ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (CNN) My bodyguard ฉันรักนาย

    ลำดับตอนที่ #2 : -คำขอโทษ...ที่ไม่ได้ยิน-

    • อัปเดตล่าสุด 21 เม.ย. 57


    Chapter 2

     

    -คำขอโทษ...ที่ไม่ได้ยิน-



    รถลีมูซีนสีดำคันหรู พร้อมกับขบวนรถติดตามมาอีกเป็นสิบๆคัน แล่นไปตามถนนที่ถูกประดับประดาไปด้วยดวงไฟหลากหลายสี  รถนำขบวนส่งสัญญาณให้รถที่ขับตามมาชะลอความเร็วลง เพราะเนื่องจากใกล้จะถึงที่หมายแล้ว   

    จุดหมายปลายทาง... คือโรงแรมสุดหรูใจกลางกรุงโซล ที่ตอนนี้ถูกประดับตกแต่งไปด้วย ผ้าและหลอดไฟสีต่างๆ ดูอลังการมาก ผู้คนมากมายเดินกันขวักไขว่ ทั้งบอดี้การ์ด รปภ.ก็เยอะไม่แพ้กัน เหล่าเซเลบ เศรษฐี ดารามากหน้าหลายตามารวมตัวกันอยู่ที่นี่ งานนี้ชักไม่ธรรมดาแล้วสิ

    เมื่อเดินทางมาถึงที่หมาย รถลีมูซีนคันที่คุณพ่อ คุณแม่ จุนโฮ และชานซองนั้นนั่งมา ก็ได้เคลื่อนมาจอดเทียบทางขึ้นโรงแรม บอดี้การ์ดชุดดำคนหนึ่งเดินมาเปิดประตูรถ ชานซองก้าวออกมาจากรถก่อน และตามด้วยคุณพ่อ คุณแม่ และจุนโฮตามลำดับ  


    หลังจากที่ทุกคนลงมากจากรถ คุณพ่อกับคุณแม่เดินควงแขนกัน ตามมาด้วยจุนโฮ  สายตาของแขกในงานต่างมองมาที่คุณพ่อและคุณแม่เป็นตาเดียวกัน ราวกับท่านทั้งสองมีพลังดึงดูดบางอย่าง.. ต่างกับสายตาที่มองมาที่จุนโฮ  เหมือนทุกคนจะฉายแววสงสัยเล็กน้อย ทำเอาจุนโฮใจเต้นและหน้าแดงขึ้นมาเฉยๆ   เมื่อคุณพ่อเดินผ่านเหล่าคนดังหลายๆคน ต่างก็ยิ้มให้พลางโค้งตัวเป็นเชิงทักทายตามมารยาท

    เมื่อเดินมาเรื่อยๆ คุณพ่อคุณแม่ จุนโฮ และชานซองก็เดินมาหยุดอยู่ที่หน้าลิฟต์ ที่มีป้ายติดไว้ว่า VIP ชายชุดดำคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าลิฟต์ เดินไปกดปุ่มเปิดลิฟต์อย่างรู้หน้าที่ และทุกคนก็เดินเข้าลิฟต์ไป... จุดหมายคือชั้นที่ยี่สิบแปดของโรงแรม

    บรรยากาศในลิฟต์เงียบสนิทไปพักใหญ่ ก่อนที่คุณพ่อจะชิงพูดขึ้นเพื่อไม่อยากทำให้บรรยากาศในลิฟต์อึดอัดไปมากกว่านี้

     

    “จุนโฮ วันนี้ลูกต้องทำตัวดีดีนะ งานนี้เป็นงานสำคัญมาก มีแต่คนสำคัญๆมางานนี้ อย่าทำตัวเอาแต่ใจเหมือนอยู่บ้านล่ะ  ชานซอง ฉันฝากดูแลจุนโฮระหว่างอยู่ในงานด้วยนะ เพราะในงานจะไม่ให้บอดี้การ์ดเข้าไปได้ จะมีก็แต่รปภ. ฉะนั้นวันนี้ชานซองจะเข้าไปในงานนี้ในฐานะที่ปรึกษาคนสำคัญของฉัน เพราะงั้นอย่าปล่อยให้จุนโฮเดินเพ่นพ่านไปไหนคนเดียวล่ะ ต้องระวังไว้ให้ดีนะ วันนี้ปาร์ค จินยองก็จะมาร่วมงานด้วย ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยพอใจที่พ่อได้เป็นเจ้าภาพจัดงานสักเท่าไหร่ นายก็ดูแลจุนโฮให้ดีดีนะชานซอง อีกอย่างที่พ่อลืมบอกไป วันนี้จุนโฮต้องโชว์เล่นเปียโนด้วยนะ อย่าทำให้พ่อผิดหวังล่ะ ” พอพ่อพูดจบ... บรรยากาศในลิฟต์ก็กลับสู่ความอึดอัดอีกครั้ง จุนโฮขมวดคิ้วสงสัย แค่งานสังสรรค์ธรรมดาต้องระวังขนาดนี้เลยเหรอ? แล้วนี่ มีโชว์เปียโนอีก จุนโฮยังไม่ได้ซ้อมเลย

     

    เวลาผ่านไปไม่นาน ลิฟต์ก็มาหยุดอยู่ที่ชั้นยี่สิบแปด คุณพ่อก้าวเท้าออกมาจากลิฟต์ก่อน ตามด้วยคุณแม่ จุนโฮ และชานซอง  เมื่ออกมาจากลิฟต์คุณพ่อยังไม่ลืมที่จะหมุนตัวกลับมา เพื่อบอกกำชับให้จุนโฮและชานซองระวังตัวขณะเดินไปเดินมาในงานให้ดี

    ผู้ชายสองคนเดินมาหาคุณพ่อ ดูเหมือนจะเป็นพนักงานต้อนรับ

     

    “สวัสดีครับคุณอี วอนกีและคุณ อี ชินซองตอนนี้แขกคนสำคัญๆในงานมากันพร้อมหมดแล้วครับ ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับ เชิญตามผมมาทางนี้ครับ” ผู้ชายคนดังกล่าวพูดจบ พลางผายมือเป็นเชิงว่าให้เดินตามไป   สักพักทุกคนก็เดินมาถึงประตูทางเข้าห้องประชุมขนาดใหญ่ของโรงแรมแห่งนี้ ที่เห็นจะใช้เป็นสถานที่จัดงานวันนี้   ผู้ชายคนที่เดินนำมาเอามือป้องที่หูตัวเองพลางกดที่ปุ่มเล็กๆตรงเครื่องสงสัญญาณขนาดจิ๋วที่หู เหมือนที่ชานซองก็มี แล้วพูดกับปลายสาย ฟังไม่ได้ศัพท์ พูดเสร็จชายคนนั้นก็ผายมือให้พ่อเดินข้าไปในงาน

     

    {Junho Part}

     

    ทันทีที่ผมก้าวเข้ามาในงาน แสดงสปอร์ตไลท์จากทั่วทิศทางสาดส่องมาพวกเรา ทำเอาผมต้องหลับตาปี๋ จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงใครสักคนประกาศ “ยินดีต้อนรับคุณอี วอนกีพร้อมครอบครัวเจ้าภาพในการจัดงานนี้ครับ ขอเสียงปรบมือด้วยครับ” หลังจากที่เสียงนั้นพูดจบเสียงปรบมือก็ดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว แสงสปอร์ตไลท์เริ่มลดความแรงของแสงลง เผยให้เห็นห้องประชุมที่หรูหรา และใหญ่มาก ใหญ่พอๆกับสนามฟุตบอลเลยเห็นจะได้  พอไฟจากสปอร์ตไลท์ค่อยๆอ่อนลง  เผยให้เห็นผู้คนมากมาย ที่ตอนนี้ลุกขึ้นยืนปรบมือและส่งยิ้มมองมาที่พ่อแม่และผม แต่ละคนเหมือนกับอย่างจะไปเดินแบบแฟชั่นวีคที่ไหนยังไงอย่างงั้น แต่ละคนจัดเต็มมาก ทั้งชุดเดรส ชุดราตรี เครื่องเพชรหรูๆ แต่งหน้าทำผม อื้อหือ นี่มันใช่งานสังสรรค์ธรรมดาจริงนะครับ - -

     

    เสียงปรบมือยังดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง พวกเราก็ค่อยๆก้าวไปตามทางเดิน คุณพ่อกล่าวทักทายแขกไปเรื่อยๆ ระยะทางจากประตูทางเข้ากับโต๊ะที่นั่งของเราอาจไกลพอดู เดินมานานแล้วยังไม่ถึงซักที เสียงปรบมือก็เริ่มจะเบาลงและหายไป  พวกเราเดินไปเรื่อยๆ อยู่ดีดีคุณพ่อก็มาหยุดอยู่ที่โต๊ะโต๊ะหนึ่ง ผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ที่โต๊ะนั้น ลุกขึ้นเดินมาทางพวกเราเหมือนจะเดินเข้ามาทักทาย

     

    “สวัสดีครับคุณปาร์ค จินยองไม่ทราบว่าช่วงนี้สบายดีนะครับ ไม่ค่อยได้เจอกันเลย” คุณพ่อกล่าวทักทายผู้ชายคนหนึ่งที่ลุกขึ้นเดินออกมาจากโต๊ะ พลางส่งยิ้มแบบสุภาพไปให้

     

    “สวัสดีครับคุณวอนกี ผมสบายดีครับ แต่ธุรกิจผมเหมือนจะไม่ค่อยสบายเท่าไหร่...” ผู้ชายคนนั้นตอบกลับมา ท่าทางกวนใช่เล่น น้ำเสียงเหมือนประชดประชัน หน้าตาก็ดูไว้ใจไม่ค่อยได้เท่าไหร่

     

    “อ๋อ อย่างนั้นเหรอครับ ขอให้ธุรกิจไปรอดนะครับ ผมขอตัวก่อนนะครับ” คุณพ่อตอบกลับไป ผู้ชายคนนั้นดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ ทำท่าเหมือนจะก้าวเข้ามาหาเรื่อง  แต่ก็โดนชานซองเดินออกมากันท่าไว้เสียก่อน ผู้ชายคนนั้นจึงถอยหลังแล้วก้าวท้าวไปนั่งที่เก้าอี้ของตนเอง คุณพ่อไม่ใส่ใจอะไร เดินต่อไปเรื่อยๆ จนมาถึงโต๊ะที่ตั้งอยู่หน้าสุด คาดว่าน่าจะเป็นโต๊ะของพวกเรา เพราะบนโต๊ะมีป้ายกระดาษเขียนบอกว่าตระกูลอีติดอยู่  ในที่สุดก็มาถึงซักที อีจุนโฮคนนี้ปวดขาจะแย่แล้ว><

     

    “เอาล่ะครับทุกท่าน ในเมื่อแขกผู้มีเกียรติทุกท่านก็มากันพร้อมหน้าแล้วนะครับ จากนี้ไปขอเชิญเจ้าภาพในการจัดงานครั้งนี้ ได้ขึ้นมากล่าวเปิดงานด้วยครับ ขอเสียงปรบมือต้อนรับเชิญคุณอี วอนกี เจ้าภาพในการจัดงานครั้งนี้ครับ” เสียงโฆษกประจำงานดังขึ้น เรียกให้ทุกสายตาหันไปจับจ้องบนเวที แสงจากไฟสปอร์ตไลท์สองดวงทำให้เห็นร่างของโฆษกที่ยืนถือไมค์พูดอยู่บนเวที ข้างๆกันนั้นเป็นเปียโนสีขาวสะอาดตา...ถ้าให้ผมเดา คงเตรียมมาให้ผมเล่นสินะ- - เวทีถูกตกแต่งอย่างสวยงามด้วยดอกกุหลาบสีชมพูขนาดต่างๆกัน ขอบเวทีมีผ้าสีชมพูอ่อนๆผูกโยงเป็นปม... มองผ่านๆนึกว่างามแต่งงาน อลังการมาก

     

    เมื่อโฆษกพูดจบ ก็ตามมาด้วยเสียงปรบมือของแขกที่มาร่วมงาน คุณพ่อลุกขึ้นยืน หันหลังกลับไปโค้งตัวให้กับแขก ผมหันหลังตามคุณพ่อ แอบสังเกตเห็นสายตาของปาร์คจินยองที่มองมาทางพวกเราด้วย... สายตานั้นแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ชอบพวกเรา

     

    “กราบสวัสดีแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน กระผมอี วอนกี ประธานในการจัดงานครั้งนี้ ก่อนอื่นผมขอขอบพระคุณทุกท่านที่ให้เกียรติมาร่วมงานนี้   แน่นอนครับที่ผมเชิญทุกท่านมางานนี้ ต้องมีสิ่งพิเศษแน่ๆนั่นก็คือ...” คุณพ่อพูด ประโยคสุดท้ายลากเสียงยาวววว เป็นเชิงให้สัญญาณว่าตั้งใจฟังนะ มีเรื่องสำคัญจะบอก...

     

    “วันนี้ผมจะส่งมอบอำนาจการดูแลบริษัทเครื่องเพชรของตระกูลให้กับลูกชายคนเดียวของผม อีจุนโฮ เนื่องในโอกาสอายุครบยี่สิบสองปีบริบูรณ์ ของเสียงปรบมือด้วยครับ” พอคุณพ่อพูดจบ เสียงปรบมือดังสนั่น แต่ผมกลับชะงักทำอะไรไม่ถูก...ที่พ่อบอกว่า...งานนี้สำคัญมาก เพราะเรื่องนี้เองสินะ เอาละไง งานเข้าละอีจุนโฮ

     

    “จุนโฮขึ้นมาแนะนำตัวบนเวที ต่อหน้าทุกท่านหน่อยเร็ว” เสียงคุณพ่อดังขึ้น ทำเอาผมหันขวับไปบนเวที เห็นคุณพ่อยิ้มพยักหน้าให้ หันซ้ายไปมองคุณแม่ แม่ชูนิ้วโป้งมาให้ หันไปหาชานซอง รายนั้นก็ยิ้มให้... ช่วยกันคิดหาทางออกไม่ได้หรือไง ชูนิ้วให้ ยิ้มให้อยู่ได้ ผมอายครับ ไม่อยากขึ้นไปพูดต่อหน้าคนเยอะๆอย่างนี้

     

    “ชานซองๆ นายขึ้นไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ นะนะนะนะ ขึ้นไปเป็นเพื่อนฉันหน่อย” ผมจับแขนชานซองเขย่าๆ ทำเอารายนั้นสั้นเหมือนผีเข้าเลย ก็ใช่สิ ผมกลัวอ่ะ อายด้วย จะให้ผมขึ้นไปคนเดียวรึ ไม่ยอมมมม

     

    “คุณหนูครับ งานนี้สำคัญกับคุณหนูนะครับ คุณหนูเหมือนเป็นหัวใจของงานเลย อย่าทำตัวงอแงนะครับ ขึ้นไปตามที่คุณผู้ชายบอกเถอะครับ” ชานซองพูดส่งยิ้มมาให้ผม พลางแกะมือผมออก... ไอ้หมอนี่นี่มันยังไงว้ะ อุตส่าห์อ้อน แหมมมม ก็ได้เว้ย เป็นไงเป็นกันล่ะงานนี้

     

    “ชิ ไม่ง้อก็ได้” ผมสะบัดหน้าหนีจากชานซอง ทำเอารายนั้นทำหน้าไม่ถูกเลย สมควรละกล้าขัดคำสั่งคุณหนูอีจุนโฮ อย่างนี้ต้องแกล้งงอนให้ซะเข็ด

     

    ผมลุกขึ้นหันหลังหัน โค้งตัวให้กับแขกที่มาร่วมงาน มีคุณหญิงคุณชายทั้งนั้น ทำตัวไม่ถูกเลย อายก็อาย ถ้าเกิดพูดไรผิด ทำไรเปิ่นๆออกไปอีกนี่... เสียชื่อตระกูลแน่เรา ผมโปรยยิ้มส่งไปให้ทั่วห้องประชุมที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้   จากนั้นผมก็หมุนตัวเดินตรงไปยังเวที

    พอขึ้นมาบนเวที...ผมสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นที่ตอนนี้รุมเร้าผมอยู่ ตอนนี้หัวใจผมเต้นแรงมากเลย เอาล่ะวะ เป็นไงเป็นกัน   คุณพ่อยื่นไมค์พร้อมยิ้มมาให้ผม... พ่อมีเจตนาฆ่าลูกชายตัวเองใช่ไหม? ที่ทำให้ลูกชายตื่นเต้นแล้วช็อคตายเนี่ย  ผมยิ้มนิดๆพลางยื่นมือไปรับไมค์จากมือของคุณพ่อ... มือผมสั่นมากเลยจะบอก  ผมรวบรวมสติเท่าที่ผมจะมี กำไมค์ในมือให้แน่น พ่นลมหายใจออกไปเบาๆ

     

    “สวัสดีครับแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ผมอีจุนโฮ ทายาทคนเดียวของตระกูลอีครับ เอ่อ..วันนี้ผมรู้สึกมีเกียรติมากครับ....เอ่อ....” อยู่ดีดีผมก็รู้สึกว่าสมองเบลอ... ผมนึกอะไรไม่ออกเลยครับ เวรละไง... จะพูดไรต่อดีว้ะ คิดสิๆ ผมหลับตาปี๋ ยืนนิ่งตัวแข็งทื่อ   แต่ทันใดนั้น ผมก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่กอบกุมมืออีกข้างผมไว้ ผมลืมตาขึ้น.. เห็นคุณพ่อกำลังยิ้มให้ผม...

     

    “สู้ๆนะจุนโฮ ลูกต้องทำได้” พ่อพูดพลางกุมมือผม... เอาล่ะ. ตั้งสติจุนโฮตั้งสติ

     

    “ครับ ผมขอขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทุกท่านนะครับที่สละเวลาอันมีค่าของท่าน มาร่วมงานที่ตระกูลอีของเราจัดในวันนี้ ขอขอบคุณจริงๆครับ... และผม อีจุนโฮ ขอให้คำมั่นสัญญาว่าจะดำรงชื่อเสียงและธุรกิจของตระกูลอี ต่อจากคุณพ่อของผมอย่างสุดกำลังฝีมือของผมครับ... ผมสัญญาครับ” ประโยคสุดท้าย ผมพูดแล้วพลางหันไปยิ้มให้คุณพ่อ.. คุณพ่อน้ำตาคลออย่างซาบซึ้ง มองมาทั้งผม เราสองคนกอดกัน..ท่ามกลางเสียงปรบมือที่ดังลั่น

     

    “เอาล่ะครับทุกท่าน เพื่อเป็นการแสดงความยินดีแก่ตระกูลอี ขอเชิญแขกผู้มีเกียรติทุกท่านดื่มเพื่อเป็นเกียรติในครั้งนี้ด้วยนะครับ” ทุกคนในงานยืนขึ้น ในมือถือแก้วใส่ไวน์รสเลิศรสชาติต่างๆกัน ชูขึ้น  ผมหันไปมองที่โต๊ะของเราที่ชานซองและคุณแม่นั่งอยู่ ชานซองรินไวน์ใส่แก้วอีกสองใบ ... ถือไว้ในมือ แล้วเดินขึ้นมาบนเวที

     

    “นี่ครับคุณหนู คุณผู้ชาย เชิญครับ” ชานซองยืนอยู่ตรงหน้าผมกับคุณพ่อ พลางยื่นแก้วไว้ในมือให้ผมกับคุณพ่อ  ผมรับแล้วยิ้มให้ชานซอง  ชานซองหมุนตัวกลับแล้วเดินลงเวทีไปที่โต๊ะเดิม

     

    “เอาล่ะครับ ทุกคนเพื่อเป็นการแสดงความยินดี พูดไชโยพร้อมกันสามครั้งนะครับ

    ไชโย

    ไชโย

    ไชโย” จบเสียงไชโยคำสุดท้าย ทุกคนจิบไวน์ในแก้วของตัวเอง แล้วก็ทยอยกันนั่งลงกับเก้าอี้ของตัวเอง 

     

    “หยุดแค่นี้แหละไอ้วอนกี! ไอ้คนสารเลว แกแย่งทุกอย่างไปจากฉัน แกทำธุรกิจฉันล้มละลาย วันนี้จะเป็นวันตายของแก ตายซะเถอะไอ้ชั่ว”  เสียงหนึ่งดังขึ้น ทำเอาทุกสายตาหันขวับไปทางปาร์คจินยอง!ซึ่งตอนนี้กำลังเล็งปืนพกกระบอกสีดำ...มาทางผมและคุณพ่อ!!!!

     

    “คุณหนูครับระวัง! เสียงชานซองดังขึ้น... ผมยังตั้งสติไม่ได้เลย เหมือนเสียงรอบข้างจู่ๆก็เงียบไป แต่อยู่ดีดีผมก็เซล้มลงเหมือนถูกผลัก พ่อผลักผม...

     

    “จุนโฮหลบไปลูก!!” เสียงพ่อดังขึ้น ออกแรงผลักผมให้ล้มลง พร้อมๆกับเสียงปืนที่ดังมาพร้อมกัน

     

    ปัง!!

     

    ปัง!!

     

    “ตายซะเถอะไอ้สารเลว ไอ้.. อั้ก..”

    ปัง!

    ปาร์คจินยองยังพูดต่อ แต่อยู่ดีดีเสียงก็หายไปพร้อมกับเสียงปืนที่ดังขึ้นมาอีกนัด แน่นอนครับ ปาร์คจินยองต้องถูกยิงแน่ๆ

     

    “เรียกรถพยาบาลกับกำลังเสริมด่วน คุณหนูกับคุณผู้ชายถูกยิง เรียกรถพยาบาลกับกำลังเสริมด่วน จับปาร์คจินยองไว้ให้ได้” เสียงชานซองดังขึ้น พร้อมเสียงฝีเท้าหลายสิบคู่ดังตามมา สายตาผมเริ่มเลือนราง... ตาของผมเหมือนมันจะปิดเอาให้ได้ปิด รู้สึกแน่นอกอย่างบอกไมถูกผมรู้สึกเหนื่อยจริงๆ...

     

    “คุณหนูครับอย่างเพิ่งหลับนะครับ คุณหนูครับลืมตาขึ้นครับ” เสียงชานซองดังขึ้น... ผมก็อยากจะลืมตาตามที่ชานซองบอกอยู่หรอกนะ.. แต่ผมง่วงจัง รู้สึกไม่มีเรี่ยวแรงเหลือเลย

     

    “คุณหนูครับ คุณหนู อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะครับ คุณหนู... คุณหนู! คุณหนู”

    “จุนโฮลูกอย่าเป็นอะไรนะลูก จุนโฮฟื้นสิลูก ลูกแม่ ลูกต้องไม่เป็นอะไรนะลูก” เสียงคุณแม่กับชานซองดังสลับกัน ผมแทบจับใจความไม่ได้... รู้สึกเหมือนร่างกายอ่อนล้า... ในที่สุดเปลือกตาผมก็ปิดลง

    .

    .

    .

    .

    .

     

    ณ โรงพยาบาลโซล

    ตามทางไปห้องผ่าตัดของโรงพยาบาล เสียงล้อของเตียงคนไข้ที่เสียดสีกับพื้นกระเบื้อง สลับกับฝีเท้าของบุรุษพยาบาลดังตลอดทาง

     

    “จุนโฮอย่าเป็นอะไรนะลูก ทำใจดีดีไว้นะลูก ฮืก ฮืออ อย่าเป็นอะไรนะลูก” เสียงชินซอง ดังสลับกับร้องไห้ พลางวิ่งตามเตียงคนไข้ที่บุรุษพยาบาลเข็นอยู่  บนเตียงมีร่างของจุนโฮนอนหมดสติอยู่... ร่างที่ชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงฉานบริเวณหน้าอก ริมฝีปากซีดขาว จุนโฮนอนนิ่งเหมือนร่างที่ไร้วิญญาณ...

     

    “คุณผู้หญิงครับ หยุดวิ่งก่อนนะครับ เดี๋ยวร่างกายจะรับไม่ไหวเอานะครับ จุนโฮจะต้องปลอดภัยนะครับ ทำใจดีดีไว้ครับ” ชานซองพูดขึ้น ทั้งที่เจ้าตัวก็ยังวิ่งตามชินซองอยู่ แถมยังต้องประคองเธออีกด้วย เพราะตอนนี้ ท่าทางของชินซอง แทบจะล้มทั้งยืนได้อยู่แล้ว แต่ก็ยังฝืนที่จะวิ่งต่อไป

     

    “ญาติคนไข้รอข้างนอกนะคะ” พอมาถึงห้องผ่าตัดที่อยู่ปลายทางเดินของโรงพยาบาล นางพยาบาลนางหนึ่งก็รีบปิดประตูห้องฉุกเฉินหลังจากที่เตียงของจุนโฮได้เคลื่อนเข้าไปในห้องแล้ว สักพักไฟหน้าห้องผ่าตัดก็สว่างขึ้น

     

    ตอนนี้ที่หน้าห้องผ่าตัด มีแต่เสียงร้องไห้ของคุณแม่ของจุนโฮ สลับกับเสียงอ้อนวอนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอให้จุนโฮไม่เป็นอะไร  ชานซองก็ได้แต่ยืนก้มหน้านิ่ง... ใครจะรู้ว่าชานซองเองก็เสียใจไม่ต่างกัน

     

    “ทำไมต้องเป็นจุนโฮ ทำไมกัน ทำไม ทำไมไม่เอาชีวิตฉันไปแทน ทำไมกัน” ชินซอง ยังร้องไห้ฟูมฟาย แถมยังพร่ำตั้งคำถามว่าทำไมต้องจุนโฮที่ถูกยิง...ทำไมไม่เป็นเธอแทน

     

    “คุณผู้หญิงครับ พอก่อนนะครับ ตอนนี้จุนโฮถึงมือหมอแล้ว จุนโฮจะไม่เป็นไร คุณผู้หญิงหยุดร้องไห้ก่อนนะครับ เรื่องทั้งหมดมันเกิดที่ผม... ถ้าผมขึ้นไปบนเวทีกับคุณหนู...คุณหนูก็คงจะไม่...” เสียงชานซองเงียบลง... ทำเอาอยู่ดีดีบรรยากาศรอบจู่ๆก็เงียบ ไม่มีแม้แต่เสียงร้องไห้ของชินซอง

     

    “คุณผู้หญิงครับ อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะครับ คุณผู้หญิงครับ คุณพยาบาลครับ มีคนหมดสติครับ ช่วยด้วยครับ” หลังจากที่จู่ๆบรรยากาศก็เงียบไป ชานซองหันกลับมามองที่ชินซอง ก็พบว่าตอนนี้เธอนั้นได้นั่งคอพับหมดสติ อยู่ที่เก้าอี้ยาวหน้าห้องฉุกเฉินไปก่อนแล้ว  โชคดีที่มีนางพยาบาลคนหนึ่งผ่านมาพอดีชานซองจึงขอความช่วยเหลือไว้ได้ทัน

    .

    .

    .

    .

    .

     

    {Chansung Part}

     

    ผมนั่งอยู่บนโซฟาในห้องพักฟื้นผู้ป่วยพิเศษ ข้างๆโซฟาของผมเป็นเตียงผู้ป่วย... ซึ่งตอนนี้มีร่างของเจ้านายผมนอนแน่นิ่งอยู่บนนั้น  ผมหันหน้าไปมองร่างนั้นด้วยสายตาที่รู้สึกผิด ผมอยากจะขอโทษจริงๆ

     

    “คุณหนูครับ ผมขอโทษที่ผมปกป้องคุณหนูไว้ไม่ได้ ขอโทษที่ผมละเลยต่อหน้าที่  ถ้าผมขึ้นไปกับคุณหนูบนเวทีด้วย... คุณหนูก็คงจะไม่เป็นแบบนี้ ผมขอโทษจริงๆ” ผมพูดกับร่างที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง หายใจเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ผมหวังว่าจะให้เขาได้ยินสิ่งที่ผมพูดบ้าง...

     

    “ผมขอโทษจริงๆ” ผมพูดย้ำประโยคเดิมซ้ำไปซ้ำมา  จู่ๆน้ำตาหยดเล็กๆก็ไหล... ผมร้องไห้เงียบๆโดยที่ไม่มีใครรู้... เพราะห้องนี้มีแค่ผม กับร่างที่ไม่ตอบสนองต่อสิ่งใดใดของจุนโฮ...

     

    “ขออนุญาตนะคะ” พยาบาลนางหนึ่งเปิดประตูเข้าห้องมา พอผมได้ยินเสียงก็รีบเอามือปาดน้ำตาแล้วลุกขึ้น เพื่อปกปิดไม่ให้ใครรู้ว่าผมเพิ่งร้องไห้ไปหมาดๆ

     

    “ดิฉันขออนุญาตเปลี่ยนถุงน้ำเกลือคนไข้นะคะ” นางพยาบาลคนนั้นพูดกับผม ผมพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต แล้วก็กลับมานั่งที่โซฟาตัวเดิม เฝ้ามองนางพยาบาลเปลี่ยนถุงน้ำเกลือให้จุนโฮ

     

    “คุณเป็นบอดี้การ์ดของคนไข้คนนี้เหรอคะ?” นางพยาบาลพูดขึ้น บรรยากาศในห้องที่เงียบก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงใสใสของเธอ

     

    “ครับ ผมเป็นบอดี้การ์ดประจำตัวของเขาครับ” ผมตอบกลับไปพลางหันไปมองหน้านางพยาบาลคนนั้น หน้าตาสวยพอไปวัดไปวาได้เลย รูปร่างใช้ได้เลยทีเดียว

     

    “นี่ก็วันที่สามแล้วนะคะ คนไข้ยังไม่ฟื้นเลย ดีนะคะที่ลูกกระสุนยิงไม่โดนจุดสำคัญ โชคดีจริงๆเลยล่ะค่ะ” นางพยาบาลยังพูดต่อไป พลางเก็บเครื่องไม้เครื่องมือ เหมือนว่าเธอจะเปลี่ยนถุงน้ำเกลือเสร็จแล้วล่ะ

     

    “ครับ โชคดีมากเลยจริงๆ ถ้าเขาเป็นอะไรไปผมอยู่จะอยู่ต่อไปไม่ได้แน่ๆครับ” ผมพูดไปเพราะความรู้สึกผิดมันเริ่มจะก่อตัวขึ้นในใจผมอีกแล้ว

     

    “อย่าคิดมากเลยค่ะ เดี๋ยวเรื่องทุกอย่างก็จะผ่านไป อีกไม่นานคุณจุนโฮก็ต้องฟื้นแน่นอนค่ะ เพียงแค่เรามีความหวัง อย่าท้อกับมันนะคะ ว่าแต่คุณ...” นางพยาบาลคนนั้นพูดให้กำลังใจผม ประโยคสุดท้าย เหมือนเธอต้องการที่จะรู้ชื่อผม

     

    “ฮวาง ชานซองครับ” ผมตอบเสริมไป เธอเก็บของเสร็จแล้วล่ะครับ เหมือนกำลังจะเดินออกห้อง

     

    “อ๋อ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ฉันชื่ออูยีนะคะ คุณก็อย่าลืมหาอะไรทานด้วยนะคะ เฝ้าคนไข้ทั้งวันอย่างนี้เดี๋ยวจะเป็นไรไปค่ะ ฉันไปก่อนนะคะ แล้วเจอกันใหม่ค่ะ” นางพยาบาลคนนั้นพูดกับผม ผมพยักหน้ายิ้มตอบไป เป็นเชิงว่าผมเข้าใจแล้ว  จากนั้นเธอก็เดินออกห้องไป...เหลือไว้แต่ผม...กับร่างจุนโฮที่ตอนนี้นอนหลับอยู่บนเตียง  หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะสม่ำเสมอ

     

    “ผมขอโทษจริงๆ... ขอโทษจริงๆนะ จุนโฮ...” นี่เป็นครั้งแรกสินะ ที่ผมกล้าที่จะพูดคำว่าจุนโฮออกมาแทนคำว่าคุณหนู แต่เจ้าตัวไม่รู้ น้ำตาผมเอ่อล้นอีกครั้ง ผมร้องไห้เงียบๆคนเดียว โดยที่จุนโฮไม่รู้... ไม่ใช่สิ...

     

    ไม่มีใครรู้เลย

     

    นอกจากตัวผม









     

    to be continued...








     

    //สวัสดีค่ะทุกคน... ไรท์เอาฟิคมาลงค่ะ ตอนสองนี้สั้นกว่าตอนที่แล้วอ่า แปลกๆเนอะ55555555 ตอนแรกกะจะไม่ให้มันดราม่าแล้วนะคะ... แต่งไปน้ำตาไหลพรากเลยอ่ะ TT ผิดที่ไรท์เองค่ะ555555555 ตอนนี้ก็ลงช้าด้วยอ่าา ขอโทษรีดเดอร์ด้วยนะคะ  คำผิดบานอีกแน่นอนเลยT^T

    ปล.1 ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงที่จุนโฮอายุ22นะคะ
    ปล.2 มีอะไรทวิตมานินทาไรท์ได้ค่ะ @Thanita_TH_2PM ไรท์ไม่กัดค่ะ
    ขอบคุณค่ะ ^__^

     

     


    :) Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×