ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ภรรยานำดวง (Re-up มี E-book)

    ลำดับตอนที่ #13 : เงื่อนไข

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.27K
      26
      19 มี.ค. 64

    “แต่งงาน?!”

    คำพูดของหลวงพ่อเปี่ยมทำให้นำดวงตะโกนขึ้นมาด้วยความตกใจ คุณนวลระวีกับเรืองรุ่งเองก็ตกใจไม่ต่างกัน หญิงทั้งสองต่างหันมองหน้ากันอย่างคาดไม่ถึง ขณะที่นำดวงพอตะโกนเสร็จก็รีบหันมองอ่อนช้อย ก่อนที่ทุกคนจะมองเห็นความตื่นตะลึงอยู่ในดวงตาและสีหน้าของอีกฝ่าย

    ในความเข้าใจของทุกคนตั้งแต่แรก ต่างคิดว่าหลวงพ่อเปี่ยมอาจทำพิธีต่ออายุ หรือทำบุญสะเดาะเคราะห์ให้นำดวงกับอ่อนช้อย จากนั้นคงให้ทั้งสองคบหากันต่อ อาจเป็นพี่เป็นน้อง หรือเป็นญาติ ใดๆ ก็ตามแต่ ที่สามารถเกี่ยวพันกันไปจนตลอดชีวิต ทว่าการแต่งงานนั้นดูเหมือนจะห่างไกลเกินกว่าจินตนาการของทุกคน

    แม้แต่คุณนวลระวีเอง สิ่งที่เธอคิดในใจนั้น ถึงแม้ค่อนข้างจะเกี่ยวข้องกับการแต่งงานอยู่บ้าง แต่เธอคิดว่าอย่างมากหลวงพ่อเปี่ยมอาจให้นำดวงกับอ่อนช้อยหมั้นหมายกันก่อน เป็นการทำบุญสะเดาะเคราะห์ในวันนี้ อีกหลายปีข้างหน้าถ้าลูกชายกับว่าที่สะใภ้ มีวาสนาต่อกัน คบหาดูใจจนเกิดเป็นความรัก ก็ค่อยแต่งงานกันตอนนั้น ซึ่งเธอเองก็ไม่มีปัญหาใดๆ

    ก็จะแต่งงานตอนนี้ได้อย่างไรเล่า นำดวงนั้นถึงแม้จะมีวัยเข้าเบญจเพส เรียนจบแล้ว และกำลังเริ่มต้นชีวิตการทำงาน เขาอาจมีวัยเหมาะสมที่จะแต่งงานมีครอบครัว แต่อ่อนช้อยล่ะ เด็กสาวเพิ่งมีอายุสิบห้าปีเท่านั้น และตอนนี้ก็ยังเรียนไม่จบชั้นมัธยมต้น!

    “หลวงพ่อเจ้าคะ ยายอ่อนเพิ่งอายุสิบห้าปีเท่านั้นเอง”

    ทันทีที่ตั้งสติได้ เรืองรุ่งก็ยกมือพนมพูดกับหลวงพ่อทันที ใบหน้าของหญิงวัยห้าสิบเผือดสีด้วยยังตกใจไม่หาย

    “อายุสิบห้าแล้วอย่างไร สีกาคิดหรือว่า ความตายจะเลือกว่าใครเด็กหรือใครแก่ชรา?”

    คำพูดของหลวงพ่อเปี่ยมทำให้เรืองรุ่งได้สติ และคนที่เหลือก็นึกได้ว่า นำดวงกับอ่อนช้อยนั้นต้องแต่งงานเพื่อสะเดาะเคราะห์ หาใช่พิธีแต่งงานจริง แต่ถึงจะคิดได้อย่างนั้น ทว่าใบหน้าของแต่ละคนก็ยังมีความแปลกแปร่งฉาบอยู่บางเบา

    นำดวงหลังจากตะโกนเสร็จ ก็เหมือนว่าความตกใจจะจางหายไม่มีเหลือ ชายหนุ่มมีความตื่นเต้นเข้ามาแทนที่ เขาหันไปหาอ่อนช้อยที่นั่งเงียบอยู่ในท่าเดิม แล้วกระซิบเรียกเธอ

    “น้องอ่อน”

    อ่อนช้อยหันมามองชายหนุ่ม ใบหน้าเล็กๆ ของเธอเรียบนิ่ง มีเพียงดวงตาดำขลับเท่านั้นที่ทอประกายสับสนลังเลชั่วขณะ

    “คะ?”

    “น้องอ่อนตื่นเต้นไหมครับ?” ชายหนุ่มพูดขึ้นเสียงเบา “พี่นำบอกแล้วเห็นไหมว่า เมื่อเราเข้ามาในกุฏิ ได้พบกับหลวงพ่อ ชีวิตของเราจะไม่เหมือนเดิมอีกตลอดไป สุดท้ายก็เป็นอย่างที่พี่นำพูดจริงๆ ด้วย ไม่คิดมาก่อนเลยเนอะว่าคำพูดของพี่นำจะศักดิ์สิทธิ์ถึงขนาดนี้”

    อ่อนช้อยมองใบหน้าหล่อเหลาของนำดวง เห็นเขาพูดไปยิ้มแฉ่งไปเหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาว ดวงตาสีน้ำตาลเข้มทอประกายวับวาวเหมือนต้องการให้เธอเห็นด้วยหรือเอ่ยชม เธอก็ไม่รู้จะพูดยังไงดี แต่ถึงอย่างนั้น กิริยาท่าทางตื่นเต้นเหมือนเด็กน้อยของชายหนุ่ม ก็ทำให้หัวใจที่ขมึงตึงเครียดของเธอเมื่อครู่ก่อน ผ่อนคลายลงไปได้ไม่น้อย

    “ค่ะ”

    สุดท้ายอ่อนช้อยก็ตอบคำเดียวสั้นๆ นำดวงทำท่าจะพูดขึ้นมาอีก ก็ประจวบเหมาะกับที่นายถวัลย์ถือตั่งรดน้ำสังข์เดินเข้ามาพอดี ด้านหลังมีเด็กวัดอีกสองคนพากันยกเก้าอี้ ชุดรดน้ำและดอกไม้ธูปเทียนตามกันมา นำดวงจึงผุดลุกขึ้น แล้วเข้าไปช่วยทุกคนโดยไม่ต้องให้มีใครบอก

    นายถวัลย์จัดการวางโต๊ะตั่งและเก้าอี้เสร็จสิ้น ก็จากไปพร้อมกับเด็กวัด ตอนนี้บนเรือนชาน จึงมีเพียงหลวงพ่อเปี่ยมและพวกเขาสี่คนเหมือนเดิม

    หลวงพ่อมองหน้าทีละคนช้าๆ ใบหน้าชราซึ่งมีความเมตตาปราณีเสมอ ในตอนนี้มีเพียงความเคร่งขรึม ก่อนพูดกับทุกคนด้วยน้ำเสียงจริงจัง

    “หลังพิธีแต่งงานเสร็จสิ้น จะถือว่าพ่อหนุ่มกับแม่หนูเป็นสามีภรรยากัน แล้วหลังจากนั้น…” 

    หลวงพ่อหันมามองนำดวง ใบหน้าชราฉาบทาด้วยความเคร่งเครียดจริงจัง จนทุกคนสัมผัสได้ 

    “หลังจากนั้นเมื่อก้าวขาออกจากวัด ให้พ่อหนุ่มออกไปจากหมู่บ้านเขาตะคร้อ ไม่ต้องกลับมาอีก…ให้จำเอาไว้ว่า แม่หนูซึ่งเป็นภรรยาของตัวเองได้ตายจาก…ให้พ่อหนุ่มกลับไปบอกแก่ญาติสนิทมิตรสหายว่า ตัวเองเคยแต่งงานแล้ว และปัจจุบันเป็นพ่อม่าย”

     

    ตอนหลวงพ่อจะให้นำดวงกับอ่อนช้อยแต่งงาน ถ้าหากตอนนั้นจะทำให้ทุกคนตกใจเพราะคาดไม่ถึง พอท่านบอกว่าเมื่อแต่งงานกันเสร็จ นำดวงจะต้องออกไปจากหมู่บ้าน ห้ามกลับมาอีก คราวนี้ความตกใจของทุกคนพุ่งสูงสุด จนกระทั่งนึกหาคำพูดไม่ทัน

     “What the f…!”

    นำดวงลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วพูดขึ้นเสียงดังด้วยความไม่พอใจ

    เหตุที่ชายหนุ่มห้ามตัวเองไม่ได้ เป็นเพราะไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ เขาเพิ่งกระซิบกระซาบกับอ่อนช้อยด้วยความตื่นเต้นไปหยกๆ แม้แต่ตอนที่ช่วยนายถวัลย์จัดตั่งโต๊ะเก้าอี้ ชายหนุ่มก็ยังยิ้มแย้มแจ่มใสให้กับทุกคน จู่ๆ โดนเปลี่ยนอารมณ์กะทันหัน นำดวงจึงรับไม่ได้ รู้สึกเหมือนตัวเองโดนหลวงพ่อปั่นหัว กำลังล้อเล่นกับความรู้สึกของเขาอยู่ 

    ทว่าก่อนที่คำหยาบคำสุดท้ายจะหลุดออกมาจากปาก เขาก็รู้ตัวก่อน นำดวงกลืนน้ำลายฝืดๆ ลงคอ ไม่พูดอะไรออกมาอีก ได้แต่ยืนจ้องหน้าหลวงพ่อ เหมือนคนที่พยายามข่มกลั้นอารมณ์ตัวเองอยู่แบบนั้น ภาพชายหนุ่มอารมณ์ดีที่ทุกคนเคยเห็นไม่มีเหลืออยู่ ในตอนนี้มีเพียงภาพของชายเลือดร้อน ที่พร้อมจะปะทะหาเรื่องทุกคนเท่านั้น

    และคนที่นำดวงกำลังจะเข้าปะทะเป็นคนแรก ก็คือหลวงพ่อเปี่ยมนี่แหละ!

    “ตานำ นั่งลงเดี๋ยวนี้!”

    คุณนวลระวีเอ็ดลูกชายเสียงเครียด นำดวงละสายตาจากหลวงพ่อ หันไปมองมารดา ก็พบว่าแม่กำลังมองเขาอยู่ด้วยสีหน้าตกใจ แกมตำหนิติเตียน น้าเรืองรุ่งเองก็ตกใจไม่ต่างกัน มีเพียงอ่อนช้อยเท่านั้นที่เงยหน้ามองเขาด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ทว่าดวงตาดำขลับเยือกเย็นของเธอ ก็ทำให้ความร้อนในใจของเขาจางลงทีละน้อย 

    อึดใจต่อมานำดวงจึงยอมนั่งลงอีกครั้ง ชายหนุ่มเอาเข่ากระแทกพื้นชานไม้ดังปึงใหญ่ แล้วขยับเข่าเข้าไปใกล้หลวงพ่อพร้อมยกมือประนม

    “ผมขอโทษครับ” 

    นำดวงกราบหลวงพ่อเปี่ยม ก่อนเงยหน้ามองอย่างคนสำนึกผิด ทว่าดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่คม ยังมีประกายโกรธกรุ่นฉาบอยู่เบาบาง 

    “ผมใจร้อนไปหน่อย ต้องขอโทษหลวงพ่อจริงๆ”

    หลวงพ่อเปี่ยมยิ้มให้นำดวง 

    “ไม่เป็นไร” ท่านตอบ “อาตมาก็นึกเอาไว้เช่นกันว่าพ่อหนุ่มคงไม่ยินยอมพร้อมใจ”

    “คือผม” นำดวงอึกอัก “ผมไม่รู้ว่าควรรู้สึกยังไงดี แต่หลวงพ่อพูดถูก ผมรู้สึกไม่ถูกต้อง และไม่อยากยินยอม”

    “ทำไมเล่า?”

    “เพราะนี่คือชีวิตของผม” นำดวงตอบทันที “โอเค ผมรู้ว่าแม่ทำทุกอย่างให้ผม ก็เพราะห่วงผม ซินแสโหรา ตากับยาย ลุงของผม และใครต่อใครที่มาดูดวงชะตา ไม่ว่าจะโหราศาสตร์ไทย ภารตะ ยูเรเนียน กราฟชีวิต ดวงยาม กาลชาตา เลข ๗ ตัว ลายมือ โหงวเฮ้ง ไพ่ยิปซี  ไพ่ป๊อก หรือใดๆ ก็ตามแต่ ทุกคนทุกอย่างล้วนบอกตรงกันว่าผมกำลังมีเคราะห์ ชะตาขาด แม้แต่ท่านก็บอกว่าผมอาจตายไปแล้วหากไม่ได้พบน้องอ่อน…อย่างไรก็ตาม ด้วยความเคารพ…ผมเองก็เชื่อในเรื่องดวงชะตาเช่นกัน ไม่ได้หัวรั้นหลับหูหลับตาไม่เชื่ออะไรเลย แต่นี่คือชีวิตของผม ผมจะรอดหรือจะตาย จะไม่ให้ผมมีทางเลือก หรือมีสิทธิ์เลือกทางที่ตัวเองอยากทำบ้างเลยเหรอครับ”

    นำดวงพูดยืดยาว ยิ่งพูดก็ยิ่งใส่อารมณ์ ขณะที่หลวงพ่อเปี่ยมนั่งฟังอย่างสงบ จากนั้นจึงตอบชายหนุ่มที่นั่งขบฟันอยู่ตรงหน้าด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

    “ไม่มี”

    นำดวงผงะกับคำตอบของหลวงพ่อ อึดใจใหญ่ชายหนุ่มจึงหาปากของตัวเองพบ

    “หลวงพ่อหมายความว่า พอทำพิธีแต่งงานเสร็จแล้ว ผมจะมาหาน้องอ่อนอีกไม่ได้อย่างนั้นหรือครับ?”

    “แล้วทำไมพ่อหนุ่มถึงอยากจะมาหาแม่หนูล่ะ?” หลวงพ่อเปี่ยมย้อนถาม “พ่อหนุ่มเองก็เพิ่งรู้จักกับแม่หนูวันนี้วันแรกไม่ใช่หรือ ก็แค่คนแปลกหน้าที่ผ่านมาพบกันเพียงวันเดียว เจอแล้วก็จาก จากแล้วก็จบ จะต้องการพบพานกันอีกทำไม มันไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย” 

    “ที่หลวงพ่อว่าไม่มีเหตุผล นั่นแหละคือเหตุผล” 

    นำดวงตอบกลับอย่างดื้อดึง ทว่าคราวนี้น้ำเสียงของชายหนุ่มสุภาพ ไม่โกรธเกรี้ยวคุมตัวเองไม่ได้เหมือนในตอนแรก นำดวงรู้สึกว่าหลวงพ่อต่างหากที่ไม่มีเหตุผล หรือถ้ามีก็เป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น เพราะฉะนั้นเรื่องเถียงกลับโดยไม่ต้องใช้เหตุผล เขาถนัดนัก รับรองไม่แพ้ใครหรอก 

    “ต่อให้พบน้องอ่อนวันนี้วันแรก รู้จักแค่วันเดียว หรือต่อให้รู้จักแค่ครึ่งวัน หรือหนึ่งชั่วโมง หรือห้านาที ผมก็อยากมาอีก…ในเมื่อรู้จักกันแล้ว จะเรียกว่าคนแปลกหน้าได้ยังไง คนแปลกหน้าที่ไหนจะซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปตลาดด้วยกัน ไปตักบาตรด้วยกัน ซื้อกับข้าวกลับมากินด้วยกัน แล้วตอนนี้ก็กำลังจะมาแต่งงานกัน โดยมีหลวงพ่อเป็นประธานทำพิธีให้” 

    หลวงพ่อเปี่ยมมองนำดวงนิ่ง ดวงตาลึกล้ำเปี่ยมประกายของท่านฉายความปราณี ทว่านำดวงทำเป็นมองไม่เห็น แม้แต่แผ่นหลังที่สัมผัสได้ถึงสายตาของมารดาและน้าเรืองรุ่งที่มองเขาอยู่ด้วยความอกสั่นขวัญแขวน ชายหนุ่มก็พยายามวางเฉยไม่รู้สึกรู้สา เขารวบรวมความกล้าแล้วพูดกับหลวงพ่ออีก

    “ถ้าหลวงพ่อแน่จริง ก็บอกเหตุผลที่ฟังขึ้นมาดีกว่า” 

    นำดวงพูดต่อ ไหนๆ ก็พูดมาแล้วตั้งเยอะตั้งแยะ ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะปิดซ่อนสิ่งค้างคาที่มีในใจ 

    “ถ้าอยู่ๆ หลวงพ่อให้ผมคิดว่าตัวเองต้องเป็นพ่อม่าย เมียตายจาก ถ้าก้าวขาออกจากวัดแล้วห้ามกลับมาอีก…งั้นผมก็ไม่ขอไปไหนทั้งนั้น จะกางเต็นท์นอนอยู่หน้ากุฏิหลวงพ่อนี่แหละ อยากเจอน้องอ่อนตอนไหน ผมก็จะไปยืนตะโกนเรียกที่หน้าประตูวัด ให้น้องอ่อนเป็นคนออกมาหาผมก็ได้”

    นำดวงประสานสายตากับหลวงพ่อ ความดื้อรั้นเต็มล้นออกมาทั้งจากกิริยาและคำพูด จนทุกคนสัมผัสได้

    “และผมสัญญาว่า ผมจะไม่ก้าวขาออกจากประตูวัดแม้แต่ก้าวเดียว!”

    จบคำพูดของนำดวง ความเงียบก็เกิดขึ้นอีกครั้ง บรรยากาศอึดอัดอึมครึม ลอยอ้อยอิ่งอยู่กลางอากาศ กดดันทุกคนจนแทบไม่กล้าขยับตัว

    หากแต่นาทีนั้นเอง หลวงพ่อเปี่ยมก็หัวเราะออกมาเบาๆ ท่านมองหน้านำดวง แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงราบเรียบนุ่มนวลตามแบบของท่าน

    “พ่อหนุ่มเป็นคนที่…กวนส้นตีนใช้ได้เลย”

    คำพูดตรงๆ ของหลวงพ่อเปี่ยมทำให้นำดวงรู้สึกหน้าร้อนผ่าว ทว่าเขาทำอะไรไม่ได้นอกจากฝืนยิ้มแห้งๆ ให้กับหลวงพ่อ 

    “ฟังอาตมานะพ่อหนุ่ม เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของพ่อหนุ่มเพียงคนเดียว แต่เกี่ยวพันกับแม่หนูด้วย” 

    หลวงพ่อเปี่ยมพูดช้าๆ ขณะหันไปมองอ่อนช้อยที่ยังนั่งพับเพียบอยู่เงียบๆ ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เด็กสาวร่างผอมบางก็ยังคงนั่งนิ่ง ราวกับเธอเป็นหุ่นตุ๊กตาที่มีคนนำมาตั้งเอาไว้ ตั้งแต่ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน จนนั่งลง ถกเถียงกับท่าน แม่หนูคนนี้ก็ยังคงวางกิริยาดุจเดิม มีเพียงวงหน้าเล็กเรียวที่หันมองเหตุการณ์บ้างบางครั้ง แล้วเก็บทุกสิ่งทุกอย่างไว้ใต้ดวงตาดำขลับของตัวเอง 

    หลวงพ่อเปี่ยมหันกลับมามองนำดวง ก่อนทอดน้ำเสียงชัดๆ ราวกับต้องการให้ทุกคำเข้าหัวของชายหนุ่ม 

    “หากพ่อหนุ่มไม่สนใจชีวิตของตัวเอง อยากทำอย่างที่ใจอยาก อาตมาก็ห้ามอะไรไม่ได้ โยมแม่ของพ่อหนุ่มก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของพ่อหนุ่มคนเดียว แม้แต่วันนี้ ความจริงแล้วก็ไม่ใช่กิจใดๆ ของอาตมา” 

    คำพูดของหลวงพ่อทำให้นำดวงสงบลง เขาพนมมือนั่งตัวตรง ไม่พูดอะไรอีก หรืออาจเพราะพูดไปมากแล้ว ต้องใช้เวลาครุ่นคิดหาคำทักท้วงรอบใหม่ ทุกคนก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน

    “ชะตาของพ่อหนุ่มคือตายโหง ชะตาของแม่หนูก็ไม่ต่าง หนำซ้ำยังมีดวงกินสามี เห็นแก่มีวาสนาชะตาสมพงศ์ อาตมาจึงเข้ามาเกี่ยวโยงในการนี้ เพื่อจะล้างฐานชะตาเดิมให้” 

    หลวงพ่อเปี่ยมมองหน้านำดวง อ่อนช้อย และสีกาบุพการีทั้งสอง ก่อนกลับมามองชายหนุ่มอีกครั้ง

    “อาตมาได้ถามพ่อหนุ่มไปแล้ว ถามแม่หนู ถามทุกคนที่เกี่ยวข้องแล้วว่า หลังจากทำพิธี ทุกคนจะเกี่ยวโยงผูกพันกันไปตลอดชีวิต จะยอมรับหรือไม่…ทุกคนล้วนตอบอาตมาว่ายอมรับ แล้วเพียงแค่ให้พ่อหนุ่มออกไปจากเขาตะคร้อ ยังไม่ให้กลับ พ่อหนุ่มจะหวั่นวิตกไปทำไม”

    น้ำเสียงของหลวงพ่อเปี่ยมนุ่มนวลราวสายน้ำเย็น ทำให้หัวใจที่ร้อนรุ่มของนำดวงสัมผัสได้ถึงความฉ่ำเย็นเบาสบาย พร้อมกันนั้นคำพูดคำหนึ่งของหลวงพ่อ ก็กระทบหัวใจของชายหนุ่ม จนชายหนุ่มเผลอหัวคิ้ว 

    “ยังไม่ให้กลับ…

    เพียงแค่ให้พ่อหนุ่มออกไปจากเขาตะคร้อ ยังไม่ให้กลับ พ่อหนุ่มจะหวั่นวิตกไปทำไม…”

    ยังไม่ให้กลับ หมายความว่าเขาจะกลับมาได้อีก…อย่างนั้นใช่หรือไม่?

    แล้วทำไมหลวงพ่อไม่พูดให้ชัดเจนแจ่มแจ้งตั้งแต่แรก!

    ถึงแม้จะแอบค้อนหลวงพ่อ แต่ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของนำดวงเปล่งประกายราวกับปลาใกล้ตายได้น้ำ เขาละล่ำละลักถามทันทีด้วยความคาดหวัง

    “หลวงพ่อครับ เมื่อกี้หลวงพ่อบอกว่าให้ผมออกไปจากหมู่บ้าน ยังไม่ให้กลับ แปลว่าหลังจากนั้นผมจะกลับมาได้ใช่หรือเปล่า?”

    “ก็ใช่น่ะสิ” หลวงพ่อเปี่ยมตอบยิ้มๆ “อาตมาก็ถามพ่อหนุ่มไปแล้วว่า จะยอมรับชะตาของตัวเองหรือไม่ หากชีวิตของพ่อหนุ่มในภายภาคหน้า จะมีแม่หนูคนนี้เกี่ยวโยงผูกพันไปตลอด…ถ้าหากพ่อหนุ่มไม่กลับมา แล้วจะเรียกว่าเกี่ยวโยงผูกพันกันได้อย่างไร”

    นำดวงถอนหายใจยืดยาวอย่างโล่งอก ใบหน้าหล่อเหลายิ้มแฉ่งราวกับดอกไม้บาน

    “โอเค แบบนี้ค่อยรับได้หน่อย” 

    นำดวงหันมายิ้มให้ทุกคน จากนั้นหันกลับไปถามหลวงพ่ออีกครั้งด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น 

    “แล้วผมต้องออกไปจากหมู่บ้านเขาตะคร้อกี่วันกี่เดือนครับ ถึงจะกลับมาได้อีกครั้ง”

    หลวงพ่อมองสีหน้าคาดหวังของนำดวงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบ

    “สิบปี”

    “สิบปี!”

    นำดวงตะโกนออกมาเสียงดัง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเมื่อครู่ก่อน แปรเปลี่ยนอีกรอบหนึ่งราวกับคนเป็นไบโพลาร์

    “ทำไมมันนานขนาดนั้นล่ะครับหลวงพ่อ” 

    ชายหนุ่มโอดครวญ รับรู้ในตอนนี้ว่าการคุยกับหลวงพ่อเปี่ยม หากใช้อารมณ์นำหน้าย่อมไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น เขาไม่อยู่ในฐานะที่จะสามารถต่อรองเรื่องไหนได้ทั้งนั้น ในเวลานี้จึงทำได้เพียงขอความเมตตาจากท่านเพียงอย่างเดียว

    “หลวงพ่อลดให้ผมหน่อยได้ไหมครับ” 

    นำดวงขยับเข่าเข้าไปใกล้หลวงพ่อ พร้อมทำสีหน้าออดอ้อน 

    “เวลาซื้อของยังสามารถต่อรองขอลดราคาจากพ่อค้าแม่ค้าได้เลย ขนาดคนติดคุกก็ยังมีการลดหย่อนผ่อนโทษ แล้วหลวงพ่อจะไม่ลดให้ผมสักหน่อยเหรอ…นะครับหลวงพ่อ…สิบปีสำหรับผมมันนานเกินไปจริงๆ หลวงพ่อเมตตาผมหน่อยเถอะ…นะ…นะครับหลวงพ่อ”

    นำดวงพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุดปาก และโดยที่ใครคาดไม่ถึง เขาก็ยื่นมือเข้าไปนวดขาให้กับหลวงพ่ออย่างประจบประแจง

    หลวงพ่อเปี่ยมทนได้ครู่เดียว ก็หัวเราะออกมาด้วยความจักจี้ จากนั้นเตะชายหนุ่มออกไปเบาๆ แล้วพูดขึ้น

    “งั้นแม่หนูเรียนจบปริญญาตอนไหน ค่อยเจอกับพ่อหนุ่มก็แล้วกัน ถ้ายังเรียนไม่จบก็ห้ามพบกันเด็ดขาด”

    นำดวงนิ่งไปครู่หนึ่ง พลางนับนิ้วมือคิดตามคำพูดของหลวงพ่อ ก่อนพยักหน้ากับตัวเองอย่างพึงพอใจ ตอนนี้อ่อนช้อยเรียนชั้น ม.3 อีกสามปีก็จะจบ ม.6 จากนั้นใช้เวลาอีกสี่ปีเพื่อเรียนปริญญาตรี ถ้าหากสอบเทียบ หรือเด็กสาวหัวดี ก็สามารถเรียนจบได้เร็วกว่านั้น ถือว่าการตกลงการค้ากับหลวงพ่อคราวนี้ จากสิบปีเขาได้ลดมาเกือบครึ่ง เพราะฉะนั้นถือว่าได้กำไรเห็นๆ

    นำดวงขยับเท้าเข้าไปใกล้หลวงพ่ออีกรอบหนึ่ง ก่อนเอ่ยถามอย่างประจบประแจง

    “ถ้าผมพบน้องอ่อนไม่ได้ แล้วสามารถติดต่อน้าเรืองได้ไหมครับ?”

    “ได้สิ” หลวงพ่อตอบ “สำหรับพ่อหนุ่ม เป็นพ่อม่ายเพราะแม่หนูตายจาก สำหรับแม่หนู เป็นแม่ม่ายเพราะพ่อหนุ่มตายจาก เพราะฉะนั้นทั้งพ่อหนุ่มและแม่หนู จะติดต่อครอบครัวของอีกฝ่ายก็ไม่เป็นไร ยังไงก็ถือว่าเคยเป็นสามีภรรยา สองครอบครัวจะคบหากันต่อก็เป็นเรื่องปกติ”

    นำดวงพยักหน้าหงึกหงักเป็นการรับรู้ ก่อนหันไปหาคุณนวลระวี แล้วพูดด้วยเสียงจริงจังว่า

    “นำอยากให้ทุนการศึกษากับน้องอ่อน จนเรียนจบปริญญาตรี จากนั้นให้น้องอ่อนมาทำงานกับเรา คุณแม่คิดว่ายังไงครับ?”

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×