ลำดับตอนที่ #7
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Chapter II: Little Canary 02
เวลาผ่านไปหกเดือนนายชลคนนี้ก็ยังรักษาความไม่มีชีวิตชีวาไว้ได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ใครถามคำก็ตอบคำ ถามสองคำก็ตอบสองคำ เหมือนหุ่นยนต์ จนเพื่อนๆ ตั้งฉายาให้ว่า “โรบอท”
แววตาของชลแตกต่างจากของเพื่อนคนอื่นๆ แม้เพื่อนๆ ยังไม่ลืมความโศกเศร้า เขาก็ยังสนใจรับรู้อะไรใหม่ๆ แต่ชลนั้นเหมือนเวลาของเขาหยุดเดินตรงไหนสักแห่ง...
น้าทีช่าบอกว่าความตายอยู่กับเราตลอดเวลาก็จริง แต่ก็ใช่ว่าชีวิตเราจะมีแต่ “ความตาย” อย่างเดียวสักหน่อย ทำไมตานี่มันถึงได้โง่ดักดานจนชวนให้รู้สึกหงุดหงิดอย่างงี้นะ
แล้วฤดูหนาวก็ผ่านพ้นไป ฤดูใบไม้ผลิเข้ามาแทนที่ อากาศข้างนอกอบอุ่นขึ้น หิมะเริ่มละลาย และดอกไม้เริ่มผลิบาน ฉันกับเพื่อนๆ เห็นพ้องต้องกันว่านี่เป็นฤกษ์ดีที่จะแอบหนีคุณครูเฟมีนไปทดสอบความกล้ากันที่ “ป่าต้องห้าม”
ขณะที่กำลังจะไปทดสอบความกล้ากันที่ “ป่าต้องห้าม” ฉันเผอิญเห็นชลนั่งอยู่ใต้ต้นโอ๊คพอดี แววตาของเขาในขณะที่ดูดอกลิลลี่นั้นเศร้าสร้อย ไม่น่าเชื่อว่าตานี่จะมีอารมณ์อ่อนไหวกับเขาด้วย...
“ชล! เรากำลังจะไปทดสอบความกล้ากันที่ “ป่า ต้องห้าม” จะไปด้วยกันไหม” ฉันร้องถามเขา
“นี่ใจอย่าไปชวนเจ้าโรบอทเลย” เฟดริกว่า
“อย่าไปเลย ครูเขาห้ามไว้ไม่ใช่หรือ คำเตือนของพวกผู้ใหญ่นะ หัดฟังไว้บ้างก็ดีนะ”
เป็นครั้งแรกที่เขาพูดเหมือน “คน” มากกว่า” “หุ่นยนต์” แวบหนึ่งฉันรู้เหมือนว่าหน้าต่างหัวใจที่ลงกลอนสนิทมาตลอดของชลนั้น ได้แง้มออกมานิดหนึ่ง
ถึงอย่างนั้นฉันก็รู้สึกว่าเขากำลังพูดกับตัวเองมากกว่าเป็นห่วงพวกเราอยู่ดี...
“เห็นไหม หมอนี่มันขี้ขลาด ไม่กล้าไปกับพวกเราหรอก” เฟดริกย้ำ
... ... ...
เราเดินกันเข้าไปใน “ป่าต้องห้าม” ได้ราวสิบห้านาที โดยทำสัญลักษณ์ไว้ตามต้นไม้เพื่อไม่ให้หลงทาง แม้จะเดินลึกเข้าไปแต่ทิวทัศน์รอบๆ ก็ดูไม่ต่างไปจากเดิม และไม่มีอะไรน่ากลัว ฉันแอบได้ยินเสียงเพื่อนบางคนถอนหายใจ ท่าทางพวกเด็กผู้ชายที่คึกคะนองคงชักจะเริ่มเบื่อกันแล้วที่ไม่มีอะไรตื่นเต้น
“เห็นครูเฟมีนห้ามนักห้ามหนาไม่ให้เข้าไป ไอ้เราก็นึกว่าจะมีอะไรน่ากลัวๆ อย่างมังกร หรือยักษ์ตาเดียวโผล่มาเสียอีก” เฟดริกบ่น
“ทำเป็นพูดดี ถ้ามันโผล่จริงๆ สงสัยว่านายนั่นแหละจะเผ่นเป็นคนแรก” เลย์ล่าว่า
“โธ่เอ๊ย ฉันไม่กลัวหรอก อุตส่าห์ขโมย คฑากอร์กอน มาจากครูทั้งที ถ้ามีตัวอะไรโผล่มาฉันจะเสกเป็นหินให้หมดเลย”
ท่าทางเฟดริกจะร้อนวิชามาก ทั้งที่ไม่เคยเสกอะไรเป็นหินได้สำเร็จ นอกจากมดตัวเล็กๆ
“สวบ!”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากข้างหลัง ทุกคนหันควับไปพร้อมกัน
“แค่กระต่ายเท่านั้นเอง...”
ฉันว่า เพราะเห็นหูยาวๆ ของมันก่อนจะหลบเข้าไปในพุ่มไม้
ปรากฏว่าเฟดริกก็ไวไม่แพ้กระต่าย เพราะแวบเดียวก็เข้ามาหลบอยู่หลังฉันเป็นที่เรียบร้อย
“ไหนว่าไม่กลัวไง” เลย์ล่ายิ้มเยาะ
“ฉันไม่ได้กลัวสักหน่อย แค่จะระวังหลังให้เท่านั้นเอ...”
“ว้ากกก!!!”
เสียงร้องของเฟดริกทำเอาฉันสะดุ้ง ก่อนจะทันหันไปดูฉันก็ถูกเฟดริกชนล้มลง
กว่าจะตั้งตัวได้ เสียงฝีเท้าของเพื่อนๆ ก็เริ่มห่างออกไป ฉันหันกลับไป ก็พบงูยักษ์ที่มีลำตัวเป็นสีแดงแสดและไฟลุกท่วมทั้งตัว!
เจ้าอสรพิษเพลิงตัวนี้มีขนาดมหึมาแบบที่สามารถกลืนวัวเข้าไปทั้งตัว ได้สบายๆ
ว่าแต่งูตัวใหญ่ขนาดนี้เข้ามาใกล้เราโดยที่ไม่รู้ตัวได้ยังไง...
เขากำลังหิวอยู่เพราะเพิ่งพ้นฤดูจำศีลมาใช่ไหม...
ไม่ๆๆๆ เขาอาจจะเพิ่งกลืนเหยื่อตัวอื่นและกำลังจะกลับไปงีบที่รังก็ได้...
ฉันขาสั่น ไม่มีแรงแม้แต่จะลุกขึ้นมา อยากจะทำตัวให้นิ่งที่สุด เผื่อว่าเขาจะเห็นเราเป็นก้อนหิน...
แต่พระเจ้าก็ปฏิเสธคำขอที่เข้าข้างตัวเองของฉัน เจ้างูยักษ์นั่นจ้องมาที่ฉันทันที ลูกตาดำเล็กๆ ข้างในนัยน์ตาสีแดงก่ำกำลังจ้องมาที่ฉัน
อย่ากินฉันเลยนะ เนื้อของฉันไม่อร่อยหรอก...
ไม่สิๆ ถ้าจะกิน ก็รัดฉันให้ตายในอึดใจเดียวอย่าให้ต้องทรมานเลยนะ
ไม่ใช่ๆ เราต้องหาทางรอดต่างหาก!
ทางรอด...
ใช่แล้ว... คฑากอร์กอนนั่นไง เฟดริกทำตกไว้ตอนที่ชนฉัน
ฉันเอื้อมมือไป หมายจะหยิบคฑานั้น แต่ก็ถูกหางของอสรพิษนั่นปัดออกไปในทันที อะไรกัน... นี่มันจะฉลาดเกินไปเแล้ว!
เจ้าอสรพิษนั้นแลบลิ้น เหมือนจะยิ้มเยาะฉัน เมื่อทางรอดสุดท้ายหายวับไปกับตา ความหวาดกลัวก็พุ่งขึ้นถึงขีดสุด จนฉันนึกอะไรไม่ออกอีกต่อไป!
“ช่วยด้วย---!! ใครก็ได้ช่วยฉันด้วย!!!”
เสียงร้องของฉันดังก้องไปทั่ว ก่อนจะถูกกลืนหายไปในความเงียบวังเวงของป่าใน เสมือนว่าที่ตรงนี้ไม่มีใครทั้งนั้นนอกจากฉันและอสรพิษเพลิง
อีกเดี๋ยวมันคงย่างฉันให้สุกแบบมีเดียมแรร์ก่อนจะรับประทานอย่างเอร็ดอร่อย เป็นแน่ นี่ฉันคงไม่มีทางรอดจริงๆ แล้วใช่ไหม
โธ่... ทำไมฉันไม่ฟังคำเตือนของคุณครูเฟมีนนะ
“อย่าไปเลย ครูเขาห้ามไว้ไม่ใช่หรือ คำเตือนของพวกผู้ใหญ่นะ หัดฟังไว้บ้างก็ดีนะ”
คำพูดของชลดังก้องขึ้นในมโนสำนึก...
ตาบ้า! ถ้าคิดจะเตือน ทีหลังหัดเตือนให้มันจริงจังกว่านี้หน่อยสิ!
“ชลบ้า....!!”
ฉันร้องไปอย่างนั้นเอง แต่จู่ๆ ก็มีลำแสงที่คล้ายดาวตกพุ่งลงมาตกที่เบื้องหน้าฉันจนแผ่นดินสะเทือน!
“ชล!”
เมื่อกี้นี้เป็นเวทมนต์ของเขาหรือ เขารู้ได้อย่างไรว่าฉันอยู่ที่นี่!
ไม่สิ! ทำไมเขาถึงมาที่นี่ได้...
“ฉันไม่ยอมให้แกทำอะไร เธอได้หรอก!!”
ชลร้องออกมาโดยไม่สะทกสะท้านอสรพิษเพลิงเบื้องหน้า
“ฉันจะไม่ยอมให้ ใครต้องตายไปต่อหน้าต่อตาอีกแล้ว!!”
เสียงของเขาระคนความเศร้า นั่นเขากำลังพูดกับงูยักษ์แน่หรือ...
ยังไงก็ตาม... ความกลัวของฉันค่อยๆ หายไปเมื่อมองแผ่นหลังของเขา
โดยไม่คาดคิดมาก่อน หลังจากจ้องตากับชลอยู่พักหนึ่ง จู่ๆ เจ้างูยักษ์นก็เปลี่ยนใจหันหลังเลื้อยกลับเข้าไปในป่าตามเดิม
เอ... หรือว่าเขาเพิ่งจะกินอิ่มแล้วกำลังจะกลับรังจริงๆ ...
จะยังไงก็ช่างเถอะ ฉันเพิ่งสังเกตว่ามีน้ำนองอยู่ที่เท้าของชล
“นี่นาย... ฉี่ราดหรือ...”
“...เออ... แล้วทำไมล่ะ”
เขาพูดไม่เต็มเสียงแล้วเบ้หน้าไปอีกทาง ผิดกับท่าทีที่ดูองอาจเมื่อครู่เหมือนโกหก
“ไม่เท่เอาซะเลย”
ฉันระเบิดหัวเราะออกมาดังลั่น
“พอเลย เลิกขำได้แล้ว ยัยบ๊อง!”
“ก็มันน่าขำจริงๆ นี่นา”
ฉันหยุดหัวเราะไม่ได้ ใครจะคิดว่าเจ้าโรบอทไร้อารมณ์อย่างชลจะ “กลัว” เป็นกับเขาด้วย...
... ... ...
หลังจากสอบสวนพยานทั้งสิบห้าคนเสร็จสิ้น คุณครูเฟมีนก็ลงโทษทุกคนด้วยความรักอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งนับรวมชลด้วยข้อหา “ไม่ยอมห้ามเพื่อน”
นับจากเหตุการณ์นั้นท่าทีของเพื่อนๆ ที่มีต่อชลก็เปลี่ยนไป
“นี่ๆ ตอนนั้น นายใช้เวทย์มนต์อะไร สอนให้บ้างได้ไหม”
ฉันถามเขาขณะที่เราจับกลุ่มสนทนาเรื่องในวันนั้น
“ขอโทษนะ ฉันคงสอนให้ไม่ได้” ชลว่า
“งั้นใช้ให้ดูหน่อยสิ...”
เลย์ล่าเอ่ยขึ้น
ชลมีสีหน้าลำบากใจอยู่ครู่หนึ่ง
“โธ่เอ๊ย ที่แท้ก็ทำไม่ได้ล่ะสิ ตอนนั้นก็คงแค่ฟลุ๊คล่ะว้า...” เฟดริกขัดขึ้น
“นี่เฟดริก นายไม่พูดก็ไม่มีใครหาว่าใบ้หรอกนะ” ฉันว่า
“ไม่หรอก เขาพูดถูกแล้ว ตอนนั้นมันแค่ฟลุ๊คจริงๆ เพราะหลังจาก เรื่องในวันนั้น ฉันก็ไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถใช้เวทย์มนต์บทนี้ได้อีก...” ชลว่า
ชลไม่ยอมเล่าถึง “เรื่องในวันนั้น” แต่สีหน้าของเขาในตอนนี้เป็นสีหน้าที่เศร้าที่สุดเท่าที่เขาเคยแสดงให้ฉันเห็น
แม้จะไม่มาก แต่ชลก็เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ และบรรยากาศที่สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าก็เริ่มกลับมาเป็นเหมือนเดิม จนกระทั่งวันหนึ่งหลังจากที่คุณครูเฟมีนนำเอาภาพยนตร์ไซไฟอย่าง "แบ็คทูเดอะฟิวเจอร์" และ "ไทม์แมชชีน" มาเปิดให้พวกเราดู
จู่ๆ แววตาของชลก็เป็นประกายเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ คราวนี้เขาเหมือนผีเข้า กลายเป็นคนคร่ำเคร่งเอาแต่อ่านตำราต่างๆ โดยเฉพาะพวกตำราเวทย์มนต์โบราณที่อ่านยาก ขนาดพวกผู้ใหญ่บางคนยังอ่านไม่รู้เรื่อง
แม้ชลจะยอมแง้มหน้าต่างหัวใจให้นิดหนึ่งแล้ว แต่คราวนี้เขากลับหนีเพื่อนๆ ไปไกลๆ อย่างกู่ไม่กลับ
อย่างไรก็ดี ดูเหมือนจะมีฉันเพียงคนเดียวที่หงุดหงิดกับความเปลี่ยนแปลงนี้ เพราะชลก็กลายเป็นที่พึ่งของเพื่อนๆ เวลาที่มีปัญหาเกี่ยวกับวิชาเวทย์มนต์แทน
... ... ...
สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าสแกนเดรียนั้นสอนถึงแค่วุฒิ ป.6 เมื่อจบจากที่นี่แล้วก็ต้องไปต่อที่โรงเรียนมัธยมสแกนเดรีย ซึ่งไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน และมีหอพักให้
ก่อนที่เราจะจบจากสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า เพื่อนๆ ก็รวมตัวกันถามสิ่งที่คาใจมานานกับชลว่า น้าทีช่าเป็นอะไรกับเขาหรือเปล่า เหตุผลหนึ่งก็เพราะพวกเราไม่เคยเจอน้าทีช่าอีกเลยหลังจากที่ชลเข้ามาอยู่ที่นี่
“ใช่ ท่านเป็นแม่ฉันเอง... แต่เสียไปนานแล้ว” เขาว่า
เพื่อนบางคนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
“อย่าเศร้าไปเลยนะ เพราะนับจากนี้ไปพวกเราทุกคนคือครอบครัวของนาย”
เฟดริกปลอบชลทั้งที่ตัวเองก็น้ำตาซึม
ส่วนตัวฉันเองแม้จะพอคาดไว้บ้างแล้วแต่ก็อดรู้สึกใจหายไม่ได้ เพราะไม่คิดว่าน้าทีช่าจะจากไปเร็วขนาดนี้
บัดนี้เมื่ออายุได้ 11 ขวบ ฉันจึงพอจะเข้าใจสิ่งที่น้าทีช่าพูดขึ้นมาบ้างว่า “ความตาย” เป็นทั้ง “โชคดี” และ “โชคร้าย”
ทั้ง “การเกิด” และ “การตาย”...
ทั้ง “การพบเจอ” และ “การพลัดพราก” ...
เป็นสองด้านของเหรียญที่ชื่อว่า “กาลเวลา” และ "ความเปลี่ยนแปลง" ...
ถ้าไม่มีกาลเวลาฉันก็คงไม่ได้เกิดมาบนโลกนี้ คงไม่ได้เจอคุณแม่ น้าทีช่า คุณครูเฟมีน และเพื่อนๆ ที่สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า
เท่านี้ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากพอแล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อถึงคราวที่ “กาลเวลาและความเปลี่ยนแปลง” จะพรากคนที่ฉันรักไปบ้างมันก็ยุติธรรมดีแล้วไม่ใช่หรือ...
จะมีที่ขัดใจอยู่บ้างก็คือ แทนการพลัดพรากจากน้าทีช่า กาลเวลาได้นำพาชลมาพบกับฉัน ซึ่งฉันไม่เห็นว่าตานี่จะเหมือนน้าทีช่าที่ทั้งสวย ทั้งฉลาด และอ่อนโยนตรงไหนเลย...
... ... ...
โปรดติดตามตอนต่อไป
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น