ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Knb | fanfic || OC] Inori no Sora ท้องฟ้าแห่งคำอธิษฐาน(Rewrite)

    ลำดับตอนที่ #5 : ช่วยฮัตสึกะด้วย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 984
      55
      20 ก.ย. 63


    ฮัตสึกะตื่นมาโรงเรียนตอนเช้าในวันต่อมา คนที่มายืนรออยู่แล้วที่หน้าบ้านของเธอคือริตะจังที่กำลังหมุนลูกวอลเล่เล่นด้วยสองมือ

     

    กลิ่นของน้ำค้างยามเช้าทำให้ฮัตสึกะรู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก

     

    “ตื่นสายจริงนะ”

     

    เป็นคำทักทายจากปากของเด็กสาวผมดำที่ทำให้คิ้วของเธอกระตุก คำพูดอันแสนขวานผ่าซากของริตะบางทีก็ทำให้ฮัตสึกะคิดว่าเอาจริง ๆ แล้วเพื่อนของเธอคนนี้อาจจะถูกสลับตัวกับตอนเด็กก่อนหน้านี้ จากสาวน้อยขี้อายสู่คนขวานผ่าซากเพียงปีเดียวที่ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน

     

    ริตะช่างมาไกลจริง ๆ

     

    “นี่เพิ่งจะตีสี่ห้าสิบเองนะ” ฮัตสึกะพูดพลางเบ้ปาก

     

    “แต่เรานัดกันสี่สิบ” ดวงตากลมโตสีดำสนิทที่ประดับด้วยประกายเล็ก ๆ ของริตะจ้องเธอไม่กระพริบ ให้ความรู้สึกเหมือนโดนแมวบังคับขู่เข็ญเวลาขอข้าวอย่างไรอย่างงั้น

     

    “ขะ ขอโทษ” ฮัตสึกะเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา

     

    แถมอีกอย่างสุมิชิดะเป็นนักกีฬาโรงเรียน เขาจะไปทุกหกโมงครึ่ง ถ้าเธอช้าไปแม้แต่วินาทีเดียวก็อาจจะทำให้เกิดหายนะได้” ริตะถอนหายใจแล้วเดินนำฮัตสึกะไปทางที่รอรถเมล์พลางใช้ทั้งสองมือของตัวเองโยนบอลขึ้นไปบนอากาศเป็นจังหวะ

     

    หลังจากที่ทั้งสองขึ้นรถบัสแล้วก็ไปลงที่สถานีรถไฟเพื่อไปต่ออีกสองสถานีและปั่นจักรยานไปโรงเรียน

    กว่าจะมาถึงโรงเรียนก็ประมาณตีห้ายี่สิบห้านาทีกว่า ๆ

     

    แต่ทว่าตอนที่ฮัตสึกะแยกทางกันกับริตะและเดินมาถึงโรงยิมแล้วก็พบว่าไฟกำลังเปิดอยู่

     

    เธอแอบโผล่หัวเข้าไปมอง ปรากฏว่าคนที่อยู่ในนั้นคือคุโรโกะ เท็ตสึยะที่วันนี้มาโรงเรียนเร็วเกินคาด

    ก็ปกติเขาจะมาโรงเรียนถึงจะไม่สายแต่ก็แสดงให้เห็นว่าเขาตื่นสาย เพราะทรงผมมักจะฟูจนเหมือนรังนกมาโรงเรียนทุกวัน

     

    “อรุณสวัสดิ์ค่ะคุโรโกะซัง”

     

    เขาหยุดชะงักและปาดเหงื่อของตนเองก่อนจะพยักหน้าให้เล็กน้อย

     

    เธอยิ้มตอบแล้วก็เดินเข้าไปในห้องเก็บของ ทำหน้าที่ตามปกติของตัวเองเหมือนเดิม

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ---------------------

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “ฮัตสึกะจัง รู้เรื่องหรือยังว่าจะมีคนเข้ามาใหม่ในชมรมน่ะ”

     

    โมโมอิพูดขึ้นมาในระหว่างคาบพัก ฮัตสึกะวางปากกาของตนเองลงแล้วหันหน้าไปมองโมโมอิที่นั่งอยู่ด้านข้างของตัวเอง

     

    “งั้นหรือคะ พอจะมีข้อมูลไหมคะ?”

     

    โมโมอิหยิบเอกสารของชมรมออกมาแล้วไล่กระดาษในมือไปเรื่อย ๆ จนถึงแผ่นหนึ่ง เธอดึงออกมาให้เด็กสาวผมสีน้ำตาลข้าง ๆ ดู ฮัตสึกะก้มหัวเป็นการขอบคุณให้เพื่อนของตัวเองแล้วดวงตาสีเหลืองคู่นั้นก็เริ่มไล่ไปทีละตัวอักษรบนกระดาษ

     

    เธอเลิกคิ้วขึ้นแล้วหัวเราะเล็กน้อยกับตัวเองก่อนจะยื่นกระดาษส่งคืนเด็กสาวผมสีชมพู

     

    “ขอบคุณนะคะ” โมโมอิรับกระดาษคืนจากฮัตสึกะและเก็บกลับที่เดิม

     

    “คิดว่าจากนี้ไปโรงยิมนี่คงต้องเตรียมที่ไว้สำหรับยืนเยอะ ๆ แล้วสินะ~

     

    เด็กสาวผมสีน้ำตาลหัวเราะ

     

    “ไม่ถึงขั้นนั้นหรอกมั้งคะ แต่ก็หวังว่าโรงยิมจะไม่แตกไปก่อนนะ”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    --------------------------------------

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “นิจูจางง”

     

    ริตะเดินเข้ามาในห้องเรียนของเพื่อนตัวเองทันทีหลังจากที่กริ่งคาบพักเที่ยงดังขึ้น

     

    “ไปกินข้าวกัน” เด็กสาวผมสีดำกึ่งเดินกึ่งกระโดดด้วยความอารมณ์ดีมาหยุดที่หน้าโต๊ะของเพื่อนสนิทแต่ว่าฮัตสึกะยังคงนั่งจดเนื้อหาบนกระดานลงสมุด

     

    “ขออีกสองนาที”

     

    “โอเค ๆ” ริตะยิ้มพลางโยกตัวไปมา

     

    “ดูเหมือนจะอารมณ์ดีนะ ไปได้อะไรมาล่ะ?” ฮัตสึถามพลางลอบยิ้มอย่างมีเลศนัย

     

    ….” เด็กสาวผมสีดำหยุดชะงักไปชั่วขณะแล้วแอบไอออกมาเป็นการแก้เขินแล้วก็ค่อยเล่าเหตุการณ์สุดประทับใจที่ทำให้เธออารมณ์ดีได้สุด ๆ ให้เพื่อนสาวฟัง

     

    “พอดีว่าวันนี้ฉัน... ได้คุยกับอาคาชิซังน่ะ”

     

    ...

     

    ฮัตสึกะนิ่งอึ้งแถมแววดวงตาของเธอนั้นแสดงถึงความประหลาดใจสุด ๆ

    ที่แท้...

     

    เพื่อนของเธอก็ชอบพี่เซย์นี่เอง

    .

    .

    .

    เมื่อนานมาแล้ว เพื่อนสาวของฮัตสึกะหรือริตะนั่นแหละ เคยบอกว่าตัวเองชอบผู้ชายที่หล่อ รวย มีความเป็นสุภาพบุรุษ อัธยาศัยดี และแน่นอนว่าต้องตัวสูงกว่าเธอ

     

    ริตะซื่อตรงต่อความชอบและสเปกที่ตัวเองตั้งไว้มาก เธอไม่เคยชอบชายคนที่ไม่ใช่อย่างที่เธอบอกเลยแถมยังค่อนข้างเรื่องมากด้วย

     

    ที่เรื่องมากได้น่ะก็เพราะเธอหน้าตาน่ารัก ฮัตสึกะยอมรับ ค่อนข้างจะเนื้อหอมตั้งแต่เป็นเพื่อนกันแรก ๆ แต่ว่าพอเปิดปากพูดออกมา ความตรงไปตรงมาเหลือเกินจนน่าเหนื่อยใจนั้นทำเอาเหล่าคนที่ประทับใจในตัวเธอต่างยอมแพ้

     

    แต่ว่าหลังจากที่แนะนำพี่เซย์ให้เพื่อนของเธอรู้จัก ดูเหมือนว่าริตะจะค่อนข้างชอบชายผมสีแดงคนนั้นมาก ๆ จนตอนแรกที่ฮัตสึกะไม่รู้เรื่องอะไรคิดว่าเพื่อนของเธอน่าจะอยากเป็นเพื่อนกับพี่เซย์มากเฉย ๆ แหละ... ก็เลยไม่ได้เอะใจอะไร

     

    พี่เซย์จูโร่งั้นเหรอ...

     

     

    ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ พี่เซย์จูโร่น่ะ... อืมม

     

    พอมาคิด ๆ ดูแล้ว ก็ไม่น่าแปลกที่ริตะจะชอบพี่เซย์จูโร่ขนาดนั้น

    ก็เขาสูงกว่าเพื่อนของเธอ เรียบร้อย พูดเพราะ เรียนเก่ง มีความสามารถหลากหลายด้าน บ้านรวย แถมหน้าตาก็ดีนอกจากนั้นยังมีเพื่อนมากพอสมควรอีกด้วย

     

    โอ๊ะ

     

    ตรงเป๊ะทุกข้อเลยนี่นา

     

    สุดยอดจริง ๆ พี่เซย์

     

    เธอเพิ่งจะมานึกออกว่าเพื่อนของเธอน่ะชอบพี่เซย์เลยก็วันนี้นี่เอง

    เพราะว่าอะไรน่ะเหรอ

     

    เพราะว่าเมื่อวันนั้น เพื่อนของเธอเผลอหลุดปากออกมาว่าถ้าได้คุยกับคนที่ชอบบ่อย ๆ คงจะดีใจจนกระโดดโลดเต้นแน่ ๆ เลย

     

    และคนที่ทำให้กระโดดโลดเต้นได้เท่ากับเป็นคนที่เธอชอบ ซึ่งนั่นก็คือพี่เซย์จูโร่นั่นเอง

     

    จะว่าไปแล้วก็ดีจังเลยน้า เวลามีคนที่แอบปลื้มในใจเนี่ย

    อยากรู้จังเลยนะว่ามันจะรู้สึกยังไง

     

     

    “แล้วไปกินข้าวได้หรือยัง?” ริตะก้มหน้าลงมามองสมุดที่ฮัตสึกะเขียนอยู่แต่แล้วก็รีบหันหน้าไปที่หน้าต่างเพราะสังเกตเห็นถึงกลุ่มผมสีแดงที่เดินผ่านห้องไป

     

    ที่ประตูห้องเรียน อาคาชิที่เดินมาข้างกันกับมิโดริมะโบกมือมาให้ริตะและยิ้มให้เธอเล็กน้อย

     

    ใบหน้าของริตะเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีแดงที่เฉดเข้มขึ้นเรื่อย ๆ จนฮัตสึกะเห็นแล้วต้องแอบหัวเราะ

     

    “ไปกินข้าวได้แล้ว!

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ----------------------------------

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ช่วงนี้คนจากชมรมเทนนิสชักจะมาบ่อยเกินไปแล้ว...

     

    นิจิมุระ ชูโซ คิดในใจแล้วหันไปมองปีสองชายคนหนึ่งที่มาจากชมรมเทนนิส ชายคนนั้นสะดุ้งแล้วพยายามหลบสายตาของกัปตันชมรมบาสโดยการหันไปทางอื่นแทน

     

    มาน่ะไม่ว่าอะไรหรอก แต่ว่ามาก่อกวนผู้จัดการชมรมเนี่ยมันให้อภัยไม่ได้นะเฟ้ย!

    คนอย่างโมโมอิแล้วก็อิซากายะหายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรอีก

     

    จะหาคนแบบไหนที่ทั้งขยัน ตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเอง แล้วยังชอบบาสเกตบอลได้อย่างสองคนนั้นอีก

    (แถมพอพวกคนในชมรมเหนื่อยหันไปมองสองคนนั้นที่เปรียบเหมือนนางฟ้าคอยดูแลอยู่ก็มีแรงวิ่งต่อขึ้นมาทันที)

     

    ถ้าทั้งสองคนนั้นลาออกเพราะว่าพวกนายสร้างความรำคาญให้ล่ะก็...ได้เห็นดีกันแน่พวกชมรมเทนนิส!

     

     

     

    ทุกคนที่ต่างรับรู้ได้ถึงรังสีอำมหิตของกัปตันชมรมบาสก็รีบหันหน้าหนีแล้วทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปโดยดี

     

    เหตุผลที่นิจิมุระอารมณ์เสียวันนี้มีอยู่ 2 ข้อ

    คือ พวกชมรมเทนนิสที่เข้ามาในโรงยิมเพื่อก่อกวนฮัตสึกะจังโดยเฉพาะ และไฮซากิที่โดดการซ้อม(อีกแล้ว)

     

    ทำให้ฮัตสึกะค่อนข้างจะปวดหัวนิดหน่อยเรื่องคนจากชมรมเทนนิสน่ะ

    ก็บอกแล้วว่าไม่เป็นไร...

     

    เจ้าตัวไม่มาไม่เป็นไรหรอก ถ้าสุมิชิดะมาเมื่อไหร่เธอคงจะไม่เข้าชมรมไปเลยสักสามวัน

    ที่ชอบโรงยิมเพราะว่ามันเป็นที่เดียวที่สุมิชิดะจะไม่กล้าวิ่งเข้ามาและทักทายเธอด้วยความหน้าไม่อายอย่างที่ชอบทำแล้วก็พยายามจะตื้อให้เธอยอมรับเขาเป็นแฟนให้ได้อยู่นั่นแหละ

     

    แต่ก็...ไม่เห็นจะต้องโมโหแทนเลยนี่นา

     

    เด็กสาวคิดขึ้นมาโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าบนใบหน้ามีรอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นมา

     

     

     

    อาคาชิที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กันกับนิจิมุระมองเห็นว่าน้องสาวของตัวเองดูอารมณ์ดีมากกว่าปกติ

    เขายิ้มแล้วก็หันกลับไปมองเพื่อน ๆ ที่กำลังซ้อมบาสอย่างเต็มที่

     

    วันนี้เขาว่าจะเดินไปส่งฮัตสึกะที่สถานีรถไฟสักหน่อยก็ดี

    เธอคงไม่ว่าอะไรถ้าเขาจะไปด้วยหรอกนะ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    .

    .

    .

    .

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ในมุมมองของอาคาชิ เซย์จูโร่นั้น

    ฮัตสึกะเป็นเสมือนน้องสาวที่ครอบครัวเขาไม่เคยมีมาก่อน

     

    เขารู้สึกว่าพอมีฮัตสึกะเข้ามาช่วยเรื่องต่าง ๆ ทั้งเรื่องที่บ้าน เรื่องเรียนแล้วก็เรื่องงานอดิเรกของเขา หรือแม้กระทั่งเรื่องกีฬาบาส ทำให้ภาระที่เขาต้องคอยแบกไว้คนเดียวมันหายไปนิดหน่อย

     

    คงเป็นเพราะเราทั้งคู่ก็ต่างเป็นลูกคนเดียวและยังเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ก็เลยเข้าใจความรู้สึกกันง่ายมาก

     

    แถมอีกอย่างไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เราไม่เคยเจอกันสักหน่อย

     

    เราเป็นญาติห่าง ๆ กันก็จริง

    แต่เมื่อตอนเด็ก ๆ แล้วเราสนิทกันมากเลยนะ

     

    ถึงจะมีช่วงหนึ่งที่เราห่างเหินกันไปตอนที่คุณแม่เสีย ซึ่งไม่นานหลังจากนั้นก็เกิดอุบัติเหตุขึ้นกับฮัตสึกะเลยทำให้เธอไม่ได้มาเยี่ยมเกือบสี่ปี

     

    อุบัติเหตุเรื่องอะไร ถ้าจะให้บอกตรง ๆ ก็คือเขาไม่รู้

    เขาเพิ่งจะรู้จากปากของคุณปู่และคุณย่าของฮัตสึกะด้วยซ้ำว่าที่ครอบครัวของเธอไม่ได้มาที่นี่อีกเป็นเพราะว่าเธอกำลังรักษาตัวจากอุบัติเหตุอยู่

     

    พอหลังจากอุบัติเหตุนั้น ฮัตสึกะก็กลายเป็นคนละคน

    ไม่ใช่ในทางที่ไม่ดี หรือว่าความทรงจำหายไปหรืออะไรอย่างนั้นหรอกนะ

     

    เธอกลายเป็นเด็กผู้หญิงที่มีแรงเยอะมากจนมหาศาลเลยล่ะ

     

    ทำให้เธอต้องใช้เวลาเกือบ 2 ปีไปกับการปรับความถนัดในการถือสิ่งของและอะไรต่าง ๆ ไม่ให้มันพังเละไม่เป็นท่า แล้วนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำไมเธอถึงไม่ได้มาเยี่ยมที่บ้านของเขาอีกเลย (ของมันจะพังเอาน่ะสิ)

     

    แต่พ่อของเขาก็คงไม่ว่าอะไรหรอก ถ้าเธอจะทำของอะไรพังไปบ้างสักอย่างสองอย่าง เพราะเอาเข้าจริง ๆ แล้วชายคนนั้นก็เอ็นดูฮัตสึกะเหมือนกับลูกสาวของตัวเองมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว และแน่นอนเองว่าตัวของเขาเองก็คงว่าเธอไม่ลงหรอกนะ

     

    อย่างในตอนนี้เองที่เขาเห็นเหตุการณ์ไม้ถูหักคามือของลูกพี่ลูกน้องตัวเอง

     

    มันเป็นจังหวะที่เธอกำลังยื่นไม้ถูกจำนวนหนึ่งให้กับนักกีฬาทีมสำรองเอาไปถูพื้นโรงยิม แต่ทว่ากลับมีคนที่คาดไม่ถึงโผล่เข้ามาในประตูโรงยิม

     

    ซึ่งคนที่ว่านั่นก็คือสุมิชิดะ โยชิโระนั่นเอง

     

    ฮัตสึกะตกใจจนเผลอกอดไม้ไว้กับตัวเองแน่น

    แล้วก็มีเสียงดัง เป๊าะ’ ตามมา

     

    แน่นอนว่ากัปตันชมรมเทนนิสถูกนิจิมุระซังลากตัวออกไปทันทีที่เห็นหน้า อาคาชิรีบเดินเข้าไปหาเด็กสาวผมสีหน้าตาลที่หน้าแดงจนเหมือนผมของเขาเพราะความอับอายพูดออกมาด้วยเสียงสั่นเทา

     

    “ขอโทษค่ะ”

     

    “ไม่เป็นไรหรอก ให้ฉันช่วยแล้วกัน”

     

    เขาพูดแล้วก็ก้มตัวลงเก็บไม้ถูบางอันที่หักและช่วยเธอถือบางอันที่งอแล้วเอาไปไว้ด้านนอกโรงยิม

    ทุกเหตุการณ์ที่ผ่านไปเมื่อกี้ทำเอาทุกคนในโรงยิมนิ่งอึ้งและคิดในใจเป็นสิ่งเดียวกัน

     

     

     

    กอริลล่า... ในรูปร่างของสาวน้อยสุดน่ารักเหรอ?

     

     

     

    ส่วนไม้ถูด้ามเหล็กบางอันที่ถึงจะงอแต่ก็ใช้ได้ก็ถูกลองจับขึ้นมาลองดัดกลับให้เข้ารูป แต่ทว่ามันกลับไม่ขยับเขยื้อนเปลี่ยนรูปร่างเลยแม้แต่นิดเดียว

     

    เหล่าคนที่ยืนดูต่างคิดเป็นสิ่งเดียวกันอีกครั้ง

     

     

     

    กอริลล่าจริง ๆ ด้วย

     

     

    .

    .

    .

    “เห็นเมื่อกี้ใช่ไหม” อาโอมิเนะ

     

    “อ่า ครับ” คุโรโกะ

     

    ทั้งสองคนมองหน้ากันส่วนมิโดริมะถอดแว่นของตัวเองออกมาแล้วเช็ดก่อนจะสวมกลับเข้าไปใหม่

    “ฉันหวังว่าคงจะตาไม่ฝาด หรือว่า...?” ชายผมสีเขียวขยับแว่นตาตัวเอง

     

    “กอริลล่า?”

     

    ซึ่งคำพูดนั้นถึงกับทำให้ทั้งคุโรโกะ อาโอมิเนะและมุราซากิบาระหลุดขำ

     

    “อย่ามัวแต่ยืนนิ่งกันสิ เก็บลูกบอลด้วย” โค้ชพูดขึ้นมาจากข้างสนามทำให้ทุกคนรีบสลายกลุ่มแยกย้ายกันไปเก็บลูกบอลกันอย่างรวดเร็ว

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    .

    .

    .

    .

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “วันนี้ก็เรียบร้อยเหมือนเดิมเลย” โมโมอิยิ้มแล้วชูกระดานขึ้นมา “ขอบคุณนะฮัตสึกะจัง”

     

    “ไม่เป็นไรค่ะ” เด็กสาวผมสีน้ำตาลยิ้มให้เพื่อนสาวของตัวเอง

     

    ยกเว้นแต่เรื่องไม้ถูพื้นหักนั่นแหละค่ะที่ไม่เรียบร้อย ฮัตสึกะคิดในใจ

     

    ในมือของเธอมีลังที่ใส่ขวดน้ำไว้เต็มเปี่ยมอยู่ถึงสามลัง

    หลังจากที่นิจิมุระคุยกับเพื่อนปีสามในชมรมแล้วก็เดินออกมาก่อนจะเห็นว่าฮัตสึกะกลังยกลังขวดน้ำเยอะแยะมากมายไว้เลยเดินเข้ามาช่วย

     

    “แบ่งมาให้ฉันก็ได้” เขาพูดก่อนจะกวักมือขอลังจากมือของเด็กสาวตรงหน้า แต่ว่าฮัตสึกะกระพริบตาปริบ ๆ แล้วส่ายหน้า

     

    “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันถือไหว”

     

    “แบ่งมาเถอะน่า” เขาพูดจบก็ถือวิสาสะยื่นมือเข้ามาจะช่วยยกเอาสองด้านบนไปถือ แต่ว่าเด็กสาวผมสีน้ำตาลกลับเอนตัวหนีแถมยังถอยหลังอีกด้วย

     

    เธอส่ายหน้าให้เขาอีกครั้ง

     

    “มันหนักนะคะ”

     

    ดวงตาสีเหลืองกับใบหน้าอันนิ่งเรียบของเจ้าตัวทำให้ชายผมสีดำรู้สึกเหมือนเลือดขึ้นหน้า เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรแต่เดินเข้าไปยกลังมาจากมือของเธอทั้งหมดในคราวเดียว

     

    แต่พอยกมาแล้วมันกลับหนักจนนิจิมุระตัวเอียงไปข้าง

     

    “เธอยกได้ยังไงเนี่ย?!” เขาแอบกระซิบกับตัวเองแต่ทว่าฮัตสึกะได้ยิน เธอหรี่ตามองกัปตันชมรมก่อนจะพูดขึ้น

     

    “บอกแล้วไงคะว่ามันหนัก...แต่ก็ ขอบคุณนะคะรุ่นพี่”

     

    เตือนแล้วแท้ ๆ แต่ดันเล่นยกทั้งหมดนั่น ถ้ากล้ามเนื้ออักเสบวันต่อมาเธอไม่รู้ด้วยแล้วนะ ฮัตสึกะคิดในใจก่อนจะกลอกตากับตัวเอง

     

    แต่กลับไม่ทันรู้ตัวว่ามุมปากของเธอกำลังยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็ก ๆ

     

    นาน ๆ ทีคนในชมรมจะได้เห็นอิซากายะ ฮัตสึกะยิ้ม

     

    ของหายากแบบนี้ทำให้คนในชมรมก่อนจะกลับบ้านต่างออกมาจากโรงยิมด้วยแสงแห่งธรรมเฉิดฉายเหนือศีรษะราวกับได้แม่พระมาโปรด

     

    “จะกลับหรือยังล่ะ” อาคาชิที่เดินเข้ามาจากด้านข้างถามฮัตสึกะที่ยืนพิงผนังอยู่คนเดียว

     

    “วันนี้จะเดินกลับเหรอคะ?”

    “ใช่ ฉันว่าจะไปส่งเธอที่บ้าน แต่ว่าวันนี้คนขับรถต้องไปรอรับคุณพ่อน่ะ”

    “แต่ว่า...”

     

    “แล้วเพื่อนของเธอ ริตะจะกลับด้วยไหม”

    “เอ่อ ไม่ค่ะ... พอดีวันนี้ริตะมีซ้อมถึงสองทุ่มเลยบอกให้กลับไปก่อน”

     

    อาคาชิพยักหน้า

    “แล้วก็....” ฮัตสึกะกำลังจะพูดประโยคต่อไปขึ้นมา

     

     

    ในระหว่างที่เธอกำลังจะบอกว่าให้เซย์จูโร่กลับไปก่อนได้เลยถ้าจะเดินเพราะเดี๋ยวจะต้องอยู่ปิดโรงยิมแล้วมันจะดึกเกินไป แต่ว่าอาโอมิเนะก็เดินเข้ามาบอกทั้งสองคนในขณะที่หมุนลูกบาสไปด้วยบนนิ้วของตัวเอง

     

    “ถ้าจะกลับแล้วเดี๋ยวฉันกับเท็ตสึปิดประตูให้เอง ไม่ต้องห่วง”

     

    ฮัตสึกะกะพริบตาด้วยความประหลาดใจ แล้วก็โค้งเป็นการขอบคุณต่อชายผมสีน้ำเงิน พลางพยักหน้าให้อาคาชิแล้วก็สะพายกระเป๋าของตัวเองขึ้นบนบ่า

     

    แต่จู่ ๆ เขาก็ได้รับโทรศัพท์มาจากพ่อของตัวเอง สีหน้าของอาคาชิเปลี่ยนไปเป็นเคร่งขรึมทันทีที่รับสายขึ้นมา ฮัตสึกะยืนนิ่งเพื่อรอพี่ชายของตนเองคุยกับพ่อของตนเองให้จบ

     

    “...ฮัตสึ ขอโทษทีนะ แต่ว่าไปด้วยไม่ได้แล้ว”

    “ไม่เป็นไรค่ะพี่เซย์” ฮัตสึกะยิ้มให้กับชายผมแดงเพื่อเป็นการปลอบใจต่อสีหน้าที่รู้สึกผิดของอาคาชิ

     

    “ขอโทษด้วยจริง ๆ นะ แล้วคราวหน้าฉันจะกลับด้วยแล้วกัน”

    ฮัตสึกะพยักหน้า

     

    “ค่ะ เดินทางดี ๆ นะคะพี่เซย์” เธอโบกมือให้เขาเล็กน้อยแต่ก่อนเขาจะกลับออกจากโรงยิม อาคาชิเดินเข้าไปหามิโดริมะและบอกอะไรบางอย่างกับชายผมสีเขียว เจ้าตัวพยักหน้าก่อนจะเดินเข้ามาหาฮัตสึกะที่กำลังจะออกไปเช่นกัน

     

    “ฉันจะกลับด้วยแล้วกันอิซากายะซัง” พอเขาพูดจบก็มักจะใช้มือของตนเองดันแว่นขึ้น

    ซึ่งเขาก็ทำจริง ๆ ซะด้วย

     

    เธอไม่ได้สนิทกับมิโดริมะเป็นพิเศษอะไรเพราะว่าเขาอยู่คนละห้องกับเธอ(และใช่แล้ว พี่เซย์อยู่คนละห้องกับเธอเช่นกัน) เธอเห็นเขาเป็นเหมือน....

     

    ต้นไม้

     

    ไม่สิ เหมือนเพื่อนกัน... ละมั้งคะ?

     

    เพราะว่าครั้งแรกที่เขาคุยด้วยก็เรื่อง... เอ่อ ของนำโชคประจำวัน...?

    ใช่แล้ว ของนำโชคประจำวัน

     

    เธอจำได้ว่าวันนั้นเขายืมกิ้บติดผมไป แล้วก็เอามาคืนแล้วเรียบร้อย ซึ่งมันเป็นกิ้บสีน้ำตาลแบบพิเศษที่ถูกสั่งทำขึ้นโดยพ่อกับแม่เป็นของขวัญให้เธอในวันเกิดปีที่ 7

     

    และในวันนั้นก็มีกิ้บสีน้ำตาลเป็นของนำโชคพอดี เขาก็เลยได้ยืมของเธอไปนั่นเอง

     

    มิโดริมะเดินนำหน้าฮัตสึกะไปยังทางออก เด็กสาวผมสีน้ำตาลโค้งให้กับรุ่นพี่และเพื่อน ๆ ที่โบกมือมาให้ก่อนจะออกจากโรงยิม

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    .

    .

    .

    .

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “ขอบคุณที่มาส่งนะคะ”

     

    ฮัตสึกะโค้งให้กับมิโดริมะ แต่ว่าชายผมสีเขียวพูดขึ้นมา

     

    “ไม่เป็นไรหรอก ถ้าจะขอบคุณก็เอาเป็นว่าคราวหน้าถ้าฉันลืมลัคกี้ไอเทมก็ให้ฉันยืมอีกทีแล้วกัน”

    ฮัตสึกะเงยหน้าขึ้นมาแล้วหัวเราะเล็กน้อยกับคำตอบรับของมิโดริมะ

     

    “ค่ะ เดินทางดี ๆ นะคะ”

     

    ฮัตสึกะเดินไปขึ้นรถไฟสายตรงไปที่เขตบ้านของตัวเอง

    เธอเดินเข้าไปนั่งในที่ที่ว่างอยู่และปลายสายตาก็เหลือบไปเห็นชายผมสีดำที่แสนจะคุ้นเคย แต่พอกระพริบตาอีกทีก็ไม่เห็นเขาแล้ว

     

    เธอเลยคิดว่าก็แค่ตาฝาดไปเองนั่นแหละ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    -----------------------

     

     

     

     

     

    ฮัตสึกะเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาดูจากการแจ้งเตือนที่เด้งขึ้นมา

    มันมาจากเพื่อนของเธอเอง ริตะนั่นแหละ 


    'ฮัตสึกะ ไอ้เจ้ารุ่นพี่บ้านั่น(สุมิชิดะ)มาถามหาเธอถึงโรงยิมฉันแล้วนะรู้ไหม อ้อ แล้วก็ ถ้าถึงบ้านแล้วโทรมาหาด้วย เข้าใจหรือเปล่า'


    “อ้าว ๆ น้องสาวคนนั้นเองนี่หว่า”

     

    ในระหว่างที่ฮัตสึกะกำลังอ่านข้อความในมือถือพลางเดินกลับบ้านไปด้วย(เพราะประหยัดค่ารถบัส)ก็เผลอหันไปตามเสียงที่เรียกทัก แต่ว่าพอรู้ตัวอีกทีก็นึกขึ้นมาในใจว่า ทำพลาดไปซะแล้ว พลางหรี่ตาลงด้วยความไม่ชอบใจ

     

    “จำกันไม่ได้แล้วเหรอจ๊ะ?”

     

    ฮัตสึกะพยายามจะรีบเดินไปข้างหน้าแต่ก็ถูกพวกนักเลงที่ว่าพวกนั้นขวางเอาไว้

     

    นี่ตำรวจมัวทำอะไรกันอยู่เนี่ย เด็กสาวผมสีน้ำตาลคิดในใจก่อนจะพยายามเดินอ้อม แต่ว่าพวกนั้นยังคงตามติดเธอไม่หยุดหย่อน

     

    จากคราวนั้นสี่คน เพิ่มมาอีกเกือบสิบคน ให้ตาย

    ชักจะมากเกินไปแล้ว

     

    “จะรีบไปไหนล่ะ สงสัยคงจะลืมกันซะแล้ว” ชายผู้ที่เป็นหัวโจกเดินมาตรงหน้าเธอ

     

    หางคิ้วของฮัตสึกะกระตุกขึ้นด้วยความไม่สบอารมณ์ ดวงตาสีเหลืองจ้องใบหน้าของอันธพาลคนนั้นเขม็งโดยไม่มีทีท่าว่าจะหวาดกลัว

     

    “คงต้องทวนความจำกันใหม่แล้วมั้ง”

     

    “ทวนความจำเหรอ พวกแกไปนั่งทบทวนความคิดตัวเองที่โรงพักจะดีกว่าละมั้ง!

     

    เสียงของคนที่เข้ามาใหม่ในเหตุการณ์ทำให้ฮัตสึกะตกใจ เธอไม่นึกว่าจะเป็นเขาจริง ๆ ซะด้วย

    นิจิมุระปรากฏตัวขึ้นต่อหน้ากลุ่มของพวกอันธพาลที่ยืนล้อมฮัตสึกะเป็นกลุ่ม สีหน้าของเขาดูไม่น่าจะคุยด้วยดี ๆ ได้สุด ๆ เหมือนจะเหลือแค่คุยด้วยหมัดเท่านั้นที่พอจะทำได้

     

    “เดี๋ยวก่อน...!

     

    ยังไม่ทันทีฮัตสึกะจะพูดจบ นิจิมุระ ชูโซก็พุ่งเข้าไปต่อยหัวโจกของกลุ่มแล้วเรียบร้อย

     

     

     

    .

    .

    .

    .

     

     

     

     

    เรื่องชุลมุนวุ่นวายจบลงภายในไม่ถึงสิบนาที และตามด้วยคำว่า ฝากไว้ก่อนเถอะ!’ ของกลุ่มอันธพาลพวกนั้นเหมือนกับตอนที่เธอช่วยโมโมอิจังไว้เป๊ะ ๆ

     

    นิจิมุระถอนหายใจแล้วแสยะยิ้มออกมาพลางบ่น “ยังไม่ทำให้ฉันเหงื่อออกเลยด้วยซ้ำก็หนีหางจุกตูดกันหมดแล้ว”

     

    ฮัตสึกะเบนสายตาไปมองชายผมสีดำที่หันมามองเธอ

     

    “ไปทำเรื่องอะไรใหญ่โตไว้ล่ะสิท่า” เขาหรี่ตาลงด้วยความสงสัย ฮัตสึกะเม้มปากก่อนจะพูดออกมาด้วยความลำบากใจ “ก็อย่างงั้น... ละมั้งคะ?”

     

    “แต่ว่ามันไม่มีอะไรจริง ๆ นะคะ!

     

    ฮัตสึกะพยายามแก้ตัวต่อหน้าชายผมดำเป็นวรรคเป็นเวร ทั้งมือทั้งท่าทางพยายามบ่งบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

     

    แถกันหน้าด้าน ๆ แบบนี้เลยเหรอฮัตสึกะ!!!! เด็กสาวคิดพลางตบใบหน้าของตัวเองในหัวเพื่อเรียกสติกลับคืนมา

     

    ตบลูกวอลเล่ใส่หน้าคนอื่นเนี่ยนะไม่ใช่เรื่องใหญ่ ให้ตาย ๆ!

     

    ถึงสายตาของนิจิมุระจะบอกว่าไม่เชื่อในสิ่งที่เด็กสาวผมสีน้ำตาลพูดก็ตาม แต่เขากลับยิ้มแล้วก็หัวเราะออกมาก่อนจะยื่นมือมาลูบหัวเธอเบา ๆ

     

    “ฉันไม่ว่าอะไรหรอก!” แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนจากสีหน้าของรุ่นพี่ที่โอบอ้อมอารีเป็นรุ่นพี่อีกคนที่ใจร้ายราวกับยักษ์แทน “แต่เธอจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้นะฮัตสึกะ ถ้ารู้ว่าไม่ปลอดภัยก็ปล่อยให้พวกนั้นปิดยิมกันเองก็ได้”

     

    ฮัตสึกะไม่ได้ตอบอะไรแต่ว่าดวงตาสีเหลืองของเธอกลับไม่ยอมจ้องเขาตอบทำให้นิจิมุระรู้ทันทีว่าเด็กคนนี้กำลังฟังคำพูดของเขาแบบหูซ้ายทะลุหูขวาอยู่ คิ้วของเขากระตุกเล็กน้อยแต่ก็พยายามใจเย็น

     

    เธอเป็นเด็กผู้หญิงชูโซ... แต่ก็เป็นเด็กผู้หญิงที่แข็งแรงเกินไป

     

    “ฉันรู้ว่าเธอจัดการพวกนั้นได้ แต่... ก็พยายามทำในที่ลับตาคนแล้วกัน”

     

    ฮัตสึกะพยักหน้าแต่ก็คิดในใจ

         

         แล้วที่รุ่นพี่ซัดพวกนั้นกลางถนนมันลับตาคนยังไงคะเนี่ย?

     

    “เอ้า ไปกันเถอะ”

     

    เด็กสาวผมสีน้ำตาลเลิกคิ้วขึ้นพลางมองหน้าของนิจิมุระ เขามองเธอตอบก่อนจะเลิกคิ้วใส่กลับ

     

    “ฉันจะเดินไปส่ง ถ้าพวกนั้นกลับมาอีกจะทำยังไง?”

    “ฉันจะพยายามจัดการในที่ลับตาคนค่ะ”

     

    ...(ตาของนิจิมุระกระตุก)

     

    “ยอกย้อนดีนะเธอเนี่ย”

    “แต่ว่า...”

     

    “ช่างมันเถอะ ไปได้แล้วเดี๋ยวก็ไม่มีเวลาทำการบ้านหรอก” นิจิมุระเดินนำฮัตสึกะไปสองก้าวยาว ๆ แต่ว่าฮัตสึกะก็วิ่งตามขึ้นมาทันท่วงที

     

    “ทำเสร็จตั้งแต่ที่โรงเรียนแล้วค่ะ”

     

    เธอยิ้มให้กับรุ่นพี่นิจิมุระ แต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะหมดความอดทนแทนซะอย่างนั้น

     

    ถ้าไม่ติดว่าหน้าตาน่ารัก เขาก็จะคิดว่านี่ก็เด็กดื้อพอ ๆ กับพวกนั้นเลยนี่หว่า

    (พวกนั้นที่ว่า อาคาชิ มิโดริมะ มุราซากิบาระ คุโรโกะ อาโอมิเนะ)


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×