...ใครน่ะ!?... - ...ใครน่ะ!?... นิยาย ...ใครน่ะ!?... : Dek-D.com - Writer

    ...ใครน่ะ!?...

    พรุ่งนี้จะเป็นวันเกิดน้องสาวสุดที่รักของฉัน แต่ทำไม...เรื่องมันถึงกลายเป็นอย่างนี้ไปได้ล่ะเนี่ย-*-

    ผู้เข้าชมรวม

    216

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    216

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  8 ต.ค. 50 / 09:01 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้

    ตอนแรกสับสนเล็กน้อย เราจะจัดเรื่องนี้ไว้ในหมวดไหนดีหว่า
    สุดท้าย จับยัดมันลงไปในหมวดนิทานนี่แหล่ะ จบ!

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      พรุ่งนี้เป็นวันเกิดเจน

      ฉันทบทวนแผนจัดงานไปในใจขณะเข็นจักรยานเข้าเก็บใต้ถุนบ้าน น้องสาวจอมซนจะอายุครบแปดขวบทั้งทีฉันต้องเตรียมการไว้พร้อมอยู่แล้ว เค้กเอย แขกเอย ลูกโป่งเอย ...ของขวัญเอย

      นึกมาถึงตอนนี้ฉันก็เผลอยิ้มหุบไม่อยู่ หยิบถุงพลาสติกสีฟ้าสดจากตะกร้ารถมาเปิดดูเป็นครั้งที่ร้อย ตุ๊กตาเด็กหญิงผมทองจากการ์ตูนเรื่องโปรดของเจนส่งยิ้มตอบมาเป็นครั้งที่ร้อยเช่นกัน  นึกถึงภาพเจนดีใจตอนเห็นมันแล้ว ฉันอยากให้ถึงพรุ่งนี้ไวไวจริงๆ

      แต่ถ้าพรุ่งนี้มาไว มะรืนนี้ก็ต้องมาไวด้วย ในฐานะนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามที่กำลังจะจมกองการบ้านตาย...ฉันอิจฉาน้องจริงๆ

      ก็อกๆ ก็อกๆ

      ฉันเคาะประตูบ้านลั่น แย่จริงดันลืมเอากุญแจบ้านไปด้วย หวังว่าคงมีคนได้ยินนะ

      เดี๋ยวๆ

      เสียงตอบรับของเจนดังแว่วมา  ในที่สุดก็มีคนได้ยิน

      พี่เองเปิดประตูหน่อย!”

      ฉันตะโกนกลับโหวกเหวก ฟ้าฝนเดี๋ยวนี้คุ้มดีคุ้มร้ายไว้ใจไม่ได้เลย ตะกี้ฟ้าใสร้อนอบอ้าวอยู่หยกๆ กลายเป็นลมหวีดหวิวซะแล้ว

      ...หนาวชะมัด....


      ฉันว่าเย็นนี้ฝนต้องตกอีกแน่เลย ช่วงฤดูนี้ก็อย่างนี้แหล่ะ ตายล่ะ! ผ้าที่ตากไว้!

      ฉันรีบวิ่งไปที่ราวตากผ้าหลังบ้าน แล้วเก็บผ้าหอบพะรุงพะรังกลับมา  แต่ไม่รู้เทวดาองค์ไหนมีความแค้นส่วนตัวกับฉัน อีกไม่กี่ก้าวจะเข้าที่ร่มแล้วแท้ๆ ฝนก็เทมาสาดใหญ่

      ฉันหอบผ้าเปียกกองใหญ่มาถึงประตูบ้านในที่สุด เพื่อจะพบว่า...มันยังล็อคอยู่

      เจน!”

      เงียบ

      ฉันจะบ้าตาย  ลมหอบใหญ่พัดมาราวจะเยาะเย้ย  ฉันถูแขนถูมือแก้หนาวขณะมองหาบริเวณที่อับลมและฝน และได้ตระหนักว่าใต้ถุนบ้านฉันมันช่างโล่งเสียเหลือเกิน

      ฉันพยายามจะเคาะประตูอีก แต่มันโดนเสียงฟ้าเสียงฝนกลบซะหมด ฉันรู้สึกอยากจะร้องไห้ นี่ฉันต้องติดอยู่นอกบ้านท่ามกลางพายุหรือเนี่ย

      เจน พ่อ แม่ เฮ้ๆๆๆๆๆๆ

      เสียงตะโกนของฉันได้ยินเพียงแผ่วเบาเท่านั้น นั่นยิ่งทำให้ฉันหมดหวังกันไปใหญ่  เสื้อที่เปียกทำให้ฉันรู้สึกไม่สบายตัว  ส่วนเนื้อตัวที่ไม่ได้แห้งไปกว่ากันก็เย็นเยียบ  ถ้าฉันเป็นหวัดไปใครจะรับผิดชอบ ฮึ

      ครืน!

      พร้อมๆกับเสียงฟ้าลั่นที่ทำให้ฉันสะดุ้ง ในที่สุดประตูก็เปิดออก   แม่นั่นเอง

      ตายแล้ว! ทำไมพี่มาอยู่ตรงนี้ลูก ทำไมไม่เข้าบ้าน ดูซิทำเอาเค้าเป็นห่วงกันทั้งบ้าน

      แม่บ่นทันทีที่เห็นหน้า แต่ก็ไม่ลืมเบี่ยงตัวให้ฉันเข้าบ้านไป

      ใครน่ะ น้องเจนโผล่จากประตูครัวมาในเวลาเดียวกับที่ฉันเข้าไปในบ้าน ฉันเอี้ยวไปมองข้างหลังทั้งที่ยังหอบผ้าชื้นอยู่เต็มอ้อมแขนก็เห็นแต่แม่กำลังลงกลอนประตู น้องคงไม่ถึงขั้นจำแม่ตัวเองไม่ได้หรอกนะ...ใช่มั๊ย

      ใคร? อะไร?” ฉันไม่ชอบใจท่าทางตื่นเต้นดีใจปิดไม่มิดของเจนเลย จะดีใจอะไรหลังจาก...ฉันนึกแล้วก็หงุดหงิด รู้ตัวว่าหน้าบึ้งลงทันตาแม้พยายามจะสงบอารมณ์แล้วก็ตาม...หลังจากที่เจนปล่อยให้ฉันติดอยู่นอกบ้านอย่างนั้นน่ะ

      เจนหน้าคิ้วขมวดหน้าง้ำทันที

      ใคร? ก็เพื่อนที่พี่พามาด้วยไง ถามแค่นี้ทำไมต้องทำหน้าอย่างนั้นใส่กันด้วย!”  ว่าแล้วก็สะบัดหน้าเข้าห้องครัวไป

      ทำไมน่ะเหรอ ถามมาได้นะว่าทำไม ฉันหงุดหงิดงุ่นง่านไปหมดแล้ว อยากอาละวาดเตะข้าวของแต่ก็ไม่กล้า ทั้งกลัวเจ็บทั้งกลัวแม่

      ฉันรีบไปอาบน้ำและทำตัวให้อบอุ่นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วไปรวมตัวกับครอบครัวที่โต๊ะกินข้าว  จานอาหารจัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว พ่อกับแม่ก็นั่งอยู่แล้ว ขาดก็แต่น้องที่นั่งดูทีวีอยู่ในห้องถัดไป  เป็นหน้าที่ฉันต้องไปตาม


      เป็นไงบ้างลูก กินข้าวต้มอุ่นๆนะ พ่อว่า

      ฉันรับถ้วยมาแล้วรีบวางทันทีเพื่อหันไปจาม เริ่มรู้สึกปวดหัวหนึบๆ น้องร้องยี้เมื่อเห็นน้ำมูกฉันย้อยเป็นสาย แม่รีบหยิบทิชชู่ส่งให้ฉันเช็ดทันที

      น่ารังเกียจ เจนร้อง ไปจามที่อื่นสิ ว่าแล้วก็แลบลิ้นใส่ฉัน

      แล้วทีตัวเองล่ะ ไปอ้วกที่อื่นสิ ฉันพูดถึงวีรกรรมเมื่อไม่นานมานี้ของเจน แล้วแลบลิ้นกลับบ้าง เจนหน้าบึ้งทันที เฮอะ ว่าไม่ได้เชียวนะ

      พอเถอะลูก พี่ก็อย่าไปว่าน้องเลย น้องเขาอายมากเลยนะ อย่าไปขุดเรื่องเก่าๆมาเลยลูก แล้วก็อย่าพูดเรื่องสกปรกเวลากินข้าวสิพ่อพูดขึ้นเมื่อเห็นเรื่องท่าจะบานปลาย ฉันผิดตรงไหน ก็แค่พูดเรื่องจริง แล้วทีน้องล่ะ ฉันผิดคนเดียวทุกทีแหล่ะ

      แม่คงเห็นว่าฉันยังไม่ยอมสงบ เลยช่วยกล่อมด้วยอีกแรง หารู้ไม่ว่ามันทำให้ฉันโมโหขึ้นทันที

      พี่ก็ยอมๆให้น้องไปเถอะนะ เป็นพี่ต้องเสียสละนะลูก

      คำพูดนี้อีกแล้ว ประโยคที่ได้ยินแล้วก็ต้องทำตามมาตลอดเจ็ดปี แต่น้องเคยคิดที่จะเสียสละให้พี่บ้างไหม จะรักฉันบ้างไหม ดูจากวันนี้ก็รู้แล้ว

      อยู่ๆเจนก็ยิ้มกว้าง มองฉันตักข้าวต้มเข้าปากไม่วางตา

      อะไร ฉันถามห้วนคิ้วมุ่น ท่าทางของน้องดูไม่น่าไว้ใจเลย หรือข้าวต้มจะผสมสลอด

      ไม่มีอะไร น้องปฏิเสธไว้ก่อนแล้วถาม ข้าวต้มอร่อยมั๊ย

      ฉันมองหน้าเจนที่ยิ่งยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิมจนจะเรียกได้ว่าแก้มแทบปริ แล้วอดนึกโมโหท่าทางไม่สำนึกผิดเลยนั่นไม่ได้  คำตอบกลับไปเลยไม่ยั้งคิด

      จะอร่อยไม่อร่อยก็ไม่เกี่ยวกับน้องนี่ อย่ามายุ่งกับพี่ พี่รู้หรอกว่าน้องไม่สนใจพี่  พี่จะต้องนอนข้างนอกบ้านก็ช่างหัว!”

      ก่อนจะไปตามน้องมากินข้าว  ฉันได้เล่าให้พ่อกับแม่ฟังแล้วว่าทำไมถึงเข้าบ้านไม่ได้ และพ่อกับแม่ก็เล่าว่าตอนนั้นทำกับข้าวกันอยู่ในครัว จึงมีแต่น้องซึ่งนั่งดูทีวีอยู่ในห้องรับแขกหน้าบ้านเท่านั้นที่ได้ยิน

      พวกท่านขอให้ฉันอย่าพึ่งโกรธน้อง ให้คอยดูการแก้ตัวของเจนก่อน แต่ความอดทนฉันหมดลงแล้ว รู้สึกน้อยใจเสียจนอยากจะร้องให้

      แต่คนที่ชิงร้องให้ก่อนไม่ใช่ฉัน   พอได้ยินฉันว่าอย่ามายุ่ง

      เจนก็น้ำตาไหลพรากๆทันที

      พี่!” เจนฟูมฟายไม่ได้ศัพท์ ในขณะที่แม่และพ่อก็อุทานชื่อฉันแทบจะพร้อมๆกัน แม่ตรงเข้าไปกอดปลอบน้อง ส่วนพ่อเข้ามาดุฉัน

      ลูกทำอย่างนี้ไม่ได้นะ น้องเค้าอุตส่าห์....

      ผิดหรือ ฉันผิดอีกแล้วหรือ ผิดตรงไหนกัน มันฉันทุกทีสิใช่มั๊ย แตะต้องไม่ได้เลยสิ ลูกสุดที่รักของพ่อแม่น่ะ ฉันโมโห ฉันเศร้า มีใครรุมสนใจอย่างนั้นบ้างเล่า


      ฉันไม่รอให้พ่อพูดจบเดินหนีออกไปทันที แต่ยังไม่วายได้ยินประโยคสุดท้ายที่น้องตะโกนส่งมา

      จะไปไหนก็ไปเลยไป!”

      ฉันกระชากประตูห้องนอนที่ฉันใช้ร่วมกับน้องเปิด แล้วปิดโครมสนั่น กดสวิตช์ไฟอย่างคนรู้ตำแหน่งดีแล้วเดินอ้อมเตียงที่วางคู่กันอยู่ ไปยังม่านหน้าต่างสีน้ำเงินหนาที่ทิ้งตัวอยู่อีกฝากห้อง แง้มดูก็พบว่าข้างนอกมืดแล้ว และเมฆหนาก็บดบังไม่เหลือแม้พระจันทร์ดวงโต

      ฉันทิ้งตัวลงบนเตียงสีเขียวอ่อนของฉันซึ่งอยู่ใกล้หน้าต่าง อีกฝั่งเตียงคือเตียงสีฟ้าของเจนที่พ่อจัดการย้ายมาวางต่อกับเตียงของฉันตั้งแต่สมัยที่น้องชอบมาอ้อนขอนอนเตียงเดียวกับฉันและพ่อเห็นว่าเตียงเดี่ยวคงรับน้ำหนักเราสองคนไม่ไหวอีกต่อไป

      ฮัดชิ้ว~

      ฉันสูดจมูกฝืดฟาด ถึงไม่ค่อยมีไข้แต่หัวก็ปวดหนึบๆจนยืนแทบไม่อยู่แล้วล่ะ ฉันนั่งลงบนเตียงรู้สึกว่าขอบตาเริ่มร้อนผ่าว  ฉันไม่ได้อยากร้องให้ อย่างน้อยก็ไม่อยากร้องให้ใครเห็น แต่ยิ่งคิดยิ่งน้อยใจ ยิ่งถามหาเหตุผลกับตัวเอง ยิ่งกลั้นน้ำตาไม่ไหว

      แล้วฉันก็หันไปเห็นสมุดสีส้มสดวางอยู่หลังตู้เตี้ยๆทางปลายเตียงที่น้องใช้เก็บตุ๊กตาแสนรักพวกนั้น สมุดไดอารี่ของฉันนั่นเอง

      การเขียนบันทึกอาจจะช่วยฉันได้ บางครั้งมันก็ทำให้ฉันสงบลง  ถึงบางครั้งมันจะให้ผลตรงกันข้าม  แต่ฉันคิดว่าควรลองดู

      ฉันเดินข้ามห้องไปหยิบสมุดบันทึกของฉัน แล้วพึ่งคิดได้ว่าเป็นการผิดพลาดมากที่เอามันมาวางไว้ตรงนี้  ตอนที่ฉันรู้สึกเกลียดน้องมากๆ แล้วยังต้องมาเห็นตุ๊กตาฝรั่งพวกนี้นั่งยิ้มสลอนกันเต็มไปหมด ตุ๊กตาที่น้องท่าจะรักยิ่งกว่าฉันเสียอีก

      ฉันเตะตุ๊กตาที่น้องทิ้งไว้นอกตู้เสียทีหนึ่ง พวกมันล้มระเนระนาดไปตัวละทางแต่ก็ยังคงยิ้มกว้างเช่นเดิม ยิ้มจอมปลอมที่เป็นพิมพ์เดียวกันหมดทุกตัว

      ฉันกลับมานั่งพิงหัวเตียงและชันเข่าขึ้นกอด

      ตัวอักษรไหลไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับน้ำตา

      ในที่สุดสมุดสีสดก็ร่วงกระทบเตียง   ฉันพลิกตัวนอนคว่ำ

      ซบหน้ากับหมอนแล้วหลับไป

      ตอนนั้น ฝนหยุดตกแล้ว

      ...หนาว...

      ผ้าห่ม

      อืม อยู่ไหนล่ะ ฉันควานมือเปะปะ รู้สึกตาถ่วงหนักจนลืมไม่ขึ้นแต่ก็พยายามเปิดตาเพื่อหาผ้าห่มนวมผืนโต

      โอ๊ย!

      ฉันลืมตาโพลงทันทีที่รู้สึกปวดหัวราวจะระเบิด สายตาพร่ามัวเพราะปิดมานานมองรอบตัวที่แปลกตา

      ไม่ใช่ห้องนอน ภาพมัวๆตรงหน้าหลากสีสันเกินไป

      แล้วจู่ๆไปหน้าหนึ่งก็ปรากฏขึ้นใกล้ตัวมากจนบดบังทุกอย่างจากสายตา ผมสีทองดัดเป็นลอน ผิวขาว ตากลมโตสีฟ้า และรอยยิ้ม


      ราวใส่หน้ากากดูใหญ่โตและบิดเบี้ยวผิดขนาดเหมือนภาพสะท้อนบนหลังช้อนวาวแวว

      ฉันผงะถอย ภาพแบบนี้ทำให้ฉันรู้สึกแปลกๆเหมือนคลื่นไส้ อาการปวดหัวและหนาวสั่นเข้าครอบคลุมอีกครั้ง ฉันฝันร้ายแบบนี้อีกแล้วสิเนี่ย

      ฮิฮิฮิ

      ตุ๊กตามากมายล้อมตัวฉันไว้ พวกมันหัวเราะคิกคักขณะคืบคลานเข้ามาใกล้ฉันเรื่อยๆ พวกมันนั้นมีหลายสิบแบบ...จริงๆแล้วมียี่สิบสามแบบยี่สิบสามตัว เท่ากับตัวละครในการ์ตูนเรื่องนั้นพอดิบพอดี...แต่กลับมีรอยยิ้มน่าขยะแขยงแบบเดียวกันทุกตัว

      ตุ๊กตาผมสีทองเหมือนตัวเอกของเรื่องแต่กลับมีตาสีเขียวเข้มลึกลับใช้สองมือของมันตรึงหน้าฉันไว้เพื่อบังคับให้จ้องตามัน

      ฉันจำมันได้       เจ้าตุ๊กตาออกใหม่ที่ฉันซื้อมาให้น้องนั่นเอง

      เมลิซซ่าเป็นพี่ของตัวเอกที่ไปเรียนอยู่ต่างเมืองและพึ่งกลับมาบ้านช่วงปิดเทอม

      เธอควรจะรักน้องนะ

      มันส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย

      โอ๊ะ โอ๋ เด็กถูกทิ้ง เธอควรจะทำดีกับน้องให้มากกว่านี้นะ

      มือเมลิซซ่าจิกเข้าที่ขมับของฉัน ฉันปวดหัวจนอยากร้องตะโกนออกไป แต่ก็กลั้นไว้ ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะร้อง

      ถูกแล้วล่ะ เพราะถึงร้องไปก็ไม่มีใครเค้าสนใจเธอหรอก

      น้ำตาที่ไหลมาตามแก้มเย็นเยียบจริงๆ

      ไม่มีใครรักเธอหรอก พ่อ แม่ หรือน้อง ไม่มีเลย...

      ตุ๊กตามากมายเดินวนรอบๆฉัน ยี่สิบตัว สามสิบตัว... โฉบเข้าใกล้ ร่อนออกห่าง สีสันมากมายวับแวมลานตาจนฉันคลื่นไส้

      มาอยู่ด้วยกันเถอะ

                      เสียงแตกต่างกันมากมายประสานขึ้นพร้อมกัน

       มา มา มา......

      พวกมันเข้าแถวกลายเป็นสายยาวเวียนรอบฉันสูงขึ้นและต่ำลงไปเป็นเกลียวเหมือนบันไดเวียน กักขังฉันเอาไว้ตลอดไ...

      เพดาน

      วูบ อึดอัดจัง

      พนัง

      วูบ ง่วง

      พื้นห้อง

      เฮ้ย! จะตกเตียงแล้ว!

      ฉันลืมตามองรอบๆตัวอย่างงัวเงีย ที่นี่ห้องนอนของฉันไม่ผิดแน่ ไม่มีความมืด ไม่มีตุ๊กตา...แต่มีถ้อยคำทำร้ายจิตใจ

      และรอยน้ำมูกเป็นทางบนหมอน

      ยี้~” ฉันร้องเบาๆแล้วชันตัวลุกขึ้น

      ผ้าห่มผืนหนากองอยู่ที่ปลายเท้าฉันนี่เอง คาดว่าคงไม่สบายตัวจนนอนดิ้นผ้าห่มหลุด เลยหนาวจนไข้ขึ้นหวัดกำเริบเอา

                      เตียงของน้องไม่มีร่องรอยการนอน คงไปขอนอนห้องนอนใหญ่กับพ่อกับแม่ละมั้ง        


      ฉันพึ่งนึกได้ว่าตัวเองได้กินข้าวต้มไปแค่ถ้วยเดียวก็ตอนที่ท้องเริ่มประท้วง ฉันคิดจะออกไปหาขนมกินซักหน่อยจึงลุกขึ้นไปที่ประตู

      แต่คงเพราะฉันลุกเร็วไปหน่อย ดังนั้นเมื่อเดินไปได้สองสามก้าวก็หน้ามืดจนต้องพิงผนังห้องไว้

      ฉันหนาวจนสะดุ้ง สงสัยจะมีไข้ด้วยสิ

                      เจ้าตุ๊กตาพวกนั้นยังคงจ้องมองฉันมาจากอีกฟากห้อง ฉันรู้สึกไม่สบายใจเลย แม้จะรู้ว่าจริงๆแล้วไม่มีอะไรก็ตาม

                      ฉันเปิดประตูห้องดัง คลิ๊ก แล้วปิดเบาๆอย่างไม่ต้องการปลุกใคร แล้วรีบก้าวออกจากห้องนอน โดยตัดสินใจเปิดไฟสว่างโร่ไปตลอดทางจนถึงห้องครัว

                      ในตู้กับข้าว   ฉันพบข้าวต้มกุ้งเมื่อตอนเย็นกับข้าวผัดชืดๆ

      ดูจากอาการหวัดของฉันแล้ว   ข้าวต้มคงเป็นทางเลือกที่เหมาะกว่า

                      ฉันเอาข้าวต้มขึ้นอุ่นบนเตา ขณะรอให้มันเดือดก็นั่งพิงผนังห้องรู้สึกไม่ค่อยมีเรี่ยวมีแรงเอาเสียเลย

                      กว่าจะจัดการข้าวต้มถ้วยที่สามเสร็จ  ฝนก็ตกอีกครั้ง

                      ฉันได้ยินเสียงลมพัดแรงจนน่ากลัว  ประเดี๋ยวก็มีฟ้าร้องฟ้าลั่นแทรก  หนาวๆอย่างนี้กลับไปนอนขดอยู่ในผ้าห่มอุ่นๆดีกว่า

                      พอใกล้ถึงห้องนอนไฟก็เกิดดับเสียดื้อๆ บ้านตกอยู่ในความมืดทึบทึมและเสียงครางของฟ้า  แต่ทางแค่นี้ฉันสามารถคลำกลับไปยังเตียงนอนได้สบายๆอยู่แล้วล่ะ




      ยังไม่จบนะคะ จะทยอยเอามาลง

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×