ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Magic of Now & Here

    ลำดับตอนที่ #8 : Chapter II: Little Canary 03

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 80
      0
      4 มี.ค. 53


                    ฉันตื่นขึ้นมาพบตัวเองนอนอยู่ในห้องสีขาว...

                    “ใจฟื้นแล้วเหรือ!”

                    สวนที่ชวนคิดถึงปนหมั่นไส้ ฉันรู้จักเจ้าของเสียงนี้ดี...

                    “ชล...”

                    ฉันหันไปเห็นเขานั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างๆ เตียง

                    “รู้สึกเป็นยังไงบ้าง”

                    “ก็สบายดีนะ...”

                    แค่เวียนหัวนิดหน่อย...

                    “เธอหมดสติไป ตั้งแต่เมื่อเย็นวาน ฉันเลยพามาส่งที่โรงพยาบาลวิทยาลัยสแกนเดรีย”

                    “งั้นตอนนี้ก็...”

                    ข้างนอกสว่างจ้า ฉันมองไปนาฬิกาตรงผนังบอกเวลาสิบโมงกว่า

                    “อย่าห่วงเลย แค่นี้เขาไม่ไล่เธอออกหรอก ไว้ค่อยติดต่อไปที่สถาบันยูวีซีไอทีหลังก็ได้ ตอนนี้ต้องพักรักษาตัวก่อนนะ”

                    ดูเหมือนเขาจะเดาใจฉันได้

                    “เดี๋ยวฉันไปตามหมอมานะ”

                    พูดเสร็จ ชลก็ลุกออกไป

                    สำรวจซ้ายขวาก็ทราบว่าตัวเองอยู่ในห้องพักเดี่ยวที่มีห้องน้ำในตัว พอทบทวนเรื่องราวดู เมื่อครู่นี้ฉันหลับฝันถึงอดีตเสียยืดยาว และตอนท้ายฉันก็ฝันว่าได้พบกับน้าทีช่าอีกครั้ง

                    “นั่นน้าทีช่าจริงๆ เหรอคะ”

                    รู้ทั้งรู้ว่าเป็นความฝัน แต่ก็อดดีใจไม่ได้

                    "จริงสิจ๊ะ หนูใจ..."

                    เธอยิ้มให้ฉันอย่างอบอุ่นและอ่อนโยน เหมือนกับน้าทีช่าในความทรงจำของฉัน

                    ฉันเข้าไปกอดเธอ

                    “หนูคิดถึงน้ามาตลอดนะคะ ตั้งแต่ที่รู้ว่าน้าจากไปแล้ว หนูก็พยายามมาตลอดเพื่อจะเป็นอย่างน้า”

                    เธอลูบหัวฉัน

                    “ตอนนี้หนูใจก็เป็นอยู่แล้วนี่”

                    ฉันกอดเธอไว้แน่น ท่ามกลางความรู้สึกที่เลือนรางนั้น ฉันรู้สึกได้ว่าตัวเธอทั้งนุ่มและอบอุ่น

                    “น้าภูมิใจในตัวหนู และคอยเฝ้าดูอยู่เสมอนะ”

                    นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ฉันได้ยิน ก่อนที่ทุกอย่างจะหายไป

                    แม้แต่ตอนนี้กลิ่นหอมจางๆ ของดอกจัสมินก็ยังหลงเหลืออยู่ที่ปลายจมูก เมื่อกี้นี้ใช่ความฝันแน่หรือ...

    ... ... ...

     

                    สักครู่หนึ่งชลจึงกลับเข้ามาพร้อมกับคุณหมอ

                    “สวัสดีครับ คุณเอริซ่า หมอชื่อนอร์แมน เป็นหมอเจ้าของไข้ของคุณ ถ้ามีอะไรสงสัยให้ถามหมอได้เลยนะครับ”

                    เขายื่นมือให้ฉัน

                    คุณหมอนอร์แมนเป็นชายวัยกลางคน ดูแล้วคงอายุพอๆ กับคุณแม่และน้าทีช่า แต่ความมีชีวิตชีวากับรอยยิ้มที่เป็นกันเองทำให้ใบหน้าของเขาดูอ่อนกว่าวัย

                    ฉันจับมือกับเขา...

                    “ตอนที่คุณเอริซ่ายังไม่ได้สติ หมอได้นำตัวอย่างเลือดไปตรวจดูแล้ว แต่ยังไง หมอคงต้องสอบถามอาการอย่างละเอียดอีกครั้งนะครับ”

                    “ค่ะ”

                    “แล้วไม่ทราบว่า คุณเอริซ่ามีญาติหรือเปล่าครับ”

                    ฉันหันไปทางชล

                    “ฉันไม่มีญาติก็จริง แต่ให้ถือว่าเขาเป็นคนใกล้ชิดของฉันก็ได้ค่ะ”

                    คุณหมอนอร์แมนยิ้ม

                    “ถ้ายังงั้น เพื่อให้คนไข้ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ หมอขอซักเรื่องของคุณเอริซ่าจากเราที่ห้องหน่อยนะ” เขาหันไปพูดกับชล

                    “ขอตัวก่อนนะครับ”

                    พูดเสร็จ คุณหมอก็เดินออกจากห้องไปพร้อมกับชล

                    อันที่จริงฉันพอจะรู้ตัวว่าตัวเองป่วยเป็นโรคอะไร และยิ่งมั่นใจมากขึ้นจากอาการ “เฟิร์สต์ช็อค” เมื่อเย็นวาน ซึ่งเป็นเสมือนสัญญาณเตือนครั้งแรก

                    ถ้าฉันกำลังป่วยเป็นโรคที่หายากนั้นอยู่จริงๆ ละก็ แค่เอาเลือดไปตรวจก็สามารถยืนยันได้แล้ว...

     

                    ครู่หนึ่งชลก็เดินกลับมาที่ห้อง เขามองตาฉันแวบหนึ่งเหมือนต้องการจะหยั่งใจ พนันได้เลยว่าเขารู้ทุกอย่างจากคุณหมอนอร์แมนแล้ว...

                    “หมอบอกว่าเธอไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่พักผ่อนน้อยไปหน่อยเท่านั้นเอง อาจจะต้องพักรักษาตัวอยู่ที่นี่สักสัปดาห์ แล้วช่วงนี้ต้องระวังอย่าใช้เวทมนต์เป็นอันขาด”

                    ปากบอกไม่เป็นไร แต่รอยยิ้มและน้ำเสียงดูเสแสร้ง ไม่เหมือนชลตามปกติ

                    “ที่เหลือหมอจะมาซักถามอาการของเธอตอนบ่ายนะ”

                    หลังจากนั้นเราก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นกัน จนกระทั่งคุณพยาบาลเดินเข้ามาเก็บถาดอาหารกลางวันที่ฉันทาน แล้วชลก็ขอตัวไปที่หอสมุดกลาง

                    ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องถามอะไรเขาอีก เขาคงรู้แล้วว่าฉันป่วยเป็นอะไร โรคที่ฉันเป็นไม่ใช่โรคธรรมดา คุณหมอนอร์แมนคงกังวลว่าฉันจะใจเสีย จึงอยากถามความเห็นจากญาติหรือคนใกล้ชิดก่อนว่าจะบอกความจริงกับคนไข้ดีไหม ซึ่งแน่นอนว่าชลต้องไม่บอกฉัน เพราะแต่ไหนแต่ไรเวลาที่เขาคิดจะทำอะไรก็ไม่เคยปรึกษาใครก่อนอยู่แล้ว

                    แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าตัวเองป่วยเป็นโรคอะไร เพราะมันคือโรคเดียวกับที่คร่าชีวิตคุณแม่ไป

    ... ... ...

     

                    ฉันยังจำได้ดี เมื่อประมาณ 16 ปีก่อน กลางดึกคืนนั้นจู่ๆ คุณแม่ก็ฟุบลงบนโต๊ะทำงานโดยไม่รู้สาเหตุ ฉันติดต่อรถพยาบาลให้มารับคุณแม่ วันรุ่งขึ้นท่านก็ฟื้น และแข็งแรงดีทุกอย่าง หลังจากตรวจอาการโดยละเอียดแล้ว คุณหมอก็ไม่พบอะไร จึงสรุปว่าท่านคงอ่อนเพลียเท่านั้นเอง

                    หลังจากกลับมาที่บ้าน ปรากฏว่าคุณแม่ดูจะกระฉับกระเฉงกว่าเดิม ซ้ำใบหน้าของท่านยังดูอ่อนเยาว์ลงสักสิบปีเห็นจะได้

                    ตอนที่ฉันทักคุณแม่ ท่านอมยิ้มแล้วถามว่าฉันแกล้งเอาใจท่าน เพราะอยากกินเค้กหรือเปล่า



                    แต่หนึ่งเดือนต่อมาท่านก็หมดสติไปอีกครั้ง...



                    การฟุบครั้งที่สองนี้ต่างจากครั้งแรก เพราะเมื่อคุณแม่ฟื้นขึ้นมา ท่านกลับไม่มีแรง แทบจะหยิบจับอะไรเองไม่ไหว ขนาดจะเข้าห้องน้ำยังต้องให้คุณพยาบาลช่วย บนใบหน้าท่านมีริ้วรอยปรากฏขึ้นเด่นชัด ผิวหนังเหี่ยวย่น ผมสีบลอนด์กลับกลายเป็นสีขาว แล้วท่านก็สิ้นใจไปในคืนนั้น

                    ภาพใบหน้าของคุณแม่ที่เหี่ยวย่นราวกับคนแก่อายุ 80 ก่อนที่ท่านจะสิ้นใจนั้นยังติดตาฉันจนถึงทุกวันนี้

                    ในตอนนั้นแพทย์ลงความเห็นว่าท่านตายด้วย “โรคชรา” เพราะอวัยวะภายในทุกอย่างเสื่อมสภาพหมด ทั้งที่ท่านพึ่งอายุได้เพียง 32 เท่านั้นเอง

     

                    ใช่... ฉันยังจำภาพใบหน้าของคุณแม่ในวาระสุดท้ายได้อย่างชัดเจน...

                    สิ่งนั้นประทับลึกลงไปในใจฉันพร้อมๆ กับความหวาดกลัวโรคนี้

                    ในวาระสุดท้ายคุณแม่ค่อยๆ เอื้อมมือมาลูบใบหน้าของฉันอย่างเชื่องช้าแล้วก็ยิ้ม ก่อนที่มือข้างนั้นจะหมดแรงร่วงลง




                    ความทรงจำที่มีต่อท่านพรั่งพรูออกมา ฉันร้องไห้แล้วกอดคุณแม่ไว้แน่น ทั้งที่ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง

                    ใช่... ฉันในตอนนั้นไม่เข้าใจอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก...

    ... ... ...

     

                    กว่าจะมีการค้นพบและตั้งชื่อโรคนี้อย่างเป็นทางการว่า “เอออสทราซินโดรม” (Eostra Syndrome) ก็อีกสิบปีต่อมา โรคนี้ถูกประกาศเป็นโรคร้ายแรงอันดับหนึ่งที่ไม่มีทางรักษาซึ่งพบเฉพาะในอาณาจักรสแกนเดรีย และชื่อของคุณแม่ “อาวองซ์ ริซ่า” ก็ถูกบันทึกไว้ในฐานะผู้ป่วยรายแรก

                    ในช่วงสิบกว่าปีมานี้มีผู้ป่วยที่ตายด้วยโรคนี้ถึง 50 กว่าคน สาเหตุของโรคยังคงเป็นเรื่องลึกลับ...

                    ตอนที่คุณแม่ป่วยเป็นโรคนี้ท่านคงไม่รู้ว่าจะต้องจบชีวิตลงอย่างนั้น แต่ในกรณีของฉันกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะฉันรู้ว่าจากนี้ไปอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าตัวเองคงจะต้องจบชีวิตลงในลักษณะเดียวกันกับคุณแม่

                    ตอนที่เริ่มเอะใจ ฉันรู้สึกใจหวิวๆ คล้ายกับคนกำลังยืนอยู่บนขอบเหวที่มืดมิดและมีลมกรรโชกแรง



                    และทันทีที่มั่นใจ ฉันก็เหมือนถูกผลักลงเหว...



                    ขณะที่ลุกไปล้างหน้า ขาของฉันสั่น ขณะที่กินข้าวก็ไม่รู้รสชาติอะไรทั้งนั้น

                    เสียงนกขมิ้นที่แสนจะไพเราะก็ไม่ทำให้จิตใจฉันชื่นบานแม้แต่น้อย...



                    ฉันเข่าอ่อนทรุดลงหน้าอ่างล้างหน้า หมดแรงลุกขึ้นมา... รอบๆ ตัวดูเคว้งคว้างและหมองหม่น

                    ก็จะให้ฉันอยู่ต่อไปเพื่ออะไรล่ะ ในเมื่อ... ในเมื่ออีกเดือนเดียวฉันก็จะต้องตายเหมือนคุณแม่!

                    คุณแม่คะ น้าทีช่าคะ บอกทีสิ หนูควรจะทำอย่างไรต่อไปดี...

    ... ... ...

     

                    ประมาณบ่ายสอง หลังจากที่คุณหมอนอร์แมนซักถามอาการฉันอย่างละเอียด เพื่อนๆ ที่คณะก็รวมตัวกันมาเยี่ยมฉัน ชลบอกพวกเขาเหมือนที่บอกฉันว่าฉันแค่เพลียเล็กน้อย พักสักสัปดาห์ก็จะหาย...

                    “ใจ... นี่เธอฟังอยู่หรือเปล่า” แอลลี่ว่า

                    “เอ้อ... ฟังอยู่สิ”

                    “อะไรกันดูเธอเหม่อๆ นะ หรือว่ากำลังคิดถึงใครอยู่”

                    “ถ้ามีก็ดีสิ... คนที่จะให้คิดถึงนะ”

                    “จะจริงเร้อ...” แอลลี่ยิ้มอย่างมีเลศนัย

                    “อีตาชลนี่ก็ไม่ไหวเลยนะ เพื่อนคนอื่นๆ อุตส่าห์รวมตัวกันมาเยี่ยม แต่เขากลับบอกว่าติดธุระต้องค้นคว้างานวิจัยที่หอสมุดกลาง ถึง ใจ จะไม่เป็นไรอะไรมากก็เถอะ” จีเวลว่า

                    พอจีเวลพูดเสร็จ แอลลี่ก็มองฉันแล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ใบหน้าที่ดูขี้เล่นอยู่แล้วนั้นดูกวนยิ่งขึ้น

                    “ช่างเขาเถอะ”

                    ฉันพูดอย่างไม่สนใจ เขาจะไปทำอะไรที่ไหนก็ช่าง เพียงแต่ถ้าเขากล้าโกหกฉันกับเพื่อนๆ ว่าฉันจะหายดีในอีกหนึ่งสัปดาห์ละก็ แสดงว่าเขาต้องคิดจะทำอะไรบางอย่างอยู่แน่ๆ

                    ยิ่งเป็นคนอย่างชลด้วยแล้ว ต่อให้เอามีดจี้คอเขาก็ไม่มีวันเลิกกลางคันเด็ดขาด

                    ฉันไม่ได้คาดหวังความช่วยเหลืออะไรจากเขา...

                    แต่ตอนนี้ฉันหวังเพียงว่า เขาจะไม่ทำให้ชีวิตฉันต้องแย่ลงไปกว่านี้ เท่านั้นก็พอแล้ว...

    ... ... ...

    โปรดติดตามตอนต่อไป
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×