ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ภรรยานำดวง (Re-up มี E-book)

    ลำดับตอนที่ #6 : เรื่องเมื่อวานนี้

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.58K
      30
      17 มี.ค. 64

    ตอนที่เรืองรุ่งรับอ่อนช้อยมาอยู่ด้วย นางทำทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาตามมาภายหลัง ผจีซึ่งเป็นเพื่อนสนิทแนะนำเรืองรุ่งให้ยื่นคำขอจดทะเบียนรับอ่อนช้อยเป็นบุตรบุญธรรมที่อำเภอ ส่วนในหมู่บ้านเขาตะคร้อ มีผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่ รวมทั้งพ่อเลี้ยงนุกูล และชาวบ้านอีกสามสี่คนเป็นสักขีพยาน

    อย่างไรก็ตาม ถึงอ่อนช้อยจะมาอยู่กับนาง อยู่บ้านคนละคุ้มกับนายสว่าง เรียกว่าคุ้มเหนือกับคุ้มใต้ แต่เรืองรุ่งก็ไม่เคยสอนให้หลานสาวอกตัญญู นางบอกอ่อนช้อยเสมอให้เคารพนายสว่างผู้เป็นพ่อ ปู่ของหลานสาวตายไปนานแล้วแต่ย่ายังอยู่ ยามที่นางไสวย่าของอ่อนช้อยเรียกหาหลานสาว ให้ไปช่วยบีบนวดแขนขา หรือไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ หากอ่อนช้อยว่าง นางก็อนุญาตให้หลานไป ไม่เคยกีดกันห้ามปราม 

    เมื่อมีอาหารอร่อย เรืองรุ่งก็จะตักใส่ถุง ให้อ่อนช้อยขับรถมอเตอร์ไซค์นำไปให้นางไสวอยู่บ่อยครั้ง ถึงแม้มีอยู่หลายรอบหลายหนที่เรืองรุ่งได้ยินนางโฉมเฉลาพูดจาลอยมาตามลมว่า ที่นางสอนให้อ่อนช้อยมีน้ำใจ มีความกตัญญู แท้ที่จริงเป็นเพราะหวังมรดก เผื่อย่าไสวจะใจดี ยกที่ไร่ที่นาให้อ่อนช้อยในอนาคต

    คนจิตใจต่ำทราม มักมองคนอื่นต่ำทรามตามจิตใจของตัวเองไปด้วย เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เรืองรุ่งไม่อยากถือสาใส่ใจ แต่เรื่องเมื่อวานนี้ถือว่านางประมาทไปจริงๆ 

    เมื่อวานนี้ เรืองรุ่งทำแกงไก่ใส่หยวกกล้วยกับวุ้นเส้น เมื่ออ่อนช้อยเข้าครัวมาเห็น ก็บอกนางว่านี่เป็นอาหารที่ย่าชอบ แต่นานๆ จะได้กินสักทีเพราะนางโฉมเฉลาไม่ชอบงานครัว ส่วนมากย่าจะได้กินแกงหยวกกล้วยก็ตามงานบุญ งานแต่ง งานวัด หรือตามงานศพ 

    แม้หลานสาวจะพูดแบบเล่าสู่กันฟังโดยไม่คิดอะไร แต่ก็ทำให้เรืองรุ่งรู้สึกสะทกสะท้อนอยู่ในอก นางจึงตักแกงใส่ถุง ให้อ่อนช้อยขับมอเตอร์ไซค์เอาไปให้นางไสว แล้วบอกให้หลานสาวรีบกลับมากินข้าวเย็นด้วยกัน

    เกือบครึ่งชั่วโมงผ่านไป อ่อนช้อยยังไม่กลับมา ซึ่งผิดวิสัยของหลานสาวเป็นอย่างมาก เรืองรุ่งจึงจำใจไปขอยืมรถมอเตอร์ไซค์ของนางเคี้ยงเจ้าของร้านสังฆภัณฑ์ เพื่อตามไปดูอ่อนช้อยที่บ้านของนายสว่าง ซึ่งระหว่างเรืองรุ่งกับนางเคี้ยงนั้น ก็ดีกันบ้าง ทะเลาะจิกกัด กระแนะกระแหนกันบ้าง ตามประสาคนบ้านนอก บ้านใกล้เรือนเคียงที่เห็นกันมาตั้งแต่เด็กจนแก่ 

    นางเคี้ยงมีนิสัยปากมาก สอดรู้สอดเห็น แต่มากกว่าความสอดรู้ คือนางกลัวผี เมื่อเห็นเรืองรุ่งปิดประตูร้าน มาขอยืมมอเตอร์ไซค์ นางที่มีบ้านหลังสุดท้ายตรงข้ามกำแพงวัดที่สามารถมองเห็นเจดีย์บรรจุกระดูกเรียงรายชัดเจน ก็รีบปิดประตูร้านของตัวเองและขอไปกับเรืองรุ่งด้วย ลูกค้าสองสามคนที่เพิ่งเข้ามาหาซื้อธูปเทียนไปบูชาพระ ล้วนถูกนางเคี้ยงไล่ให้ออกไปซื้อที่ร้านอื่น ถ้าร้านอื่นไม่มีก็ให้ไปขอเอาจากพระที่วัดแทน

    จากนั้นเรืองรุ่งก็ขับมอเตอร์ไซค์ โดยมีนางเคี้ยงเป็นคนซ้อนท้าย พากันไปตามอ่อนช้อยที่บ้านนายสว่าง และเมื่อไปถึง นางก็เห็นแต่ไกลว่าหลานสาวกับเฉิดฉายกำลังจิกหัวตบตีกันอยู่บนถนนหน้าบ้าน โดยมีนางโฉมเฉลาถือไม้กวาด มือข้างหนึ่งชี้นิ้วก่นด่า ได้ยินเสียงแหลมสูงดังลั่นฟังไม่ได้ศัพท์ ขณะที่มือซึ่งถือไม้กวาดอยู่ ก็เงื้อเล็งเพื่อตีอ่อนช้อยไปด้วย แต่หลายครั้งที่นางตีพลาดไปโดนแขนขาลูกสาวตัวเอง

    ตอนนั้นมีชาวบ้านหลายคนพยายามเข้าไปแยกเด็กทั้งสองออกจากกัน หนึ่งในนั้นคือเคียงข้าว ลูกสาวของพ่อเลี้ยงนุกูลกับคุณผจี ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของอ่อนช้อย เรืองรุ่งรีบลงจากรถมอเตอร์ไซค์ ปล่อยให้นางเคี้ยงเป็นคนประคองรถ ก่อนที่นางจะพุ่งเข้าไปกลางวง แล้วลากตัวอ้วนตันของนางโฉมเฉลาออกมาเป็นคนแรก ผลักอีกฝ่ายจนเซหลุนๆ เกือบล้มกลิ้งลงไปในท้องร่อง จากนั้นดึงตัวอ่อนช้อยออกมาจากเฉิดฉาย มองเห็นลูกสาวของนางโฉมเฉลาผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ทั้งเนื้อทั้งตัวตั้งแต่หัวตลอดจนเสื้อผ้า เลอะเต็มไปด้วยวุ้นเส้น หยวกกล้วย และน้ำแกง 

    ไม่ต้องเดา เรืองรุ่งก็รู้ว่านั่นเป็นแกงที่นางให้อ่อนช้อยเอามาฝากนางไสวผู้เป็นย่านั่นเอง 

     

    “เกิดอะไรขึ้นหรืออ่อน เจ็บมากไหม?”

    เรืองรุ่งถามอ่อนช้อยด้วยความกังวล ขณะลูบศีรษะจัดทรงผมที่ไร้รูปทรงให้แก่หลานสาว พอเห็นแก้มข้างหนึ่งของอ่อนช้อยขึ้นรอยแดงจัด ความโมโหของเรืองรุ่งก็แล่นขึ้นเป็นริ้ว รอยฝ่ามือที่มองเห็นนั้นมีขนาดใหญ่เกินกว่ามือเล็กๆ ของเฉิดฉาย แปลว่าคนที่ทำคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากนางโฉมเฉลา

    เรืองรุ่งขบฟันแน่นขณะตวัดสายตาไปยังนางโฉมเฉลา ที่พาร่างอ้วนตัน ถือไม้กวาดเดินยักแย่ยักยัน มายืนทำท่าถมึงทึงอยู่ข้างลูกสาวตัวเอง

    มึงวอนตายซะแล้ว อีอึ่งอ่างสารเลว!

    “อ่อนไม่เป็นไรจ้ะน้า”อ่อนช้อยตอบ สายตาเย็นชาของเธอจับอยู่ที่เฉิดฉายและนางโฉมเฉลา “อ่อนจอดรถหน้าบ้าน กำลังจะเอาแกงเข้าไปให้ย่า ก็มีคนมาหาเรื่อง ไม่ให้อ่อนเข้าไป”

    น้ำเสียงของอ่อนช้อยราบเรียบเยียบเย็น ร่างเล็กบางดูราวกับต้นไม้เล็กแกร็นที่พยายามยืนท้าทายต่อลมพายุ ลำคอตั้งตรง ศีรษะเชิดขึ้น สองมือกำแน่น ท่าทางเหมือนผู้ใหญ่ที่พร้อมจะเอาตัวเองเข้าปะทะกับทุกปัญหาโดยไม่หวั่นเกรง ทว่ามือของเรืองรุ่งที่โอบอยู่บนบ่าบอบบางของอ่อนช้อยในตอนนี้ สามารถสัมผัสได้ถึงอาการสั่นเทาที่หลานสาวพยายามข่มกลั้นเอาไว้อย่างชัดเจน

    อาการข่มกลั้นที่ว่านั้น คือการข่มกลั้นความเจ็บปวด เจ็บแค้น เจ็บกายและใจ

    ข่มกลั้นจากความผิดหวัง หมดหวัง สิ้นหวัง เหมือนไม่เหลือความหวังใดๆ อีกต่อไป

    อาการที่ว่านั้นเกิดขึ้นเมื่อหลานสาวของเธอตวัดสายตาผ่านนางโฉมเฉลา ผ่านเฉิดฉาย รวมทั้งชาวบ้านที่มามุงดู แล้วหยุดนิ่งที่ชายคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่วงนอก เขายืนเอนตัวเอาหัวไหล่พิงกับเสาไม้ริมประตูรั้ว สองมือมวนใบยาสูบด้วยท่าทีเกียจคร้าน เหมือนไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ และไม่เห็นเหตุการณ์ใดๆ ทั้งสิ้น

    ผู้ชายคนนั้นคือนายสว่าง บิดาของอ่อนช้อยนั่นเอง!

    เพียงแค่เห็น เรืองรุ่งก็เดาทุกอย่างได้ทันที นางรู้สึกโมโหจนเลือดขึ้นหน้า ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนางโฉมเฉลากับลูกสาวถึงได้กล้าดีถึงขนาดลงมือตบตี ถือไม้กวาดจะฟาดหลานสาวของนางกลางถนน เหตุที่กล้าก็เพราะว่านายสว่างไม่สนใจไยดี ไม่รู้สึกรู้สาว่าอ่อนช้อยลูกสาวอีกคนของเขาจะเป็นหรือตายนั่นเอง

    สารเลว!

    เลวกันหมด!

    นายสว่างเลวแบบนี้ นางไสวผู้เป็นแม่ก็คงจะเลวไม่ต่างกัน เมื่อหางมันชั่วจะให้หัวมันดีคงเป็นไปไม่ได้ เสียแรงที่นางเวทนาสงสาร เห็นแก่หน้าว่าเป็นอดีตพี่เขย เห็นว่าฐานะทางบ้านยากจน เห็นว่ามีหลายชีวิตแออัดยัดเยียดกันอยู่ไม่ต่างจากหนูในสลัม อุตส่าห์แบ่งอาหารมาให้ หลายครั้งยังฝากเงินกับอ่อนช้อยให้นำมาให้นางไสว เผื่อหญิงชราจะเก็บไว้ซื้อหยูกยาหรือทำบุญทำทาน ที่แท้นางก็โปรดสัตว์ได้บาป ทำคุณคนไม่ขึ้น

    ไม่สิ…ไอ้อีพวกนี้คงเรียกว่าคนไม่ได้ เรียกว่าสัตว์ก็คงไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะสัตว์มันยังรักลูก รู้จักดูแลปกป้องลูกของมัน

       

    “อีอ่อน! อีตอแหล!” 

    นางโฉมเฉลาแผดเสียงแหลมสูง มือป้อมๆ ที่ถือไม้กวาดชี้ด้ามของมันมาทางอ่อนช้อย ใบหน้าของนางถมึงทึงราวกับเคียดแค้นจนทนไม่ได้ 

    “ลูกเฉิดของกูแค่ถามว่ามึงเอาอะไรมา แทนที่มึงจะตอบดีๆ กลับเดินเชิดหน้าชนลูกสาวกู แล้วเอาแกงมาราดหัวลูกสาวกู วันนี้ถ้ากูไม่ได้แพ่นกบาลเอาเลือดชั่วๆ ของมึงออกมา อย่ามาเรียกกูว่าอีโฉมอีกเลย”

    “น้าโฉมอย่ามาโกหก”

    คนตอบไม่ใช่อ่อนช้อย แต่เป็นเคียงข้าวซึ่งยืนอยู่ข้างกัน เด็กสาวสบตากับนางโฉมเฉลาวัยคราวแม่ตัวเองอย่างไม่เกรงกลัว 

    “อีเฉิดลูกสาวตัวดีของน้าโฉมต่างหาก ที่จู่ๆ เข้าไปถีบรถมอเตอร์ไซค์ของอ่อนจนล้ม นั่นรถก็ยังคาอยู่ในท้องร่อง คนแถวนี้ก็เห็นกันอยู่หลายคน โชคดีแค่ไหนที่อ่อนกระโดดออกมาได้ทัน ไม่ล้มไปพร้อมกับรถ”

    ถึงแม้เคียงข้าวจะเป็นแค่เด็กสาวอายุสิบห้า แต่เธอเป็นลูกสาวพ่อเลี้ยงนุกูลและคุณผจีเจ้าของโรงสี ซึ่งมีฐานะ เป็นที่นับหน้าถือตาของคนในหมู่บ้านและตัวจังหวัด ต่อให้เคียงข้าวจะยังเป็นเด็ก แต่เมื่อเธอพูดทุกคนก็ต้องหยุดฟัง 

    แน่ล่ะ คนในหมู่บ้านเขาตะคร้อ มีกี่ครอบครัวกันที่ไม่เคยกู้เงินจากพ่อเลี้ยงนุกูลและคุณผจี เรียกได้ว่ากว่าครึ่งหนึ่งของหมู่บ้าน เคยเอาผ้าไหมไปจำนำ เอาโฉนดที่ดินที่นาไปจำนองกับครอบครัวของเคียงข้าวด้วยซ้ำ

    “เรื่องนี้อีเฉิดผิด และน้าโฉมก็ผิด” 

    เคียงข้าวพูดต่อ สีหน้าและน้ำเสียงของเด็กสาวไม่ปกปิดความเย้ยหยันและท้าทาย 

    “น้าโฉมบอกว่าอีเฉิดถามอ่อน แล้วอ่อนไม่ตอบ…อ่อนจะตอบหรือไม่ตอบแล้วมันเกี่ยวอะไรกับอีเฉิด…อีเฉิดไปถีบรถมอเตอร์ไซค์ของอ่อนก่อน นั่นต่างหากที่ผิด…น้าโฉมเองก็เหมือนกัน แก่ปูนนี้แล้วยังเลอะเลือน แทนที่จะโทษอีเฉิด กลับเอาไม้กวาดมาไล่ตีอ่อน…ถ้าข้าวเป็นอ่อนนะ ไม่เสียเวลามาผลักกันไปมาอยู่แบบนี้หรอก แต่ข้าวจะไปแจ้งผู้ใหญ่บ้าน ไปแจ้งความกับตำรวจเรียกค่าเสียหาย แล้วให้ทุกคนที่อยู่ตรงนี้เป็นพยานว่าใครทำใครก่อนกันแน่”

    เรืองรุ่งนับหนึ่งถึงสิบในใจเมื่อได้ฟังรายละเอียดจากเคียงข้าว หญิงวัยห้าสิบขบกรามแน่น มือที่จับบ่าบอบบางของหลานสาวเผลอเกร็งด้วยพยายามระงับอารมณ์โกรธของตัวเอง

    นางหันไปมองเคียงข้าว แล้วมองนางเคี้ยงที่ยืนทำท่าสอดรู้สอดเห็นอยู่ไม่ไกล ก่อนพูดขึ้นด้วยเสียงเยียบเย็น

    “อีเคี้ยง แกวิ่งไปตามผจีมาหน่อย บอกว่า…”

    “บอกแม่ว่าข้าวมีเรื่องกับน้าโฉมและอีเฉิด” เคียงข้าวพูดแทรกเรืองรุ่ง “บอกแม่ว่าข้าวถูกน้าโฉมเอาไม้กวาดไล่ตี และถูกอีเฉิดตบหน้ากระชากผม…ให้แม่เรียกตำรวจมาด้วย” 

    ทันทีที่ได้รับคำสั่งจากเรืองรุ่งและเคียงข้าว นางเคี้ยงก็ตั้งท่าจะพุ่งไปยังโรงสีของพ่อเลี้ยงนุกูล ซึ่งอยู่เยื้องบ้านของนายสว่างด้วยท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือ…แน่ล่ะ เรื่องสนุกขนาดนี้นางจะช้าได้อย่างไร ยืนเฉยเป็นตัวประกอบอยู่ตั้งนาน จู่ๆ ได้บทสำคัญให้ไปตามคุณนายผจีและตำรวจ เรื่องนี้เอาไว้เมาท์กับชาวบ้านเขาตะคร้อได้อีกนานหลายเดือนเชียวล่ะ

    นางเคี้ยงคิดว่าตัวเองเร็วแล้ว แต่ช้ากว่านางโฉมเฉลาที่รีบทิ้งไม้กวาด คว้าชายเสื้อของนางเคี้ยงเอาไว้แน่นราวกับตุ๊กแกกระโดดเกาะฝาผนัง

    “เดี๋ยวก่อนจ้ะหนูข้าว เดี๋ยวก่อน” 

    นางโฉมเฉลาใช้แรงจากร่างอวบอ้วนของตัวเอง ลากตัวนางเคี้ยงกลับมา แล้วปั้นรอยยิ้มให้กับเคียงข้าวอย่างประจบประแจง ถึงแม้ในใจของนางในตอนนี้ กำลังก่นด่าไปถึงผีปู่ผีย่าผีตาผียาย และผีบรรพบุรุษของเคียงข้าวอยู่ก็ตามที

    “ความจริงเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันเท่านั้นเอง น้าว่าไม่ต้องให้เรื่องไปถึงคุณนายผจีหรือตำรวจหรอกนะจ๊ะหนูข้าว ให้จบกันตรงนี้จะดีกว่า”

    นางโฉมเฉลาพูดขึ้นเสียงอ่อนเสียงหวาน ไม่รอให้เคียงข้าวตอบ นางก็หันมาทางเรืองรุ่ง แล้วพูดต่อ

    “ว่าไปแล้วเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของเด็กๆ ทะเลาะกันเท่านั้นเอง แม่เรืองเองก็เป็นผู้ใหญ่ อันไหนปล่อยได้ก็ปล่อยมันเถอะ อย่าเก็บมาใส่ใจมาเป็นอารมณ์เลยนะ”

    เรืองรุ่งมองนางโฉมเฉลาแน่วนิ่ง ไม่อ้าปากตอบโต้ ทำเอาอีกฝ่ายหน้าเก้อไปชั่วขณะ ก่อนที่นางโฉมเฉลาจะหันไปจิกตาใส่บรรดาชาวบ้านที่มุงดูอยู่แทน

    “พวกแกก็เหมือนกัน นี่ก็เย็นมากแล้ว มัวมายืนประชุมสุมหัวกันอยู่ที่นี่ทำไมยะ ไม่ต้องหุงหาอาหารทำกับข้าวกับปลากันหรือไง วัวควายน่ะเอาเข้าคอกกันหมดหรือยัง…ป่ะ ลูกเฉิด ไปอาบน้ำล้างตัวที่บ้านของเราดีกว่า”

    พูดจบนางโฉมเฉลาก็ดึงข้อมือเฉิดฉาย ลากตัวลูกสาวที่ยืนร้องไห้ตัวสั่น ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เนื้อตัวเลอะเทอะไปด้วยแกงวุ้นเส้น แหวกฝ่าผู้คนเดินกลับบ้านตัวเองอย่างเร็วรี่ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

    ทว่ามีคนหนึ่งที่ไม่ปล่อยให้นางไปอย่างลอยนวล คนคนนั้นคือเรืองรุ่งนั่นเอง

    “เดี๋ยวก่อน อีโฉม” 

    เรืองรุ่งเรียกโฉมเฉลาด้วยน้ำเสียงเย็นชาพอๆ กับใบหน้าของนาง หญิงวัยห้าสิบปล่อยมือจากบ่าของอ่อนช้อย ก้มลงหยิบไม้กวาดที่นางโฉมเฉลาทิ้งเอาไว้บนพื้น มือข้างหนึ่งจับข้อมือผอมบางของหลานสาว พาเดินไปหาอีกฝ่ายที่หันกลับมามองอย่างระแวดระวัง

    เคียงข้าวกับนางเคี้ยงเห็นดังนั้น ก็พากันก้าวเท้าเดินตามเรืองรุ่งกับอ่อนช้อยไปด้วย

    “มีอะไรอีกยะอีเรือง”

    นางโฉมเฉลาเห็นชาวบ้านต่างขยับขาแหวกทางให้กับเรืองรุ่ง ที่ถือไม้กวาดเอาด้ามชี้หน้าเดินตรงมาหานาง สายตาคู่นั้นไม่ปกปิดความโมโหเกรี้ยวโกรธ ทำเอานางโฉมเฉลารู้สึกย่นระย่ออยู่ในใจ แต่พอมองดูใบหน้าผอมซูบของอ่อนช้อย กลับไม่พบอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น ใบหน้าเล็กๆ ของนังเด็กตัวดำผอมโซ ราบเรียบราวกับสวมหน้ากาก มีเพียงดวงตาดำขลับที่มองหน้านางเท่านั้น ที่อัดแน่นไปด้วยความเย็นชาราวกับบ่อน้ำแข็ง ทำเอานางโฉมเฉลาเกิดความกดดันอย่างไร้สาเหตุ รู้สึกหนาวเยือกขึ้นมา ยิ่งกว่ามองใบหน้าของเรืองรุ่งเสียอีก

    จู่ๆ นางโฉมเฉลาก็คิดในใจด้วยความตื่นตระหนก

    นี่มันหน้าของผีชัดๆ!

    นางเห็นนังเด็กเปรตนี่ตั้งแต่มันมีอายุสามสี่ขวบ ความเกลียดชังฝังแน่นอยู่ในกระดูกทุกอณู เพราะหน้าตาของอ่อนช้อยเหมือนนางละมุนผู้เป็นแม่ ในฐานะที่นางเป็นเมียใหม่ของนายสว่าง ย่อมมีความรังเกียจเกลียดชังเมียเก่าเป็นทุนเดิม ต่อให้เมียเก่าซึ่งเป็นมารดาของอ่อนช้อยจะตายโหงตายห่าไปนานมากแล้วก็ตามที 

    ยามที่นางโฉมเฉลามองใบหน้าของเด็กหญิง ก็อดรู้สึกไม่ได้อยู่ดีว่ามองเห็นใบหน้าของนางละมุนซ้อนทับอยู่รางๆ ไม่รวมที่ว่าอ่อนช้อยเป็นเด็กเรียนเก่ง เรียนดี ครูบาอาจารย์ชาวบ้านชาวช่องล้วนสรรเสริญชื่นชม พอเปรียบเทียบกับเฉิดฉายลูกสาวของตัวเองที่รักสบาย แต่จับจด หัวช้า ก็ยิ่งทำให้นางโฉมเฉลาหงุดหงิดไม่ได้ดั่งใจขึ้นมาทุกครั้ง

    โมโหตัวเอง นางก็ระบายโทสะลงที่อ่อนช้อย

    โมโหลูกสาวตัวเอง นางก็ระบายโทสะลงที่อ่อนช้อย

    โมโหผัว แม่ผัว ญาติโกโหติกาของผัว หรือโมโหสิ่งอื่นสิ่งใดก็ตาม นางก็ระบายทุกอย่างลงที่อ่อนช้อย

    ทำแบบนี้หลายปีเข้า นางโฉมเฉลาก็เกิดความเคยชิน ยิ่งนายสว่างไม่เคยห้ามปราม นางก็มองเห็นว่าเป็นคำอนุญาต นังลูกติดเมียเก่าในสายตาของนาง จึงไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้วในบ้าน ยิ่งมองเห็นก็ยิ่งขยะแขยง รกหูหูรกตา แต่จะไม่มีในบ้านก็ไม่ได้ เพราะจำเป็นต้องใช้เพื่อทำความสะอาดสิ่งสกปรก แต่คนประสาทดีที่ไหนกันเล่าจะยกผ้าขี้ริ้วมาเทิดทูนบูชา เอาวางไว้บนโต๊ะรับแขกหรือในห้องนอน ชีวิตของอ่อนช้อยก่อนจะย้ายไปอยู่กับเรืองรุ่ง จึงถูกนางโฉมเฉลาปฏิบัติไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้ว อยากโยนไว้ที่ไหนก็โยน จะใช้ขาถีบหรือใช้ตีนเหยียบ ผ้าขี้ริ้วก็มีค่าแค่ผ้าขี้ริ้ว มีคุณสมบัติคือถึกทน ไร้ปากไร้เสียง ซ่อนตัวอยู่ในซอกในหลืบอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว ก็ใครจะลดตัวลงไปเป็นปากเป็นเสียงเรียกร้องความยุติธรรมให้ผ้าขี้ริ้วกันล่ะ

    แต่ในวันนี้ นางโฉมเฉลาเพิ่งสังเกตเห็นว่า นังผ้าขี้ริ้วไร้ค่าในสายตาของนางมาตลอดนั้น มีอะไรบางอย่างที่ทำให้นางเกิดความหวาดกลัว 

    จู่ๆ นางโฉมเฉลาก็รู้สึกขนลุกขนพอง เมื่อมองใบหน้าเรียวเล็กเท่าฝ่ามือที่เรียบเฉย เห็นดวงตาดำขลับที่เยียบเย็น ท่าทางแข็งทื่อราวกับคนตาย ดูยังไงก็ไม่ต่างจากเด็กโรคจิต ถ้าในตอนนี้มีคนตะโกนบอกว่า นังอ่อนช้อยมีวิญญาณปีศาจเข้าสิง นางโฉมเฉลาก็พร้อมจะเชื่อโดยไม่คิดสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น   

    ทำยังไงดี? 

    นางโฉมเฉลาถามตัวเองในใจอย่างร้อนรน ขณะมองดูเรืองรุ่งที่จูงมือนังผ้าขี้ริ้วปีศาจเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ 

    ในใจของโฉมเฉลาตอนนี้ คืออยากจับมือลูกสาวแล้วหันหลังวิ่งหนีเข้าบ้าน แต่ถ้านางทำอย่างนั้น ก็คงถูกชาวบ้านนินทาว่านางขี้ขลาดตาขาว หรือทำความผิดจริงจึงสู้หน้าเรืองรุ่งไม่ได้ เพราะฉะนั้นทางเดียวที่โฉมเฉลาสามารถทำได้ ก็คือทำใจดีสู้เสือ รีบใช้น้ำเสียงแข็งๆ กดข่มอีกฝ่ายเอาไว้ก่อน นางไม่เชื่อหรอกว่าท่ามกลางสายตาของคนมากมายในที่นี้ นางเรืองรุ่งจะกล้าทำร้ายนางกับลูกต่อหน้าทุกคน

    “หล่อนเรียกฉันเอาไว้ทำไมยะ ก็ฉันบอกแล้วไม่ใช่หรือว่ามันเป็นเรื่องของเด็กทะเลาะกัน หรือหล่อนจะทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ถึงได้ถือไม้กวาดเพื่อจะมา…” 

    นางโฉมเฉลายังพูดไม่ทันจบประโยค เรืองรุ่งที่เดินมาอยู่ตรงหน้าก็เงื้อมือขึ้นสูง จากนั้นตบเปรี้ยงลงบนใบหน้าของนางโฉมเฉลาเต็มแรง จนอีกฝ่ายหน้าหัน หูอื้อตาลาย แต่ถึงอย่างนั้นนางโฉมเฉลาก็ยังได้ยินเสียงของนางเรืองรุ่งดังแว่วๆ ว่า

    “เมื่อกี้ใครเห็นบ้างว่าอีโฉมตบหน้าหลานฉันกี่ครั้ง ฉันจะได้ตบมันให้เท่ากัน”

    การกระทำของเรืองรุ่งทำเอาชาวบ้านคาดไม่ถึง ทุกคนต่างมองดูเรืองรุ่งสลับกับมองนางโฉมเฉลาที่ยกมือกุมแก้มตัวเอง มีสีหน้าตื่นตะลึงเหมือนไม่เชื่อว่าเรืองรุ่งจะกล้าตบนาง

    “นี่ พวกแกจะมัวยืนเบื้อใบ้กันอยู่ทำไม ไม่ได้ยินนังเรืองมันถามหรือไงว่าอีโฉมตบหน้าหนูอ่อนไปกี่ครั้ง ทำไมไม่มีใครตอบออกมาสักทีล่ะยะ!”

    นางเคี้ยงที่หายตกใจได้ก่อนคนอื่นรีบหันไปตะคอกถามชาวบ้าน นางรู้สึกเสียดายเป็นอย่างยิ่งที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนเห็นนางโฉมเฉลาตบหน้าอ่อนช้อย จะได้นับจำนวนการตบและเป็นคนตอบเรืองรุ่งแทนชาวบ้านคนอื่นๆ

    “สองครั้ง”

    ชาวบ้านคนหนึ่งพูดขึ้น ก่อนที่หลายคนจะพยักหน้าตอบรับ

    “ใช่ สองครั้ง”

    “สองหรือสาม?” 

    อีกคนถามขึ้นมา ทำเอาคนที่เหลือเกิดความลังเล

    “เออ นั่นสิ ตกลงมันสามหรือสองกันแน่?”

    “สองครั้งไม่ใช่เหรอ อีโฉมตบหน้านังหนูอ่อนสองครั้ง เห็นรอยแดงตรงแก้มข้างซ้ายไหม นั่นแหละมันตบซ้ำสองครั้งซ้อน”

    ชาวบ้านทั้งกลุ่มต่างถกเถียงกันไม่หยุด ขณะที่นางโฉมเฉลายืนอ้าปากค้างมองดูชาวบ้านรอบตัวอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง จนลืมความเจ็บปวดที่เพิ่งโดนตบไปชั่วขณะ

    ก็ดูเอาเถอะ แทนที่จะพากันเข้ามาช่วยเหลือนาง แต่ทุกคนกลับพูดคุยโต้เถียงกันราวกับเห็นเป็นเรื่องสนุกอย่างนั้นแหละ 

    นางโฉมเฉลาไม่ได้คิดเลยว่า ตอนที่นางถือด้ามไม้กวาดฟาดตีอ่อนช้อย นางก็ไม่ยอมให้ชาวบ้านคนไหนเข้ามาช่วยเด็กหญิงเช่นเดียวกัน

    นางโฉมเฉลามองดูผู้คนรอบตัวอย่างมึนงง นางได้ยินชาวบ้านถกเถียงกันระหว่างสองครั้งกับสามครั้ง จนเกือบเผลอช่วยชาวบ้านคิดไปด้วยว่า จริงๆ แล้วนางตบอ่อนช้อยไปกี่ครั้งกันแน่

    “สามค่ะ”

    เสียงเล็กๆ เสียงหนึ่งดังขึ้นมา ทำเอาชาวบ้านที่กำลังเถียงกันนิ่งเงียบ เพราะคนที่พูดออกมาคือเคียงข้าวที่ยืนอยู่ข้างๆ อ่อนช้อยนั่นเอง

    “น้าโฉมตบหน้าอ่อนสามครั้ง ตบหัวหนึ่งครั้ง ไม่รวมที่เอาไม้กวาดฟาดอ่อนอีกหลายที”

    เมื่อได้ฟังคำตอบจากเคียงข้าว สายตาเย็นชาแต่เดิมของเรืองรุ่งก็มืดทะมึน หญิงวัยห้าสิบหันขวับมามองนางโฉมเฉลาที่ผงะถอยหลังด้วยความตื่นตระหนก

    “ไม่นะ…ไม่จริง…ไม่ใช่” 

    นางโฉมเฉลารีบเถียงปากคอสั่น แต่เมื่อนึกได้ว่าคนที่พูดออกมาคือเคียงข้าว ลูกสาวพ่อเลี้ยงผู้มีอิทธิพล นางก็รีบหาคำแก้ตัวใหม่ หญิงร่างท้วมแทบจะยกมือไหว้เรืองรุ่งเมื่อละล่ำละลักพูดขึ้น

    “แม่เรือง ยังไงอ่อนช้อยก็เป็นลูกเลี้ยง ก็เหมือนลูกของฉันคนหนึ่ง เห็นลูกทะเลาะกันฉันก็แค่เข้าไปห้าม พอดีฉันกวาดบ้านอยู่ มือไม้ก็อาจจะพลาดไปโดนหนูอ่อนได้ ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”

    เรืองรุ่งมองหน้านางโฉมเฉลาด้วยความสมเพช ขณะที่นางเคี้ยงกลัวว่าเรืองรุ่งจะหลงเชื่ออีกฝ่าย แล้วทำให้นางหมดสนุก จึงรีบรับบทเป็นนางสอดแทรก พูดขัดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว 

    “บ้านของหล่อนอยู่กลางถนนหรือยะนังโฉม ถึงถือไม้กวาดมาอยู่กลางถนนแบบนี้ จะพูดแก้ตัวอะไร ก็ให้มันมีความน่าเชื่อถือหน่อยเถอะย่ะ” 

    นางโฉมเฉลานึกอยากจะพุ่งเข้าไปตบปากนางเคี้ยงจอมสาระแนสักสองสามฉาด แต่ในสถานการณ์ตอนนี้ นางรู้ตัวดีว่าจะหาศัตรูเพิ่มอีกไม่ได้ หญิงร่างท้วมจึงทำได้แค่ก่นด่าบรรพบุรุษของนางเคี้ยงอยู่ในใจ รวมถึงสาปแช่งญาติโกโหติกาของนางเคี้ยงที่ยังมีชีวิตอยู่แทน 

    ขณะที่นางโฉมเฉลากำลังนึกหาคำแก้ตัวใหม่ให้เรืองรุ่ง นางก็เห็นเรืองรุ่งก้มหน้ามองอ่อนช้อย แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับไม่มีคนอยู่

    “จำคำของน้าเอาไว้นะอ่อน…ถ้าใครทำดีกับเรา เราต้องตอบแทนเขาไปสองเท่าเป็นอย่างน้อย…ใครให้ข้าวเรากินหนึ่งจาน เราต้องให้เขาคืนสองจาน ใครให้น้ำเราดื่มหนึ่งแก้ว เราต้องตอบแทนให้เขาสองแก้ว”

    อ่อนช้อยเงยหน้าสบตาคนเป็นน้า ก่อนพยักหน้ารับเบาๆ สลักคำพูดทุกคำลงในหัวใจเล็กๆ ของตัวเอง

    เรืองรุ่งตวัดสายตามองนางโฉมเฉลากับเฉิดฉาย แล้วพูดขึ้นอีก

    “ส่วนใครรังแกเรา ตบตีเรา เราก็ต้องเอาคืนเช่นเดียวกัน” น้ำเสียงของหญิงวัยห้าสิบราบเรียบ ทว่าเยียบเย็น “วันนี้อ่อนยังเด็ก เรี่ยวแรงยังสู้คนอื่นไม่ได้ ก็จดลงบัญชีเอาไว้ก่อน…รอได้ แต่ห้ามลืม เข้าใจที่น้าพูดใช่ไหม?”

    “เข้าใจค่ะ”

    “เมื่อกี้น้าตบให้อ่อนครั้งหนึ่งแล้ว เหลืออีกสาม อ่อนพร้อมตอนไหนก็มาจัดการเอาเอง…ที่ผ่านมาเคยโดนอะไรมาบ้าง กลับไปถึงบ้านก็จดลงสมุดเอาไว้ให้หมด แล้วอ่านทบทวนทุกวัน จะได้จดจำขึ้นใจ”

    พูดจบเรืองรุ่งก็จับข้อมือเล็กของหลานสาว เดินผ่านนางโฉมเฉลาที่ผงะถอยหลังด้วยความหวาดกลัว จนแทบสะดุดขาตัวเองล้มลง ด้วยคิดว่าเรืองรุ่งจะเข้ามาตบนางอีก ทว่านางโฉมเฉลาคิดผิด เพราะเรืองรุ่งจับมืออ่อนช้อยเดินผ่านตัวนางและชาวบ้าน ไปหยุดอยู่ตรงหน้านายสว่าง ที่ยังคงยืนพิงเสารั้ว สูบบุหรี่ใบจากอย่างสบายอารมณ์

    นายสว่างมองหน้าเรืองรุ่งด้วยความเก้อกระดาก ใบหน้าของชายวัยกลางคนมีร่องรอยของความละอายปรากฏให้เห็นชั่วขณะ แต่เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว 

    “นายสว่าง” 

    เรืองรุ่งเรียกอดีตพี่เขยด้วยเสียงเยียบเย็น 

    “เอ่อ…น้องเรือง คือว่า…” 

    นายสว่างทำท่าจะอธิบาย ทว่าเรืองรุ่งตัดบท

    “ไม่ต้องเรียกฉันเป็นน้องเป็นพี่ ตั้งแต่วันนี้ไป ยายอ่อนกับแก และบ้านของแก ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก…ฝากบอกนางไสวแม่ของแกด้วยว่า ต่อไปนี้ไม่ต้องเรียกหายายอ่อนให้มาช่วยบีบนวดหรือใช้งานอะไรอีก…ยกเว้นถ้าแก…หรือแม่ของแกตายเท่านั้น ฉันจะให้ยายอ่อนเอาเงินมาช่วยทำบุญ”

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×