมา
“ระหว่างข้ากลับอลาวใครกันที่สำคัญกับท่าน?”
เจ้าชายปีศาจเอ่ยถาทั้งก้มหน้าเอาไว้ เดม่อนผู้ถูกถามได้แต่มองก่อนจะค้นเสียงหัวเราะที่ทำเอาคนได้ยินใจกระตุกหวูบ
“ก็ต้องอลาวอยู่แล้ว”
น้ำใสๆหยดลงบนพื้นหญ้าเขียวชะอุ่ม เมลลาเวียร์เงยหน้าขึ้นมองคนตอบอย่างไม่อาจกลั้นนน้ำตาเอาไว้ เรเวอร์เรียถึงกับเบิกตาโพลงอย่างไม่คาดคิด ทางด้านเดม่อนมีเพียงแว๊บเดียวที่นัยน์ตาสีแดงนั้นหวูบไหวก่อนจะกลับมาเป็นปกติเช่นเดิมมันยิ่งทำให้เมลลาเวียร์หน่วงไปทั้งตัว ทั้งที่เมื่อก่อนจะต้องเดินเข้ามาปลอบแต่นี่เขากลับยืนนิ่งแบบนั้น ไม่เหลืออะไรต่อกันจริงๆสินะ
“ข้าอยากจะรู้นักว่าใครที่ทำท่านเปลี่ยนไป”
เสียงที่เคยเอื่อยเฉื่อยนิ้งเรียบก่อนเจ้าของเสียงจะยันตัวลุกขึ้น”เวลาหรืออลาว...แต่ข้าว่าคงจะเป็นอลาวสินะ ก็เขานะสำคัญกับท่านขนาดนั้น”
“ก็รู้นี่”
“ใช่ข้ารู้”เจ้าชายปีศาจยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนใบหน้าเบาๆ
“เพราะท่านมันอ่อนแอแบบนี้ไง จักรพรรดิถึงต้องเอาตัวอลาวไปจากพวกข้า!!!”
เป็นครั้งแรกที่เดม่อรตะโกนออกมาด้วยความหงุดหงิดเมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่าย เมลลาเวียร์เค้นได้เพียงเสียงหัวเราะเท่านั้นเพราะน้ำตามันจุกอกจนเถียงอะไรไม่ได้ ก่อนร่างทั้งสองจะหายไปพร้อมๆกันให้เดม่อนยืนนิ่งอยู่กับที่กับความเงียบ
....ความเงียบอาจจะเป็นการเถียงที่กวนประสาทที่สุดแต่ใครเล่าใยจะรู้....ว่าคนที่เงียบไม่ได้ต้องการจะกวนประสาทใครเพียงแต่...น้ำตามันจุกอกจนพูดไม่ออก...เท่านั้นเอง...
******************************************TBC.******************************************
ความคิดเห็น