ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ภรรยานำดวง (Re-up มี E-book)

    ลำดับตอนที่ #3 : ผู้ชายที่คล้ายพระทุศีล

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7.61K
      24
      16 มี.ค. 64

    แม่ของอ่อนช้อยมีชื่อว่า “ละมุน” เป็นพี่สาวแท้ๆ ของเรืองรุ่ง 

    ละมุนแต่งงานกับนายสว่าง แล้วย้ายไปอยู่ที่บ้านของสามี ซึ่งเป็นคนหมู่บ้านเขาตะคร้อเช่นเดียวกัน แต่อยู่คนละคุ้ม จากนั้นทั้งคู่ก็มีอ่อนช้อย เป็นลูกสาวคนเดียว

    ชีวิตของอ่อนช้อยคงไม่ลำบากยากแค้น ไม่ต่างเด็กอนาถา ถ้านางละมุนจะไม่ถูกรถชนตายเมื่อเด็กหญิงมีอายุเพียงสามขวบ ในปีต่อมา นายสว่างก็แต่งงานใหม่กับ “นางโฉมเฉลา” และมีลูกสาวอีกคนชื่อว่า “เฉิดฉาย” 

    ตายายของอ่อนช้อย หรือพ่อแม่ของเรืองรุ่งตายไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน เรืองรุ่งมีพี่ชายสองคน คนโตแต่งงานตั้งรกรากอยู่ที่กรุงเทพฯ พี่ชายคนรองย้ายไปอยู่บ้านเมียที่ภาคอีสาน ส่วนละมุนแม่ของอ่อนช้อยเป็นลูกคนที่สาม ขณะที่เรืองรุ่งเป็นลูกคนสุดท้อง นางเคยแต่งงานมีผัว แต่จับได้ว่าผัวมีผู้หญิงคนใหม่ เลยตัดสินใจฟ้องหย่า ได้ค่าเลี้ยงดูมาก้อนหนึ่ง จากนั้นจึงย้ายกลับมาอยู่หมู่บ้านเขาตะคร้อ ดูแลพ่อแม่จนทั้งคู่เสียชีวิตด้วยวัยชรา 

    เพราะอยู่หมู่บ้านเดียวกัน ทำให้เรืองรุ่งรู้ว่าชีวิตของหลานสาวอย่างอ่อนช้อยเป็นอย่างไร

    นายสว่างพี่เขยของนางเป็นลูกชายคนโตของบ้าน มีน้องชายหนึ่งคน และน้องสาวสองคน พ่อของเขาตายไปหลายปีแล้ว เหลือนางไสวแม่ผู้ชราอาศัยอยู่ร่วมบ้านชั้นเดียวใต้ถุนสูง โดยมีบ้านของลูกชายหญิงอีกสามคนปลูกแออัดยัดเยียดอยู่ในพื้นที่เดียวกัน 

    ในครอบครัวของอ่อนช้อย จึงมีใครต่อใครก็ไม่รู้อยู่กันเต็มแน่นไปหมด พ่อแม่ ลูกหลาน เขยสะใภ้ คอกวัวคอกควาย เล้าหมู เล้าไก่ หลังคาสังกะสีผุพังเกยกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ทางเดินเข้าออกของบ้านแต่ละหลังอยู่ทางทิศไหน คนนอกแทบหาไม่เจอ

    ครอบครัวของนายสว่างจึงอบอุ่นจนร้อนรุ่ม เหตุที่ลูกแต่ละคนไม่ยอมขยับขยายย้ายออกไปอยู่ที่อื่น ไม่ใช่เพราะรักนางไสวผู้เป็นแม่ แต่เพราะที่ดินที่อยู่อาศัยเป็นที่แปลงสวย อยู่ติดถนนใหญ่ วันหน้าถ้าจะขายก็ได้ราคาแพง หรือเก็บเอาไว้เป็นทรัพย์สิน ก็ไม่ต่างจากมีขุมทองอยู่กับตัว

    ที่ดินผืนนี้ยังเป็นชื่อของนางไสว ซึ่งไม่ยอมยกให้ลูกคนไหนทั้งนั้น เพราะคงรู้ดีว่าถ้าโอนให้ใครไป สงครามในบ้านก็คงเกิดขึ้น และตัวนางเองก็อาจถูกลูกขับไล่ให้ไปอยู่ข้างถนนเป็นคนแรก เพราะฉะนั้นคนในครอบครัวจึงอยู่กันไปแบบนี้ ดีกันบ้าง ด่ากันบ้าง กระแนะกระแหนจิกกัดทะเลาะกันบ้าง แต่ก็ไม่มีใครยอมย้ายออก ถึงแม้แต่ละคนจะได้ไร่นาเป็นของตัวเองไปแล้ว ทว่าก็เล็งที่ดินผืนนี้กันตาเป็นมัน 

    เพราะฉะนั้นในแต่ละวัน ชาวบ้านละแวกใกล้เคียงจึงได้ยินเสียงด่าทอประชดประชันจากบ้านของนายสว่าง น้องสาวคนเล็กด่าครอบครัวพี่สาวคนรอง พี่สาวคนรองด่าพี่ชายคนโต พี่ชายคนโตด่าน้องสาวตัวเอง ด่าลูกด่าหลาน ด่าเขยด่าสะใภ้ กระทบกระแทกแดกดันกันไปมา ไม่ต่างจากอาศัยอยู่ในตลาดสด 

     

    เมื่อนางละมุนเสียชีวิต นายสว่างพาเมียใหม่เข้าบ้านคือนางโฉมเฉลา สถานะของอ่อนช้อยก็ยิ่งเปราะบาง ตั้งแต่เด็กที่อ่อนช้อยใช้ชีวิตเหมือนเป็นคนรับใช้ในบ้าน งานเบางานหนักเธอถูกแม่เลี้ยงจิกใช้อย่างไร้ความปราณี อายุไม่กี่ขวบก็ต้องไปหาบน้ำ ก่อไฟขนฟืน กวาดบ้านถูบ้าน หุงข้าวล้างจานตั้งแต่เรียนชั้นประถมหนึ่ง ขณะที่เฉิดฉายลูกสาวอีกคนกลับมีสถานะไม่ต่างจากเจ้าหญิงองค์น้อย เป็นลูกสุดที่รักของนายสว่างกับนางโฉมเฉลา ราวกับว่าตัวเขามีลูกสาวอยู่เพียงคนเดียว

    และไม่ใช่แค่แม่เลี้ยงเท่านั้นที่มีสิทธิ์จิกใช้อ่อนช้อย แต่สมาชิกจากทุกบ้าน ก็เหมือนจะเห็นอ่อนช้อยเป็นคนรับใช้ไปด้วย บ้านนี้สั่งให้ทำนั่น บ้านนั้นสั่งให้ทำนี่ วุ่นวายอลวนอลหม่านกันไปหมด   

    บ้านที่มีคนมาก ก็ย่อมมีเรื่องมาก รวมทั้งกินมาก จึงไม่แปลกที่อ่อนช้อยซึ่งทำทุกอย่างแต่กลับได้อดมากกว่าได้กิน เด็กหญิงจึงมีรูปร่างเล็กแกร็น ผอมแห้ง ตัวดำ มาตั้งแต่เด็ก เพิ่งจะดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาจริงๆ ได้กินอิ่ม นอนหลับ ก็ตอนมาอยู่กับเรืองรุ่งนี้เอง

    หญิงวัยห้าสิบถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อนึกย้อนไปยังเรื่องราวในอดีต

    อดีตที่ผ่านมาแล้ว และนางก็เพิ่งจะสอนหลานสาวไปหยกๆ ไม่ให้เก็บอดีตมาจำใส่ใจ ทั้งที่นางนี่แหละที่รู้ดีกว่าใครว่าเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในอดีต มันคงไม่จบง่ายๆ อย่างที่หวังอย่างแน่นอน

    แต่จะทำอย่างไรได้ นอกจากอธิษฐานขอพรกับพระวัดเขาตะคร้อ ขอให้นางมีสุขภาพแข็งแรง มีอายุยืนยาว เพื่อที่จะได้อยู่ปกป้องหลานสาวคนนี้ จนกระทั่งเห็นว่าอ่อนช้อยสามารถเอาตัวรอดได้จริงๆ 

     

    กว่าที่นางเรืองรุ่งจะได้เป็นผู้ปกครองของอ่อนช้อย นางต้องทำทุกวิถีทาง ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง ทั้งเกลี้ยกล่อม ทั้งข่มขู่ ใช้เวลานานนับปี กว่าที่นายสว่างกับนางโฉมเฉลาจะยอมยกอ่อนช้อยให้นางอย่างไม่เต็มใจ

    เหตุที่ทั้งคู่อยากเก็บอ่อนช้อยเอาไว้นั้น ไม่ใช่เพราะรักเอ็นดูใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่เด็กหญิงอยู่ในวัยกำลังโต สามารถทำงานทุกอย่างได้ไม่ต่างจากผู้ใหญ่ เมื่อมีอ่อนช้อยอยู่ในบ้าน ครอบครัวของนายสว่างก็จะทุ่นแรง นางโฉมเฉลาที่มีนิสัยรักสวยรักงาม เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ขี้เกียจตัวเป็นขน ชอบเข้าเมืองเข้าบ่อนมากกว่าเข้าไร่เข้านา ก็คงจะส่งอ่อนช้อยไปทำงานหาเงินให้ตัวเองกับลูกสาว อนาคตของอ่อนช้อยอย่างมากคงได้เรียนแค่ชั้น ม.3 ไม่สูงเกินไปกว่านี้อย่างแน่นอน

    โชคดีที่เรืองรุ่งมีเพื่อนสนิทที่ค่อนข้างมีอิทธิพล เป็นที่นับหน้าถือตาของคนในหมู่บ้าน นั่นคือ “คุณผจี” ซึ่งเป็นภรรยาของ “พ่อเลี้ยงนุกูล” 

    เพื่อนสนิทของเธอคนนี้มีกิจการโรงสีขนาดใหญ่ รับซื้อข้าวเปลือกจำหน่ายข้าวสารในตัวเมืองและจังหวัดใกล้เคียง บวกกับลูกสาวของผจีคือ “เคียงข้าว” เป็นเพื่อนสนิทของอ่อนช้อย เมื่อมีครอบครัวของผจีออกหน้า ช่วยกดดันนายสว่าง นางโฉมเฉลาก็ทำอะไรไม่ได้ จำต้องปล่อยอ่อนช้อยให้เรืองรุ่งเป็นคนดูแล ถึงแม้จะไม่เต็มใจก็ตาม    

    ถึงแม้ร้านเสริมสวยของนางเรืองรุ่งจะไม่ได้ใหญ่โต หนำซ้ำยังอยู่ใกล้วัด แต่ก็ถือว่าประสบความสำเร็จมากพอสมควร ลูกค้าประจำของนางมีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นนิสิตนักศึกษา แม่ค้าแม่ขาย ครูบาอาจารย์ ที่มักมาสระเซ็ตไดร์ อบไอน้ำ นวดหน้านวดตัว คนมาทำบุญขอพร ออกมาจากวัดไม่รู้จะไปไหนต่อ ก็มักจะแวะมานั่งพูดคุยกับนางเรืองรุ่ง จากนั้นก็พบว่าตัวเองกำลังนั่งพอกหน้า ทำเล็บ ปล่อยให้นางเรืองรุ่งช่วยเปลี่ยนสีผมให้โดยไม่ทันรู้ตัว

    นางเรืองรุ่งเป็นคนคล่องแคล่ว พูดเก่ง มีบุคลิกเป็นกันเอง จึงมีลูกค้าขาประจำค่อนข้างมาก นอกจากงานในร้าน ยังมีงานนอกให้รับทำอยู่เรื่อยๆ อย่างงานลอยกระทงปีที่ผ่านมา ก็มีนางนพมาศมาว่าจ้างให้นางไปแต่งหน้าทำผมให้อยู่หลายคน ไหนจะงานกีฬาสีของเด็กนักเรียน งานแต่ง งานบุญ งานบวชต่างๆ อีกตลอดทั้งปี

    มีงานแต่ง นางก็รับหน้าที่แต่งหน้าทำผมให้บ่าวสาว รวมถึงจัดหาชุดสำหรับงานพิธี ไม่ว่าจะชุดรดน้ำ ชุดแต่งงานตอนกลางวัน ชุดงานเลี้ยงตอนกลางคืน มีลูกทีมเป็นกะเทยหรือสาวแก่ในหมู่บ้านมาช่วยเป็นลูกมือ ตบแต่งสถานที่ด้วยดอกไม้และผ้าจับจีบสวยงาม

    มีงานบวช นางเรืองรุ่งก็รับจ้างแต่งหน้าให้พ่อนาค แม้แต่งานศพก็ยังรับจัดดอกไม้ประดับหน้าโลงและสถานที่ และไม่ว่านางจะไปทำงานที่ไหน ก็จะให้อ่อนช้อยหลานสาวตัวผอมดำนี่แหละ เป็นผู้ช่วยมือดีที่มือไม้ว่องไว รู้ใจนางที่สุด คอยหอบกระเป๋าเครื่องสำอางรวมทั้งชุดเช่าต่างๆ ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ไปกับนางด้วยเสมอ จนหลายคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว คิดว่าอ่อนช้อยเป็นลูกสาวของนางเรืองรุ่งก็มี

    อีกอย่าง เรืองรุ่งไม่ได้ทำแค่เสริมสวยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ร้านของนางยังมีชุดให้เช่าอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นชุดไทย ชุดข้าราชการ ชุดแฟนซี หรือชุดราตรีต่างๆ

    เออ…เปิดร้านให้เช่าชุดราตรีอยู่หน้าวัดนี่แหละ…ใครจะทำไม…ก็บอกแล้วไงว่าเป็นความชอบส่วนบุคคล!

    ส่วนใครที่มาเช่าชุดน่ะหรือ ก็คนในพื้นที่และหมู่บ้านใกล้เคียงนี่แหละ อย่างเช่นครูบาอาจารย์ คุณนายข้าราชการต่างๆ ที่ต้องสวมเสื้อผ้าทางการ พวกชุดผ้าไหม มัดหมี่ เพื่อร่วมงานพิธีต่างๆ ทั้งพิธีในชุมชน และพิธีการระดับจังหวัด จนถึงระดับประเทศก็มี ยังไม่รวมบรรดาสาวงามเดินสาย นางงามศาลเพียงตา ธิดาลำไยลางสาดลองกอง ก็พากันบอกปากต่อปาก กลายเป็นลูกค้าประจำของนางอีกหลายสิบคน

    ความสามารถในด้านนี้ ต้องย้อนไปตอนที่เรืองรุ่งยังเป็นสาวแรกรุ่น ตอนนางอายุสิบหกสิบเจ็ด เรียนจบชั้นมัธยมต้น ก็ไปทำงานที่กรุงเทพฯ เหมือนคนส่วนใหญ่ในหมู่บ้าน โชคดีที่เรืองรุ่งมีญาติคนหนึ่งอยู่แถวหนองแขม ทำโรงงานเย็บผ้าโหล เลยรับเรืองรุ่งไปทำงานด้วยหลายปี ทำให้นางมีฝีมือในการตัดเย็บเสื้อผ้าติดตัวมาจนทุกวันนี้

    พอเรืองรุ่งแต่งงานมีผัว แล้วหย่ากับผัวระยำ กลับมาทำร้านเสริมสวยในบ้านเกิด นางจึงสามารถดีไซน์และตัดเย็บชุดเช่าด้วยตัวเอง ไม่ต้องเสียเงินว่าจ้างคนอื่น นั่นทำให้ลดต้นทุนไปได้ไม่น้อยเลย

    แน่นอนว่าฝีมือและความสามารถทุกอย่างที่นางมี ก็ถูกถ่ายทอดให้แก่อ่อนช้อย หลานสาวที่ไม่กำพร้า…แต่ก็เหมือนกำพร้าจนหมดไส้หมดพุง

    เพียงไม่กี่เดือน อ่อนช้อยก็สามารถตัดเสื้อกระโปรงแบบง่ายๆ แพทเทิร์นไม่ซับซ้อน นางเรืองรุ่งไม่ใช่คนตระหนี่ถี่เหนียว เมื่อเห็นหลานสาวตั้งใจจริง นางก็เข้าเมืองไปหาซื้อจักรมือสอง ให้หลานสาวรับแก้ ปะ ชุน ซ่อมแซมเสื้อผ้า รวมทั้งรับย้อมผ้าให้คนในหมู่บ้าน สร้างรายได้ส่วนตัวให้แก่ตัวเอง

     

    เช้าวันเสาร์ เป็นวันที่นักท่องเที่ยวจะมาเที่ยววัดมากกว่าวันปกติ อ่อนช้อยตื่นนอนตั้งแต่ตีห้า อย่างที่เธอทำเป็นประจำทุกวัน โดยระมัดระวังไม่ทำเสียงดังจนผู้เป็นน้าพลอยตื่นมาด้วย

    เมื่อวานเธอบังเอิญมีเรื่องกับนางโฉมเฉลา และเฉิดฉายลูกสาวคนใหม่ของพ่อ โชคดีที่น้าเรืองตามมาเห็นพอดี จึงเข้าไปปะทะและช่วยดึงเธอออกมาได้ ไม่เช่นนั้นอ่อนช้อยก็ไม่แน่ใจว่าสภาพของตัวเองในวันนี้จะเป็นยังไง

    อ่อนช้อยเข้าห้องน้ำชำระร่างกาย สวมเสื้อผ้าแล้วออกมายืนหวีผมอยู่หน้ากระจก เห็นผิวแก้มข้างขวามีรอยฝ่ามือขึ้นสีชมพูช้ำให้เห็นอยู่จางๆ จึงใช้แป้งเด็กทาเกลี่ยๆ อย่างขอไปที เธอสบตาเย็นชาของตัวเองในกระจกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนสลัดความรู้สึกทั้งหมดที่ค้างอยู่ในหัวทิ้งไป แล้วออกจากห้องเพื่อตระเตรียมเปิดร้าน  

    ทุกวันเสาร์อาทิตย์ อ่อนช้อยจะเอาโต๊ะมาตั้งหน้าร้านเสริมสวยของน้า หารายได้พิเศษเพิ่มโดยการขายลูกชิ้นปิ้ง แหนม ไส้กรอกย่าง ขนมขบเคี้ยว และน้ำดื่มเย็นๆ ประเภทน้ำปั่น น้ำแข็งไส น้ำอัดลม ให้แก่เด็กๆ และนักท่องเที่ยว

    เด็กสาวจัดการกางโต๊ะ แล้วก่อไฟอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นเดินเข้าบ้านไปยกถาดลูกชิ้น ไส้กรอก ที่เสียบไม้เอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนออกมาวางบนโต๊ะ ขณะจะหันไปล้างผักเครื่องเคียง พวกขิง ผักกาดขาว พริกสด ก็มีรถยนต์คันหรูสีแดงสดคันหนึ่งแล่นมาด้วยความเร็ว ก่อนเบรคเอี้ยดหน้าร้านเสริมสวยจนฝุ่นตลบ

    แน่นอนว่าฝุ่นตลบที่เกิดขึ้นนั้น ปกคลุมไปทั่วทั้งโต๊ะที่วางข้าวของทุกอย่าง รวมทั้งเนื้อตัวของเธอที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จมาหมาดๆ ผมยังไม่ทันแห้งดี ตอนนี้ก็ถูกฝุ่นมากมายพัดเข้าปะทะจนต้องปิดตาปิดปาก

    อ่อนช้อยไอออกมาสองสามครั้งด้วยความแสบคอ พร้อมกับที่ประตูรถสปอร์ตคันหรูถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ชายหนุ่มคนหนึ่งจะเดินลิ่วตรงมาหาเธอด้วยกิริยารีบร้อน…รีบถึงขนาดไม่ดับเครื่องยนต์และปิดประตูรถ

     

    ชายหนุ่มคนนี้มีผิวขาวจัด ใส่เสื้อสีเหลืองสดมีอักษร N สีดำตัวใหญ่ด้านหน้า คล้องสร้อยเงินสร้อยทองเส้นโตสองสามเส้น ตัดผมสั้นติดหนังศีรษะเหมือนคนโกนหัว ถ้าไม่เห็นว่าเขาสวมกางเกงผ้าตัวโคร่งกับรองเท้าผ้าใบ มีตุ้มหูสีดำขนาดใหญ่เสียบอยู่ที่หูทั้งสองข้าง รวมถึงรอยสักหลากสีตรงสองแขน และรอยสักบางส่วนที่โผล่พ้นคอเสื้อขึ้นไปยังลำคอจนเกือบถึงใบหู อ่อนช้อยอาจคิดว่าเขาเป็นพระที่แอบเอารถสปอร์ตของโยมมาขับเล่น ก่อนจะถึงเวลาออกบิณฑบาตเสียด้วยซ้ำ

    อ่อนช้อยยืนนิ่ง ขณะเอื้อมมือไปหยิบมีดที่วางอยู่บนเขียง ที่เธอตั้งใจจะหั่นผักกาดขาวและขิงเพื่อเป็นเครื่องเคียงของแหนมและไส้กรอก กำกระชับแน่นอยู่ในมือ ดวงตาดำขลับของเธอจับอยู่ที่ชายหนุ่มผิวขาวร่างสูงซึ่งเดินลิ่วๆ ตรงมาหา ทว่าเธอไม่ขยับเท้าออกไปไหน

    อยู่ๆ มีชายแปลกหน้า หน้าตาคล้ายพระทุศีล ขับรถสปอร์ตมาจอดอยู่หน้าร้าน จะไม่ระวังเลยคงไม่ได้ แต่จะให้เธอวิ่งหนีก็ไม่ใช่นิสัยของเธออีกเช่นกัน ที่นี่คือที่ของเธอ จะตื่นตระหนกหวาดกลัวไปทำไม

    อ่อนช้อยตั้งใจจะอ้าปากถาม แต่ช้ากว่าชายหนุ่มที่ชิงพูดขึ้นมาก่อน

    “น้องๆ พี่ขอเข้าห้องน้ำหน่อยได้ไหมครับ…พี่ปวดขี้”

    ชายหนุ่มพูดขึ้นเป็นประโยคแรก พร้อมทำท่าเขย่งเท้า บิดเนื้อบิดตัวเหมือนกำลังจะกลั้นไม่ไหว

    “ทำไมหมู่บ้านนี้ไม่มีปั๊มเลย ร้านค้าก็ไม่เปิดกันเลยสักร้าน โชคดีที่พี่มองเห็นน้องตั้งร้านพอดี…ขอพี่เข้าห้องน้ำหน่อยนะครับ แล้วเดี๋ยวค่อยออกมาคิดค่าเสียหาย”

    เมื่อได้ยินคำพูดของเขา หัวใจที่ตึงเครียดของอ่อนช้อยก็ผ่อนคลายลง ทีแรกเธออยากปฏิเสธ และบอกให้เขาไปเข้าห้องน้ำที่วัดแทน แต่เมื่อชายหนุ่มพูดถึง “ค่าเสียหาย” ขึ้นมา ก็ทำให้เธอนึกได้ว่า บรรดาลูกชิ้นไส้กรอกของเธอนั้นถูกฝุ่นคลุกจนขาวโพลนไปหมดทั้งถาด บวกกับท่าทางของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ไม่สุข บิดตัวไปมาทำท่าเหมือนสามารถจะ “ไหล” ออกมาได้ทุกขณะ เด็กสาวจึงบอกเขาด้วยเสียงราบเรียบ

    “มีห้องน้ำอยู่หลังบ้านค่ะ คุณเดินอ้อมไปทางนั้นก็ได้” 

    อ่อนช้อยชี้มือที่ถือมีดปลายแหลมไปทางฝั่งขวา ตวัดผ่านร่างชายหนุ่มจนเขาสะดุ้งก้าวเท้าถอยหลัง ชายร่างสูงมองตามมือของเด็กสาว ก็เห็นทางเดินเล็กๆ โรยด้วยหินอยู่ข้างร้านเสริมสวย กระถางดินเผาปลูกไม้ดอกจำพวกคุณนายตื่นสาย ออกดอกสีสดหลากสีบานสะพรั่งตั้งอยู่เรียงราย ถัดไปคือรั้วชบาเขียวชอุ่มตัดเรียบสูงประมาณหน้าอก แบ่งกั้นอาณาเขตระหว่างบ้านอีกหลังซึ่งมองเห็นป้ายติดอยู่ใต้กันสาดว่าเป็นร้านขายวัตถุมงคลและเครื่องสังฆภัณฑ์

    “ขอบใจน้องมาก งั้นพี่ขอตัวก่อนนะครับ”

    ชายหนุ่มหันกลับมายิ้มแฉ่ง พร้อมยกมือโบกบ้ายบายให้อ่อนช้อยทีหนึ่ง จากนั้นพาร่างสูงก้าวเท้ายาวๆ เดินลิ่วไปตามทาง ขณะที่อ่อนช้อยยืนนิ่งอยู่กับที่ มองตามแผ่นหลังใหญ่ๆ ของเขาด้วยสายตาเรียบเฉยอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เธอจะเดินกลับไปยังร้านเสริมสวย ผลักประตูกระจกเข้าไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กออกมา จากนั้นนั่งลงบนเก้าอี้พลาสติกหน้าโต๊ะขายลูกชิ้น ใช้ผ้าชุบน้ำ เช็ดหน้าตาและเรือนผมของตัวเองที่เต็มไปด้วยฝุ่นดิน

    ความจริงภายในบ้านก็มีห้องน้ำ แต่เพราะชายคนนี้เป็นคนแปลกหน้า อ่อนช้อยจึงไม่ยินดีที่จะให้เขาเข้าไปใช้ห้องน้ำข้างใน เพราะน้าสาวของเธอยังนอนหลับอยู่ในบ้าน

    โชคดีที่บ้านของน้ามีห้องน้ำอีกห้องอยู่ด้านนอก แม้จะเป็นส้วมแบบนั่งยอง แต่เธอก็ทำความสะอาด และเติมน้ำเต็มถังเอาไว้ตลอด เพราะหลายครั้งจะมีนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยววัดแวะขอเข้าห้องน้ำ จึงสะดวกใจมากกว่าที่จะให้คนแปลกหน้าใช้ห้องน้ำนอกบ้าน

    อ่อนช้อยใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าตา เรือนผม และสองแขนของตัวเองจนเสร็จ ก่อนมองข้าวของตรงหน้าด้วยสายตาครุ่นคิด 

    ในเมื่อลูกชิ้น ไส้กรอก แหนม ล้วนเต็มไปด้วยฝุ่นดินแบบนี้ แปลว่าคงเอามาขายอีกไม่ได้ แม้เธอจะเป็นคนมัธยัสถ์ด้วยเกิดมาฐานะยากจน รู้คุณค่าของอาหารเป็นอย่างดี เพราะตั้งแต่เกิดจนโต หากไม่นับตอนที่มาอยู่กับน้า ก็มีแค่ไม่กี่ครั้งที่เธอมีอาหารให้กินอิ่มท้อง แต่ในเมื่อลูกชิ้นไส้กรอกพวกนี้เป็นของกินที่เอามาขาย เธอก็ต้องซื่อสัตย์ต่อลูกค้า จะให้เอาไปล้างน้ำแล้วมาย่างขาย ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอก็ทำไม่ลง

    เด็กสาวค่อยๆ แยกลูกชิ้นและไส้กรอก ที่วางอยู่ล่างสุดออกมาใส่ในจานอีกใบ พวกนี้เปื้อนน้อยที่สุด เธอสามารถเอาไปล้างน้ำ แล้วเก็บไว้ย่างหรือนึ่งกินเองได้ ส่วนที่เหลือคงต้องเอาไปให้หมาแมวจรจัดแทน

    เมื่อแยกสิ่งที่ควรเก็บและทิ้งออกมาได้ อ่อนช้อยก็ไม่เสียเวลาที่จะเก็บ “หลักฐาน” พวกฝุ่นดินไว้เรียกร้องค่าเสียหายจากชายหนุ่มแปลกหน้า เพราะลึกๆ ในใจเธอมีความรู้สึกว่าตัวเองสามารถเชื่อใจเขาได้ 

    เด็กสาวจัดการเก็บจานชาม ถาด ข้าวของต่างๆ ที่วางบนโต๊ะเอาไปไว้อีกด้านหนึ่ง จากนั้นใช้ผ้าขี้ริ้วชุบน้ำ แล้วเช็ดทำความสะอาดโต๊ะเก้าอี้ สิ่งที่เก็บไว้ได้ก็เก็บ สิ่งที่ควรต้องทิ้งก็เทลงในถุงขยะ อ่อนช้อยจัดการทุกอย่างด้วยความคล่องแคล่วว่องไว เพียงไม่กี่นาทีโต๊ะเก้าอี้ที่เต็มไปด้วยฝุ่นละออง ก็กลับมาสะอาดเอี่ยมเหมือนเดิมอีกครั้ง

    ทำทุกอย่างเสร็จสรรพเรียบร้อย อ่อนช้อยก็เดินไปเปิดก๊อกน้ำข้างรั้ว ซักผ้าขี้ริ้วในถัง แล้วเอาไปตากไว้ตรงไม้พุ่มอีกด้านหนึ่ง เมื่อหันกลับมา เธอก็พบชายหนุ่มเสื้อเหลืองกำลังยืนยิ้มแฉ่งให้เธออยู่

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×