[SF] คนในฝัน [Jesse x Taiga]
ความรักที่มีอยู่ในเพียงแค่ความฝัน ถ้าคนที่เรารักมีตัวตนเพียงแค่ในความฝัน ไม่สามารถสัมผัสได้ในโลกแห่งความเป็นจริง มันจะเรียกว่าความรักได้มั้ยนะ
ผู้เข้าชมรวม
357
ผู้เข้าชมเดือนนี้
4
ผู้เข้าชมรวม
คนในฝัน
Lewis Jesse x Kyomoto Taiga
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
คนในฝัน
Lewis Jesse x Kyomoto Taiga
คุณเชื่อเรื่องปาฏิหาริย์มั้ยครับ?
คุณเชื่อหรือไม่ว่าคนสองคนที่ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อนไม่เคยรู้จักกันมาก่อนจะสื่อถึงกันได้แม้กระทั่งในความฝัน?
หากความรักของคุณมีอยู่เพียงแค่ในความฝัน สัมผัส กอด จูบ กันได้แค่เพียงในฝันล่ะ?
แล้วถ้าคนที่คุณกำลัง กอด จูบ ลูบไล้สัมผัสอยู่นั้น คือใครที่ไหนก็ไม่รู้ที่คุณก็ไม่รู้จักล่ะ?
คุณจะเชื่อหรือไม่ว่าคนในฝันนั้นมีตัวตนอยู่จริง ไม่ใช่วิญญาณเร่ร่อนที่เข้ามาอำคุณเล่นเพียงชั่วข้ามคืนแล้วก็จากไป?
“นายรักฉันมั้ย?” เสียงนุ่มลึก อ่อนโยน ฟังแล้วอบอุ่น พร่ำถามคำถามนี้ทุกครั้งที่เจอกัน
“รักสิ ฉันรักนาย ถ้าฉันไม่รักนายก็คงไม่ยอมให้นายใกล้ชิดและสัมผัสตัวฉันได้ถึงขนาดนี้หรอก” เสียงเล็กหวานใสของคนที่อยู่ใต้ร่างคนถามเอ่ยอย่างแผ่วเบาข้างๆหู วงแขนเล็กๆเกี่ยวกระหวัดต้นคอของร่างหนาเอาไว้
“ฉันก็รักนาย” ดวงตาคมจ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาที่เปล่งประกาย ความสุขพวยพุ่งออกมาทางสายตาคู่นั้น เพียงแค่คำพูดไม่กี่คำมันก็สามารถทำให้คนๆนึงมีความสุขจนล้นอกได้ขนาดนี้เชียวหรือ? พูดจบก็ค่อยๆยื่นหน้าลงไปประทับริมฝีปากกับร่างบางที่ยังคงเหนี่ยวรั้งต้นคอแข็งแกร่งของตนไว้
จูบอันเนิ่นนาน อ้อยอิ่ง แต่แฝงไปด้วยอารมณ์อันเร่าร้อน ตัณหาอยากในรสจูบเพิ่มมากขึ้นในทุกช่วงขณะจิต แม้ลมหายใจแทบจะขาดช่วงแต่การจูบก็ยังคงไม่สิ้นสุดไปง่ายๆ มือบางลูบไล้ไปตามแผ่นหลังของร่างหนาที่ยังคงไม่ถอนจูบออกไปเสียที มือใหญ่ของร่างหนาก็ประคองอยู่ตรงสองข้างแก้มของร่างบาง ในขณะที่กล้ามเนื้อบริเวณหน้าอกของทั้งคู่แนบชิดติดกัน เบียดคลึงถ่ายทอดความอบอุ่นให้แก่กันและกัน
เมื่อปริมาณออกซิเจนในร่างกายของทั้งคู่เริ่มน้อยลง จึงได้ฤกษ์ที่ร่างหนาจะถอนจูบออกมาก่อนที่ร่างบางจะหายใจไม่ออกไปมากกว่านี้
ทั้งคู่หอบหายใจด้วยความเหนื่อยแต่แฝงไปด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขที่ส่งมอบให้กันและกัน ดวงตาเรียวสวยของคนที่นอนหลังติดเบาะนุ่มจ้องมองอีกฝ่ายที่ยังคงคร่อมร่างของตนด้วยแววตาพราวระยับ ความในใจ คำพูดทั้งหมด ไม่อาจเอื้อนเอ่ยด้วยวาจา แต่สื่อสารกันทางแววตาและภาษากาย
พระอาทิตย์เริ่มฉายแสงในยามเช้า แต่ใครบางคนยังซุกตัวอยู่ใต้ผ้านวมผืนหนาไม่มีทีท่าว่าจะลืมตาตื่นขึ้นมาง่ายๆ แถมยิ่งแสงแดดแห่งวันใหม่ยิ่งแรงขึ้นเท่าไหร่ร่างนั้นก็ยิ่งมุดเข้าไปซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้านวมมากขึ้นเท่านั้น
“ปังๆๆๆๆ” เสียงที่ดังเหมือนอะไรจะถล่มลงมาทับหัวซะให้ได้แบบนี้ มันช่างขัดจังหวะการนอนซะจริงๆให้ตายเหอะ
“อือ อื้ออออออ” คนบนเตียงบิดขี้เกียจในขณะที่พยายามลืมตาและปรับสายตาให้เข้ากับแสงในยามเช้า
“เจสสสสสส ตื่นได้แล้ว สายแล้วนะวันนี้มีสอบไม่ใช่เหรอ?” เสียงเข้มของคุณแม่เรียกชื่อลูกชายแบบลากยาวแถมด้วยการกระหน่ำเคาะประตูไม่หยุดเพื่อปลุกให้ลูกชายจอมขี้เซาตื่นขึ้น
“ตื่นแล้วครับแม่” เจสซี่ผงกหัวขึ้นมาบอกด้วยอาการงัวเงีย น้ำเสียงฟังแล้วไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ที่โดนปลุกแบบไม่เต็มใจแบบนี้
เสียงปลุกและเสียงเคาะประตูจากคนเป็นแม่เงียบไปแล้วนั่นย่อมแสดงว่าแม่รับรู้การตอบสนองของลูกชายแล้วจึงผละออกจากหน้าประตูไป
“กำลังฝันดีเลยแม่จะรีบปลุกไปไหนเนี่ย” ลุกขึ้นมานั่ง ขยี้หัวตัวเอง แถมบ่นใส่บุพการีที่มาขัดจังหวะความสุขในความฝันอีก
“เราฝันแบบนี้มากี่ครั้งแล้วเนี่ย” เจสซี่ยังคงนั่งอยู่บนที่นอนอย่างนั้นแล้วคิดถึงเรื่องความฝันของตัวเอง ยกมือขึ้นนับนิ้วดูว่าที่ผ่านมาเค้าฝันแบบนี้มากี่ครั้งกันแล้ว แต่ดูท่าทางนิ้วมือคงไม่พอคงต้องใช้นิ้วเท้าช่วยแล้วล่ะ
“นายเป็นใครมาจากไหนกันนะ? แล้วนายมีตัวตนอยู่จริงๆรึป่าว? ทำไมฉันถึงได้รู้สึกผูกพันกับนายอย่างประหลาด เฮ้อออออ..........” คิดไม่ตก สงสัยแต่ก็หาคำตอบให้กับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ จึงได้แต่ถอนหายใจยาวๆ รับวันใหม่ แล้วก็รีบลุกออกจากที่นอน เข้าห้องน้ำอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า วันนี้เป็นวันสอบกลางภาควันแรก ถ้าไปถึงห้องสอบสายนี่คงซวยตลอดการสอบแน่ๆเลย
ใช้เวลาไม่นานนัก เจสซี่ก็เตรียมตัวเสร็จ พร้อมที่จะออกไปสู้รบฟาดฟันกับข้อสอบอันหนักหนาสาหัสที่ไม่รู้ว่าไอที่อ่านๆไปน่ะอาจารย์จะเอามาออกข้อสอบรึป่าว?
“โชคดีนะลูก” แม่ของเจสซี่ออกมายืนส่งลูกชายที่หน้าบ้านพร้อมกับคำอวยพรแถมด้วยการหอมแก้มลูกชายสุดที่รักฟอดใหญ่เพื่อเป็นกำลังใจ
“ขอบคุณครับแม่ ผมไปก่อนนะครับ” เจสซี่บอกลาแม่แล้วก็เดินออกจากหน้าบ้านตรงไปยังสถานีรถไฟใกล้บ้านเพื่อจะเดินทางไปยังมหาวิทยาลัย
ในระหว่างที่แออัดเบียดเสียดกับผู้คนที่อัดแน่นอยู่บนรถไฟเยี่ยงปลากระป๋อง เจสซี่ก็ยืนพิงผนังส่วนที่ติดกับประตู แทบจะเรียกได้ว่ากำลังจะหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันกะรถไฟอยู่แล้ว คนจะเยอะแยะอะไรขนาดนี้นะ อึดอัดชะมัด แต่ก็ต้องทนเพราะนี่เป็นทางเดียวที่จะไปถึงมหาวิทยาลัยเร็วที่สุด ยังงัยซะมันก็ดีกว่าต้องเดินล่ะน่า
เจสซี่มองเห็นเงาตัวเองผ่านกระจกใสในขณะที่รถไฟแล่นผ่านตึกสูงใหญ่กลางเมือง เค้ายกมือขึ้นจรดริมฝีปากตัวเอง สายตาเหม่อมองออกไปยังโลกภายนอกเจ้ากล่องเหล็กที่แล่นอยู่นี่
“มันเหมือนจริงมาก สัมผัสทุกอย่างมันเหมือนความจริงมากกว่าความฝัน” เจสซี่คิดถึงความฝันของเค้าที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายเดือน
เหตุการณ์เดิมๆ คำพูดเดิมๆ ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านถึงกันและกันในยามที่เจอคนในฝันมันช่างเหมือนกับว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ เพราะความรู้สึกทั้งหมดยังส่งผลอยู่แม้ในยามตื่น
ความโหยหาในตัวใครบางคนที่เจสซี่ไม่เคยรู้จัก นับวันยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น แต่จะไปตามหาคนในฝันได้ที่ไหนกันล่ะ คนๆนั้นมีตัวตนอยู่รึป่าวเจสซี่ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ
ถ้าความโหยหาที่มีอยู่มันมากมายล้นอกขนาดนี้ วันนี้เจสซี่จะทำข้อสอบได้มั้ยเนี่ย คิดแล้วก็ได้แต่เกาหัวตัวเอง สะบัดหน้าแรงๆ ไล่ความคิดที่มันฟุ้งซ่านออกไปจากหัว
รถไฟจอดเทียบตรงสถานีที่อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยนัก เจสซี่ออกจากโบกี้แล้วบิดตัวสองสามทีเพื่อคลายความเมื่อย อยู่ในรถไฟที่แออัดขยับไปไหนก็ไม่ได้เมื่อยจะแย่ เสร็จแล้วก็เดินต่อไปยังจุดหมายคือสนามสอบกลางภาคที่อยู่เบื้องหน้านั่นเอง
ถ้าจู่ๆเค้าเกิดวาดรูปหน้าคนในฝันลงไปในข้อสอบแทนการวาดแปลนตามคำสั่งของโจทย์ล่ะจะทำยังงัยดีนะ? คงต้องโทษว่าเป็นความผิดของคนในฝันที่ทำให้เค้าถึงกับเพ้อหาได้ถึงขนาดนี้สินะ
“เป็นอะไรไป นั่งทำหน้าซังกะตาย ข้อสอบมันง่ายไปจนรู้สึกเบื่อรึงัย” เสียงเอ่ยแซวพร้อมการตบบ่าเบาๆเรียกให้คนที่นั่งเหม่อลอยอยู่ที่ม้าหินอ่อนบริเวณลานพักผ่อนของมหาวิทยาลัยต้องตื่นจากภวังค์หันไปหาต้นเสียงทันที
“ไม่ใช่เลยซักนิด ฉันรู้สึกว่าทำข้อสอบไม่ได้เลยต่างหากล่ะ” คนโดนแซวตอบกลับแบบเซ็งๆ สายตาไร้วี่แววของความสดใส
“เฮ้ย!! เป็นไปได้ยังงัย คนอย่างเคียวโมโตะ ไทกะ ว่าที่เกียรตินิยมของคณะเนี่ยนะบอกว่าทำข้อสอบไม่ได้ พูดเป็นเล่น ถ้าคนอย่างนายทำไม่ได้นะทั้งคณะคงจะมีแต่คนได้คะแนนติดลบแล้วล่ะ” อีกคนพูดออกมาแบบไม่เชื่อว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้จากปากของเพื่อนตัวเองที่ได้ชื่อว่าเรียนเก่งที่สุดในคณะ
“จริงๆนะ ฉันไม่ได้พูดเล่น” ไทกะยืนยันอีกครั้งด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง
“นายเป็นอะไรไป ไม่สบายรึป่าวไทกะ” อีกคนถามด้วยความเป็นห่วงพร้อมยื่นมือออกไปอังหน้าผากบาๆเพื่อวัดไข้ “ตัวก็ไม่ร้อน สงสัยอาจจะเป็นเพราะนายเครียดและจริงจังกับการเรียนมากเกินไปเลยรู้สึกกังวลล่ะมั้ง”
“คงจะใช่แหละ” ไทกะบอกปัดแบบขอไปที แล้วสายตาก็เหม่อมองไปข้างหน้า ไม่ได้สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆตัวอีก
“มันจะมีจริงๆเหรอ ความรักที่มีอยู่ในเพียงแค่ความฝันน่ะ ถ้าเป็นคนที่เราไม่สามารถสัมผัสได้ในโลกแห่งความเป็นจริงนี้ มันจะเรียกว่าความรักได้มั้ยนะ?” ไทกะยังคงความสงสัยนี้มาโดยตลอดตั้งแต่มีใครบางคนบุกรุกเข้ามาขโมยหัวใจของเค้าถึงในฝัน
ยามที่เจอกัน แม้เป็นเพียงในความฝัน แต่กลับรู้สึกผูกพัน อบอุ่นใจ อยากจะใกล้ชิดมากกว่าเดิมเข้าไปอีก ประสาทสัมผัสทั้งรูป ยามได้มองเห็นใบหน้าเค้าใกล้ๆ รส จูบที่แสนอ่อนหวาน อ้อยอิ่ง เนิ่นนานแต่แฝงไปด้วยความรู้สึกจากก้นบึ้งของจิตใจที่ถูกถ่ายทอดออกมา กลิ่น กลิ่นกายของอีกฝ่ายที่แม้จะเคล้าเหงื่อไปบ้างแต่มันก็ชวนหลงใหล เสียง คำรักที่เค้าพร่ำบอก เสียงอันอ่อนโยน นุ่มลึก ที่ฟังแล้วต้องลุ่มหลง สัมผัส จากการกอดแอบอิงแนบชิด แต่ยังคงรู้สึกว่าสัมผัสนั้นมันยังคงดำเนินอยู่ไม่จบไม่สิ้น
ถ้าไม่ได้พบกันในโลกของความเป็นจริงแล้วล่ะก็ ไทกะแทบไม่อยากจะตื่นขึ้นมาเลย เพราะในความฝันนั้นมันช่างมีความสุข มีคนที่เค้ารักและคนๆนั้นก็รักเค้า มันเป็นสถานที่ปิดตายที่มีเพียงแค่พวกเค้าสองคนเท่านั้นที่เข้าไปได้ ไม่มีผู้สังเกตการณ์ ไม่มีคนสอดรู้สอดเห็น และไม่มีใครรู้ว่าพวกเค้าคบกันในความฝัน
ไทกะลุกขึ้นจากที่นั่ง เก็บหนังสือที่วางเรียงอยู่ตรงหน้าใส่กระเป๋า เพราะตอนนี้เค้าคงไม่มีสมาธิพอที่อ่านและจำมันแล้วล่ะ
“นายจะไปไหนน่ะ?” เพื่อนอีกคนที่ยังคงนั่งอยู่ด้วยกันเอ่ยถาม เพราะจู่ๆร่างบางนี่ก็ลุกพรวดพราดเล่นเอาตกใจหมดเลย
“กลับบ้าน วันนี้ฉันไม่มีสอบแล้ว” ตอบห้วนๆ แล้วก็เดินดุ่มๆออกจากตรงนั้นทันที ปล่อยให้เพื่อนที่อุตส่าห์นั่งเฝ้าด้วยความเป็นห่วงนั่งอึ้งกระพริบตาปริบๆพูดอะไรไม่ออกซักคำ
“อะไรของมันว๊า ทำให้เป็นห่วงทีนึงละ แถมนึกจะไปก็ไปอีก” คนที่ยังงงๆกะชีวิตก็ได้แต่นั่งเกาหัวแกรกๆไม่เข้าใจเพื่อนอยู่ตรงนั้นนั่นแหละ
รถไฟสองขบวนที่แล่นมาจากต้นทางคนละฝั่งเมือง หยุดจอดตรงสถานีหนึ่งพร้อมกันพอดี สองคนที่เดินออกมาจากรถไฟคนละขบวน จากชานชาลาที่อยู่ตรงกันข้ามกัน
คนหนึ่งเดินออกจากสถานีไปแล้ว ส่วนอีกคนต้องขึ้นบันไดแล้วเดินข้ามมาอีกฝั่งถึงจะออกจากสถานีไปได้
ต่างคนต่างที่มาแต่ที่ไปคือที่เดียวกัน คือศาลเจ้ามิเรียวคุ ศาลเจ้าที่เป็นต้นกำเนิดของความฝันและเรื่องราวทั้งหมด
3 เดือนก่อน......
หนุ่มร่างบาง ผิวขาว นัยน์ตาเรียวสวย ปากแดงอมชมพู ใบหน้าหวานมองดูคล้ายผู้หญิง เดินเข้าไปยังศาลเจ้า ที่เค้ามาที่นี่ก็เพื่อขอพรให้ชีวิตของการเรียนในปีสุดท้ายของเค้าผ่านไปอย่างราบรื่นอย่างที่เคยผ่านมาแล้วสามปี
ไหว้พระสวดมนต์ขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อความสบายใจตามธรรมเนียมเสร็จแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับการมาที่นี่นั่นคือ การเสี่ยงเซียมซี เพราะที่นี่ขึ้นชื่อว่าคำทำนายในเซียมซีแม่นมาก
“แซ่กๆๆๆๆ” เสียงเขย่ากระบอกเซียมซีดังอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งหยุดลงเมื่อไม้ไผ่แท่งหนึ่งตกลงมานอนอยู่บนพื้นตรงหน้าชายหนุ่ม
มือบางวางกระบอกเซียมซีไว้ข้างตัวแล้วก็หยิบแท่งไม้ไผ่ที่บอกหมายเลขที่ตนได้ขึ้นมาดู
“เลข 12” พูดเบาๆกับตัวเองเพื่อให้จำเลขนั้นได้ก่อนจะเสียบแท่งไม้กลับเข้ากระบอก เอาไปวางรวมกับพรรคพวกของมันที่เดิม แล้วก็เดินไปที่ตู้เก็บคำทำนาย
ตู้ที่เก็บคำทำนายมีอยู่ทั้งสองฝั่งซ้ายและขวาแล้วแต่ใครจะเดินไปหยิบจากฝั่งไหนก็ได้ตามถนัด
นิ้วเรียวๆไล่ชี้ไปตามตู้ตั้งแต่เลข1จนกระทั่งถึง12 และก็เปิดตู้ออกหยิบกระดาษใบเล็กๆในนั้นออกมาแผ่นหนึ่ง แล้วก็เดินก้มหน้าก้มตาอ่านแบบไม่สนใจใคร จิตใจจดจ่ออยู่กับคำทำนายบนกระดาษใบนั้น
ร่างบางเดินออกทางประตูนึงในขณะที่อีกคนนึงกำลังเดินเข้ามายังศาลเจ้าแห่งนี้จากอีกประตูนึง ทั้งคู่เดินสวนทางกันแต่ก็หาได้รับรู้การมีตัวตนของอีกคนนึงไม่ เพราะระยะห่างระหว่างสองประตูที่กั้นกลางด้วยผนังสีขาวหม่นทำให้ทั้งคู่มองไม่เห็นกัน หรืออีกนัยนึงคือแต่ละคนไม่ได้สนใจใครอยู่แล้ว เนื่องด้วยไม่รู้จักกันมาก่อน การจะปล่อยให้คนแปลกหน้าเดินสวนทางไปโดยไม่ทักทายอะไรนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
คนที่เพิ่งเดินเข้าไปหยุดลงนั่งคุกเข่าขอพรตามธรรมเนียมเช่นกัน เมื่อเสร็จ สายตาก็พลันหันไปเห็นกระบอกเซียมซีตั้งอยู่พอดี แม้ในใจจะไม่ค่อยเชื่อเรื่องโชคชะตาหรือการทำนายทายทักซักเท่าไหร่ แต่ว่า เอาก็เอา ลองเสี่ยงดูซักหน่อยก็คงไม่เสียหายอะไร เพราะถึงยังงัยซะชีวิตของใครคนๆนั้นต้องเป็นผู้กำหนดชะตาเองอยู่แล้ว
ความบังเอิญชักนำ พรหมลิขิตชักพา หรือฟ้าบันดาล เรื่องแบบนี้ถึงจะมองไม่เห็นแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีจริง หนุ่มร่างสูงที่ไม่เชื่อเรื่องโชคชะตาและการทำนาย แต่เสี่ยงเซียมซีได้เลขเดียวกับหนุ่มร่างบางที่เพิ่งจะเดินออกไปเป๊ะ อย่างกับว่าได้มีการจัดฉากเอาไว้แล้วยังงัยยังงั้น แต่ชายหนุ่มก็ไม่รู้หรอกว่าคนก่อนหน้าเสี่ยงได้เลขอะไร
เป็นเพียงแค่นิสัยขี้สงสัยส่วนตน ด้วยความที่เรียนวิทยาสาสตร์มาคุณครูที่สอนบอกว่าการทดลองจะต้องทำซ้ำกันสามครั้งจึงจะสรุปได้ หนุ่มร่างสูงจึงเชื่อฟังคำสอนของคุณครู เขย่าเซียมซีถึงสมครั้งแต่ยังงัยก็ยังได้เลขเดิมอยู่ดี คำว่าสงสัยใคร่รู้แปะอยู่บนหน้าผาก ชายหนุ่มจึงเทแท่งไม้เสี่ยงทายออกจากกระบอกทั้งหมดเพื่อดูว่ามันไม่ได้แปะเลขเดียวกันเอาไว้ทั้งกระบอก
เมื่อความสงสัยได้รับการพิสูจน์แล้วว่ากระบอกเซียมซีนี่ไม่ได้มีการวางทริคใดๆเอาไว้ตัวเลขบนแท่งไม้แต่ละอันก็คนละเลขกัน เพราะฉะนั้นการพิสูจน์เสร็จสิ้น ร่างสูงจึงเดินไปยังตู้เก็บคำนายแล้วก็หยิบกระดาษในนั้นออกมา ก่อนจะเดินออกจากประตูศาลเจ้า และมุ่งสู่ซุ้มประตูทางเข้า-ออกซึ่งเป็นปราการอีกชั้นหนึ่งของศาลเจ้าแห่งนี้ ออกไปสู่โลกของความเป็นจริงที่แสนจะวุ่นวาย
....เซียมซีใบที่ 12
ชีวิตดิ้นรน สับสนวุ่นวาย
ปีนป่าย ไต่เต้า สิ่งที่เฝ้าจึงได้มา
ผู้คนรายล้อม ในใจเปลี่ยวเหงา
ความรักรันทด ไขว่คว้าเพียงเงา
เดินทางพานพบ ประสบเพียงฝัน
รักนี้นิรันดร์ มั่นคงยืนนาน.............
“เหอะ! บ้ารึป่าว ความรักที่ไขว่คว้าได้แค่เงาเนี่ยนะ มั่นคงยืนนาน” ร่างสูงเดินออกมาจากศาลเจ้าแล้วก็อ่านคำทำนายไปด้วย สบถออกมาอย่างไม่พอใจเมื่ออ่านจบ
“ไร้สาระสิ้นดี” แล้วก็ขยำคำทำนายนั้น แต่ทว่าหากจะปาลงพื้นคนดีศรีสังคมอย่างเค้าคงไม่ทำ แต่มันก็ไม่มีถังขยะให้ทิ้งเจ้ากระดาษที่อยู่ในมือลงไปได้ จึงจำใจยัดเยียดมันลงกระเป๋าสะพายที่อัดแน่นไปด้วยตำราเรียนที่เพิ่งจะถอยมาหมาดๆเพื่อเตรียมตัวต้อนรับการเปิดเทอมในปีสุดท้ายในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้านั่นแหละ
“เฮ้อ...........คำทำนายไม่ดีเลยแฮะ ต่อไปคงต้องพยายามมากกว่านี้แล้วล่ะ สู้ๆ เคียวโมโตะ ไทกะ นายต้องทำได้” แต่ทว่าคำทำนายนี้มันกลับสร้างกำลังใจให้กับใครอีกคนที่มองข้ามประเด็นเรื่องความรักไป เป็นเซียมซีใบเดียวกันที่คนสองคนมองต่างมุมกันสินะ
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา คำทำนายสามบรรทัดสุดท้ายก็เริ่มต้นขึ้น เจสซี่และไทกะ คนสองคนที่ไม่เคยรู้จักกัน ไม่เคยเห็นหน้ากัน เรียนคนละที่ใช้ชีวิตคนละแบบ เพียงแค่เดินสวนทางกันคนละประตูที่ศาลเจ้า เสี่ยงเซียมซีได้หมายเลขเดียวกัน แต่พวกเค้ากลับพบเจอ หลงรักกันและกัน มีความสัมพันธ์กันในความฝัน
มันช่างเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่เมื่อเอาไปเล่าให้มนุษย์หน้าไหนก็ตามฟัง เค้าคงจะว่าสองคนนี้บ้าไปแล้วแน่ๆ แต่ความฝันของทั้งคู่นั้นชัดเจน แจ่มแจ้ง ไม่รางเลือน และความรู้สึกติดแน่นทนนานยิ่งกว่ากาวตราช้างซะอีก จนบางครั้งแยกไม่ออกด้วยซ้ำว่านี่เรื่องจริงหรือฝันไปกันแน่
กลับสู่ปัจจุบัน.............
สองคนที่เดินออกจากสถานีเดียวกันจากรถไฟคนละขบวนนั้นก็มุ่งหน้าไปยังศาลเจ้ามิเรียวคุทันที
พวกเค้ามาที่นี่กันเพื่ออะไร? มาแล้วจะได้คำตอบอะไรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์งั้นเหรอ?
ไทกะที่เข้ามาถึงก่อนไม่รอช้าคุกเข่าลงหยิบกระบอกเซียมซีขึ้นมา ในใจอธิษฐานจิตถามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในความคิด แล้วก็เขย่ากระบอกเซียมซีไปเรื่อยๆรอให้แท่งไม้แห่งโชคชะตาตกลงมาเท่านั้น
ส่วนอีกคน เจสซี่ ชายหนุ่มร่างสูงที่เดินเข้ามาทีหลัง ไม่ได้สนใจหรอกว่าจะมีใครนั่งอยู่ก่อนแล้วบ้าง เค้าเข้าไปนั่งคุกเข่าใกล้ๆกับไทกะ มือใหญ่เอื้อมไปหยิบกระบอกเซียมซีแบบไม่รอช้า เขย่าไปเรื่อยๆโดยไม่สนใจคนข้างๆ แต่อีกคนนึงก็ไม่ได้สนใจเจสซี่เช่นกัน
ไทกะหยิบแท่งไม้ที่ตกขึ้นมาดูแล้วก็จำเลขไว้ เก็บกระบอกเซียมซีไว้ที่เดิมแล้วก็ลุกไปหยิบกระดาษคำทำนายในตู้ แต่พอเปิดตู้ฝั่งที่เค้าเดินไปนั้นปรากฏว่าคำทำนายหมด ไทกะจึงต้องเดินกลับมาอีกฝั่งหนึ่ง ในขณะเดียวกันเจสซี่เองก็ลุกขึ้นไปหยิบคำทำนายเช่นกัน
สองมือสัมผัสกันตรงหน้าตู้เพราะทั้งคู่ยื่นมือมาจะเปิดตู้คำทำนายตู้เดียวกัน เหมือนกระแสไฟแล่นแปลบปลาบเข้าสู่กล้ามเนื้อหัวใจ ทั้งคู่หันมามองหน้ากัน และวินาทีนั้นราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน แต่หัวใจของพวกเค้ายังคงไม่หยุดเต้นหนำซ้ำยังเต้นแรงกว่าเดิมซะอีก
สายตาจับจ้องอยู่ที่คนตรงหน้าอย่างไม่วางตา แต่คำพูดที่อยากจะเอ่ยออกมากลับถูกกลืนหายไปกับกระแสลมและหัวใจที่เต้นแรงขึ้นทุกวินาที
ความเงียบเข้าปกคลุมมีเพียงลมหายใจถี่ๆของทั้งคู่เท่านั้นที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบภายในศาลเจ้าแห่งนี้
“ในที่สุดก็ได้เจอกันซะที....” สองคนที่เงียบไปพูดขึ้นพร้อมกัน แต่ละคนทำหน้างงกับคำพูดของอีกฝ่ายที่บังเอิญเหมือนกับตัวเอง
“......คนในความฝัน” แล้วก็พูดต่ออีก ทั้งคู่พูดเหมือนกันอีก จนไม่คิดแล้วว่ามันคือความบังเอิญ
รอยยิ้มกว้างผุดขึ้นบนใบหน้าของทั้งคู่ หน้าที่แดงระเรื่อขึ้นด้วยความเขินอายจนต้องแสร้งหันหลบกันไปคนละทาง ต่างฝ่ายต่างคิดกันไปเองว่า ถ้าลองพูดออกมาเหมือนกันขนาดนี้แล้วล่ะก็ เหตุการณ์อื่นๆที่เกิดขึ้นในฝันนั้นก็คงไม่ต่างกันสินะ คิดแล้วมันน่าอายชะมัดเลย
“นายชื่ออะไรเหรอ” ร่างบางเป็นฝ่ายหันมาถามแก้เขินขึ้นก่อน
“หลุยส์ เจสซี่” พูดอ้อมแอ้มตอบอยู่ในคอเบาๆ แต่ก็สามารถเรียกรอยยิ้มของอีกฝ่ายได้ดีทีเดียว จนคนถูกถามอดใจไม่ไหวต้องหันกลับมามองราวกับต้องมนต์สะกด “แล้วนายล่ะ” เจสซี่ถามกลับ
“เคียวโมโตะ ไทกะ” ตอบพร้อมกับส่งรอยยิ้มหวานบาดใจไปให้อีก
“ฉันขอเรียกนายว่าไทกะนะ”
“ได้สิ งั้นฉันจะเรียกนายว่าเจสซี่นะ” เจสซี่ไม่มีคำตอบใดๆออกจากปากแต่เค้าตอบรับด้วยการยิ้มจนตาหยีแล้วพยักหน้าให้แทนคำตอบ
การแนะนำตัวเพื่อที่จะให้คนสองคนได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น ถ้าเป็นปกติทั่วไปมันต้องมาก่อนสิ่งอื่นใดทั้งหมด เพื่อที่ความสัมพันธ์จะได้เดินหน้าไปได้ แต่ไม่ใช่กับคู่นี้ที่การแนะนำตัวมาเป็นลำดับสุดท้าย
ทั้งคู่พบกัน รักกัน โดยที่ไม่รู้จักชื่อของอีกฝ่าย และก็คงความสัมพันธ์แบบคนรักแค่เพียงในความฝัน แต่ก็มั่นคงยาวนานจนมาถึงวันนี้
เจสซี่ลดมือลงจากหน้าตู้เก็บคำทำนาย ทำให้ไทกะละความสนใจจากใบหน้าอันคมเข้มของเจสซี่หันไปมองที่ตู้ทันที
“นายไม่อยากรู้เหรอว่าคำทำนายมันเป็นแบบไหนน่ะ” ไทกะถาม
“ไม่แล้วล่ะ” เจสซี่ตอบ ไทกะขมวดคิ้วมองอย่างสงสัย “ก็เพราะฉันรู้แล้วว่าคำทำนายคืออะไร เพราะฉะนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องเปิดตู้นี่อีกแล้ว” เจสซี่ตอบ
“นายรู้ว่ามันคืออะไรงั้นเหรอ” ไทกะยังคงถามต่อ
“รู้สิ เพราะคำทำนายนั้นก็คือตัวนายนั่นแหละที่มายืนอยู่ตรงหน้าฉัน” พูดพลางก็ยกนิ้วขึ้นแตะปลายจมูกอีกฝ่ายเบาๆ
“ฉันได้เจอคนในฝันของฉันแล้ว คำทำนายใดๆก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป นายคือคำตอบของทุกๆอย่างที่ฉันเฝ้าหาคำตอบมานานนะ ไทกะ” เจสซี่จ้องมองไทกะด้วยดวงตาเปล่งประกาย คำพูดที่กลั่นออกมาจากใจ เพียงแค่ได้พบหน้าคนๆนี้คำถามที่ไร้ซึ่งคำตอบมานานได้ถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ไม่มีคำตอบใดดีไปกว่าคำว่า ‘ไทกะคือคนในฝันของฉัน’ อีกแล้ว
จูบที่แผ่วเบาจากร่างสูงประทับลงบนหน้าผากเนียนๆของไทกะ ท่ามกลางสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สิงสถิตอยู่ ณ ศาลเจ้าแห่งนี้ เป็นพยาน
“นายก็เหมือนกันนะเจสซี่ นายคือคนในฝันของฉัน และจะเป็นคนที่อยู่ในความเป็นจริงของฉันต่อจากนี้ไปด้วย” ไทกะบอกกับเจสซี่เมื่อฝ่ายนั้นถอนจูบออจากหน้าผากตนแล้ว
“ฉันรักนาย” เจสซี่ก้มลงไปกระซิบข้างหูไทกะ
“ฉันก็รักนาย” ไทกะตอบกลับคำสารภาพรักจากเจสซี่
“เป็นแฟนฉันนะ” ถึงจะบอกรักไปแล้วแต่เจสซี่ก็ยังเขินกับประโยคขอเป็นแฟนเมื่อครู่นี้อยู่ดี
“มาถึงขั้นนี้แล้วไม่ต้องขอเป็นแฟนแล้วล่ะ เพราะในฝันนั่นเราก้าวหน้าจากประโยคนี้ไปมากแล้วนะ” ไทกะบอกไปหน้าก็แดงเห่อขึ้นเรื่อยๆ อุณหภูมิบนหน้าเริ่มจะสูงขึ้นตามความรู้สึกที่เจ้าตัวสัมผัสได้
“ก็แค่ขอพอเป็นพิธีแหละน่า แต่ว่าในความเป็นจริงเรายังไม่เคยแม้กระทั่งกอดเลยนะ” พูดพลางเจสซี่ก็ขยับตัวเข้าไปใกล้แล้วคว้าตัวไทกะมากอดเอาไว้แนบอก
“ทำอะไรน่ะเจสซี่ เกรงใจเจ้าที่เจ้าทางบ้างเถอะ” ไทกะพูดอู้อี้ในขณะที่ใบหน้ายังคงฝังอยู่กับอกแกร่งของอีกฝ่าย
“งั้นเราก็ออกไปจากที่นี่กันเถอะ จะได้ไม่ต้องเกรงใจเจ้าที่เจ้าทางท่าน” เจสซี่พูดยิ้มๆแล้วหัวเราะออกมานิดๆ เมื่อเห็นไทกะเขินจนหน้าแดงลามไปถึงใบหูแล้ว
สายลมพัดหมุนวนพลอยทำให้สิ่งต่างๆที่บางเบาปลิวว่อนไปทั่วศาลเจ้า ไม่รู้ว่าเป็นการขับไล่ให้ไปพรอดรักกันไกลๆหรือว่าเป็นการแสดงความยินดีจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันแน่
ทั้งสองคนจูงมือเดินออกจากศาลเจ้าพร้อมกัน หันมองหน้าแล้วก็ส่งยิ้มให้กันละกัน
สิ่งที่เกิดขึ้น บุคคลที่อยู่ในความฝัน ได้หลุดออกมาจากฝันสู่โลกแห่งความเป็นจริง ราวกับปาฏิหาริย์
แล้วคุณล่ะ ได้พบเจอคนในฝันของคุณหรือยัง?..............
...........................END………………..
แถมๆๆๆ คำทำนายจากเซียมซีที่ทั้งคู่เสี่ยงได้
..........เซียมซีใบที่ 8
หน้าที่ต้องชะงักเพราะความฝัน
อยากรู้พลันดั้นด้นมาค้นหา
คนที่พบเจอเพียงเสี้ยวเวลา
จะนำพาความสุขชั่วนิรันดร์
บุคคลปริศนาพาใจเจ้าว้าวุ่น
เพียงเดินหมุนกลับหลังก็พบเห็น
คนที่ใจปรารถนาทุกเช้าเย็น
ได้ข้ามเส้นข้ามฝันสู่ความจริง............................
.................................จบ(จริงๆ)............................
ผลงานอื่นๆ ของ little_porcupine ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ little_porcupine
ความคิดเห็น