Let it go [HP/DM]
เรื่องบางเรื่องก็ต้องปล่อยให้มันผ่านไป...
ผู้เข้าชมรวม
1,939
ผู้เข้าชมเดือนนี้
11
ผู้เข้าชมรวม
ฟิคเรื่องถูกแต่งขึ้นโดยมีองค์ประกอบมาจากความคิดสร้างสรรค์อันบรรเจิดของ J.K.Rowling ไม่ได้แต่งขึ้นมาเพื่อแสวงหาประโยชน์ทางการค้าแต่อย่างใด เพียงแค่แสวงหาความสนุกความบันเทิงของผู้อ่านแต่เพียงเท่านั้น ผู้อ่านที่ไม่ได้มีรสนิยมในการอ่านด้านความรักในเพศเดียวกันกรุณาคลิกตรงรูปกากบาทที่มุมบนขวาเพื่อความปลอดภัยทางด้านสติปัญญาของตัวท่านเอง
Fanfiction: Harry Potter
Title: Let it go
Paring: HP/DM ( Harry Potter/ Draco Malfoy)
Rate: PG
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เรื่องบางเรื่องก็ต้องปล่อยให้มันผ่านไป...
อย่างเรื่องที่ว่าโต๊ะเรเวนคลอกับฮัฟเฟิลพัฟเรียบเป็นหน้ากอง ด้วยสิ่งประดิษฐ์คิดค้นใหม่ของฝาแฝดตระกูลวิสลี่ย์
ที่จริงมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมเลย โต๊ะของพวกนั้นจะเป็นอะไรก็ช่างหัวมันเพราะมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับฝั่งบ้านผม ไม่มีความจำเป็นต้องไปนั่งคิดให้หนักสมองสู้เอาไปใช้ในการจำตำราเรียนยังดีเสียกว่าอีก
ใช่แล้ว... ผมไม่ใช่พวกสมองน้อยอย่างกริฟฟินดอร์ที่ยืนฮอกวอตส์มุงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
โต๊ะตัวสองตัวเสียหายมันไม่ได้เลวร้ายอะไรสักหน่อย พวกมันจะยืนทำกระแสบ้าบออะไรมิทราบ
ผมทอดสายตาเหลือบไปเห็นฮีโร่สามหน่อแห่งบ้านกริฟฟินดอร์ เจ้าวิสลี่ย์ทำหน้าประหลาดอย่างกับโลกได้มาถึงจุดสิ้นสุด ผมรู้สึกสะใจเป็นบ้าแต่ก็อดสงสารไม่ได้ที่บ้านจนๆอย่างหมอนั่นจะมีเงินชดใช้ค่าเสียหายรึเปล่า ถัดมาคนข้างๆยัยเกรนเจอร์ ผมไม่คิดจะเรียกเธอด้วยชื่อต่ำๆอย่าง' ยัยเลือดสีโคลน' หรอก สุภาพบุรุษชั้นสูงตระกูลเลือดบริสุทธิ์อย่างผมต้องให้เกียรติผู้หญิงทุกคนไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นเพียงแค่พวกเลือดผสมก็ตาม แต่ผมก็นึกเสียดายที่เธอกำลังทำลายเซลล์สมองโดยการสนใจกับเรื่องตรงหน้า
และคนสุดท้าย ไอ้พอตเตอร์
มันคิดว่าตัวเองเท่ห์ รึไงที่ทำตัวเป็นฮีโร่อยู่ตลอดเวลา ไอ้ที่ผ่านๆมาเกือบตลอดเจ็ดปีบอกได้เลยว่ามันเป็นโชคช่วย! ทำไมคนห่วยแตกอย่างหมอนั่นถึงได้ดวงดีทุกครั้ง ทั้งๆที่มันเป็นคนทำให้บ้านกริฟฟินดอร์โดนหักคะแนนหลายครั้งหลายหน จนเกือบจะติดลบแต่สุดท้ายมันก็ตีแต้มจนแซงคะแนนบ้านผมอยู่ร่ำไป
บางทีผมก็อดนึกไม่ได้ว่าพอตเตอร์คือเมอร์ลินกลับชาติมาเกิดรึเปล่า?
แต่ผมว่าเมอร์ลินคงจะเสียใจแย่ที่เกิดมาเป็นหมอนี้แล้วดันโง่วิชาปรุงยา
ปัง!!!
เสียงบางอย่างดังขึ้นคล้ายกับเสียงระเบิด ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องตกใจของผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์
และแน่นอนว่าผมไม่ใช่หนึ่งในนั้น ผมไม่ใช่คนที่จะตื่นตกใจกับแค่ของเล่น(สุดเจ๋ง) ของฝาแฝดวิสลี่ย์นั่นหรอก...
ผมหันเหลือบไปมองเล็กน้อยกับความอยากรู้อยากเห็นที่กำลังตื่นตัวก่อนที่จะรู้ตัวว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ผมกลายเป็นเหยื่อเคราะห์ร้ายของสองพี่น้องติ๊งต๊องไปซะแล้ว...
เรื่องบางเรื่องก็ต้องปล่อยให้มันผ่านไป...
อย่างเรื่องที่ว่าโต๊ะเรเวนคลอกับฮัฟเฟิลพัฟเรียบเป็นหน้ากอง ด้วยสิ่งประดิษฐ์คิดค้นใหม่ของเฟร็ดกับจอร์จ
หลังจากที่เวทย์มนต์ยังคงเหลือตกค้างอยู่ จู่ๆก็เกิดระเบิดพุ่งไปยังฝั่งโต๊ะบ้านสลิธีริน
นั่นทำให้ผมสังหรณ์ใจไม่ดีและมันมักจะเป็นตามที่ผมคาด...
มัลฟอยคือเหยื่อเคราะห์ร้ายของคดีนี้
ผมได้ยินเสียงของพากิสันแผดเสียงกรีดร้องตามมาด้วยท่าทีตื่นตระหนกของคนรอบข้าง ยังดีที่ซาบินี่ตั้งสติได้รีบลุกไปดูคนเป็นเพื่อนสนิท แต่ว่า...
ถึงแม้คนตรงหน้าจะมองยังไงก็เดรโก มัลฟอย แต่รู้สึกเหมือนว่ามีอะไรที่แตกต่างออกไปหน่อย
โครงหน้าของเขาดูเรียวลง สูงขึ้นนิดหน่อยและชุดที่ใส่อยู่ไม่ใช่เครื่องแบบนักเรียนสลิธีรินแต่เป็นชุดทำงานชายธรรมดาๆของโลกมักเกิ้ล บางทีอาจจะเป็นความคิดที่บ้าบอคอแตก แต่ผมคิดว่าเขาสวยขึ้น?
"เดรโก?" ซาบินี่เอ่ยชื่อเพื่อนสนิทขึ้นเสียงสูง ดูเหมือนไม่ค่อยมั่นใจว่าคนตรงหน้าใช่คนเดียวกับเพื่อนเขารึเปล่า
" เบลสปีเจ็ด? ให้ตายเถอะนี่ฉันถูกส่งมายังอดีตรึไงกัน" มัลฟอยขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดเส้นผมอ่อนปรกลู่ลงบังใบหน้าเหงื่อเม็ดโตไหลไปตามเนื้อตัว ในมือเขากำช่อดอกไม้ใหญ่แน่นพร้อมกับกระดาษแผ่นเล็กสีชมพูจางที่ถูกแนบมาด้วย
สถานการณ์นี้ทุกคนได้แต่เงียบพร้อมกับข้อสรุปที่ว่าคนๆนี้คือมัลฟอยในอนาคตมาแทนที่คนปัจจุบัน
ท่ามกลางความวุ่นวายฝั่งโต๊ะสลิธีริน มัลฟอยคือจุดเด่นของงานนี้ ถึงแม้จริงๆแล้วหมอนั่นจะเป็นคนที่ดึงดูดอยู่ตลอดเวลาในสายตาของใครๆ แต่มัลฟอยคนนี้กลับดูดึงดูดมากกว่าคนเก่าหลายเท่า ที่ผมหมายถึงคือผมไม่สามารถละสายตาของจากเขาได้ สิ่งที่ผมทำได้ก็แค่ยืนนิ่งๆและมองหน้าเขาเพียงเท่านั้น
เหมือนมีบางสิ่งเปลี่ยนไป ท่าทางหมอนั่นดูน่ารักขึ้น
มัลฟอยลุกขึ้นพลางกวาดสายตามาทางฝั่งบ้านกริฟฟินดอร์ก่อนจะหยุดลงที่ ผม รอน และเฮอร์ไมโอนี่
ร่างสูงเพรียวหันหน้าไปพูดอะไรบางอย่างกับเพื่อนร่วมบ้านก่อนจะวิ่งตรงมาที่พวกผมประจำอยู่ ท่าทางเหมือนกำลังรีบร้อน
เมื่อมาถึงจุดหมายมัลฟอยหยุดยืนอยู่ตรงหน้า เขาหอบเล็กน้อยก่อนจะสูบลมหายใจลึกๆเพื่อปรับให้มันเป็นปรกติ เขาเหลือบมองมาทางผมก่อนจะหันไปประจันหน้ากับรอนและเฮิร์ม
"สุขสันต์วันแต่งงาน!!" มัลฟอยเปร่งเสียงดังพลางส่งช่อดอกไม้ให้ทั้งสอง
เฮอร์ไมโอนี่รับอย่างอึ้งๆส่วนรอนอ้าปากค้างตาโต
"ถึงแม้ฉันจะพลาดงานจริงแต่อย่างน้อยก็ได้อวยพรพวกนายสองคน" มัลฟอยว่าก่อนที่จะคลี่ยิ้มออกมา
นั่นเป็นยิ้มที่ไม่มีใครได้เห็นมาก่อนตลอดเจ็ดปีในฮอกวอตส์ รอยยิ้มที่ไม่ได้เสแสร้งหรือเหยีดหยาม
แต่เป็นรอยยิ้มที่แสดงออกมาอย่างจริงใจและอ่อนโยน
ราวกับทุกคนโดนคาถาต้องสะกด เช่นเดียวกับผม
"พอตเตอร์"
ผมผงะเมื่อได้ยินเสียงเรียกของเขา
"ฉันมีเรื่องต้องคุยกับนาย"
ผมจำได้ว่าผมกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่แล้วหลังจากนั้นผมก็โดนลูกหลงจากแรงระเบิดเวทย์มนต์ที่ยังตกค้างอยู่
ผมรู้สึกมึนงง เหมือนเกิดอะไรขึ้นสักอย่างที่ผมไม่เข้าใจ มีใครบางคนกำลังยืนกอดผมและที่สำคัญหมอนี่เป็นผู้ชาย!!
"ทำบ้าอะไรน่ะ" ผมผลักคนตรงหน้าออกพลางปัดเสื้อผ้าแสดงให้เห็นถึงความรังเกียจ ผมเงยหน้าขึ้นมองแต่แล้วต้องตกใจ เมอร์ลิน ล้อเล่นผมใช่มั้ย!!
มีผู้ชายคนหนึ่งคล้ายไอ้แว่นพอตเตอร์กำลังยืนทำหน้าเอ๋อกับเรื่องที่เกิดขึ้น
ผมหันไปมองรอบๆ ผมไม่ได้อยู่ที่ฮอกวอตส์ดูเหมือนว่าผมอยู่ที่ไหนสักแห่งซึ่งเป็นสถานที่จัดงานปาร์ตี้ใหญ่โตและผมคิดว่าผมคงไม่ได้อยู่ที่โลกเวทย์มนต์ซะด้วย
"ที่นี่ที่ไหน" ผมเอ่ยปากถามคนตรงหน้าพลางเขยิบถอยรักษาระยะห่าง
"โลกมักเกิ้ล"
"แล้วนายเป็นใคร"
"คิดว่าฉันเป็นใครล่ะ"
ผมจ้องมองคนตรงหน้า นัยน์ตาสีเขียว แผลเป็นรูปไฟฟ้าฟาดบนหน้าผาก ทรงผมยุ่งเหยิงไม่ทรงกระจัดกระจาย
"นาย...พอตเตอร์"
"หวัดดีมัลฟอยตอนปีเจ็ด" พอตเตอร์ว่าพลางฉีกยิ้มที่สาวๆเห็นต้องพากันหลง คิดว่าทำกับผมแล้วดูดีรึไง
"ทำไมฉันในอนาคตถึงมาอยู่ที่นี่กับนาย" ผมถามยังคงมองเขาด้วยความระแวง
"วันนี้เป็นวันแต่งงานของรอนกับเฮอร์ไมโอนี่"
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมมิทราบ
"ฉันอยากจะกลับแล้ว" ผมว่าพลางกอดอก อยากจะกลับไปสับกบาลพวกกริฟฟินดอร์หน้าโง่ให้รู้แล้วรู้รอด
ผมก้าวเดินออกจากงานแต่ต้องหยุดเพราะมีมือของคนบางคน แน่ละมีอยู่คนเดียว ที่เข้ามาคว้าแขนผมเอาไว้ ผมหันหลังกับจะด่ามันแต่กลายเป็นว่าผมกลับเงียบเมื่อข้อเสนอถูกยื่นมาตรงหน้า
"นายอยากรู้อะไรเกี่ยวกับตัวนายในยุคนี้รึเปล่า"
สิ่งที่พอตเตอร์เสนอมันมีราคามากสำหรับผม ชีวิตผมในอนาคตจะเป็นยังไง หน้าที่การงานรายได้ค่าใช้จ่ายและผู้หญิงชีวิตดีๆสักคนที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตผม
ถึงแม้ในหัวผมยังมีข้อสงสัยว่าทำไมผมกับพอตเตอร์ถึงได้ติดต่อกันหลังจากที่จบฮอกวอตส์ไปแล้วก็ตาม แต่เรื่องนั้นมันก็ไม่สำคัญเท่าสิ่งที่ผมเป็นอยู่ในตอนนี้หรอก
ค่อยหลอกถามหมอนี่ทีหลังล่ะกัน
"บอกฉันมาให้หมด พอตเตอร์"
"นายคิดยังไงกับฉัน"
นั่นคือสิ่งที่มัลฟอยถามผม อ้อ ผมหมายถึงมัลฟอยในอนาคตนะ
"นายหมายความว่าไง?" ผมเลิกคิ้วขึ้นสูงถามคนตรงหน้า ถึงแม้ว่าผมจะรู้ความหมายจริงๆของคำถามก็เหอะ แต่จะให้พูดออกมามันก็ไม่ใช่เรื่อง
"อย่ามายอกย้อน แฮร์...พอตเตอร์ นายรู้ว่าฉันหมายความว่ายังไง"
มัลฟอยกระชากคอเสื้อผม มองด้วยสายตาไม่สบอารมณ์แต่แววตากลับแฝงอะไรบางอย่างที่ยากจะเข้าถึง...แววตาที่ดูเหมือนกำลังเศร้า เขากำลังเสียใจอะไรบางอย่าง
แต่เดี๋ยวก่อนผมหูฝาดไปเองรึเปล่าเหมือนมัลฟอยกำลังจะเรียกผมด้วยชื่อต้น
"เรื่องอะไรฉันต้องบอกนายด้วยล่ะ มัลฟอย ความจริงก็เห็นๆกันอยู่" ผมยักไหล่ตอบกลับอย่างไม่สนใจเท่าไหร่นัก ผมรู้ว่าหมอนั่นคิดยังไงกับผมและมันคงไม่มีทางเปลี่ยนแปลงถ้าผมบอกความรู้สึกจริงๆให้เขาได้รับรู้
มัลฟอยหลุบตามองลงกับพื้น มือยังคงกำคอเสื้อผมไว้แน่นและแน่นขึ้นกว่าเดิม ความจริงผมคิดว่าตัวเองคงจะโดนหมัดสองมัดจากคนตรงหน้า แต่สถานการณ์กลับผลิกผันเมื่อมัลฟอยปล่อยมือที่กำคอเสื้อผมขึ้นไปปิดใบหน้าของเขาเอง
ตอนแรกผมคิดว่าหมอนั่นกำลังวางแผนร้ายๆอะไรสักอย่าง แต่เมื่อผมสังเกตเห็นหยาดน้ำตาที่ไหลลงไปตามเรียวหน้าสวย ผมถึงกับตกใจ...
เขากำลังยืนร้องไห้ต่อหน้าผมซึ่งเป็นศัตรูกันมาตลอดกว่าเจ็ดปี
เขา เดรโก มัลฟอย อดีตลูกผู้เสพความตาย กำลังยืนร้องไห้ตรงหน้าผม แฮร์รี่ พอตเตอร์ เด็กหนุ่มผู้ปราบจอมมาร
สายลมเย็นๆปะทะเข้ากับใบหน้าของผมเต็มแรง โชคดีที่พอตเตอร์หน้าบากให้ผมยืมเสื้อแจ๊กเก็ตตัวใหญ่ของมัน ไม่งั้นป่านนี้ผมอาจจะแข็งตายเพราะอากาศข้างนอกนี่ก็เป็นได้
แต่ผมไม่ขอบคุณมันหรอกนะ...
"เฮ้ กอดตัวฉันไว้แน่นๆสิ เดี๋ยวนายก็กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งหรอก" พอตเตอร์ตะโกนพลางบิดยานพาหนะที่พวกมักเกิ้ลเรียกกันว่ามอเตอร์ไซค์เพื่อเร่งความเร็ว จนผมต้องรีบตระครุบเสื้อมันไว้ก่อนจะกลายเป็นแบบที่พอตเตอร์มันพูดจริงๆ
'แล้วทำไมเอ็งไม่ขับช้าๆล่ะวะ' ผมคิดในใจ
พอตเตอร์หยุดรถลงทันทีเมื่อสัญญาณไฟถูกเปลี่ยนเป็นสีแดง นั่นส่งผลให้หน้าผมกระแทกเข้ากับแผ่นหลังคนตรงหน้าเต็มๆ
จะหยุดรถก็บอกหน่อยสิ!
"มัลฟอย ฉันบอกให้นาย'กอด'ตัวฉัน ไม่ใช่ตระครุบเสื้อฉัน ถ้าเสื้อมันขาดนายจะทำยังไง" พอตเตอร์หันหน้ามาถามผม
" อย่ามาพูดบ้าๆนะ จะให้ฉันกอดนายฉันขอยอมตายจะดีกว่าเสียอีก ขยะแขยง ส่วนเสื้อถ้าขาดนายก็แค่หาซื้อใหม่หรือไม่มีปัญญาจะซื้อรึไง" ผมเหยียดยิ้มพูดอย่างมีชัยและยังคงกำเสื้อหมอนั่นไว้แน่น
เรื่องอะไรผมต้องทำตามที่หมอนั่นพูดผมไม่ใช้เบ๊มันสักหน่อย
"...เสื้อตัวนี้ คนสำคัญของฉันให้มา" พอตเตอร์หันหลังกลับพูดเสียงนิ่งเรียบ
ผมไม่สามารถรู้ได้เลยว่าหมอนี่กำลังพูดเล่นหรือจริงจัง ทั้งๆที่ดูเหมือนหวงแต่ถ้ามันขาดหมอนี่ก็คงไม่ได้ใสใจอะไร
แต่ในทางกลับกันก็อยากจะดูแลรักษามันเอาไว้ตลอดไป
เหอะ คงจะเป็นเสื้อที่ยัยจิ๋ววิสลี่ย์ให้ล่ะสิ
...พอตเตอร์ ฉันไม่เข้าใจนายได้เลยจริงๆ
ผมค่อยๆคลายมือออกเป็นขณะเดียวกันที่ไฟจราจรถูกเปลี่ยนเป็นสีเขียว ผมไม่เข้าใจจริงๆว่าสีพวกนั้นมันมีความหมายยังไง แต่ว่าสีเขียวนั่นเหมือนสีตาของใครบางคนที่ผมหลงใหลมาตลอด มันดึงดูดคนรอบข้างราวกับน้ำเลี้ยงดอกไม้ที่ดึงดูดแมลง ผมถอนตัวไม่ขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รู้อีกทีผมก็ได้แต่คอยเฝ้ามองดวงตาสีเขียวคู่นั้น...อ่า ใช่แล้ว แผ่นหลังกว้างตรงหน้านี้ด้วย ผมใฝ่ฝันมาตลอดว่าสักวันผมจะได้ยืนเคียงข้างเขา ก้าวเดินไปพร้อมๆกับเขา ช่วยแบ่งเบาภาระบนแผ่นหลังกว้างของเขา ผมได้แต่เฝ้ามองและหวังว่าสักวันมันจะเป็นจริง แต่ผมรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้
ผมรู้ว่าเขาคิดยังไงกับผมแม้ว่าหากวันหนึ่งผมบอกความรู้สึกที่มีต่อเขาไป...มันก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
ผมรู้สึกถึงลมเย็นๆกระทบเข้ากับใบหน้าอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันแปลกออกไป ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังลอยได้
แม้ว่าเขาจะร้องไห้แต่กลับไม่มีเสียงสะอื้น ผมได้เพียงแต่ยืนมองเขาเป็นเวลาหลายนาที หลายครั้งที่ผมอยากจะเดินเข้าไปโอบกอดเขากระชับเขาไว้ในอ้อมกอดแน่น อยากจะกระซิบข้างหูเขาว่าไม่เป็นไรผมอยู่ตรงนี้แล้ว แต่ผมก็ต้องคอยห้ามตัวเองเพราะผมรู้ที่ตรงนั้นมันไม่ใช่ที่ที่ผมจะไปยืนอยู่ ผมได้แต่กำมือแน่นพลางสาปแช่งตัวเองในอนาคตที่ทำให้คนตรงหน้าต้องเสียน้ำตา
" นายเกลียดฉัน?" มัลฟอยเอ่ยปากถามมือคู่นั้นยังคงปิดใบหน้า
'ไม่ ไม่มีทางที่ฉันจะเกลียดนาย' ผมได้แต่ตะโกนอยู่ในใจ ผมกำมือแน่นได้เพียงแต่ยืนนิ่งเงียบ
"ขอร้องล่ะ อย่างน้อยได้โปรดตอบฉันเถอะ...เพราะฉันไม่รู้จริงๆว่าฉันควรจะทำยังไงกับความรู้สึกนี้...ถ้านายเกลียดฉันจริงๆล่ะก็...แค่บอกฉันมา ฉันไม่อยากจะทนรักนายข้างเดียวอีกต่อไปแล้ว"
คำพูดของมัลฟอยทำให้ผมเข้าไปประชิดตัวเขาจับข้อมือทั้งสองข้างเขาออกเผยให้เห็นใบหน้ามนที่เปื้อนไปด้วยน้ำตา
"แฮร์รี่...แฮร์รี่...แฮร์รี่...ฉัน...ขอโทษ ฉันรักนายจริงๆ" ยิ่งเขาพูดน้ำตาของเขาก็ยิ่งทะลัก ผมไม่สนอีกต่อไปว่าในหัวผมจะมีความคิดที่จะต่อต้านความรู้สึกนี้อีกนานเท่าไหร่ ผมจับหลังหัวของคนตรงหน้าซบกับหน้าอกตัวเองพลางกอดเขาแน่นเหมือนกับไม่มีวันที่จะปล่อยให้เขาหายไป มัลฟอยตัวสั่นน้ำตายังคงไหลรินออกจากดวงตาคู่สวยนั่น แม้ผมจะมองไม่เห็นก็ตาม แต่ผมก็รู้เพราะผมรู้สึกถึงความเปียกชื้นบริเวณนั้น
ผมกอดเขาแน่น พลางสูดดมเส้นผมนุ่มละเอียดของเขาให้เต็มปอด ผมอยากจะจดจำช่วงเวลานี้ให้นานที่สุด
ผมอยากจะโอบกอดตัวเขาให้แน่นที่สุด และผมอยากจะกระซิบข้างหูเขา บอกเขาให้รับรู้ถึงความรู้สึกที่ผมปิดกั้นมาตลอด
ใช่แล้ว ผมต้องบอกเขา
ผมก้มหน้าลงอยู่ในระดับเดียวกับใบหน้าของเขาก่อนจะเข้าไปกระซิบข้างๆใบหูเล็กๆนั่น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
"มัลฟอย อย่าร้องไห้ ฉันอยู่ตรงนี้ ฉันอยู่ตรงนี้ อย่าร้องนะคนดี มัลฟอย ฉัน.... ฉัน...."
ผมต้องบอกเขา
"ฉันรัก...."
'ผมรู้สึกถึงลมเย็นๆกระทบเข้ากับใบหน้าอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันแปลกออกไป ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังลอยได้'
"เฮ้ย!"
เสียงตะโกนของพอตเตอร์ทำให้ผมได้สติ ผมมองคนตรงหน้าที่ทำท่าทีแตกตื่น แถมเขากำลังจับมือผม เกิดอะไรขึ้น
"นี่ นายอยากตายรึไงกัน!?" พอตเตอร์ตะคอกใส่หน้าผม หมอนี่เป็นบ้าอะไรเนี่ย
"เป็นบ้าอะไรของนายพอตเตอร์ ฉันยังไม่ตายสักหน่อย" ผมพูดพลางสะบัดข้อมือออก
" ใช่ นายยังไม่ตาย แต่ถ้าฉันไม่จับนายเอาไว้นายตายไปแล้ว เดรโก!" พอตเตอร์พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียดพลางหอบหนัก เขาจับหัวไหล่ผมทั้งสองข้างก่อนที่จะทิ้งหัวลงบนไหล่ข้างขวาของผม
หนักนะเจ้าบ้า อีกอย่างใครอนุญาตให้นายเรียกชื่อต้นฉันกัน
" อย่าทำแบบนี้อีก สัญญากับฉัน นายจะไม่ทำแบบนี้อีก" พอตเตอร์กระซิบด้วยน้ำเสียงแหบพร่า มือที่จับไหล่สั่นจนหน้าตกใจ
"สัญญากับฉันเดรโก ข้อร้องล่ะ สัญญากับฉัน..." เขาพูดซ้ำไปซ้ำมาเหมือนกับคนเสียสติ ตลอดเจ็ดปีที่ผมอยู่ฮอกวอตส์ผมไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อนเลยหรือนี้อาจจะเป็นหนึ่งมุมที่หมอนี่ไม่เคยเผยให้ใครเห็น...ผมคิดเข้าข้างตัวเองได้ใช่มั้ย?
"ถึงฉันจะไม่เข้าใจก็เถอะ เอ้า สัญญา" ผมพูดพลางชูนิ้วก้อยขึ้น
พอตเตอร์เงยหน้าขึ้นมองผม ก่อนจะกุมท้องระเบิดออกมา
" ขำอะไรเจ้าบ้า หยุดเดี๋ยวนี้นะ พอตเตอร์"
" นายเป็นเด็กรึไงถึงต้องมาทำสัญญาเกี่ยวก้อย ไม่สิ นายเป็นเด็กหนิ อุ๊บส์"
พอตเตอร์กลั้นหัวเราะก่อนจะระเบิดออกมาอีกรอบ ให้ตายเถอะผมชักจะรำคาญไอ้หมอนี่ซะแล้ว
ขณะที่ผมกำลังเปลี่ยนใจ หมอนั่นก็ยื่นนิ้วก้อยมาเกี่ยวกับนิ้วของผม ผมหันไปมองหน้าเขา เขาเองก็มองหน้าผม ผมไม่รู้เกิดอะไรขึ้นแต่ผมรู้สึกเหมือนกำลังโดนสายตาคู่นั้นดึงดูด หน้าของผมค่อยๆเข้าใกล้เขาเช่นเดียวกับใบหน้าของเขาที่กำลังเคลื่อนใบหน้าของผม หน้าผากเราแนบกัน ผมรู้สึกถึงลมหายใจที่สม่ำเสมอของเขา รู้สึกถึงไออุ่นที่แผ่ออกมา เขาจะรู้มั้ยนะว่าหัวใจผมเต้นแรงเหมือนกับจะกระโดดออกมาจากร่างกาย
" เดรโก..." เสียงทุ้มแฝงไปด้วยความอ่อนโยนทำให้ผมรู้สึกสงบ ผมหลับตาลงกำลังรอกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ถึงผมจะไม่มั่นใจว่านี่จะเป็นสิ่งที่ถูกรึเปล่า แต่ผมไม่สนอีกต่อไป ผมก็แค่...
"เดรโก ฉัน..."
ผมรู้สึกหงุดหงิด หงุดหงิดมากอย่างบอกไม่ถูก หากมีใครมาทักผมสักคนในตอนนี้ล่ะก็มันคงตายไม่เหลือซากแน่ หลังจากวันนั้นมันก็ผ่านมาสามวันแล้ว ตอนที่พอตเตอร์ในอนาคตกำลังบอกว่าอะไรสักอย่างกับผม
แต่พอผมรู้สึกอีกทีผมกลับถูกกอดอยู่ในอ้อมแขนของพอตเตอร์คนปัจจุบัน ซึ่งหมอนั่นก็เรียกชื่อผมอยู่พอดี
ให้ตายเถอะ นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย! จูบก็ไม่ได้จูบกับพอตเตอร์ แถมยังถูกหมอนั่นกอดโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น...เดี๋ยวก่อน
นี่ผมคาดหวังว่าจะได้จูบกับพอตเตอร์เหรอ บ้าไปแล้ว เดรโก มัลฟอย!!
" เฮ้ วิสลี่ย์ฝั่งนายเป็นไงบ้างพวก" เบลสเอ่ยถามขณะที่พวกเขากำลังทดลองปรุงยาชนิดหนึ่งขึ้น
" ไม่มีอะไรก็อย่างที่นายเห็นตอนนี้แหละ ซาบินี่ เห็นชัดๆว่าต่างคนต่างหลบหน้ากัน" รอนตอบกลับพลางมองเพื่อนตรงหน้าที่ถูกจับคู่กับคนที่ถูกเรียกขานว่า'เจ้าชายแห่งสลิธีริน' หลังจากที่มัลฟอยในอนาคตบอกว่าจะคุยอะไรสักอย่างกับแฮร์รี่ตามลำพัง แต่พอมัลฟอยกลับมาเป็นปกติก็เห็นได้ชัดว่าต่างคนต่างหลบหน้ากัน แต่สุดท้ายก็หนีไม่รอดโดนจับคู่วิชาปรุงยา
"ฉันจะบอกอะไรดีๆให้วิสลี่ย์ หลังจากที่เดรโกกลับมาเป็นปกติ หมอนั่นเอาแต่มองเพื่อนแกว่ะ"
"ฉันก็มีอะไรดีๆจะบอกเหมือนกันว่าแฮร์รี่เพื่อนฉันก็เอาแต่เหลือบมองเพื่อนนายว่ะ"
"อย่าบอกนะว่า..."
" เออ ฉันไม่อยากพูดแต่ฉันก็คิดเหมือนกันว่ะ"
และทั้งสองก็ได้ล่วงรู้ถึงความลับของเพื่อนสนิทตัวเอง
หลังจากคาบวิชาปรุงยาจบผมแทบจะบ้า ทั้งๆที่มันเป็นวิชาสุดโปรดของผมแท้ๆ แต่ผมกลับไม่มีสมาธิจดจ่อในการปรุงยาเลยสักนิด ผมรีบจัดการเก็บข้าวของของตัวเองและรีบออกจากห้องให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แค่รู้ว่าพอตเตอร์มันอยู่ใกล้ๆผม ผมก็ควบคุมตัวเองไม่อยู่ ไม่รู้ว่าวันนี้ผมแอบมองมันเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้ว
ขณะที่ผมกำลังวิ่งออกจากห้อง ด้วยความซวยที่ผมรีบวิ่งออกจัดบวกกับเสื้อคลุมชั้นนอกที่ไม่รู้จะทำให้มันยาวลากพื้นไปทำไม ผมกำลังล้มเพราะเหยียบชายเสื้อตัวเอง
ผมหลับตาแน่นพลางนึกถึงใครคนหนึ่ง ถ้าเป็นเขา...เขาต้องมาช่วยผมแน่ ถ้าเป็นหมอนั่นเขาต้องมาแน่
ใบหน้าผมกำลังทิ่มลงพื้น ทันใดนั้นก็มีคนดึงแขนผมเข้าไปปะทะกับหน้าอกกว้าง เขาใช้มือข้างหนึ่งจับหัวผมซบไหล่ ส่วนอีกข้างกอดตัวผมเอาไว้ ผมนิ่งอึ้งในมือขยุ้มเสื้อคนตรงหน้าแน่นจนยับยู่ยี่ ผมตัวสั่นจนทำอะไรไม่ถูก ผมไม่รู้ว่าผมทำสีหน้ายังไงออกไป ผมเพียงแค่เงยหน้าและเอ่ยขอบคุณเขา
" ขอบใจ...วิสลี่ย์" ผมไม่รู้ว่าเขาจะได้ยินเสียงที่ผมพูดรึเปล่าเพราะขนาดผมเป็นคนพูดเองผมยังไม่ได้ยินเลย วิสลี่ย์พยักหน้ารับก่อนจะย่อตัวลงช่วยเก็บของของผมที่กระจัดกระจายตรงพื้น
ผมค่อยๆย่อตัวลงเพื่อจะเก็บของตัวเอง อาจจะเป็นผมเองที่คิดเข้าข้างตัวเองตลอดเวลาหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้อยู่เคียงข้าง อาจจะเป็นผมเองที่ทึกทักเอาเองตลอดเวลาว่าคนคนนั้น...คนคนนั้นจะต้องมาช่วยผมอย่างแน่นอน
" เฮ้ย มัลฟอย นาย..."
ผมได้ยินเสียงวิสลี่ย์ร้อง ถึงแม้ผมกำลังมองเขาอยู่แต่ผมกลับมองไม่เห็นอะไรเลย ผมรู้สึกได้ถึงน้ำอุ่นๆที่ไหลออกมาจากดวงตา หรือว่าผมกำลังร้องไห้? ทำไมผมต้องร้องไห้?
ผู้คนบริเวณนั้นต่างเอาแต่ยืนและกำลังพูดในสิ่งที่พวกเขาเห็น พวกเขากำลังเห็นผมอ่อนแอ พวกเขากำลังพูดถึงเรื่องที่ผมร้องไห้ แม้ตอนนี้มันจะผิดมั้ยที่ผมยังจะหวังเข้าข้างตัวเองว่าเขาต้องมาช่วยผมแน่
เขาต้องมาช่วยผมแน่
เขาต้องมาช่วยผม
เขาต้องมาช่วยผม
......
....
...
..
.
เขาไม่มาช่วยผม
เรื่องบางเรื่องก็ต้องปล่อยให้มันผ่านไป...
ผมไม่รู้ทำไมตัวเองต้องรู้สึกหงุดหงิด หงุดหงิดที่ผมไม่ได้บอกหมอนั่นว่าผมเองก็รักเขา หงุดหงิดที่เห็นหมอนั่นกลับมาแล้วเอาแต่หลบหน้าผม หลังจากตอนนั้นมันก็ผ่านมาสามวันแล้วแต่เขาก็ยังไม่เลิกที่จะหลบ แม้แต่ในวิชาปรุงยาผมที่ได้คู่กับเขา เดรโก มัลฟอย หมอนั่นก็เอาแต่หลบหน้าไม่ยอมพูดยอมจาสักคำ
พอคาบวิชาปรุงยาจบลงมัลฟอยรีบเก็บข้าวของและวิ่งออกไป ผมได้แต่มองการกระทำของเขาและสาปแช่งตัวเองในอนาคต ผมในอนาคตทำอะไรลงไปทุกครั้งที่มัลฟอยกลับมาถึงได้เปลี่ยนไป
มันคงต้องเป็นแบบนี้อีกครั้ง ผมหันหลังพลางเดินออกประตูอีกทาง
เรื่องบางเรื่องก็ต้องปล่อยให้มันผ่านไป...
" แฮร์รี่ แฮร์รี่ รอเดี๋ยว" เสียงเชมัสตะโกนเสียงหลงดังขึ้นจนผมต้องหยุดเดิน ที่จริงตอนนี้ผมไม่อยากจะคุยอะไรกับใครเท่าไหร่นัก เนื่องจากผมยังต้องใช้เวลาในการทำใจ
เชมัสวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าระรื่น เขายิ้มกว้างท่าทางคงจะเป็นข่าวใหญ่โต
ถ้าหากผมฟังบางทีผมอาจจะลืมเรื่องตอนนี้ไปก็ได้ ผมจึงตัดสินใจยืนฟัง
" นายต้องไม่เชื่อเรื่องที่ฉันบอกแน่ แฮร์รี่ นี่คือชัยชนะของกริฟฟินดอร์เลยทีเดียว ฟังนะ แฮร์รี่ นายต้องไม่เชื่อเรื่องที่ฉันจะบอกนายแน่!" เชมัสพูดซ้ำไปซ้ำมาจนผมเลยจะชักรำคาญหน่อยๆ
"คืองี้นะ แฮร์รี่ รอนทำมัลฟอยร้องไห้ล่ะ"
เชมัสพูดจบ ผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ สองขาผมวิ่งสุดแรงไปยังห้องวิชาปรุงยาก่อนหน้านี้
ผมได้ยินเสียงเชมัสตะโกนไล่หลังแต่ผมไม่สนว่าเขาพูดอะไร เพราะตอนนี้มีเพียงเรื่องเดียวที่ผมต้องทำ
ถ้ามัลฟอยจะร้องไห้เพราะใครคนหนึ่ง คนคนนั้นต้องเป็นผมคนเดียวเท่านั้น
ผมไม่รู้ว่าผมนั่งอยู่ตรงนี้มานานเท่าไหร่ มีเพียงอย่างเดียวที่ผมรู้ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่
ผมกำลังนั่งรอใครคนหนึ่ง ถึงแม้ผมจะรู้อีกล่ะว่าเขาจะไม่มา
ผมกำลังนั่งรอใครคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สนใจผมก็ตาม
ผมกำลังนั่งรอใครคนหนึ่ง
ถึงแม้ในหัวของผมมันจะสั่งให้ผมลืมๆเรื่องพวกนั้นไปซะ ไม่ต้องไปใส่ใจเหมือนกับเรื่องที่พวกฝาแฝดวิสลี่ย์ที่ทำโต๊ะเรเวนคลอกับฮัฟเฟิลพัฟพัง แต่ผมอยากจะลองเชื่อหัวใจตัวเองสักครั้ง ผมอยากจะลิ้มรสความเจ็บปวดเพื่อเป็นสิ่งตอกย้ำถึงความเป็นไปไม่ได้
"มัลฟอย" เสียงวิสลี่ย์ดังขึ้น พร้อมกับร่างของหมอนั่นที่เคลื่อนเข้ามาใกล้
ทั้งๆที่ผมเคยด่าเขาหลายครั้งหลายหนแต่เขากลับช่วยเหลือผมในยามที่ผมต้องการใครสักคน
"ขอบใจนะ วิสลี่ย์" ผมยิ้ม ผมกำลังฝืนยิ้ม ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมกำลังทำหน้าอะไรให้หมอนี่อยู่
ในใจผมยังคงหวังให้เขามา...หวังให้เขามาฉุดผมออกจากสถานการณ์แบบนี้
ผมรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นของอ้อมกอดใครคนหนึ่ง วิสลี่ย์...รอน วิสลี่ย์กำลังกอดผม
ถึงแม้ผมจะชอบความอบอุ่นแต่ผมกลับรู้สึกว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ
เขาคนเดียวเท่านั้นคือคนที่ผมต้องการในตอนนี้และตลอดไป
"เป็นฉันไม่ได้รึไงที่จะมาแทนที่แฮร์รี่ เป็นฉันได้มั้ยที่จะเป็นคนดูแลนายจากนี้และตลอดไป ฉันรู้ว่ามันยากที่จะเลิกรักใครสักคน แต่ฉันไม่ได้ขอให้นายเลิกรักหมอนั่น ฉันขอให้นายเพียงแค่หันมามองฉัน ค่อยๆรักฉันทีละนิด ค่อยๆเติมเต็มช่องว่างระหว่างเรา เป็นฉันได้มั้ยที่จะเป็นคนเดินเคียงข้างนายจนวินาทีสุดท้าย"
หลังจากที่เขาพูดจบ ผมเงยหน้ามองเขาก่อนจะตอบเขากลับไป
" วิสลี่ย์ ฉัน...."
ผมวิ่งจนเกือบมาถึงหน้าประตูห้องวิชาปรุงยา ผมวิ่งแทรกตัวทั้งผลักทั้งดันผู้คนตรงหน้าให้ออกไปพ้นๆทาง
ใครจะว่าผมเป็นยังไงก็ช่างผมไม่มีเวลาห่วงเรื่องพรรค์นั้น
ทันทีที่ผมแหวกผู้คนให้ออกพ้นทางได้สำเร็จหัวใจผมแทบจะหยุดเต้นทันทีที่เห็นภาพตรงหน้า
เพื่อนสนิทของผม รอน วิสลี่ย์กำลังกอดมัลฟอย อีกอย่างทั้งสองกำลังหัวเราะ นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นมัลฟอยหัวเราะ ในหัวผมมีเสียงหนึ่งดังขึ้นอีกครั้ง 'เรื่องบางเรื่องก็ต้องปล่อยให้มันผ่านไป' ผมกำมือแน่น
มีหลายครั้งที่ผมปล่อยให้มันผ่านไปแต่ครั้งนี้ยังไงผมก็ปล่อยให้มันผ่านไปไม่ได้
ผมวิ่งไปตรงที่รอนกับมัลฟอยกำลังนั่งคุยกันอยู่ ผมกระชากแขนคนร่างบางให้ลุกยืนหันไปกระซิบข้างหูเขาก่อนจะหันไปพูดกับรอน
"หมอนี่เป็นของฉันอย่าได้คิดจะแย่งล่ะ" ว่าเสร็จผมก็ออกตัววิ่งไปพร้อมกับมัลฟอย
" ฉันชนะส่งลูกอมรสเขียดมาให้ฉันหนึ่งร้อยเม็ด" เบลส ซาบินี่ ยิ้มเยาะอย่างมีชัยพลางแบมือรอลูกอมจากเด็กกริฟฟินดอร์ทั้งสอง
" เดี๋ยวก่อนสิ ฉันเองก็ชนะพนันตรงที่แฮร์รี่ต้องกลับมานะ" เฮอร์ไมโอนี่แย้งขึ้นมองหน้าเด็กหนุ่มสลิธีรินด้วยสายตาค้อนๆ
"นี่มันเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เดรโกต้องเป็นของฉันสิ ของฉันคนเดียวเท่านั้น" แพนซี่ พากิสันพูดพลางกัดผ้าเช็ดหน้าของหล่อน
"เฮ้ ซาบินี่ นายแพ้พนันว่ะ ฉันกับเฮริ์มต่างหากที่ชนะ"
" หา? เป็นงั้นได้ไง ก็เห็นชัดๆว่าพวกนายสองคนยิ้มให้กัน"
"ตอนนั้นมัลฟอยบอกฉันว่า..."
' วิสลี่ย์ ฉันขอโทษนะ ฉันรักหมอนั่นแค่คนเดียว แล้วอีกอย่างการแสดงของนายห่วยเป็นบ้าเลย บอกเบลสด้วยล่ะว่าเรื่องแบบนี้ใช่ว่าจะเอามาล้อเล่นกันได้'
"เขาว่างั้นล่ะ ซาบินี่ ฉันกับเฮริ์มชนะ ส่งลูกอมรสเขียดมาหนึ่งร้อยเม็ด" รอนยิ้มเยาะอย่างมีชัย พลางแบมือรอลูกอมจากเด็กสลิธีรินทั้งสอง
" อาฮ่า ได้งานนี้ไม่อดตายไปเดือนหนึ่งล่ะ" รอนกล่าวพลางมองลูกอมเต็มถุงอย่างดีใจตรงกันข้ามกับเด็กสาวที่เดินนิ่งเงียบมาตลอดทาง
" เป็นอะไรรึเปล่า เฮริ์มเธอดูเงียบจังหรือว่า...เธอหึงฉันกันล่ะ" รอนพูดติดตลกแต่คำตอบของแฟนสาวทำให้เขาขำไม่ออก
"ใช่ ฉันหึงนาย รอน ถ้าหากมัลฟอยเขาตอบรับขึ้นมานายจะทำยังไง ฉันคิดเรื่องนี้มาตลอดเลยรู้มั้ย"
"เฮอร์ไมโอนี่เธอจำที่มัลฟอยในอนาคตพูดได้มั้ย"
" รอนอย่าเปลี่ยนเรื่องจะได้--"
ไม่ทันที่เด็กสาวจะได้พูดจบ แฟนหนุ่มร่างสูงก็ก้มหน้าลงมาจูบอีกฝ่ายก่อนจะเปลี่ยนเป็นโอบกอดแฟนสาวแน่น
"ฉันรักเธอ เฮริ์ม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นฉันจะเป็นคนปกป้องเธอ ฉันจะเป็นผู้ชายคนเดียวที่จะเดินเคียงข้างเธอตลอดจนพวกเราจะตายจาก ฉันจะเป็นผู้ชายคนเดียวจากนี้และตลอดไปที่จะถามเธอด้วยคำๆนี้ 'แต่งงานกับฉันนะ เฮริ์ม' "
เด็กสาวหน้าแดงรื่น ก้มหน้างุดด้วยความเขินอาย เธอได้เพียงแต่พยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ก่อนที่ทั้งสองจะเดินจับมือหัวเราะร่วมทุกข์ร่วมสุขกันตลอดไป
"ฉันหวังว่าพวกเขาจะตกลงกันด้วยดี"
"ไม่ต้องห่วงหรอกเฮริ์ม ถ้าเป็นพวกนั้นล่ะก็ไม่เป็นไรแน่ๆ"
" พอตเตอร์ ปล่อย!" ผมพูดขึ้นพยายามแกะมือคนตรงหน้าออก แต่ก็ไม่เป็นผล
พอตเตอร์หยุดวิ่งในมือยังคงจับแขนผมแน่น ไม่ทันที่ผมจะได้ถามอะไรออกไปแฮร์รี่ก็ดึงผมเข้าไปกอด
" ฉันรักนายมัลฟอย"
"..."
"ฉันขอโทษถ้าหากฉันต้องทำให้นายผิดหวังในบางเรื่อง ฉันไม่ใช่คนดีพร้อมที่จะทำให้นายมีความสุขตลอดเวลา แต่ถ้านายให้โอกาสฉัน ฉันสัญญาว่าฉันจะทำให้นายมีความสุขมากขึ้น ถึงแม้บางครั้งอาจจะมีเรื่องให้เจ็บปวดแต่ฉันจะเป็นคนที่ยืนเคียงข้างนายและเราจะเดินฝ่ามันไปด้วยกัน ฉันรู้ว่ามันอาจจะดูงี่เง่าที่ฉันมาทำอะไรแบบนี้แต่ว่า...นายจะรับรักฉันมั้ย"
พอตเตอร์จ้องหน้าผมรอคำตอบ เขาจะรู้มั้ยว่าการกระทำของเขาตอนนี้ทำให้ผมหลงรักเขามากขึ้นไปอีก
ผมยิ้ม ก่อนที่จะใช้มือโน้มใบหน้าของเขาลงมาจูบ มันเป็นแค่จูบสั้นๆที่ไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่านั้นผมผละออกจากเขา หลบสายตาพลางถามคนตรงหน้า
" นายคิดว่าไงล่ะ"
เขายิ้มกว้าง นั่นเป็นรอยยิ้มที่ใครๆต่างพากันหลง แต่แน่นอนว่าผมไม่เคยตกหลุมพรางนั่น
ผมรู้ว่าไม่มีทางที่ผมจะไปตกหลุมที่เขาขุดขึ้นมาเป็นอันขาด ใช่ ผมรู้
แต่นั่นก็เป็นเพราะผมตกไปเรียบร้อยตั้งแต่แรกแต่ไม่เคยยอมรับสักทีต่างหาก
End credit
" เฮ้ ขอฉันเรียกนายว่าเดรโกได้มั้ย"
"หา"
"ได้มั้ย"
"ไม่มีทางซะล่ะ"
"นะเดรโก"
"ไม่"
"นะครับ เดรโก"
"ไม่"
"นะ"
" ชิส์ นายก็พูดไปแล้วหนิ"
" เรียกฉันว่าแฮร์รี่บ้างดิ"
" ไม่มีทาง"
"ฉันรักนายนะ เดรโก"
"อ่า"
"นายรักฉันมั้ย?"
"อ่า"
"ฉันอยากได้ยินนายพูดจากปากนาย"
" เหมือนกัน"
"อะไรเหมือนกัน"
"รักเหมือนกัน"
"นายเนี่ยปากแข็งจังเลย ทั้งๆที่ตอนจูบออกจะนุ่มแท้ๆ"
"ฉันรักนาย แฮร์รี่"
!!
จบไปอีกตอน ยะฮ้าาาา ตอนที่ลงฟิคนี้เละมากๆ ทั้งยังไม่ได้จัดหน้ากระดาษ ทั้งพิมพ์ผิดพิมพ์ตก แถมพอแก้เสร็จเข้าเด็กดีไม่ได้อีก พอเข้าได้จะกดแก้ดันไปกดลบบทความซะงั้น ฮ่าๆๆ เฮ้อ~ เหนื่อยจริงๆ
ถ้าอ่านแล้วรู้สึกยังไงก็ติชมกันได้ ที่จริงรู้สึกตะหงิดมากเลยกับภาษาที่ใช้มันไม่รื่นเลยเนี่ย แต่ก็จะพยายามแก้ไขต่อไป ส่วนเรื่องที่แล้วขอบคุณคนเม้นท์ทั้งสี่คนมาก ฮ่าๆ มีกำลังใจขึ้นเยอะ และก็ขอขอบคุณนักอ่านเงาทุกท่านที่เข้ามาเพราะถึงคุณจะไม่ได้เม้นท์เราก็มองจากยอดคนเข้าดูได้ นั่นก็เป็นอีกกำลังใจหนึ่งเหมือนกัน
ที่จริงมีประมาณอีกสองสามพล็อตที่คิดไว้กะแต่งให้เสร็จแล้วรออ่านฟิคคนอื่น ฮ่าๆ ถ้าแต่งอีกทีคงไม่ใช่คู่นี้แล้วล่ะ ยังเหลือของเก่าที่ดันอู้เพราะสมัยนั้นนึกครึ้มอยากจะแต่งปรากฎว่าแรงหมดไม่ได้แต่งต่อ เดี๋ยวจะกลับไปแต่งใหม่ ตอนนี้เวลาแต่งทีไรก็เลยแต่งแต่เรื่องสั้นถ้าเรื่องยาวมันจะมีแนวโน้มสูงว่าจะดอง ฮ่าๆ ว่าเข้าไปนั่น
โชคดีทุกคนนะเออ
ผลงานอื่นๆ ของ thoandfel ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ thoandfel
ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้
ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้
ความคิดเห็น