ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ภรรยานำดวง (Re-up มี E-book)

    ลำดับตอนที่ #2 : การชักนำของโชคชะตา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 12.53K
      30
      16 มี.ค. 64

    ตลอดเวลาที่ชายชราพูด อ่อนช้อยตั้งใจฟังทุกคำ เธอสังเกตกิริยาของชายชรา รับรู้และสัมผัสได้ถึงความเมตตาปราณีที่อีกฝ่ายมีให้ แต่นอกจากประโยคที่ว่าเธอไม่ผ่านด่านคัดกรองเพื่อไปต่อยังด่านสัมภาษณ์ ซึ่งแปลว่าเธอจะไม่ได้งานแล้ว อื่นๆ นอกเหนือจากนี้ เธอยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้

    แม้จะรู้ว่าชายชราพูดถึงพื้นดวงของเธอ แต่ภาษาและศัพท์แสงต่างๆ นั้น ก็ต้องยอมรับว่าห่างไกลจากความเข้าใจของเธอจริงๆ

    “แม่หนูมีอะไรจะถามตาหรือไม่?”

    ชายชราถาม จู่ๆ เหมือนจิตใจเกิดความอาลัยอาวรณ์ ทั้งสงสารและเวทนา จึงตัดสินใจชวนคุย ยังไม่อยากให้เธอออกไปจากห้อง

    ชายชราคนนี้มีชื่อว่า “อาจหาญ” ทุกคนในบริษัทจะเรียกว่า “คุณตาอาจ” น้อยคนที่จะรู้ว่าชายชราคนนี้ ที่แท้เป็นลูกผู้พี่ของคุณนวลระวี เขาเป็นคนทำนายทายทัก ตักเตือน และให้คำแนะนำในเรื่องดวงชะตาของ “คุณหนูนวล” ซึ่งเป็นน้องสาว ตั้งแต่เธอเริ่มเข้าวงการเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน 

    เมื่อคุณนวลระวีแต่งงาน มีลูก จนกระทั่งหย่าร้าง เขาก็คอยให้คำแนะนำในเรื่องของดวงชะตาในทุกช่วงเวลาของชีวิต พอมาเปิดบริษัทผลิตละคร นายอาจหาญก็เป็นคนแรกๆ ที่เข้ามา “ช่วย” ดูแลแผนกนี้ เพื่อคัดเลือกคนเข้ามาทำงานกับหลานสาวอย่างเป็นจริงเป็นจัง

    ความจริงแล้วด้วยตำแหน่งของชายชรา เขาไม่จำเป็นต้องมานั่งคัดกรองเอกสารเหมือนพนักงานทั่วไปแบบนี้ แต่เพราะความหลงใหลในโหราศาสตร์ ซึ่งเขาใช้เวลาเกินกว่าครึ่งชีวิตในการศึกษาวิถีดวงดาว ที่ส่งผลต่อวิถีชีวิตของคน รวมทั้งยังศึกษาศาสตร์อื่นๆ เพิ่มเติมอีกหลายแขนง ดั้นด้นไปร่ำเรียนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตั้งแต่หนุ่มจนแก่จนแตกฉาน ชายชราจึงมีความสุขไม่ต่างจากเด็กน้อยคนหนึ่ง ยามได้เห็นพื้นดวงที่หลากหลายของแต่ละคนที่มาสมัครงาน

    พื้นดวงชะตาของแต่ละคนนั้น ไม่ต่างอะไรเลยกับบทบันทึกเส้นทางเดินของชีวิต ตั้งแต่เกิดจนโต ตั้งแต่บทแรกจนถึงบทสุดท้าย 

    ถึงแม้การตรวจสอบพื้นดวงของคนอื่น อาจดูไร้มารยาท ไม่ต่างจากการละเมิดกฎสวรรค์ เพราะเป็นการก้าวล่วงชีวิตส่วนตัวของคนอื่นรูปแบบหนึ่ง ไม่ต่างจากการแทรกแซงกฎแห่งกรรม แต่ในเมื่อนี่เป็นกฎของบริษัท รวมทั้งคนมาสมัครงานเอง ส่วนมากก็จะเป็นคนในบริษัทแนะนำมา แต่ละคนจึงรู้ดีอยู่แล้วว่าตนเองจะถูกตรวจสอบพื้นดวงเป็นด่านแรก แต่ก็ไม่มีใครคัดค้านหรือมีปัญหาแต่อย่างใด 

    อีกอย่างคนในปัจจุบัน ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้นัก หากวันเดือนปีเกิดเวลาตกฟากของตัวเองจะตกไปอยู่ในมือของคนแปลกหน้า ไม่มีใครถือสาหรือคิดกังวลว่านั่นเป็นเรื่องใหญ่ ไม่เช่นนั้นคงไม่แห่แหนกันไปหาหมอดู ให้ช่วยดูดวงของตัวเอง รวมทั้งบอกวันเดือนปีเกิดให้อีกฝ่าย ขอให้ช่วยทำนายทายทัก แม้จะไม่เคยรู้จักกันมาก่อนก็ตามที

    “หนูไม่รู้ควรจะถามอะไร”

    อ่อนช้อยตอบด้วยเสียงสุภาพ ดวงตาดำขลับทอประกายไม่แน่ใจขึ้นมาวูบหนึ่ง ทว่าเด็กสาวยังคงนั่งหลังตรง กิริยาเรียบนิ่ง สิ่งที่ชายชรามองเห็นคือความสงบเกินวัย ความรู้กาลเทศะ ความอ่อนน้อมถ่อมตน เจียมตัว และความถือตัว ผสมผสานปนกันอยู่ในตัวของเด็กสาวคนนี้

    “ทำไมแม่หนูถึงไม่อยากถาม หรือไม่คิดสงสัยในสิ่งที่ตาได้พูดไป?” 

    นายอาจหาญขยับแว่นตาตรงดั้งจมูก ก่อนถาม ขณะที่อ่อนช้อยส่ายศีรษะ ตอบกลับเสียงเบา

    “ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ”

    คำตอบของเธอเป็นความจริง

    อ่อนช้อยไม่รู้จะถามอะไร ไม่ใช่ไม่คิดสงสัย แต่เป็นเพราะเธอรู้ดีว่า เธอยังมีเวลาอีกมากที่จะได้สอบถามชายชราในเรื่องต่างๆ พวกนี้ 

    หญิงสาวพรูลมหายใจออกมาเบาๆ ก่อนตัดสินใจพูดขึ้น

    “คุณนวลระวีกับคุณนำดวงบอกหนูมาก่อนแล้วว่า ดวงชะตาของหนูอาจติดอยู่ที่ด่านแรก” หญิงสาวตอบด้วยกิริยาสุภาพดุจเดิม ดวงตาสุกใสมองชายชราด้วยความสุภาพ “แต่ยังไงหนูรบกวนคุณตาช่วยโทรหาคุณนวลระวีหรือคุณนำดวงได้ไหมคะ… รบกวนคุณตาบอกท่านว่า หนูมาตามสัญญาแล้ว”

    คำตอบของอ่อนช้อยสร้างความแปลกใจให้แก่นายอาจหาญ จนชายชราต้องเลิกคิ้วขาวขึ้นสูง จับขาแว่นแล้วมองหญิงสาวอย่างพิจารณามากกว่าเดิม

    มองกันจะจะโต้งๆ โดยไม่ต้องแอบมองนี่แหละ

    “แม่หนูหมายถึงคุณนวลระวี คุณนำดวง เจ้าของบริษัทนี้น่ะหรือ?”

    นายอาจหาญถาม ก่อนหัวเราะตัวเองในนาทีนั้น ถ้าไม่ใช่เจ้าของบริษัทนี้จะเป็นบริษัทไหนกัน ในเมื่อแม่หนูอ่อนช้อยก็มาสมัครงานที่นี่ไม่ใช่หรอกหรือ

    มิน่าล่ะ บุคลิกท่าทางของแม่หนูถึงยังนิ่งสงบอยู่ได้ ทั้งที่เขาบอกเธอตั้งแต่แรกแล้วว่าเสียใจด้วยที่จะไม่ได้งาน แบบนี้แปลว่าเขาคงต้องหน้าแตกเสียแล้วล่ะสิ

    ชายชราคิด แต่ไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองแต่อย่างใด กลับกันเขารู้สึกว่าเรื่องนี้ชักน่าสนใจและน่าสนุกไม่ใช่น้อย

    “ใช่ค่ะ” อ่อนช้อยตอบ “หนูเรียนจบมาได้ด้วยเงินทุนของคุณนวลระวีกับคุณนำดวง”

    หญิงสาวไม่คิดปิดบังที่มาที่ไป เหตุผลมีอยู่สองข้อ ข้อแรกชายชราคนนี้นั่งคัดกรองคนที่มาสมัครงาน สามารถชี้ให้คนผ่านและตกได้ แปลว่าเจ้าของบริษัทอย่างคุณนวลระวีไว้วางใจให้เขาทำ นั่นแปลว่าเบื้องหลังของเขาคงไม่ธรรมดา หาใช่ว่าจะคิดดูถูกว่าเขามีหน้าที่เล็กจ้อย

    เธอรู้มาว่าคนที่มาสมัครงานในบริษัทของคุณนวลระวีนั้น มากกว่าครึ่งเข้ามาโดยการแนะนำจากพนักงานเก่า จึงไม่แปลกที่เธอเองก็ได้รับการแนะนำมาด้วยเช่นกัน ต่างกันเพียงแค่ว่า คนที่แนะนำให้เธอมา คือเจ้าของบริษัทและลูกชายคนโต 

    จะพูดว่าเธอใช้เส้นก็ไม่ผิด

    หากใครจะมองแบบนั้น อ่อนช้อยก็ทำอะไรไม่ได้ ชีวิตของเธอไม่มีทางให้เลือกมากนัก ในเมื่อโชคดีได้เจอทางลัดที่จะทำให้ได้งาน ได้เงิน โดยไม่ได้ทุจริตเบียดเบียนใคร เธอก็เอาทั้งนั้น

    “หนูได้ทุนการศึกษาจากคุณนวลระวีและนำดวง?”

    ชายชราทวนคำ แสดงความแปลกใจให้เห็นบนสีหน้า

    “ใช่ค่ะ คุณนวลระวีให้ทุนหนูตั้งแต่ชั้น ม.4 จนจบปริญญา”

    “ขอตาดูเอกสารเพิ่มเติมได้ไหม?”

    นายอาจหาญถาม ขณะที่อ่อนช้อยพยักหน้า

    “ได้ค่ะ”

    หญิงสาวเปิดกระเป๋าผ้าที่วางบนตัก ก่อนดึงแฟ้มพลาสติกแผ่นบางออกมา ในนั้นมี “ทรานสคริปต์” หรือใบแสดงรายวิชาและผลการเรียน ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ที่ออกโดยทางมหาวิทยาลัย รวมถึงใบรับรองปริญญา เนื่องจากเธอเพิ่งสำเร็จการศึกษา ยังไม่ได้รับปริญญาบัตร 

    นายอาจหาญหยิบแฟ้มมาจากมือของหญิงสาว ก่อนดึงเอกสารทั้งหมดออกมา ชายชราใช้มือข้างหนึ่งจับขาแว่นก่อนพิจารณาเอกสารในมือ ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็เลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยสีหน้าแปลกใจ 

    ไม่น่าเชื่อว่า ที่แท้เด็กสาวที่อยู่ในชุดนักศึกษาตัวกลางใหม่กลางเก่าคนนี้ จะเรียนจบจากมหาวิทยาลัยรัฐบาลอันดับต้นของประเทศ ที่เข้าเรียนได้อย่างยากเย็น อาจเป็นด้วยเขาอายุมากแล้ว สายตาฝ้าฟาง จึงไม่ได้สังเกตเข็มมหาวิทยาลัยที่เธอกลัดเอาไว้บนอกเสื้อ

    และเมื่อนายอาจหาญไล่สายตามองเกรดแต่ละวิชา ดูเอกสารอีกแผ่นที่รับรองโดยมหาวิทยาลัย ก็ทำให้แววตาของชายชรายิ่งแสดงออกถึงความแปลกใจมากยิ่งขึ้น พร้อมกันนั้นความพึงพอใจก็บังเกิดอยู่บนสีหน้าของเขามากขึ้นเป็นลำดับ

    เกียรตินิยมอันดับ 1

    ดีเหลือเกินที่เขารู้สึกถูกชะตากับเด็กสาวคนนี้ตั้งแต่แรก จนตัดสินใจชวนคุย ทั้งที่จะไล่เธอออกไปจากห้องตั้งแต่แรกก็ได้ เนื่องจากคุณสมบัติเรื่องพื้นดวงชะตาของเธอไม่เพียงพอที่จะผ่านไปยังด่านสัมภาษณ์ นี่แปลว่าเขากับเธอมีวาสนาต้องกันนั่นเอง

    คนที่หลงใหลในศาสตร์แห่งดวงชะตา ร้อยทั้งร้อยย่อมเชื่อมั่นในเรื่องโชคชะตาฟ้าดิน เป็นต้นว่าเรื่องลิขิตฟ้า เรื่องบุญพาวาสนาส่ง เขาเองก็เช่นเดียวกัน การที่เด็กสาวคนนี้ได้ทุนจากแม่หนูนวล รวมถึงนำดวง หลานชายคนโตของเขา ก็แปลว่าเธอผ่านด่านหินมาแล้วเรียบร้อย ไม่จำเป็นต้องส่งไปยังด่านที่สองที่สามให้เหนื่อยแรงอีก เพราะยังไงด่านสุดท้ายก็จบลงที่เจ้าของบริษัทอยู่ดี

    นายอาจหาญเก็บกระดาษทั้งหมดลงแฟ้ม จากนั้นเลื่อนไปวางไว้อีกด้าน ไม่ได้คืนมันให้กับเด็กสาว สองมือของเขากุมประสานวางบนโต๊ะ มองดูหน้าเธอ ใบหน้าชรายับย่นผลิรอยยิ้มเหมือนคนแก่ใจดี ผสมกับความอยากรู้อยากเห็นเหมือนมีวิญญาณเด็กสิงอยู่ในร่าง

    “ตอนนี้แม่หนูอายุเท่าไหร่?” เขาถาม

    “ยี่สิบเอ็ดค่ะ” อ่อนช้อยตอบ

    “ยี่สิบเอ็ด” ชายชราทวนคำ “แม่หนูได้ทุนตอน ม.4 แปลว่าแม่หนูรู้จักกับแม่หนูนวลและเจ้านำ ตอนแม่หนูอายุสิบห้าสิบหก ตาพูดถูกไหม?”

    “ค่ะ หนูรู้จักคุณนวลกับคุณนำตอนอายุสิบห้า”

    อ่อนช้อยตอบด้วยความสุภาพอีกครั้ง ขณะที่ชายชราโน้มตัวมาข้างหน้า ประสานสายตากับเธอ จากนั้นพูดขึ้นด้วยเสียงที่พยายามระงับความอยากรู้

    “ไหนแม่หนูเล่าให้ตาฟังหน่อยได้ไหม ว่าไปรู้จักกับแม่หนูนวลและนายนำได้อย่างไร?” 

     

    โลกใบนี้มีคนอยู่กี่ล้านคน การที่ชีวิตของคนคนหนึ่งโคจรเข้าไปเกี่ยวพันกับคนที่มาจากต่างสถานที่ ต่างสังคม จากนาทีแรกที่ได้พบ ได้มองตา ได้พูดคุย ได้ทำความรู้จัก จากนั้นมีการยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเกื้อกูล จะเรียกเหตุการณ์แบบนี้ว่าอะไรได้ ถ้าหากไม่ใช่ “โชคชะตา”

    หากไม่ใช่โชคชะตา แล้วใครกันล่ะที่ช่วยกำหนดวันเวลาและสถานที่ ให้ผู้หญิงบ้านนอกบ้านนาอย่างเธอ ได้พบเจอกับคุณนวลระวีและลูกชายอย่างคุณนำดวง จากนั้นก็เหมือนมีเส้นด้ายที่มองไม่เห็นผูกมัดข้อมือระหว่างเธอกับพวกเขาเอาไว้ ตั้งแต่เธออายุสิบห้า จนถึงวันนี้ที่เธอได้ก้าวเท้าเข้ามาใน “อาณาจักร” ของอีกฝ่ายตามคำสัญญาในอดีต

    คำสัญญา ที่เธอกับคุณนำดวงมีให้กันเมื่อหกปีก่อน

    และจากวันนี้…ก็รอดูว่าคำสัญญาที่มี จะนำพาเขากับเธอไปทางไหน 

     อ่อนช้อยระบายลมหายใจแผ่วเบา ขณะที่ภาพในวันวานผุดขึ้นมาในความทรงจำ

    …………………..

    หมู่บ้านเขาตะคร้อ เป็นหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ในจังหวัดทางภาคเหนือ

    หมู่บ้านนี้ไม่ได้เจริญมาก แต่ก็ไม่ถึงกับทุรกันดาร มีข้อดีคืออยู่ห่างจากตัวจังหวัดไม่ไกล หนำซ้ำยังมีวัดเขาตะคร้อ ซึ่งเป็นวัดก่าแก่และที่มีชื่อเสียง เนื่องจากมีเกจิอาจารย์ชื่อดังจำวัดอยู่ที่นี่ ท่านเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นที่เคารพนับถือของพุทธศาสนิกชนในท้องถิ่น รวมทั้งยังมีลูกศิษย์ลูกหามากมายทั่วประเทศ จึงมักมีนักท่องเที่ยวและคนต่างถิ่นมากราบไหว้ขอพรอยู่เนืองๆ

    ข้อดีอีกอย่างของหมู่บ้านเขาตะคร้อ คือมีภูเขาล้อมรอบ มีแม่น้ำ อากาศดี ทิวทัศน์งดงาม จึงมีนายทุนมาสร้างรีสอร์ตและร้านอาหารหลายแห่ง ชาวบ้านในหมู่บ้านเขาตะคร้อเองก็พลอยเปิดบ้านตัวเองทำเป็นร้านอาหารท้องถิ่น เปิดโฮมสเตย์สำหรับนักท่องเที่ยวต่างถิ่น รวมทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีมาเยือนไม่น้อย นอกนั้นยังเปิดร้านขายของที่ระลึก ไม่ว่าจะเป็นร้านผ้าไหม เครื่องเงิน ของแกะสลัก ของกินของฝาก ของป่า และพืชผักต่างๆ 

    คนที่ไม่มีทุนรอนหรือไม่มีบ้านช่องติดถนน พอหมดงานไร่งานนา ก็มักจะตั้งโต๊ะข้างทาง ขออนุญาตเจ้าของบ้านคนอื่นในการขายของ ซึ่งทุกคนก็มีน้ำใจ แบ่งปันเจือจานตามประสาคนชนบท จึงเกิดเป็นความงดงามที่นักท่องเที่ยวเล่าบอกกันไปปากต่อปาก 

    ส่วนบ้านใครอยู่ใกล้วัดสักหน่อย ก็มักจะขายพวกธูปเทียนดอกไม้ เครื่องหอม กำยาน หรือเสื้อผ้าชุดขาวสำหรับคนมาปฏิบัติธรรม

    “นางเรืองรุ่ง” ซึ่งเป็นน้าสาวของอ่อนช้อย มีบ้านอยู่เยื้องประตูทางเข้าวัดเขาตะคร้อ บ้านครึ่งปูนครึ่งไม้สองชั้นที่ได้รับเป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ถูกนางต่อเติมกรุกระจกด้านหน้า เว้นลานหน้าบ้านเอาไว้นิดหน่อย เพื่อเปิดร้านค้าหาเงินเหมือนชาวบ้านคนอื่นๆ แต่นางเรืองรุ่งไม่ได้ขายเครื่องสังฆภัณฑ์ หรือวัตถุมงคลอย่างชาวบ้านในละแวกใกล้วัดแต่อย่างใด ทว่านางเลือกที่จะเปิดเป็นร้านเสริมสวยแทน

    “น้าเป็นคนรักสวยรักงาม ถึงน้าจะเป็นแม่ม่าย แต่ก็เป็นแม่ม่ายทิ้งผัว ไม่ใช่แม่ม่ายผัวทิ้ง ศักดิ์ศรีของน้าจึงมีอยู่ในตัวอย่างเต็มเปี่ยม” 

    นางเรืองรุ่งพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ท้ายเสียงไม่ปกปิดความภาคภูมิใจในตัวเอง นางนั่งอยู่บนเก้าอี้เบาะนุ่มพนักสูง สำหรับลูกค้าเวลามาทำผม มองเงาของตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่ตรงหน้า ก่อนเอียงใบหน้าซ้ายทีขวาที พลอยทำให้อ่อนช้อยที่นั่งฟังอยู่บนพื้น พร้อมตรวจเช็คจำนวนน้ำยาย้อมผมที่อยู่ในลัง พลอยชะงักมือ แล้วเงยหน้ามองน้าสาว รอให้นางพูดต่อ

    เรืองรุ่งสบตาอ่อนช้อยผ่านกระจก มองดูหลานสาววัยสิบห้าที่เคยผอมซูบมาก่อน เริ่มมีเนื้อหนังมากขึ้นหลังมาอยู่กับนาง หญิงวัยห้าสิบก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างสะทกสะท้อน คำที่จะพูดต่อไปจึงแทรกไว้ด้วยการสั่งสอนหลานสาวไปด้วยในที

    “อีกอย่างหน้าตาของน้าก็ยังสะสวยอ่อนวัย ผิวพรรณก็ยังสดใสเปล่งปลั่ง อาชีพที่เหมาะกับน้าย่อมไม่พ้นพวกความสวยความงาม…จริงอยู่ที่น้าเคยรับจ้างเย็บผ้าโหลมาก่อน เคยทำงานโรงงานหาเช้ากินค่ำ เป็นลูกชาวไร่ชาวนา แต่นั่นเป็นเรื่องในอดีต…เรื่องในอดีตถ้าดีก็เก็บเอาไว้ แต่ถ้าไม่ดีก็ตัดมันทิ้ง ไม่ควรเอามาเกี่ยวพันกับปัจจุบันและอนาคต แต่ถ้าลบไม่ได้ ลืมไม่ได้ จำเป็นต้องเก็บ ก็ขอให้เก็บไว้ด้วยเหตุผลเดียว คือเก็บเอาไว้เตือนใจตัวเองว่าเราเคยโดนทำอะไร เคยมีใครทำอะไรเราบ้าง วันหนึ่งถ้าหากเราพร้อม มีกำลัง มีเงิน มีอำนาจ จะได้จัดการเอาคืนได้โดยไม่ผิดตัว” 

    คำพูดของน้าสาวทำให้ดวงตาดำขลับของอ่อนช้อยทอประกายขึ้นมาวูบหนึ่ง ซึ่งนางเรืองรุ่งก็มองเห็น นางจึงไม่ย้ำเรื่องนี้อีก แต่กลับไปพูดเรื่องเดิมต่อ

    “น้าเคยทำงานเป็นลูกมือร้านเสริมสวยมาก่อน เมื่อมีเงินพอจะเปิดกิจการของตัวเอง น้าก็เลือกที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองรัก จะให้น้าเปลี่ยนบ้านตัวเองไปขายเครื่องรางของขลังวัตถุมงคล เลียนแบบชาวบ้าน เหมือนที่นังเคี้ยงทำน่ะเหรอ น้าไม่เอาด้วยหรอก” 

    “นังเคี้ยง” ที่เรืองรุ่งพูดถึงคือเพื่อนบ้าน เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ รวมทั้งเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมายาวนาน หนำซ้ำยังมีบ้านอยู่ติดกันอีกด้วย

    “มีบ้านไว้อยู่อาศัยดีๆ จะเปลี่ยนให้เป็นตำหนักคนทรงไปทำไม เพียงแค่อยากกอบโกยหาเงินจากนักท่องเที่ยว แต่ไม่ดูว่าตัวเองรักชอบถนัดหรือเปล่าอย่างนั้นน่ะเหรอ…บ้าบอสิ้นดี น้าไม่อยากให้ใครเดินเข้ามาในร้าน แล้วก็ยกมือขึ้นเหนือหัวพนมไหว้ไปรอบๆ เหมือนบ้านของน้าเป็นศาลพระภูมิหรอกนะ นี่ยังไม่นับตอนกลางคืนอีก นังเคี้ยงถึงกับต้องทิ้งบ้านกลับไปนอนบ้านแม่ไม่ใช่เหรอ เพราะรู้สึกเหมือนตัวเองนอนในวัด ลมพัดใบไม้เสียดสีหลังคาที ก็ร้องโหยหวนเป็นอีบ้าอีบอว่ามีผีมาหลอก”

    นางเรืองรุ่งสบตาอ่อนช้อยอีกครั้ง ทิ้งระยะอยู่ครู่หนึ่ง จึงพูดกับหลานสาวด้วยน้ำเสียงจริงจัง   

    “จำเอาไว้นะอ่อน น้าจะบอกอะไรให้ คนเราต้องหาข้อดีของตัวเองให้เจอ หาคุณค่าของตัวเองให้พบ ใครหาได้ก่อนคนนั้นได้เปรียบก่อน เมื่อเราเห็นข้อดีและคุณค่าของเรา เราจะรักตัวเอง และเมื่อเรารักตัวเอง เราจะไม่ยอมให้ใครมาเอาเปรียบ ต่อให้คนๆ นั้นจะเป็นคนในครอบครัวของเรา หรือเป็นผู้ชายที่เราคิดว่าเรารักเขามากที่สุดในชีวิตก็ตาม”

    “น้าเรืองไม่ต้องห่วง อ่อนจำทุกอย่างเอาไว้หมดแล้ว”

    อ่อนช้อยตอบ น้ำเสียงสุภาพเรียบนิ่ง มีเพียงดวงตาดำขลับเท่านั้นที่ทอประกายเย็นชาวูบหนึ่ง ราวกับเธอไม่ใช่เด็กสาววัยสิบห้า แต่เป็นผู้หญิงวัยกลางคนที่ใช้ชีวิตอย่างสมบุกสมบันมาตั้งแต่เกิด

    เรืองรุ่งไม่แน่ใจว่าคำตอบของอ่อนช้อยคืออะไร สิ่งใดที่หลานสาวของนางจำเอาไว้หมดแล้ว จำที่นางสอนสั่ง หรือจำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของตัวเอง แต่เรืองรุ่งเลือกที่จะไม่ถาม เพราะนางเชื่อว่า การให้หลานสาวหัดพินิจพิจารณาตัดสินใจเอง คือทางเลือกที่ถูกต้องและดีที่สุดแล้ว 

    ตอนนี้นางอายุห้าสิบ อย่างมากก็คงอยู่ได้อีกยี่สิบสามสิบปี แต่อ่อนช้อยเพิ่งเต็มสิบห้า เกิดมากำพร้าแม่ ถึงจะมีพ่อแต่ก็เหมือนไม่มี ไหนจะแม่เลี้ยงและลูกคนใหม่ ที่ไม่ต่างอะไรจากเจ้ากรรมนายเวร หากหลานสาวของเธอไม่หัดกางปีกใช้กรงเล็บต่อสู้ด้วยตัวเอง แล้ววันข้างหน้าจะเอาตัวรอดได้อย่างไร

    นี่แค่เรื่องในครอบครัว แล้วโลกกว้างในภายภาคหน้าอีกล่ะ? 

    สิ่งที่เรืองรุ่งพอทำได้ ก็คือการเอาตัวอ่อนช้อยมาเลี้ยงเอง ซึ่งกว่าจะทำได้สำเร็จ ก็เปลืองเรี่ยวแรงและเงินทองไปไม่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังรู้สึกภูมิใจ ที่ในฐานะน้า นางสามารถดูแลหลานสาวของตัวเองได้ เท่าที่กำลังและความสามารถจะพึงมี

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×