ปรัชญา สถ. ตอน แบบฉบับของเมริษฐ์ - ปรัชญา สถ. ตอน แบบฉบับของเมริษฐ์ นิยาย ปรัชญา สถ. ตอน แบบฉบับของเมริษฐ์ : Dek-D.com - Writer

    ปรัชญา สถ. ตอน แบบฉบับของเมริษฐ์

    เรื่องสั้นรำลึกอดีตวัยเรียนของเด็กถาปัด หน้าพระลาน

    ผู้เข้าชมรวม

    311

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    311

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  นิยายวาย
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  19 เม.ย. 49 / 04:54 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

                  “คนสวยต้องไม่เข้าส้วม ไม่ขี้ ไม่เยี่ยว ไม่กินข้าวให้ใครเห็น เวลาเดินต้องสโลว์ ห้ามวิ่งเด็ดขาด 

      เมริษฐ์เปิดประเด็นด้วยบัญญัติแห่งการเป็นคนสวย

                  ห่..คนอะไรของมึงวะ ไม่ขี้ไม่เยี่ยว ไม่กินข้าว เดนสงสัย

                  แล้วมึงเคยเห็นน้องออน ตอนเข้าส้วม หรือตอนกินข้าวเหรอเมถามกลับ ยกชื่อน้องต่างคณะที่เป็นขวัญใจหนุ่มๆสถาปัตย์อย่างพวกเราเป็นตัวอย่าง

                  กูไม่เคยเห็น แต่ไม่ได้หมายความว่าน้องเขาจะเป็นอย่างที่มึงบอกนี่เดนแย้ง

                  นั่นแหละถ้าไม่มีใครเคยเห็น แสดงว่าน้องออนเป็นคนสวยเมฟันธงสรุปด้วยตรรกะทฤษฎีของตน

                 

      เมริษฐ์มักมีทฤษฎีส่วนตัวที่ทำให้เพื่อนอึ้งๆอยู่เสมอ  ก่อนที่จะพูดกันถึงเรื่องของเขาต่อ   เอาเป็นว่าเรามาทำความรู้จักกับเขาสักหน่อยนึงก่อนดีกว่า

                  คุณลองนึกภาพ ชายหนุ่มผมหยิกหยักศกพองาม เสื้อผ้ายี่ห้อดีมีระดับ ใบหน้าที่ไม่คล้ายไทยแท้ ออกไปทางคมเข้มแบบแขกนิดๆ น้ำเสียงทุ้มนุ่มลึกแบบพระเอกหนังไทยรุ่นสมบัติ เมทนี  อ๊ะ..เดี๋ยวก่อน ตอนนี้คุณคงจินตนาการภาพชายหนุ่มคมสันมาดเท่ประมาณ ตุ้ย ธีรภัทรอยู่ใช่ไหมครับ   หยุดนิดนึง คุณต้องขยายรอบเอวชายหนุ่มคนนั้นออกด้านข้างสัก 3 นิ้ว ขยี้ผมเขาให้กระเซิงเล็กน้อย ขยับเสื้อผ้าราคาแพงที่เขาสวมให้ยับเยินอีกนิด  เติมใบหน้าด้วยรอยขรุขระเป็นหลุมบ่อจากการระเบิดหัวสิวอีกสักน้อย  แล้วหารความหล่อทั้งหมดที่คุณคิดไว้ด้วยเลข 2 อีกที คุณก็จะรู้จักกับเขา ผู้ชายที่ชื่อ เมริษฐ์

       

                  เฮ้ยๆ กูเจอแล้วอีกครั้งที่เมวิ่งมาหน้าตาตื่น ขณะเพื่อนๆกำลังนั่งเสวนากันอยู่หน้าคณะ

                  เจออะไรของมึงพวกเราต่างสงสัย

                  กูเจอเด็กเด็คฯ คนนึงโอโห เสป็คกูเลย เจอแล้วฮอร์นนี่เลยเมพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นถึงสาวคณะมัณฑนศิลป์ที่อยู่ตรงข้ามคณะเราซึ่งมักเรียกคนที่เรียนคณะนี้ว่าเด็กเด็คฯ ย่อมาจากคำว่า Decorate

                  เพื่อนๆฟังจากน้ำเสียงที่ตื่นเต้นของเมแล้วพากันฮือฮา เพราะปกติเมจะเป็นคนช่างติ ช่างเลือก น้องคนนั้นไม่ดี เจ๊คนนี้ไม่เด็ด  ไม่เคยมีใครสมบูรณ์แบบในสายตาเม  แต่คราวนี้มันตื่นเต้นขนาดนี้  แสดงว่าคงต้องเจอสาวสวยคนไหนที่หลุดรอดสายตาเรดาร์ของหนุ่มชีกออย่างพวกเราเป็นแน่

                  ฮอร์นนี่เป็นยังไงวะตุ๋ยงง

                  เมได้แต่อมยิ้มบอก มึงต้องไปดูเอง

      มึงเจอที่ไหนวะ เฮ้ย ไปดูกันโจ๋ ถามแล้วหันมาชวน  ไม่ต้องรอคำตอบ  พวกเราพากันยกขบวนไปดูให้เห็นกับตา ตามประสาหนุ่มผู้รักการพิสูจน์ความจริง  โดยเฉพาะเป็นเรื่องสาวสวยแล้วย่อมไม่มีใครยอมพลาดโอกาส

                  คนไหนวะตุ๋ยสงสัย เมพาทุกคนมาที่ห้องสมุด แต่ยังไม่เห็นสาวคนไหนเป็นที่สะดุดตา

                  คนนั้นไง เลือกหนังสืออยู่ตรงชั้นโน้นเมตอบแบบหลบๆเขินๆ โบ้ยหน้าไปทางชั้นหนังสือด้านหนึ่ง

                  ทุกคนมองตาม ไหนวะ มองไม่เห็นเลยโจ๋สงสัย

                  เดี๋ยวกูเดินไปดูเองเดนชักรำคาญ

                  เดนแกล้งเดินผ่านแล้วหันไปมองในซอกระหว่างชั้นหนังสือตามที่เมบอก ยักคิ้วหลิ่วตาส่งสัญญาณเป็นเชิงถามว่าคนนี้เหรอ  เมพยักเพยิดตอบ  เดนอมยิ้ม เดินวนกลับมาที่โต๊ะ

                  เป็นยังไงวะทุกคนอยากรู้  เดนทำหน้ามีเลศนัยตอบมึงต้องไปดูเอง

                  แล้วคนอื่นๆก็แกล้งเดินผ่านไปที่ชั้นหนังสือจนครบ กลับมานั่งที่โต๊ะอีกที

                  มึงว่าเป็นไงล่ะเดนเปิดประเด็นถามความเห็น  เมมองทุกคนแบบอยากรู้คำตอบ

                  กูว่าก็ใช้ได้นะตุ๋ยอ้อมแอ้มตอบไม่เต็มเสียงแบบคนขี้เกรงใจ

                  กูว่าหน้าแปลกๆดี แต่ไม่ใช่เสป็คกูโค๊กผู้นิยมของแปลกแสดงความเห็น

                  กูว่าเหมือนวัวน่ะโจ๋คนปากตรงกับใจพูดแบบไม่ถนอมน้ำใจ

                  ไม่ใช่แค่วัว กูว่าแม่วัวชัดๆ พันธุ์เนื้อนมไข่น่ะเดนซ้ำอีกที

                  เฮ้ย แบบนี้แหละ กูชอบ เห็นแล้วฮอร์นนี่เมยังคงยืนยัน

                  แล้วตกลงฮอร์นนี่มันคือยังไงล่ะวะตุ๋ยยังคงสงสัยกับศัพท์เม

                  ก็ ฮอร์นแปลว่าเขาไง เขาแหลมๆน่ะ คือพอเห็นเธอแล้วเขามันก็จะงอกแบบนั้นน่ะ  มัน อูยย..บอกไม่ถูกเมอธิบาย

                  เพื่อนๆชักเริ่มเข้าใจ เพราะสาวคนที่พูดถึงกันอยู่บางส่วนในร่างกายเธอค่อนข้างเกินไซส์มาตรฐานอยู่ไม่น้อย ตีความได้ว่าเขาที่เมว่านี่มันคงจะไม่ใช่เขาที่งอกบนหัวแน่นอน  แต่ถึงยังไงก็ไม่มีใครรู้สึกอย่างที่เมรู้สึกสักคน  คงปล่อยให้เมหลงใหลเธอคนนั้นไปคนเดียวแล้วกัน

                  ในตอนหลังที่เมพร่ำเพ้อหนักเข้า  ฉายานี้ก็ไปเข้าหูเธอจนได้ แต่โชคยังดีเธอเข้าใจว่าเมเรียกเธอว่าฮันนี่ คือประมาณว่าที่รักอะไรอย่างนั้น เธอจึงออกจะเขินอายไม่น้อยเมื่อเจอกลุ่มพวกเรา

                  มีครั้งหนึ่ง ตุ๋ยบังเอิญเก็บกระเป๋าสตางค์ที่ฮอร์นนี่เธอทำตกไว้ได้แถวโรงอาหาร  เพื่อนๆได้ทีรวมหัวกันให้เมเป็นคนเอาไปคืน  โดยขู่แกมบังคับ ถ้าไม่เอาไปคืนก็ทิ้งไว้แล้วกัน พวกเราไม่สนใจหรอก  เมจึงต้องเอากระเป๋าใบนั้นไปคืนเจ้าของอย่างเลี่ยงไม่ได้  ผลจากการเป็นคนดีของเมเป็นยังไง  ใครถามเมก็ไม่ยอมตอบปล่อยให้คาดเดากันไปต่างๆนาๆ แต่สรุปสุดท้ายแล้วเมก็เป็นฝ่ายเฝ้ามองฮอร์นนี่ของมันไปคนเดียวโดยไม่ได้รุกคืบหน้าต่อ

       

                  และอีกครั้งหนึ่งที่เมสร้างตำนานไว้ จนทำให้การกินเหล้าหน้าคณะของเพื่อนๆที่เคยตั้งวงกันประจำถึงกับแทบจะล้มเลิก ย้ายวงกันไปกินข้างนอกมหาวิทยาลัยเกือบจะถาวร

      เอ่อ...คือที่พูดถึงการกินเหล้าหน้าคณะในสถานศึกษาอันเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่เยาวชนของชาตินี่ต้องขออธิบายว่า การกินเหล้าของเราไม่ได้อยู่ในชุดเครื่องแบบนักศึกษา(เพราะธรรมดาที่คณะไม่มีใครใส่ชุดนักศึกษายกเว้นตอนสอบ) และเป็นยามวิกาลในเวลาที่แทบจะไม่มีใครอยู่ในมหาลัยแล้วเท่านั้น แล้วอีกอย่างพวกเราก็กินกันเป็นวงเล็กๆแค่5-6 คนเองน่ะครับ(แก้ตัวกันไปแบบน้ำขุ่นๆเลยเชียว) อ่า...มาเข้าเรื่องต่อแล้วกันนะ

      วงเหล้าปกติมักเต็มไปด้วยความเฮฮาสนุกสนาน คุยกันฉันท์มิตรแซวกันนิดหยอกกันหน่อยไม่ถึงกับมีการโกรธเคืองกันเป็นเรื่องราวใหญ่โต แต่ครั้งที่มีเรื่องนี่จริงๆก็เริ่มจากเมเปิดประเด็น

      ใครเคยสังเกตมั่งวะว่า ติ๋วชอบใส่แต่ถุงเท้าสีแดง เมพูดถึงเพื่อนสาวในชั้นปีของเราคนหนึ่งซึ่งเธอออกจะเป็นแนวหน่อมแน้มคิกขุ(ศัพท์โบราณไปไหมเนี่ย)สมกับเป็นเด็กจากรร.สตรีแบบคอนแวนต์

      แล้วมึงทำไมถึงสังเกตว่าติ๋วชอบใส่ถุงเท้าสีแดงตุ๋ยรีบหยอดเมื่อเห็นจังหวะ

      ได้ผล เพื่อนอีก 4-5 คนในวงที่เหลือต่างพากันล้อเลียนเมเป็นที่สนุกสนานประมาณว่าเมท่าทางน่าสงสัย คิดอะไรถึงขนาดไปนั่งสังเกตถุงเท้าติ๋วอยู่ได้

      เม red sock ๆๆๆๆ โจ๋ใส่กระหน่ำล้อไม่ยั้งปาก

      เมฉุนเลือดขึ้นหน้า เหล้าที่อยู่ในปากถ่มถุยใส่หน้าโจ๋ทันที เพื่อนคนอื่นในวงเริ่มชะงัก

      แน่จริงมึงพ่นมาอีกสิ ไอ้เม red sockๆๆๆๆ โจ๋ไม่หยุดปากยังใส่ไม่ยั้ง  สมทบด้วยเดนที่หันมารับลูกอีกคนช่วยกันล้อไม่หยุดปาก

      เมหันรีหันขวางบอกอาการหงุดหงิดเต็มที่ และโดยที่ไม่มีใครคาดคิด เมหยิบขวดโซดามาทุบกับขอบโต๊ะดังเปรี้ยง โซดาในขวดหกกระจายฟองฟู่  ขวดในมือแตกเป็นปากฉลามยกขึ้นชี้หน้าคนล้อด้วยหน้าตาถมึงทึง  คราวนี้ได้ผลทั้งวงแตกกระเจิงโดยเฉพาะโจ๋กับเดนสองสหายที่เผ่นถอยไปตั้งหลักในระยะปลอดภัย เพื่อนคนอื่นก็ถือคติปลอดภัยไว้ก่อนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้รัศมีของเมริษฐ์เลยสักคน  โดยสรุปวงเหล้าในวันนั้นต้องเลิกไปโดยปริยาย

      ครั้งต่อๆมาเวลาใครชวนกินเหล้ากันที่หน้าคณะก็มักจะมีคนยกเหตุการณ์ในวันนั้นมาอ้างอิงให้เปลี่ยนสถานที่ไปที่อื่นดีกว่าไม่อยากให้เกิดอาการของขึ้นกันอีก แต่จริงๆแล้วเมเล่าให้ตุ๋ยฟังภายหลังเมื่อเอ่ยถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น

      จริงๆกูยกขวดจะมาเคาะให้มันหยุดล้อกันเฉยๆ แต่ขวดมันเสือกแตกเอง กูเลยต้องเก๊กโมโหต่อไม่งั้นก็เสียฟอร์มตายห่..สิวะ เมสารภาพเสียงอ่อยๆ

       

      และปิดท้ายความเป็นเมริษฐ์อีกครั้ง เมื่อวันหนึ่งเดนกระหืดกระหอบมาหาเพื่อนๆที่นั่งหน้าคณะ

      เฮ้ย...เมเว๊ย เมื่อกี้นี้กูเห็นน้องออนเข้าห้องน้ำหลังหอศิลป์เดนรีบบอก

      แล้วไงวะเมทำหน้าสงสัยมึงไปแอบดูเขาหรือไง

      เห้..กูอยู่แค่หน้าห้องน้ำเฉยๆเว๊ย..ก็ไหนมึงบอก คนสวยต้องไม่เข้าส้วม ไม่ขี้ ไม่เยี่ยว นี่กูเห็นหายเข้าไปนานด้วยกูว่าน่าจะหนักนะไม่ใช่เบา เดนพูดถึงทฤษฎีการขับถ่ายของเม

      งั้นแสดงว่า...เมกำลังจะพูด

      ทฤษฎีของมึงผิดเดนได้ทีรีบสรุป

      ไม่ใช่...นี่แสดงว่าจริงๆแล้วพวกมึงผิด น้องออนจริงๆแล้วไม่ใช่คนสวย เมสรุปด้วยความเชื่อมั่นในความคิดของตน
                  นี่คือแบบฉบับของเขา...ชายคนที่ชื่อว่า...เมริษฐ์

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×