ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ภรรยานำดวง (Re-up มี E-book)

    ลำดับตอนที่ #7 : ผู้ชายคนนั้นคือใคร?

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.42K
      29
      17 มี.ค. 64

    นายสว่างหน้าเสียกับคำพูดของเรืองรุ่ง ยิ่งเห็นชาวบ้านพากันมองดูเขาด้วยสายตาสมเพชเวทนา นายสว่างก็ยิ่งหน้าร้อนผ่าว ชายวัยกลางคนทำท่าจะเถียง แต่เมื่อเห็นสายตาอันเยียบเย็นของเรืองรุ่ง เขาก็ไม่กล้าพูดออกมา ได้แต่ส่งเสียงฮึอยู่ในลำคอ ก่อนขากเสลดถ่มน้ำลายลงพื้น เฉียดไหล่ของอ่อนช้อยไปนิดเดียว แล้วกระทืบเท้าเดินเข้าไปในบ้านตัวเอง 

    จากนั้นไม่นาน เสียงจานชามกระทบพื้นกระแทกผนัง ก็ดังโครมครามเกรียวกราวตามมาติดๆ ดังลั่นมาถึงด้านนอก ประสานกับเสียงของนางไสวที่แหกปากก่นด่าฟ้าดินสาปแช่งผู้คน แสดงว่าตลอดเวลาที่เกิดเรื่องระหว่างนางโฉมเฉลาและอ่อนช้อย หญิงชราซึ่งอยู่ในบ้านอีกด้านของรั้ว ก็รับรู้ทุกเรื่องได้ยินทุกคำ แต่ไม่ทำอะไรเลย

    สารเลว!

    เลวตั้งแต่หัวหงอกยันหัวดำ!

    เรืองรุ่งกดข่มความโมโหในอกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนยกมุมปากยิ้มเย้ย 

    ดี! พังมันให้หมด หม้อไหจานชามมีอยู่กี่ใบ ก็เชิญทำลายไม่ต้องให้เหลือ จะได้ไปกู้เงินเอาไปซื้อของใหม่ หนี้สินที่มีมากมายอยู่แล้วจะได้เพิ่มพูนมากขึ้นไปอีก!

    เรืองรุ่งรู้จักนิสัยของนายสว่างดี อดีตพี่เขยคนนี้เป็นคนรักสบาย สมัยตอนยังหนุ่มนายสว่างเคยเป็นพระเอกลิเก จึงปากหวานเป็นที่หนึ่ง เกี้ยวพาราสีผู้หญิงไปทั่ว แต่นิสัยจริงๆ คือเฉื่อยชาเกียจคร้าน เหยาะแหยะ เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ 

    พี่สาวของนางหลงเสน่ห์นายสว่าง ก็เพราะแพ้ทางคำหวานของอีกฝ่ายนี่แหละ ตอนนั้นใครห้ามก็ไม่ฟัง พ่อแม่ของนางก็ได้แต่หวังว่าพอนายสว่างมีครอบครัวมีลูกแล้ว อายุมากขึ้น จะรู้จักคิด มีความขยันขันแข็ง ลบคำสบประมาทของทุกคนได้   

    แต่สุดท้าย สันดานก็คือสันดาน 

    สุนัขเลิกกินอาจมไม่ได้ฉันใด นายสว่างก็ไม่ต่างอะไรกับสุนัข 

    ตอนที่ละมุนพี่สาวของนางยังมีชีวิตอยู่ ทั้งงานหนักงานเบาในบ้านและนอกบ้าน ในเรือกสวนไร่นา ก็มีแค่พี่สาวของนางที่รับผิดชอบ หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน เช้าจรดค่ำ กลับจากไร่นามาถึงบ้าน ก็ต้องหุงหาอาหารให้กับทุกคน นั่งทอผ้าหลังขดหลังแข็ง ขณะที่นายสว่างกินนอนสุขสบาย ทำตัวราวกับเจ้านายและเห็นเมียเป็นขี้หน้า

    ไม่รู้กี่รอบกี่ครั้งที่พี่สาวของนางมานั่งร้องห่มร้องไห้ที่บ้าน ขอเงินพ่อแม่เพื่อเอาไปจุนเจือครอบครัวสามี ส่วนนายสว่างมีความสุขกับการนั่งก๊งเหล้าขาวกับเพื่อน เล่นถั่วเล่นโป เล่นมวย ชนไก่ พอเสียพนันเมามายกลับมาบ้าน ก็ก่นด่าหาเรื่องลูกเมีย เพราะไม่กล้ามีเรื่องกับคนข้างนอก 

    พอพี่สาวนางตาย แทนที่นายสว่างจะรู้สำนึก หันมาดูแลลูกสาวคนเดียวของตัวเอง กลับมีนางโฉมเฉลามาติดบ่วง จนมีลูกสาวด้วยกันคือเฉิดฉาย

    คราวนี้เรียกได้ว่าศีลเสมอกัน เพราะนางโฉมเฉลาไม่ใช่ผู้หญิงไร้ปากไร้เสียงเหมือนพี่สาวของนาง ขณะที่นายสว่างชอบชนไก่เล่นมวย นางโฉมเฉลาก็เดินสายเข้าบ่อนไม่ต่างกัน เรียกว่าผัวเลวเมียชั่วก็ไม่ผิดความจริงเลยแม้แต่น้อย 

    ส่วนนางไสว แม่นายสว่าง ย่าของอ่อนช้อย ก็เป็นยายแก่กะโหลกกะลา นอนกอดโฉนดที่ดินที่นาจำนวนไม่กี่ไร่เอาไว้แน่น เพราะรู้ดีว่าถ้ายกให้ลูกคนไหน ลูกที่เหลือคงพากันรุมสกรัม จากนั้นก็คงพากันตะเพิดนางให้ออกไปนอนเป็นหมาจรจัดข้างถนน

    บ้านที่ไม่ต่างจากนรกแบบนี้ โชคดีเหลือเกินที่เรืองรุ่งพาอ่อนช้อยออกมาได้ แม้จะใช้เวลานานสักนิด แต่ชีวิตที่เหลืออยู่ของหลานสาว ก็คงจะไม่มืดมนอีกต่อไป

    เรืองรุ่งละสายตาจากบ้านของนายสว่าง ก่อนก้มหน้าถามอ่อนช้อยที่มองดูบ้านของพ่อตัวเองด้วยสายตาเรียบเฉย ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ให้เห็น 

    “อ่อนไม่เป็นไรนะลูก”

     อ่อนช้อยสายหน้า แล้วตอบเสียงเบา 

    “อ่อนไม่เป็นไรค่ะน้าเรือง”

    “ดี งั้นเรากลับบ้านกันเถอะ”

    เรืองรุ่งพูดจบก็หันไปขอแรงชาวบ้านให้ช่วยยกมอเตอร์ไซค์ขึ้นมาจากท้องร่อง ส่วนนางโฉมเฉลาเมื่อเห็นสายตารังเกียจจากทุกคนที่มองดูนาง ก็รีบจูงมือเฉิดฉายเดินเข้าบ้าน โดยไม่ลืมที่วางท่าเชิดหน้าเชิดคอขึ้นสูง ก่อนจะรีบวิ่งหลบจ้าละหวั่น เมื่อนางเคี้ยงโยนไม้กวาดตามหลัง โดยตะโกนบอกให้นางเอาไปกวาดเศษแก้วเศษจานที่นายสว่างเพิ่งทำลายไปหยกๆ

     

    เรื่องเมื่อวานจบลงแค่นั้น เรืองรุ่งกับอ่อนช้อยพากันไปส่งเคียงข้าวที่บ้าน หันไปขอบใจนางเคี้ยงที่อุตส่าห์มาเป็นเพื่อน ถึงแม้อีกฝ่ายจะบ่นกระปอดกระแปดด้วยความเสียดายที่ไม่มีการตบตีกันต่อ แต่เรืองรุ่งรู้ดีว่า เรื่องวันนี้จะถูกนางเคี้ยงกระจายขยายข่าว จนรู้ไปทั้งหมู่บ้านเขาตะคร้อและหมู่บ้านข้างเคียงอย่างแน่นอน 

    เรืองรุ่งอยู่พูดคุยกับพ่อเลี้ยงนุกูลและผจีที่ตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนางก็พาอ่อนช้อยไปหาหมอที่คลินิก ได้ยาทายากินมาชุดใหญ่ แล้วขับมอเตอร์ไซค์กลับมาร้านเสริมสวย ให้หลานสาวอาบน้ำ กินข้าวกินยา ทายาแก้อักเสบ แล้วเข้านอนตั้งแต่สี่ทุ่ม

    เรืองรุ่งไม่ได้เรียนมาสูง แต่นางเป็นคนสู้ชีวิต ความคิดของนางจึงไม่ได้ซับซ้อน นางรู้ดีว่าชีวิตของคนเราย่อมมีปัญหา จะเล็กจะใหญ่ จะมากหรือน้อย เมื่อเกิดปัญหาขึ้น ก็มีทางเดียวคือต้องยอมรับและหาทางแก้

    ปัญหาที่ป้องกันได้ก็ป้องกัน ที่ป้องกันไม่ได้ก็เผชิญหน้าหาวิธีต่อสู้ จบปัญหาได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น 

    นางเป็นคนทำมาหากิน หากมีปัญหารกตารกใจ คงไม่เหลือเวลาเอาไปทำอะไรอย่างอื่น นั่นคือสิ่งที่นางพยายามสอนอ่อนช้อยมาตลอด เมื่อปัญหาเรื่องหนึ่งสามารถแก้ไขได้ ปัญหาเรื่องต่อๆ ไปในอนาคต ก็จะแก้ไขได้ง่ายกว่าเดิม นี่เองที่เรียกว่าประสบการณ์ชีวิต

    เมื่อวานเกิดเรื่องขึ้นที่หน้าบ้านนายสว่าง วันนี้นางโฉมเฉลาพานางพวงครามเพื่อนสนิท บุกมาหานางถึงบ้าน แปลว่านางเคี้ยงคงกระจายขยายข่าว จนนางโฉมเฉลาเกิดความอับอาย ทนนิ่งเฉยไม่ไหว จึงรีบพาเพื่อนมาแก้หน้าให้ตัวเอง

    อยากมาก็มาสิ…

    รับรองวันนี้นางโฉมเฉลาได้แก้หน้าสมใจอยากอย่างแน่นอน ถ้าร้านเสริมสวยของนางเอาไม่อยู่ ก็เตรียมติดต่อโรงพยาบาลเอาไว้ได้เลย

    เรืองรุ่งหยิบถาดไม้ที่หลานสาววางเอาไว้บนแคร่ กระชับถาดให้เหมาะมือ ก่อนถือถาดเดินนำหน้า ออกไปต้อนรับนางโฉมเฉลากับนางพวงครามด้วยท่าทางสบายๆ 

    อ่อนช้อยเห็นดังนั้นก็รีบเดินตามหลังน้าสาวไปติดๆ โดยมีนำดวงเดินเคียงคู่ไปกับเธอ  

    “อีอ่อน! อีตัวดี! มึงอยู่ที่ไหน ออกมากราบตีนขอโทษกูเดี๋ยวนี้นะ!”

    เสียงแหลมสูงของนางโฉมเฉลาดังสนั่นลั่นไปทั่ว พร้อมกับที่คณะของนางพากันเดินกรุยกรายผ่านประตูรั้วเข้ามาในบริเวณสนามหน้าร้านเสริมสวยของเรืองรุ่ง

    วันนี้นางโฉมเฉลาแต่งตัวสวยกว่าทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อชีฟองสีเขียวอ่อน สองแขนเป็นผ้าซีทรูบางใส มองเห็นผิวเนื้อขาวผ่องเป็นปล้องอวบ สวมกางเกงผ้าสีเหลือง รองเท้าส้นสูง ทำผมตีโป่งยกกระบัง แต่งหน้าจัดเต็ม มีกระเป๋าคล้องแขน บอกให้รู้ว่าวันนี้นางคงจะเข้าเมืองเป็นแน่

    ส่วนนางพวงครามอยู่ในชุดกรุยกรายสีสดหลายหลากสี ผมย้อมสีน้ำตาลเหลือบดำถูกเซ็ตสูงเหมือนชะง่อนหินผา แต่งหน้าเข้ม คอแขนและนิ้วเต็มไปด้วยทองหยองเพชรพลอย หญิงร่างซูบผอมวางท่าทางเหมือนคุณนายข้าราชการซีสิบ เดินบิดเอว เชิดคอสูง ตอนเดินผ่านโต๊ะที่วางลูกชิ้นแหนมย่าง นางรีบขยับเท้าออกห่าง แล้วนิ่วหน้าปรายตาลงมอง พร้อมทำท่าขยะแขยงเหมือนเห็นสิ่งสกปรก

    ส่วนเฉิดฉายกับพิมพิสา ก็เดินวางท่าแก่แดดแก่ลมเกินเด็ก สมกับที่สำนวนไทยบอกว่า “ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่” แม่เป็นยังไง คนเป็นลูกย่อมเป็นอย่างนั้น

    เรืองรุ่งถือถาดก้าวเท้าไปเผชิญหน้ากับแขกที่ไม่ได้รับเชิญ ทำเอานางโฉมเฉลากับนางพวงครามผงะถอยหลังด้วยความตกใจ แต่หญิงสูงวัยทั้งสองไม่ได้ตกใจที่เห็นเรืองรุ่ง ทว่าความตกใจนั้นมาพร้อมกับความแปลกใจ ที่เห็นอ่อนช้อยเดินเคียงข้างตามหลังมากับผู้ชาย

    ผู้ชายคนนี้เป็นใคร?

    นั่นคือคำถามในใจของนางโฉมเฉลาและนางพวงคราม พร้อมกันนั้นพวกนางก็กวาดสายตามองชายหนุ่มผิวขาวเรือนร่างสูงใหญ่โดยไม่ปกปิดความอยากรู้ของตัวเอง

    หล่อมาก!

    นั่นคือความคิดของหญิงทั้งสอง สายตาที่ช่ำชองกับการประเมินตีราคาสินค้า เพราะคุ้นเคยกับการจำนำข้าวของในบ่อนการพนันมาเป็นระยะเวลายาวนาน กวาดมองนำดวงขึ้นลงอย่างรวดเร็ว

    สร้อยทองเส้นโตหลายเส้นที่ชายหนุ่มใส่อยู่ ดูแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นของแท้อย่างแน่นอน หนำซ้ำยังไม่ใช่เส้นเดียว แต่ยังมีหลายเส้นสั้นยาวลดหลั่นกันมา 

    นอกจากรอบคอที่มีสร้อยเส้นใหญ่น้ำหนักไม่ต่ำกว่าสิบบาทแล้ว ยังมีสร้อยข้อมือ กำไลข้อมือ เห็นแหวนทองหลายวงสวมอยู่อีกหลายนิ้ว ไหนจะสร้อยทองที่ชายหนุ่มเอามาเกี่ยวหูกางเกงนั่นอีก เส้นใหญ่เกือบเท่านิ้วก้อยนั่นน้ำหนักยี่สิบบาทยังดูน้อยไป ไม่รวมสองหูที่เจาะรูเอาไว้มากมาย ก็เห็นประกายแสงเพชรวับวาวจนชวนให้ตาพร่า

    หล่อมาก…และรวยมาก!

    นี่แปลว่ารถสปอร์ตคันหรูสีแดงสดที่จอดเอาไว้ริมถนนหน้าร้าน  ก็ต้องเป็นของชายหนุ่มคนนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

    นางโฉมเฉลามองดูนำดวงราวกับโดนสะกด ขณะที่นางพวงครามถึงกับหอบหายใจกระชั้นถี่

    ด้วยความที่นางพวงครามอยากให้พิมพิสาเข้าวงการบันเทิงไปเป็นดารา ทำให้นางสนใจศึกษาการใช้ชีวิตของพระเอกนางเอก รวมถึงบรรดาไฮโซเซเล็บต่างๆ มาตลอด อย่างรถคันนั้นดูเหมือนจะมียี่ห้อว่า “บีกินี่” หรืออะไรสักอย่าง นางก็ไม่แน่ใจ เพราะอ่านภาษาอังกฤษไม่ออก แต่นางจำได้ดีว่ามีบรรดาดาราไฮโซ เซเล็บรวยๆ เขาชอบขับกัน ถ้าจำไม่ผิดดูเหมือนจะมีราคาหลายสิบล้านบาทเลยทีเดียว 

    ผู้ชายคนนี้เป็นใครกัน?

    ดูจากหน้าตาผิวพรรณ เขาน่าจะเป็นคนต่างชาติ หรือไม่ก็ลูกครึ่งฝรั่ง ถึงได้มีผิวขาวผ่อง รูปร่างสูงใหญ่แบบนี้ แล้วผู้ชายที่ทั้งหล่อและรวยแบบนี้มาอยู่ในร้านเสริมสวยของนังเรืองรุ่งให้ตัวเองติดเสนียดทำไม หนำซ้ำยังยืนอยู่ข้างนังเด็กอ่อนช้อยเหมือนคนสนิทกันด้วย ถ้าจะบอกว่าเป็นแฟนของนังเด็กผ้าขี้ริ้ว ดูยังไงก็ไม่ใช่ เรื่องใหญ่ขนาดนี้พวกนางต้องรู้สิ แต่ถ้าบอกว่าเขาเป็นคู่ขาของนังเรืองรุ่ง ดูยังไงก็ไม่คู่ควร

    ขณะที่นางโฉมเฉลากับนางพวงคราม กำลังจมอยู่กับความสงสัยของตัวเอง เฉิดฉายกับพิมพิสาก็ยืนมองนำดวงด้วยดวงตาเป็นประกายวับวาวเช่นเดียวกัน

    แล้วก่อนที่ใครจะทันรู้ตัว พิมพิสาในชุดเสื้อเอวลอย กางเกงยีนส์ขาสั้นเสมอก้น ก็เดินบิดเอวแทรกนางโฉมเฉลาและแม่ของตัวเองเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้านำดวง เด็กหญิงยื่นมือให้ชายหนุ่ม ขณะฉีกยิ้มหวานหยด เอียงคอไปมาทำท่าน่ารัก เมื่อเอ่ยปากทักทายเขาว่า

    “ฮ๋ายยย มายเนมอี้ด พิมพิสา…ยูแคนคอนมี พิม”

    (Hi, My name is Pimpisa. You can call me Pim.)

     

    นำดวงผงะกับการจู่โจ่มของเด็กหญิง ชายหนุ่มขยับเท้าก้าวถอยหลังตามสัญชาตญาณ แต่ไม่อยากถอยหลังคนเดียว มือหนาของเขาจึงดึงต้นแขนของอ่อนช้อยให้ถอยหลังตามมาด้วย

    พิมพิสาหน้าเก้อ ยิ้มค้าง สมองน้อยๆ ครุ่นคิดอย่างเร็วรี่ว่าเกิดอะไรขึ้น

    ตอนเธอเรียนคลาสการแสดงกับครูในเมือง ครูก็ยืนยันไม่ใช่หรือว่า ยามพูดคุยกับใคร ถ้าเธอเอียงคอไปมาราว 45 องศา ส่งสายตาพร้อมกับยิ้มหวาน จะเป็นการสะกดสายตาและหัวใจของคนที่มองอยู่อย่างง่ายดาย

    เธอเองเป็นเด็กน่ารัก หน้าตาสะสวยขนาดนี้ ผิวขาวผ่องเป็นยองใย ดวงตาใสกระจ่าง มีลักยิ้มสองข้างแก้ม หนำซ้ำวันนี้เธอยังแต่งตัวเก๋ไก๋เหมือนเด็กวัยรุ่นกรุงเทพฯ หน้าทาด้วยน้ำยาอุทัยทิพย์ ปาดจากแก้มซ้ายข้ามปลายจมูกไปแก้มขวา ขโมยลิปสติกสีแดงของแม่มาทาด้วย แล้วทำไมผู้ชายฝรั่งคนนี้ถึงลนลานก้าวเท้าถอยหลัง ทำท่าเหมือนเห็นผีจะเข้ามาสิงร่างแบบนี้ไปได้

    เอ หรือเขาจะไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ?

    เด็กหญิงพิมพิสาครุ่นคิดอย่างต่อเนื่อง ก่อนจิกด่าตัวเองอย่างทันท่วงที

    บ้าเหรอ! มีฝรั่งคนไหนไม่เข้าใจภาษาอังกฤษบ้าง จะให้เขาเข้าใจภาษาเหนือ ภาษาพม่า ภาษาลูแทนหรือไร

    เมื่อนึกหาข้อสงสัยจากชายหนุ่มไม่ออก พิมพิสาก็ตวัดสายตามองไปยังเด็กสาวตัวผอมผิวดำแทนทันที

    ต้องเป็นนังอ่อนช้อย นังไส้กรอกเสียบไม้หน้าตาอัปลักษณ์คนนี้แน่ๆ ที่ทำให้พี่ฝรั่งไม่ยอมคุยกับเธอ นั่นแปลว่าผู้ชายคนนี้อาจเป็นคู่ขาหรือแฟนของนังอ่อนช้อยอย่างแน่นอน ก็ดูเถอะ ขนาดเขาก้าวถอยหลัง ยังจับแขนดำๆ ของนังอ่อนช้อยให้ถอยตามไปด้วย

    เธอได้ยินมานานแล้วล่ะว่า พวกฝรั่งจะชอบผู้หญิงผิวดำคล้ำ ผิวกระดำกระด่างเหมือนทุ่งนาที่เอาปุ๋ยขี้ควายไปหว่านใหม่ๆ เพิ่งได้เห็นกับตาวันนี้เองว่า เรื่องที่เคยได้ยินคนพูดกันมามันเป็นความจริง

    แม้พิมพิสาจะหาเหตุผลให้ตัวเองได้แล้ว แต่เธอก็ยังรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้ดั่งใจอยู่ดี เธอรู้ดีว่าเธอเป็นคนสวย ไม่ว่าใครเห็นก็บอกว่าเธอสวย กิจกรรมต่างๆ มากมายที่โรงเรียน ไม่ว่าจะรำไทย รำอวยพร ดรัมเมเยอร์ เชียร์ลีดเดอร์ ก็ล้วนแต่เป็นเธอทั้งนั้นที่ถูกครูเลือก ต่อให้คนตาบอดมามองก็รู้ว่าเธอสวย ต่อให้มองจากตัวจังหวัดมาที่หมู่บ้านเขาตะคร้อ ก็เห็นความสวยของเธอ แล้วนังอ่อนช้อยถือดียังไง มาทำให้ผู้ชายฝรั่งรูปร่างสูงใหญ่ใส่ทองเต็มตัวคนนี้ไม่ยอมคุยกับเธอ

    ความจริงพิมพิสาไม่สนิทกับอ่อนช้อยเลยแม้แต่น้อย…แน่ล่ะ คนสวยๆ ชนิดหลายสิบปีจะมีมาเกิดสักคนอย่างเธอ จะไปสนิทกับคนอื่นเรี่ยราดได้อย่างไร แต่เหตุที่พิมพิสารู้จักอ่อนช้อยนั้น ก็เป็นเพราะป้าโฉมเฉลาเพื่อนสนิทของแม่ รวมทั้งเฉิดฉายเพื่อนร่วมชั้นของเธอ ต่างพูดถึงความเลวระยำของอ่อนช้อยให้เธอฟังอยู่เนืองๆ ไม่ว่าจะเป็นความขี้เกียจ ความสกปรก ความโง่ ความขี้เหร่ ความตอแหลอกตัญญู ทิ้งพ่อและย่าของตัวเองเพื่อมาอยู่กับน้าสาวที่เปิดร้านเสริมสวย เพราะหวังว่าวันหนึ่งตัวเองจะสวยเป็นผู้เป็นคนกับเขาได้บ้าง

    ขณะที่พิมพิสาหรี่ตาเตรียมจะอ้าปากด่าอ่อนช้อย เฉิดฉายก็เบียดแม่ของตัวเองเดินมาอยู่ข้างๆ พิมพิสา เฉิดฉายเชิดหน้าจิกตาใส่อ่อนช้อยหนึ่งที จากนั้นส่งยิ้มเอียงอายให้นำดวง ก่อนโน้มหน้ากระซิบข้างหูพิมพิสาว่า

    “อีพิม ฉันว่าพี่ฝรั่งเขาไม่เข้าใจที่แกพูดหรอก เพราะแกพูดภาษาอังกฤษไม่ชัด อย่างที่แกพูดว่า “คอนมี” อะไรคือ คอน…เขาต้องพูดว่า “คอลมี” เข้าใจไหม…แล้วแกจำไม่ได้เหรอว่า เวลาเจอกันตอนเช้าเราต้องพูดว่า กู้ดมอร์นิ่ง ทีเชอร์ ฮาวอาร์ยู…กันก่อนน่ะ”

    พิมพิสานึกก่นด่าบรรพบุรุษของเฉิดฉายอยู่ในใจ ที่ยังอาจมาสั่งสอนเธอ อีนังนี่ก็ถนัดนักกับการฉีกหน้าคนอื่น ถ้าไม่เห็นว่าเป็นลิ่วล้อสามารถหลอกใช้ได้ง่ายๆ สามารถสั่งให้ถือกระเป๋า หรือคอยวิ่งซื้อของกิน คนสวยน่ารักอย่างเธอจะไม่ยอมลดตัวคบหากับเฉิดฉายเลยจริงๆ

    อย่างไรก็ตาม ที่เฉิดฉายพูดมาก็มีเหตุผล เพราะในชั่วโมงภาษาอังกฤษ เวลาครูเข้ามา พวกเธอก็ต้องพูดว่า กู้ดมอร์นิ่ง กันก่อนทุกครั้ง

    พิมพิสากับเฉิดฉายสบตาพยักหน้าให้กัน จากนั้นจึงหันไปฉีกยิ้มให้กับนำดวง แล้วตะโกนพูดเสียงดังลั่นว่า

    “ฮ๋ายยยย กู้ดมอร์นิ่ง ทีเชอร์ ฮาวอาร์ยู แอมไฟน์ ซิทดาวน์ แอนด์ยู๋?”

     

    การกระทำของพิมพิสากับเฉิดฉาย ทำให้บรรยากาศที่เริ่มต้นขึ้นด้วยความมาคุ แปรเปลี่ยนเป็นประดักประเดิด เก้อกระดากขึ้นมาทันตาเห็น  

    นางโฉมเฉลากับนางพวงครามวางหน้าไม่ถูก เพราะแปลไม่ออกว่าลูกสาวของพวกนาง พูดอะไร กำลังทำอะไร แม้แต่เรืองรุ่งที่ถือถาดไม้เตรียมจะเข้าปะทะกับอีกฝ่าย ก็ชะงักมือ ได้แต่ยืนนิ่ง มองพิมพิสากับเฉิดฉายที่เอียงคอไปมาทำท่าแปลกประหลาดอยู่หน้านำดวง ส่วนนำดวงนั้นยิ้มแห้งๆ ยืนอยู่เคียงข้างหลานสาวของนางที่มีสีหน้าราบเรียบ

    ตอนนี้นำดวงเข้าใจแล้วว่า เขาถูกผู้มาเยือน…คนแก่สองเด็กอีกสอง เข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นคนต่างชาติ และดูจากท่าทางตั้งแต่แรกของเรืองรุ่งกับอ่อนช้อย ก็เดาได้ว่าผู้มาเยือนกลุ่มนี้ไม่ได้มาดีแต่อย่างใด แต่ตั้งใจจะมาหาเรื่อง

    อย่างไรก็ตาม จากท่าทางสบายๆ ของเรืองรุ่ง ก็ทำให้ชายหนุ่มเชื่อว่า น้าสาวของอ่อนช้อยสามารถคุมสถานการณ์ได้อยู่ ไม่ต้องวิตกกังวลแต่อย่างใด

    นำดวงไม่ได้สนใจพิมพิสากับเฉิดฉายเลยแม้แต่น้อย เด็กสาวสองคนพูดอะไรมา เขาก็ลืมไปหมดตั้งแต่พวกเธอพูดเสร็จ ชายหนุ่มก้มหน้ามองอ่อนช้อยที่เงยหน้ามองเขาพอดี แล้วถาม

    “Do you want to go now?”

    ไหนๆ ก็ถูกเข้าใจว่าเป็นคนต่างชาติแล้ว ก็ไหลตามน้ำเลยดีกว่า บางทีอาจช่วยตัดปัญหาวุ่นวายในภายหลังได้ นั่นคือสิ่งที่นำดวงคิด

    “It’s time to hit the road. Let’s get out of here.”

    ชายหนุ่มพูดขึ้นอีก อ่อนช้อยเข้าใจที่นำดวงพูดทุกคำ เธอหันมองเรืองรุ่งอย่างขอความเห็น สายตาของน้าหลานประสานกัน เรืองรุ่งแม้ไม่เข้าใจภาษาอังกฤษที่นำดวงพูด แต่นางเข้าใจสายตาของอ่อนช้อย รวมทั้งการกระทำของชายหนุ่ม นางจึงบอกหลานสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

    “อ่อนไปเอากุญแจรถได้แล้วลูก อย่าปล่อยให้คุณ…เอ่อ…เขารอนาน…ทางนี้น้าจัดการได้ ไม่ต้องห่วง”

    “ค่ะน้า”

    อ่อนช้อยตอบรับน้าสาวเสียงเบา ก่อนเดินผละจากทุกคนเพื่อไปหยิบกุญแจรถมอเตอร์ไซค์บนตู้เย็นในร้าน นำดวงซึ่งกำลังจับต้นแขนของเธออยู่ เมื่อเห็นอ่อนช้อยเดินออกจากวง เขาก็เดินตามเธอไปด้วย มือที่จับต้นแขนอยู่นั้นไม่ยอมปล่อย ถึงแม้อ่อนช้อยจะพยายามสลัดออก หรือจิกตาใส่ แต่ชายหนุ่มก็ทำเหมือนมองไม่เห็น ยังคงทำตัวเป็นตุ๊กแกหน้าด้าน พาร่างสูงก้าวเท้าตามเธอไปติดๆ มายอมปล่อยมือก็ตอนมาถึงประตูหน้าร้าน และอ่อนช้อยต้องเข้าบ้านเพื่อไปหยิบกุญแจ 

    พิมพิสากับเฉิดฉายอ้าปากค้าง หันมองตามอ่อนช้อยกับ “พี่ฝรั่ง” ที่เดินจากไปด้วยความคาดไม่ถึง พวกเธอเป็นคนสวย นั่นคือสิ่งที่ใครๆ ต่างรับรู้และมองเห็น ต่อให้ไม่สวยไปกว่าคนทั้งโลก แต่ถ้าเปรียบกับอ่อนช้อยที่ทั้งผอมทั้งดำ หัวโตขาลีบราวกับเป็นโปลิโอ ยังไงพวกเธอก็เรียกว่าสวยมากกว่าอ่อนช้อยอยู่ดี

    เด็กหญิงทั้งสอง รวมทั้งนางโฉมเฉลาและนางพวงคราม ต่างหันหน้ามองตามอ่อนช้อยกับ “ชายหนุ่มคนนั้น” ด้วยสายตาแปลกประหลาด มีทั้งความเหลือเชื่อ ความสนอกสนใจ และความสงสัยใคร่รู้ 

    แล้วเมื่อเสียงบิดเครื่องมอเตอร์ไซค์ดังขึ้น เห็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เป็นคนขี่ โดยมีร่างเล็กบางของอ่อนช้อยซ้อนท้าย จากนั้นรถมอเตอร์ไซค์ก็แล่นออกจากร้านเสริมสวย ทิ้งไว้เพียงควันดำจากท่อไอเสีย และเสียงรถที่ค่อยๆ แล่นห่างออกไป นั่นแหละที่ทุกคนได้สติ แล้วหันขวับกลับมามองเรืองรุ่งอย่างพร้อมเพรียงกัน 

    สายตาของทุกคนนั้น เต็มไปด้วยคำถามและความอยากรู้อยากเห็น ว่าผู้ชายคนนั้นคือใคร 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×