คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่1 พี่ชายที่รัก _
ในวันที่ท้องฟ้าเป็นสีแดงส้มดูน่ากลัว ผมใส่ชุดดำทั้งตัวนั่งร้องไห้อยู่หน้ารั่วบ้าน
ที่มีป้ายปิดประกาศไว้ว่า ‘ยึดทรัพย์’ . .
วันนั้นเป็นวันจัดงานศพวันสุดท้ายของพ่อแม่ผมที่ฆ่าตัวตายไป ทิ้งให้ผมซึ่งอายุได้
เพียง 9 ขวบ ต้องอยู่เพียงลำพัง แต่. . ในความหม่อนหมองนั้นมีสิ่งที่ดีที่สุดเข้ามา
ในชีวิตของผม ผมยังจำได้ดีถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น . . รถBMWสีขาวจอดห่างจากผม
ไปไม่กี่ก้าว เด็กชายที่ดูจะอายุมากกว่าผมนิดหน่อยก้าวลงจากรถ เค้าใส่ชุดสูทสีดำ
สำหรับเด็ก ผิวขาวเหมือนน้ำนม ผมสีน้ำตาลประกายทอง เค้าก้มมองผมแล้วยืนมือออกมา
ตัวผมเองมองเค้าด้วยความประหลาดใจ วินาทีที่เค้าสบตากับผมแล้วพูดว่า. .
“มาอยู่ด้วยกันนะ” เหมือนเวลาหยุดนิ่งลงในวินาทีนั้น ทุกอย่างรอบตัว
เหมือนหยุดเคลื่อนไหว ทั้งที่ดูเหมือนคำสั่ง แต่กลับอุ่นใจเมื่อได้ฟัง
ตอนนี้เวลาลวงเลยมาเกือบ 15 ปีแล้ว ความรักที่ผมมีให้เค้าเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ
จนเริ่มล้นออกมา “- -อิน คังอิน” มีมือเรียวยาวโบกผ่านหน้าผมไปมา “เฮ้!~”
เจ้าของมือนั้นผลักผมจนเกือบล้ม “คะ. ครับ” ผมตื้นจากภวังค์ ตรงหน้าผมคือคนๆนั้น
“พี่ฮีชอลมีอะไรหรอครับ?” ผมถามออกไป แม้จะอยู่บ้านเดียวกันมานาน แต่นั้นยิ่งทำให้
ผมควบคุมตัวเองได้ยากขึ้น หัวใจผมเต้นรั่วไม่เป็นจังหวะ ด้วยเหตุผลที่ว่า. .
ความรู้สึกของผมมันเกินจากคำว่า ‘พี่น้อง’ ไปไกลแล้ว “วันนี้นายไม่ไปไหนใช่ไหม?
งั้นถ้าลีทึกมาฝากบอกเค้าทีนะ ว่าฉันจะรออยู่บนห้อง” พอพูดจบพี่ฮีชอลก็โบกมือลา
แล้วขึ้นไปชั้นบนโดยไม่รอคำตอบ “เดี๊ยวครับ!~” ผมตะโกนเรียกตามหลัง
มองตามบันไดวนที่พี่เค้าขึ้นไป แต่พี่เค้าไม่!แม้แต่จะมองกลับมา “ชิ!” ผมสบถพร้อมๆกับ
กระแทกตัวลงบนโซฟา “ ‘ฝากบอกเค้าที ว่าฉันจะรออยู่บนห้อง’ ” ผมล้อเลียนพี่ฮีชอล
ตายังคงมองที่ประตู “ทำไมชอบมาบ้านนี้นักนะ บ้านตัวเองไม่มีให้อยู่หรือไง?!”
ผมตะโกนระบายความรู้สึก เพราะรู้ดีว่าพี่ฮีชอลคงไม่ได้ยิน ส่วนคุณลุงคุณป้าก็ยังไม่กลับ
จากบริษัท “อย่าให้รู้นะ ว่าบังอาจทำอะไรพี่ชายฉัน ไม่งั้นละก็. . ” - -
“ไม่งั้นจะทำไมหรอ?” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากอีกด้านของโซฟา “พี่ทึกกี้!~” ผมอุทาน
เรียกชื่อบุคคลตรงหน้าอย่างสนิทสนมกว่าทุกที เมื่อหันไปเจอกับเจ้าของเสียง
ผู้ที่ผมกำลังพูดถึง “พี่มาตั้งแต่เมื่อไรครับ?!” ผมถามออกไป ในใจก็ภาวนาให้เค้า
ไม่ได้ยินที่ผมพูด “ก็มาทันเห็นหลังฮีชอลไวๆหละ” เค้าส่งยิ้มกลับมาเหมือนไม่มีอะไร
เกิดขึ้น “แต่ไม่ต้องห่วงนะ ฉันไม่ฟ้องฮีชอลหรอก” พี่ลีทึกพูดต่อเหมือนอ่านใจผมออก
“พะ. . พี่ครับ คือว่า. .” ผมพยามคิดหาข้อแก้ตัว แต่มันคงไม่มีประโยชน์ “ถ้าเป็นฉัน. .
นายจะปกป้องแบบนี้หรือเปล่า?” สีหน้าจริงจังของพี่ลีทึกทำเอาผมพูดอะไรไม่ออก
ทั้งที่ผมทำตัวไม่ดีแท้ๆ ยังพูดแบบนี้กับผมอีก “หึ.” เค้าหัวเราะเศร้าๆแล้วแตะที่ไหล่ผม
เบาๆ ก่อนจะเดินผ่านไป “พี่ครับ!”ผมตะโกนออกไปหลังจากตัวแข็งอยู่พักใหญ่
เค้าหันกลับมาเมื่อเดินไปถึงตีนบันไดวน “ช่างมันเถอะ” รอยยิ้มของชายที่ได้รับฉายาว่า
‘นางฟ้าแห่งนึลพารัล’ ปรากฏขึ้นอีกครั้ง และมันทำให้ผม. . รู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก
ผมได้แต่ยืนมองพี่ลีทึกก้าวขึ้นบันไดวนไปทีละขั้น เมื่อเค้าเดินไปถึงหน้าห้องพี่ฮีชอล
เค้ายั้งมือไม่เปิดประตูเข้าไป แล้วหันกลับมาพูดกับผม “ฉันไม่ทำอะไรฮีชอลหรอก”
รอยยิ้มนางฟ้าเลื่อนหายไปจากใบหน้า เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่แฝงความเจ้าเล่ห์
ของปีศาจ “แต่ถ้าฮีชอลทำอะไรฉันขึ้นมา. .” เค้าทิ้งช่วงแล้วหัวเราะเบาๆ
ใจผมเต้นรั่วก่อนจะระเบิดคำพูดออกไปเพราะหวงพี่ฮีชอล
“ที่พี่พูดหมายความว่าไง?!” ผมกัดฟันแน่นและกำมือที่สั่นเพราะความโมโห
“เปล่านี่” แต่เจ้านั้นกลับตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงยียวนกวนประสาท
พอมันพูดจบก็เปิดประตูเข้าห้องพี่ฮีชอลไป ‘*ปึ้ง!*’ โต๊ะเล็กที่เคยวางคั่นระยะ
ระหว่างโซฟากับ T.V. ถูกผมเตะจนหงายขึ้น “บ้าเอ๊ย!~” ผมสบถออกมา มือกำแน่น
จนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ ‘*โพ กะ หมัน กะ โพ กะ - -*’ “ใครว่ะ?!” ผมพลาดใส่
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นจากกระเป๋ากางเกง “มีอะไร!” ผมตะหวาดใส่ปลายสาย
อย่างไม่คิดควบคุมตัวเอง ‘อารมณ์เสียเรื่องอะไรอีกหละเนี๊ย?’
ปลายสายถามกลับมาด้วยน้ำเสียงที่สดใส “ . . . ” ผมไม่ตอบกลับ
ไม่อยากพูดเรื่องน่าโมโหนี้ทางโทรศัพท์ ‘เอางี้! ฉันไปรับนายดีกว่า. .
ไปเที่ยวบ้านฉันเผื่อนายจะอารมณ์ดีขึ้น’ ผมยิ้มให้ความรู้ใจของเพื่อนรัก
ไม่เสียแรงที่คบกันมานาน “อื้ม. แล้วเจอกัน” . . .
<< I'm Lee Teuk >>
เคยมีคนคนหนึ่งเข้ามาจูบผมเพราะคิดว่าผมเป็นผู้หญิง ส่วนผมเอง. .
ก็ยอมให้เค้าจูบแต่โดยดีด้วยเหตุผลเดียวกัน ผ่านไปไม่นาน. . ความจริงก็กระจ่าง
สำหรับเค้ามันกลายเป็นเรื่องตลกที่ทำให้เราสนิทกัน แต่สำหรับผม. . เค้าทำให้
ผู้ชายคนนี้ คนที่มีหน้าที่มากมายต้องแบกรับ คนที่ผู้หญิงนับไม่ถ้วนหมายปอง
ผมคนนี้กลับหลงรักผู้ชายหน้าสวยอย่างเค้า หึ. มันน่าขำจริงๆ ผมยืนพิงประตูที่ปิดอยู่
แม้ว่าอีกคนจะส่งเสียงเรียกยังไง แต่การที่เค้าคนนั้นนั่งรออยู่บนเตียง ทำให้ผมอดคิด
ฟุ้งซ่านไม่ได้ รูปร่างที่ผอมบางของเค้า ผมที่ย้อมเป็นสีทองจนเกือบขาว และ
ปากบางๆนั้น ทั้งหมดของเค้า. . มันทำให้ผมอยากเป็นเจ้าของ แต่ผมไม่เคยทำอะไร
เค้าได้เลย อาจเป็นเพราะเค้าไม่ยอมให้ทำล่ะมั้ง? หรือว่า. . เพราะผมเองที่ไม่กล้าทำ
กันแน่? “มานั่งข้างๆฉันสิ” เค้ายังคงเรียกต่อ “นายอย่าขัดใจฉันสิ! ทำตัวเหมือนฮันกยอง
ไปได้!” เข้าพูดถึงเพื่อนในห้องที่พึ่งย้ายเข้ามาในช่วงเทอม 2 คนอื่นๆอาจมองว่าเค้า
กับฮีชอลเป็นคู่กัดกัน เพราะเค้าเป็นคนเดียวที่ไม่ตามใจฮีชอล แต่สำหรับผม. .
พวกเค้าดูเข้ากันได้ดีเกินไปด้วยซ้ำ “ตอนที่ฉันเข้าห้องสายครั้งที่แล้วมันก็ล็อคห้อง
ใส่ฉัน ปล่อยให้ฉันอาละวาดอยู่นอกห้องจนเหนื่อยเลย” ฮีชอลยังคงพูดถึงฮันกยองต่อ
“นายเลิกพูดถึงเค้าสักทีเถอะน่า~” ผมบอกอย่างรำคาญใจ แล้วรอยยิ้มก็ปรากฏบนหน้า
ของฮีชอล เค้าเดินเข้ามาหาผม ใกล้ขึ้น. . ใกล้ขึ้น. . ใกล้เข้ามาจนปลายเท้าชนกัน
ผมพยามหันหน้าหลบ แต่เค้าใช้มือทั้ง 2 ข้างกดไหล่ผมไว้ให้ติดกับประตู ก่อนจะพูดขึ้น
“นายหึงฉันหรอ?” ใจผมมันตอบกลับว่า ‘ใช่’ ได้แบบไม่ต้องคิด แต่มันคงไม่ดี
ถ้าผมพูดแบบนั้น “นายจะหลงตัวเองมากไปหรือเปล่า” เค้ายืนหน้ามาใกล้กว่าเดิม
“แล้วมันใช่ไหมหละ?” เสียงกระซิบของเค้า บวกกับความรู้สึกเหมือนว่า. .
ปลายจมูกของเค้าโดนหูผม มันทำให้ใจผมเต้นรั่วและไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
ทั้งการรักษาหน้าตาของพ่อผม ซึ่งเป็นนายกกระทรวงศึกษาธิการคนปัจจุบัน
หรือคุณปู่ใจดี ที่บอกว่า. .จะส่งต่อหน้าที่ผู้อำนวยการโรงเรียนนี้ให้ผมทันทีที่เรียนจบ
โดยไม่สนใจสักนิด ว่าผมอยากได้หรือเปล่า หรือแม้แต่การรักษาระยะห่างระหว่างเพื่อน
ตอนนี้ผมไม่สนใจอะไรแล้ว “ว่าไงหละ. . ที่รัก” เค้าชอบแกล้งผมอยู่เรื่อย
ผมหันหน้ากลับไปทำให้ฮีชอลสะดุ้ง แต่แค่แป๊ปเดียว. . รอยยิ้มเจ้าเลห์ก็กลับมา
ปรากฏบนหน้าเค้าอีกครั้ง “ก็ได้. . ฮีชอล ถ้าฉันบอกว่าใช่หละ” ผมดึงเค้าเข้ามา
จนตัวติดกัน ขาของเค้าข้างหนึ่งสอดเข้ามาระหว่างขาของผม “นายจะว่าไง?”
เค้าจูบผมแล้วค่อยๆหลับตาลง และผมก็จูบเค้าเหมือนไม่ใช่เรื่องผิด
มือของผมสอดเค้าไปในเสื้อตัวบางของเค้า สัมผัสกับแผ่นหลังที่เนียนนุ่มลื่นมือ
ผมพยามถอดเสื้อของเค้า แต่เค้ากลับผลักผมออก “นายจูบเก่งขึ้นหรือเปล่าเนี๊ย?~”
ผมทำตัวไม่ถูกเลย นึกว่าวันนี้จะได้เป็นมากกว่าเพื่อนแล้วแท้ๆ ฮีชอลลูบปากตัวเอง
แล้วพูดย้ำอีกครั้ง “ฉันว่านายจูบเก่งขึ้นจริงๆนะ” ว่าแล้วก็กลับไปนั่งบนเตียง
“อืม. . เดือนนี้เราจะทำเรื่องอะไรลงหนังสือพิมพ์โรงเรียนดีหละ?”
ผมแทบจะทรุดลงไปเลย ฮีชอลเค้าเปลี่ยนอารมณ์เร็วไปหรือเปล่า?
ผมยกมือขึ้นเสยผมแล้วหัวเราะ ให้กับความบ้าของตัวเอง ก็น่าจะรู้อยู่แล้วนี่น่า. .
ว่าฮีชอลไม่ยอมให้ทำอะไรมากกว่าจูบหรอก ผมมันโง่เอง ที่หลงเคลิ้มไปหน่อย
แต่ร่างกายของผมมันยังนึกถึงสัมผัสเมื่อกี้อยู่เลย แล้วจะให้ผมยอมได้ยังไง
“จูบฉันสิ” ผมก้าวเข้าไปใกล้ๆเตียงนอน “อืม. . Kiss me...” ฮีชอลทำท่าคิดแล้วเอือมมือ
ไปหยิบกระดาษกับปากกาที่อยู่บนหัวเตียง “มันจะไม่ดูล่อแหลมไป สำหรับโรงเรียน
ชายล้วนหรอ?” เค้ามองกลับมาที่ผม “*เฮ้อ~*” ผมถอนหายใจอย่างหมดอารมณ์
ถ้าเค้าไม่ใช่คนเริ่ม ผมคงไม่ได้จูบเค้าใช่ไหม? ผมนั่งลงข้างๆเค้าแบบเซ็งๆ
“เดือนที่แล้วพึ่งโหวตตำแหน่ง ‘เจ้าหญิง’ กับ ‘นางฟ้า’ ไปเองนะ”
เค้าหยิบหนังสือพิมพ์โรงเรียนฉบับเดือนที่แล้วขึ้นมาดู มีรูปผมอยู่หน้า 1
พร้อมกับพาดหัวข่าวว่า ‘ลีทึก นางฟ้าแห่งนึลพารัล’ ผมรู้สึกดีกับฉายานี่มากเลยหละ
แต่ใครจะรู้บ้าง. . ว่าผมมันยิ่งกว่าซาตานมาจุติซะอีก หึ.หึ. แล้วผมก็เหลือบไปเห็น
รูปของซองมินเข้า พร้อมกับข่าวที่พาดหัวอยู่ว่า ‘สัญญาลักษณ์ของความน่ารัก
เจ้าหญิงซองมิน’ มันทำให้ผมได้ไอเดียดีๆ “เรามาเสนอประวัติของเจ้าหญิงกันเถอะ”
เรามองหน้ากันแล้วเริ่มลงมือ ฮีชอลก้มเขียนงานบนเตียง เสื้อยืดตัวบางคอลึกของเค้า
มันทำร้ายผมจริงๆ ผมพยามบังคับตัวเองให้ข่มใจเอาไว้ และเมื่อฮีชอลสังเกตเห็น
ถึงอาการแปลกๆของผม เค้าวางอุปกรณ์ต่างๆลงแล้วลูบหัวผม “นายเป็นอะไร?
อึดอัดหรอ? เราออกไปทำงานข้างนอกก็ได้นะ” ใจผมมันร้องประท้วงจนแทบระเบิด
ผมไม่ได้อยากออกไปไหนทั้งนั้น ผมอยากจับเค้ากดกับเตียงแล้วทำอย่างที่ใจอยาก
ต่างหาก แต่ผมก็พูดไม่ออก ได้แต่เม้มปากแน่นพลางส่ายหน้าช้าๆ เค้าตบหัวผมเบาๆ
เหมือนผมเป็นเด็ก แล้วก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป . .
ผู้ชายคนนี้ไม่เคยเอาแน่เอานอนได้เลย ทั้งชอบแกล้งและเอาแต่ใจตัวเองอย่างร้ายกาจ
แต่ผมคนนี้. . กลับหลงรักเค้าจนถอนตัวไม่ขึ้นซะแล้ว . . .
<< I'm Kung In >>
ตอนนี้ผมอยู่ในผับหรูที่หนึ่ง เป็นผับที่ใหญ่และมีชื่อเสียงมากในแถบเอเชีย
เมื่อลิฟต์ขึ้นมาถึงชั้นบนสุด มันก็หยุดลง แต่ความจริงแล้ว. . ถ้าเอาบัตรเคดริทของใคร
คนใดคนหนึ่ง ใน 3 คน ซึ่งเป็นหุ้นส่วนใหญ่รูดที่เครื่องสแกน ลิฟต์จะขึ้นไปต่อ
ได้อีกชั้นหนึ่ง และ 1 ใน 3 นั้น ก็อยู่ที่นี้และกำลังรูดบัตรอยู่ เมื่อลิฟต์หยุดลงอีกครั้ง
คนที่ว่ายิ้มยิ้มให้ผมอย่างร่าเริงก่อนที่ประตูลิฟต์จะเปิดออก ตอนนี้ผมก็เริ่มยิ้มออกแล้ว
เหมือนกัน เรา 2 คนเดินเลี้ยวไปที่ห้องทางขวาติดกับลิฟต์ ซึ่งมีขนาดเท่ากับครึ่งหนึ่ง
ของชั้น แล้วอีกบุคคลหนึ่ง. . ก็เปิดประตูออกมา เค้าก้มหัวทักทายเล็กน้อยก่อนพูดขึ้น
“สวัสดีครับพี่คังอิน” ผมยิ้มกลับไปให้เค้า แล้วคนที่อยู่ข้างๆผมก็พูดขึ้นบ้าง
“ไอ้น้องบ้านี่! ทีพี่ตัวเองไม่เคยทัก” คนร่างเล็กแทรกตัวผ่านประตูเข้าไป
แต่หูยังคงได้ยินเสียงพรึมพรัมของน้องชาย “ก็พี่ทำตัวไม่น่าเคารพเองนี้”
เจ้าคนน้องยิ้มมุมปากก่อนก้าวออกจากห้อง คนร่างเล็กจึงหันมาตะหวาดกลับ
“ไอ้คิบอม!!!!~” แต่ก็ดูไม่น่ากลัวเลยสักนิด ผมเดินเข้าไปตบหลังคนร่างเล็ก
ก่อนจะปิดประตูล็อคพลางพูดต่อ “ตะหวาดใส่คิบอมแล้วยิ้มไปด้วยแบบนั้น. .
น้องคงกลัวตายหละ” เค้าหัวเราะเบาๆ แล้วมองรอบห้องกว้างที่แบ่งย่อยเหมือนในบ้าน
คนทั่วไปอย่างร่าเริง “มันไม่เคยกลัวฉันอยู่แล้วนี่” เยซองพูดอย่างไม่ใส่ใจ
“ว่าแต่นายเถอะ อารมณ์เสียเรื่องพี่ทึกกี้อีกแล้วหรอ?” ผมยิ้มให้เพื่อนรักแล้วหัวเราะเบาๆ
ก่อนจะทิ้งตัวอย่างสบายใจลงบนเก้าอี้ขนนกหุ้มหนังใกล้ๆตัว “ฉันอยากรู้จริงๆว่านายหนะ
หึงหรืออิจฉาพี่เค้ากันแน่” ผมมมองหน้าคนที่รู้ทันผมไปซะทุกเรื่องแล้วยอมรับกับตัวเอง
“สมเป็นนายเลยนะ พูดถูกทุกอย่าง” .. . . . .
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
โย่! จบสักที หลังจากดองมานาน
มาอ่านดูที่หลังก่อนแต่งต่อ
พึ่งรู้ตัวว่าแอบเรทเหมือนกันนะเนี๊ย
ความคิดเห็น